25 ธันวาคม 2552

มนุษย์ Multitasking โดย หนูดี วนิษา เรซ

มนุษย์ Multitasking โดย หนูดี วนิษา เรซ

หนูดี-วานิษามีโอกาสไปประชุมเรื่องสมองที่บอสตัน และรับฟังงานวิจัยใหม่หลายชิ้น ที่อธิบายพฤติกรรมหนุ่มสาวออฟฟิศที่ว่า บีซี่ แท้จริงหรืออะไร

เคยเห็นคนที่ทำได้หลายอย่างพร้อมกันไหมคะ พิมพ์งานไปด้วย คุยโทรศัพท์ไปด้วย แถมยังรับประทานอาหารกลางวันไปด้วยก็ยังได้ หรือ ขับรถไปคุยงานไป หรือแม้กระทั่งเรื่องในครอบครัวของการนั่งที่โต๊ะอาหารเช้า กับสมาชิกในครอบครัวและอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วย เป็นภาพที่คุ้นชินในละครหลายเรื่อง

ดูเหมือนคนที่ใช้เวลาคุ้มค่า ทำได้หลายอย่างพร้อมกัน เพราะในห้วงเวลาหนึ่งแทนที่จะทำงานเสร็จได้แค่งานเดียวกลับทำได้ตั้งสามสี่งาน

ใครเป็นคนเมืองยุคใหม่ที่มีประโยคติดปากเวลาใครทักว่า “ช่วงนี้เป็นไงบ้าง” คำตอบคือ “งานยุ่งงงงมากกกก” ก็คงฝึกทักษะนี้จนชินและทำได้เป็นธรรมชาติมาหลายปีแล้ว

หนูดีก็ฝึกจนเก่ง และทำได้โดยไม่รู้สึกประหลาดอะไรเลย เพราะใครก็ทำกัน คนที่ไม่ทำสิ ถึงจะประหลาด แถมบางครั้งยังดูเท่ด้วยซ้ำ เพราะดูเป็นคน “บีซี่” ตลอดเวลา ดูเหมือนใครก็ต้องการเวลาของเรา

บางคนค่อนแคะว่าเป็น "คนเสพติดงาน” ไม่ใช่หรอกค่ะ หนูดีคิดว่า นี่เป็นการ “เสพติดสภาวะยุ่ง” มากกว่า เสพติดงานนะคะ

แล้วสภาวะนี้ ทำให้คุณภาพการทำงานของสมองลดลงอย่างไรบ้าง บอกได้เลยว่า ลดลงมากค่ะ

ปีนี้หนูดีเพิ่งกลับจากการไปประชุมเรื่องสมองที่บอสตันมา และงานวิจัยใหม่หลายชิ้นให้ความสนใจกับวิถีชีวิตปัจจุบันของคนรุ่นพวกเรา ที่ทำงานยุ่ง เที่ยวเยอะ ออกกำลังกายน้อย (กว่าที่ควร) ทำงานหลายงานพร้อมกัน จัดเวลาได้ไม่ดีเท่าที่ควรเป็น และเฝ้าหน้าจอมากไปนิดหนึ่ง

คุณหมอท่านหนึ่งบรรยายในหัวข้อ “Overbooked, overstretched, and how to handle a crazy busy lifestyle!” เป็นการบรรยายงานวิจัยเรื่องความยุ่งวุ่นวายที่บรรดาผู้เข้าฟังปรบมือและส่งเสียงเฮเป็นระยะ เพราะพูดได้ถูกใจคนงานยุ่งเป็นอย่างยิ่ง

คุณหมอท่านนี้ชื่อ ดร. ฮอลโลเวล เคยสอนที่ภาควิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ก่อนออกมาตั้งศูนย์บำบัดเด็ก ADD ของตัวเอง คุณหมอพูดไว้น่าสนใจว่า ผู้ใหญ่ปัจจุบันเป็นโรค “ADD เทียม” กันเยอะมาก จากสภาพแวดล้อมอันแสนยุ่งเหยิงรอบตัว

เรื่องหนึ่งที่คุณหมอรวมถึงนักวิจัยท่านอื่นเน้นในปีนี้ก็คือ การทำงานหลายอย่างพร้อมกันไม่เคยเกิดขึ้นจริงในโลกนี้ มันเป็นไปไม่ได้สำหรับสมองของเราค่ะ สิ่งที่เราทำโดยไม่รู้ตัวก็คือการสลับไปมาระหว่างสองงาน สามงาน หรือ สี่งานที่เรากำลังทำอยู่

มันจะไม่เป็นไร และไม่เป็นอันตรายหากงานเหล่านั้นไม่สำคัญหรือว่าน่าเบื่อมาก จนเราต้องทำพร้อมกันเพื่อให้กระบวนการนั้นสนุกขึ้น แต่เชื่อเถอะค่ะว่า เรา “หลุด” แน่ๆ ในกระบวนการ เช่นถ้าเราคุยกับคนสี่คนพร้อมกัน แน่นอนว่า เราต้องหลุดข้อความสำคัญแน่ หรือ ดูโทรทัศน์สี่จอพร้อมกัน ถ้าเราบอกว่า ทำได้ หมายความว่า เราเก่งมากในเรื่องการแทรกข้อมูลที่หายไปด้วยตัวเราเอง

แต่ถ้างานนั้นสำคัญ มีความจำเป็นต้องลงรายละเอียดลึกซึ้ง หรือต้องใช้ความคิดมากเป็นพิเศษ การ “มัลติกาสก์” ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลยค่ะ

เหมือนที่ ดร.ฮอลโลเวล เล่าว่าภรรยาเขาเป็นจิตแพทย์และมีคนไข้เป็นทนาย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาช่วยให้ลูกความสรุปข้อตกลงทางกฎหมายที่ได้เปรียบอีกฝ่ายมากอย่างไม่น่าเชื่อ จนทุกคนต้องถามเขาว่า “ทำได้อย่างไร” ทนายคนนั้นบอกว่า “ไม่เห็นยากเลย ก็ผมเป็นคนเดียวในห้องประชุมนั้นที่ไม่ได้ใช้แบล็คเบอรี่ตลอดเวลาที่เราคุยข้อตกลงกัน”

การ “มัลติทาสก์” ดูเหมือนดีค่ะ แต่เป็นแค่ระดับผิวเผินเท่านั้น แต่ทุกครั้งที่เราทำ เราเสียมากกว่าได้เสมอหากงานนั้นต้องการสมองของเราอย่างลึกซึ้ง โลกยุคใหม่สะดวกก็จริง แต่ก็มีหลุมพรางเยอะให้เราเดินไปตกโดยไม่รู้ตัว ถึงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตแต่ก็เสียสมองเปล่าไปโดยไม่มีประโยชน์แท้จริงขึ้นมา

วันนี้ใครยังภูมิใจกับการทำอะไรได้หลายอย่างพร้อมกัน ลองเปลี่ยนมาเป็นทำทีละอย่างให้เสร็จโดยให้ความสนใจสิ่งนั้นอย่างเต็มร้อยไหมคะ แล้วจะพบว่า ชีวิตเรามีคุณภาพขึ้นอีกมากมาย


20 ธันวาคม 2552

เงิน 20 บาท มีค่ามากสำหรับคนบางคน

เงิน 20 บาท มีค่ามากสำหรับคนบางคน

ใน ขณะที่ใครหลายๆ คนกินอิ่ม นอนหลับอยู่ในบ้านที่แสนสบาย ใช้เงินฟุ่มเฟือยเต็มสูบไม่มีจำกัด อยากได้อะไรซื้อ อยากกินอะไรกิน ทิ้งๆ ขว้างๆ บ้างตามประสาคนเหลือกินเหลือใช้ แต่ในอีกมุมหนึ่ง...กลับมีคนที่ยอมเดินด้วยเท้า จากจังหวัดอุบลราชธานี ไปยังจังหวัดอยุธยา ด้วยระยะทางไกลมากว่า 600 กิโลเมตร เพียงเพื่อเงินวันละ 20 บาท

เรื่องที่ทางทีมงานจะขอนำเสนอต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่เพื่อนสมาชิกเว็บไซต์ พันธ์ทิพย์ดอทคอม ประสบ เหตุการณ์ด้วยตัวเอง และอยากนำมาเล่าให้เพื่อนๆ ได้ฟัง ซึ่งเขาก็เล่าว่า ... ผมและครอบครัวได้เดินทางไปเที่ยวจังหวัดอยุธยา ระหว่างทางก่อนที่จะถึงจุดหมาย ผมได้มองไปข้างทางและเห็นชายแก่คนหนึ่งใส่เสื้อสีขาว กางเกงขายาวสีน้ำเงิน กำลังเดินอยู่ข้างทางแบกถุงปุ๋ย พร้อมห่อผ้าขาวม้า 1 ห่อ เดินกลางแดดกลางวันร้อนๆ ยามบ่าย ผมจึงให้แฟนจอดรถและลงไปถามชายชราคนนั้นว่า

ผม : ตาจะไปไหน ทำไมมาเดินตากแ ดดแบบนี้เล่า

ตา : (ยิ้ม) จะไปอยุธยา

ผม : ตาจะไปทำไมที่อยุธยา ไปหาใครเหรอ

ตา : ไปรับจ้างเลี้ยงวัว มีคนเขาบอกว่าที่อยุธยา มีคนเขาหาคนเลี้ยงวัว

ผม : เขาจ้างวันละเท่าไหร่ ตารู้จักเขาเหรอ

ตา : เขา จ้างวันละ 20 บาท มีที่พักให้ด้วย (ตาหมายถึงนอนกับวัวเลย) ตาไม่รู้จักเขาหรอก ที่ไปนี้ก็ต้องไปถามเขาอีกทีว่าใครจะจ้างตาเลี้ยงวัวบ้าง

ผม : แล้วใครบอกตาว่าที่อยุธยาเขาหาคนเลี้ยงวัว

ตา : คนแถวบ้านตาบอก เขาพูดกันว่าที่อยุธยามีคนเขาหาคนเลี้ยงวัวเยอะ

ผม : ตามาจากไหนละ มาคนเดียวเหรอ แล้วยายไปไหนล่ะ

ตา : ตามาจากอุบลฯ ตามาคนเดียว เพราะยายตายแล้ว

ผม : ลูกๆ ไม่มีเหรอตา

ตา : มีลูก 2 คน ชายคน หญิงคน มีครอบครัวกันหมดแล้ว ไม่เคยเห็นหน้ามาหลายปีแล้ว ยายตายนี่พวกมันยังไม่รู้เลย

ผม : แล้วทำไมตาไม่อยู่บ้าน หางานแ ถวบ้านทำล่ะ

ตา : ตา ไม่มีบ้าน พอยายตาย พี่น้องยายเขาก็ไม่ให้อยู่ในที่ของเขา งานแถวบ้านมี แต่เขาไม่จ้างตาทำ เขาบอกว่าตาแก่แล้ว ทำอะไรช้าไม่ทัน เขาก็ไม่จ้างตา

ผม : แล้วตามาถึงที่นี่ได้อย่างไง

ตา : ตาเดินมาเรื่อยๆ

ผม : เดินมาจากอุบลฯ นะเหรอตา ทำไมไม่นั่งรถเมล์มาล่ะ

ตา : (ยิ้ม) ตาไม่มีตังค์ (ควักเงินออกมาให้ดู ซึ่งในมือตามีเงิน 15 บาท เหรียญ 5 บาท 1 เหรียญ ที่เหลือเป็นเหรียญบาทเก่าๆ สีเขียว)

ผม : แล้วตาออกจากอุบลฯ มาวันไหน

ตา : หลังสงกรานต์ 2 วัน (ยิ้ม)

ผม : แล้วตาเอาอะไรมาด้วย นี่ห่ออะไรที่ตาถือมา

ตา : อ๋อ ห่อกระดูกยาย กับถุงเสื้อผ้าตา

ผม : แล้วตากินอะไรอยู่

ตา : เดินผ่านร้านที่เขาขายมันต้ม แม่ค้าเขาเลยให้ตามากินฟรีๆ ไม่เอาตังค์ตาด้วย

ผม : (สายตาของผมมองไปที่เท้าของตา เห็นรองเท้าของตามีกระดาษติดที่ส้น) กระดาษติดที่เท้าตานะ ระวังหกล้ม

ตา : (ยิ้ม) อ๋อ ตาเอามันมารองที่เท้าตาเอง เพราะส้นรองเท้ามันขาดแล้ว เวลาเดินมันร้อนส้นเท้า

ผม : แล้วนั่นน้ำอะไรจ๊ะตา (เห็นน้ำสีน้ำตาลในขวดสีขาวขุ่นมากๆ วางอยู่ข้างๆ ตา)

ตา : น้ำกินตาเอง

หลัง จากนั่งคุยกับตาแกไปเ??ื่อยๆ ก็ได้รู้ว่า ตา อายุ 76 ปีแล้ว แต่ผมดันลืมถามชื่อแกมา รู้แต่ว่าสิ่งที่ได้สังเกตเห็นตลอดเวลาคือ เนื้อตัวค่อนข้างเลอะ มีรอยยุงกัดตามตัวเยอะมาก เพราะแกบอกว่าอาศัยนอนข้างถนน นอนศาลา และดวงตาของแกฝ้ามัวมาก เหมือนมีเส้นใยบางๆ ในดวงตา และอีกสิ่งหนึ่งที่เห็นก็คือ "รอยยิ้ม" ที่ เห็นฟัน 1 ซี่ ของแกมีมาให้ตลอดเวลาระหว่างที่สนทนากัน ทำให้ผมรู้สึกว่าตาเป็นคนอารมณ์ดี จากนั้นผมจึงได้ส่งร่มในมือที่ถือก่อนลงจากรถให้แกไว้ใช้ พร้อมเงินอีก 190 บาท (เพราะมีอยู่แค่นั้น) ซึ่งตอนที่แกได้ร่ม ตาแกดีใจมาก ยิ้มตลอดเวลา ในใจแกคงคิดว่าต่ อไปนี้แกคงไม่ต้องเดินร้อนแล้วล่ะ อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมตาแกไม่ไปบวช หรือขอข้าววัดกิน เรื่องนี้พวกเราคุยกันว่า ตาแกยังคงอยากทำงานหาเลี้ยงตัวเอง ไม่อยากจะขออาศัยวัดกิน มีมือมีเท้าก็อยากทำให้เกิดประโยชน์บ้าง …

...และนี่คือตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า ยังมีคนอีกจำนวนมากต้องปาดกัดตีนถีบเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง รู้แบบนี้แล้วทำไมไม่ลองมองย้อนมาดูตัวเอง ว่าวันนี้คุณ "พอเพียง" แค่ไหนกัน ? ทั้ง นี้ผู้เล่าประสบการณ์ คิดได้ว่า เขาโชคดีเหลือเกินที่มีกินมีใช้ เกิดมาไม่ลำบาก มีพ่อแม่ มีเงินให้ใช้ แต่หลังจากเจอตาแล้วทำให้เขาคิดได้ว่า ต่อไปนี้เขาต้องรู้จักใช้เงิน รู้คุณค่าของเงินมากขึ้น เผื่อวันหน้าจะได้ไม่ลำบาก


18 ธันวาคม 2552

อย่าจม อยู่กับอดีต

อย่าจม อยู่กับอดีต

ความหนักอกหนักใจ เหนื่อยใจในชีวิตของเราทั่วๆ ไป
อีกประการหนึ่งก็คือ การคิดในเรื่องเก่าๆ ที่ผ่านมา

ไม่ใช่ว่าจะห้ามเสียเลย หามิได้
คิดได้ แต่ว่าต้องคิด ด้วยปัญญา
รื้อมันด้วยปัญญา สร้างขึ้นด้วยปัญญาตลอดเวลา
อย่างนั้นสิ่งนั้นจะเป็นประโยชน
ไม่เป็นความเสียหายในการที่เราจะคิด
เพราะเอามาศึกษาค้นคว้าในเรื่องอย่างนั้น
ว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นอย่างไร ตั้งอยู่ เปลี่ยนแปลงไปในสภาพอย่างไร
เราจะได้จดจำไว้เป็นบทเรียนสำหรับชีวิตของเราต่อไป
คิดแบบวิเคราะห์วิจัยอย่างนี้ไม่เสียหาย
แต่ว่าโดยมากหาได้คิดในรูปนั้นไม่ เอามาคิดในรูป
ที่มันจะสร้างปัญหา คือ ความทุกข์ความเดือดร้อนแก่ตนทั้งนั้น
คือ คิดด้วยความโง่เขลา ไม่ได้คิดด้วยปัญญา ในเรื่องอะไรต่างๆ
เรื่องบางเรื่องมันผ่านพ้นไปตั้งนาน แล้ว
แต่เราก็เอามาคิด พอคิดแล้วก็เกิดความไม่สบาย
ใจเป็นทุกข์ขึ้นมาก็เพราะเรื่องอย่างนั้น

บางคนถึงกับว่าน้ำตาไหล ถามว่าทำไมจึงน้ำตาไหล
แหมคิดถึงเรื่องเก่าแล้วฉันเศร้าใจเหลือเกิน...
ก็มันเรื่อง อะไรที่ไปคิดให้เศร้าใจ
อยู่ดีๆ ไม่ว่า ไปหาเรื่องให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน
ที่คนโบราณเขาว่า เอามือไป ซุกหีบ
มือมันอยู่ดีๆ ไม่ชอบ เอาเข้าไปซุกในหีบ
แล้วก็ปิดฝาหีบลงไปโดนมือเจ็บปวดไปเปล่าๆ
นี่มันไม่ได้เรื่องอะไร ทำไมจึงชอบคิดในเรื่องอย่างนั้น
เรื่องเก่าๆ ที่ผ่านมาไม่ชอบปล่อยชอบวาง ไม่ชอบทิ้งเรื่องนั้นออกไปเสีย

ในหลักธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ท่านวางหลักในเรื่องนี้ไว้ว่า
“อตีตํ นานวาคเมยฺย นปฺปฏิกงฺเข อนาคตํ ปจฺจุปฺปนฺนญฺจ โย ธมฺมํ ตตฺถ ตตฺถ วิปสฺสติ”
บอกว่า อย่าคิดถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้ว อย่าคิดถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง
สิ่งใดเกิดขึ้นเฉพาะหน้า ให้เพ่งพิจารณาในเรื่องนั้น
เพื่อให้รู้ชัดเห็นชัดตามสภาพที่มันเป็นอยู่จริงๆ อันนี้เป็นหลักการอันหนึ่ง
ซึ่งเราน่าจะนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเรา

เพราะว่าคนเราทั่วๆ ไป ที่มีความทุกข์ระทมตรมใจอะไรต่างๆ นั้น
ส่วนมากก็เป็นเรื่องเก่าๆ ที่มันผ่านพ้นมาแล้ว
ของหายไปตั้งสองเดือนแล้ว ก็ยังเอา มาคิดถึงอยู่
คือ บางทีก็พูดกับใครๆ ว่า แหมนึกถึงเรื่องนั้นทีไรแล้วแสนจะกลุ้มใจ
รู้ว่ากลุ้มใจ แต่ว่าทำไมไปคิดถึงเรื่องนั้น
นี่เขาเรียกว่าเผลอไป ประมาทไป
ไม่ได้ระมัดระวังควบคุมความคิดของตัว
แล้วก็ไปคิดถึงเรื่อง ที่ทำให้เศร้าใจ
ให้เสียใจเป็นทุกข์เป็นร้อนด้วยประการต่างๆ
นั้นล้วนแต่เป็นเรื่องเก่าๆ แก่ๆ ทั้งนั้น
เอามานั่งคิด นั่งฝันไป ไม่ได้เรื่องอะไร
อย่างนั้นไม่ควรคิด เพราะมันผ่านพ้นไปแล้ว

เรื่องเวลานี้มันมีสามกาละคือว่า ปัจจุบัน อดีต อนาคต
สามกาลนี้มันนิดเดียวเท่านั้นเอง
ตัวปัจจุบันนี่ก็นิดเดียว แล้วมันก็กลายเป็นอดีตไป
แล้วอนาคตก็ย่างเข้ามา กลายเป็นตัวปัจจุบัน แล้วก็เป็นอดีตต่อไป
ถ้าหากว่าเราถือหลักว่าเวลานี้มันไม่คงที่
มันมาถึงเราแล้วก็ผ่านพ้นไปๆ วินาทีนั้นผ่านพ้นไป
วินาทีใหม่ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านพ้นไป
คล้ายๆ กับภาพยนตร์ เวลาเราดูหนัง
ภาพต่างๆ มันผ่านสายตาเราไปในรูปต่างๆ กัน
นั่นคือความเปลี่ยนแปลงของภาพอยู่ตลอดเวลา
ภาพมันถี่ยิบเพราะความหมุนของเครื่องแล้วฟิล์มมันก็หมุนไป
เราก็เห็นว่าเป็นภาพวิ่งแสดงอย่างนั้นแสดงอย่างนี้
ปรากฏแก่สายตายของเรา ทำให้เราเห็นว่ามันเป็นจริงๆ จังๆ
เป็นเรื่องเป็นราว บางทีดูด้วยความเพลิด เพลิน
บางทีดูแล้วก็เศร้าโศกเสียใจ เวลาจบเรื่องลงไปก็พลอยเศร้าไปกับพระเอก
หรือว่านางเอกที่ต้องพบชะตากรรมที่ไม่นึกฝัน
ว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ที่จริงภาพเหล่านั้นมันเป็นมายา
ที่มาหลอกตาเราชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นเอง
แต่ว่าภาพมันติดต่อกัน เลยเห็นเป็นเรื่อง เดียวกันตลอดเวลา
อย่างนี้มันก็ผ่านๆ ไปเท่านั้นเอง

อะไรๆ มันก็ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้หยุดอยู่
แต่ว่าเรานั้นเป็นผู้ทำผิด ทำผิดในเรื่องอย่างไร
ทำผิดคือไปเก็บเอาสิ่งนั้นไว้มาใส่ในใจ
ใส่ไว้ในห้วงนึกในความคิดของเรา
เก็บเรื่อยไปไม่รู้ว่าอะไรต่ออะไร เรียกว่าเป็น คนชอบเก็บ
ชอบสะสม ลักษณะของจิตมันก็อย่างนั้นอยู่ด้วยเหมือนกัน
คือว่า ชอบสะสมอารมณ์ประเภทต่างๆ ที่ผ่านมาเข้ามา
แล้วมันก็เก็บไว้ แล้วเอามานั่งคิด นั่งนึกให้เกิดความทุกข์ความเศร้าใจ
ไม่มีเรื่องอะไรจะคิดก็ไปเอาเรื่องที่มันเศร้าใจไม่สบายใจมาคิด
บางทีไปคิดในเวลาใกล้จะนอน เลยกระทบอารมณ์ นอนไม่หลับ
หรือบางทีไปคิดเวลารับประทานอาหาร
เลยเกิดเบื่ออาหารขึ้นมา ไม่อยากจะรับประทานแล้ว ใจมันไม่สบาย

ใจมันไปคิดในเรื่องครั้งกระโน้น เก่าไม่รู้สักกี่สิบปี แล้ว
ถ้าเป็นวัตถุก็เรียกว่าบูดแล้ว เน่าแล้ว เปื่อยแล้ว
เราอุตส่าห์เอามาสร้างเป็นโครงร่างขึ้นมาใหม่ ไปเก็บ
เอาขี้เถ้ามันมาเสกสรรปั้นแต่งให้มันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว
นั่งดูด้วยความเศร้าโศกใจ นี่เรียกว่า ความเขลาหรือความฉลาด
ขอให้เราคิดดูสักเล็กน้อย

สิ่งใดที่มันผ่านไปแล้วก็ปล่อยไป ช่างมันเถอะผ่านพ้นไปแล้ว
เราจะไปคิดถึงสิ่งนั้นทำไมให้มันเป็นอดีตไป
อดีตมันก็ผ่านพ้นไปแล้วปัจจุบันมันก็ผ่านพ้นไปแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง
แต่ถ้ามาถึงเข้า เราก็พิจารณาต่อไปด้วยปัญญาว่าสิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นแก่เรา
แต่ว่าสิ่งนี้มันไม่เที่ยงมันมีความเปลี่ยนแปลง
คอยดูว่ามันจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรต่อไป
ให้เราทำตนเป็นคนดูด้วยปัญญา อย่าดูด้วยความยึดมั่นถือมั่น
อย่าดูด้วยความหลงผิดในเรื่องนั้นๆ
จิตใจเราก็จะสบายขึ้นไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์ความเดือดร้อนใจ
นี้เป็นประการหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหา คือความไม่ สบายใจ
หรือว่าความเหน็ดเหนื่อยใจที่เกิดขึ้น
ให้พอคลายไปได้ จากการคิดนึกในรูปอย่างนี้


บทเรียนดีๆ ของกบ

...บทเรียนดีๆ ของกบ...

นิทานอีสปเคยกล่าวเอาไว้ว่า...

จงพอใจในวาสนาของท่าน เรามิอาจเป็นเลิศในทุกสิ่งได้

คนไม่พอใจในตัวเองจะเป็นทุกข์ตลอดไป...

.....นานมาแล้วมีกบตัวหนึ่งอาศัยใกล้กุฎิพระ
ตอนเช้าเห็นพระบิณฑบาตได้อาหารมาอย่างสบายทุกวัน

เจ้ากบก็ปรารถนาอยากเป็นพระกับเขาบ้าง คงจะดีนะ
ต่อมาเมื่อพระฉันเสร็จก็เอาข้าวสุกโปรยให้ไก่กิน

เจ้ากบก็คิด เป็นไก่ดีกว่าไม่ต้องออกแรงเลย ไม่อยากเป็นพระอีกแล้ว

ขณะนั้นเอง หมาตัวหนึ่งแย่งไก่กินอาหาร
ไก่กลัวหมามากจึงหนีเอาตัวรอดอย่างน่าอนาถ

เจ้ากบก็คิด เป็นหมาดีกว่าดูเป็นวีรบุรุษดี ไม่อยากเป็นไก่แล้ว

มีชายคนหนึ่งเห็นเข้าจึงเอาไม้ไล่ตีหมา จนหมาวิ่งหนีร้องลั่นไป

เจ้ากบจึงคิดว่าทำไมเราไม่เกิดเป็นคนหนอ สามารถขับไล่หมาไปได้

จากนั้นเอง ชายผู้นี้ ก็มานั่งริมสระน้ำ
แล้วเจ้าแมลงวันก็บินมาตอมจนชายผู้นั้นรำคาญ และลุกหนี

พร้อมบ่นว่า "รำคาญแมลงวันจริงโว้ย"

เจ้ากบได้ยินเสียงดังนั้น ก็นึกคิดว่าเกิดเป็นแมลงวันดีกว่านะ
เพราะเก่งมากจนทำให้คนรำคาญได้

บังเอิญแมลงวันบินมาเกาะที่จมูก มันจึงแลบลิ้นแผลบกินแมลงวัน

เจ้ากบจึงค้นพบสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ ว่า เป็นอะไรก็ไม่ดีเท่าตัวเราเอง

ความทุกข์จึงเกิดจากความไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่

"เราแทบไม่คิดว่า เรามีอะไรบ้าง

แต่เราคิดเพียงว่า เราขาดอะไรบ้างเท่านั้นเอง"


11 ธันวาคม 2552

เลื่อนตัวเองขึ้นแต่อย่าลดคนอื่นลง

เลื่อนตัวเองขึ้นแต่อย่าลดคนอื่นลง

อาจารย์คนหนึ่งชวนลูกศิษย์เดินไปตามชายหาด ช่วงหนึ่งของการสนทนา อาจารย์ใช้ไม้เท้าขีดเส้นสองเส้นลงไปบนผืนทราย เป็นเส้นคู่ขนาน ยาว 5 ฟุต และ 3 ฟุต ตามลำดับ

อาจารย์กล่าวว่า "เธอลองทำให้เส้น 3 ฟุต ยาวกว่าเส้น 5 ฟุต ให้ดูหน่อยสิ"

ลูกศิษย์หยุดคิดครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจลบรอยเส้นที่ยาว 5 ฟุตนั้นให้สั้นลงจนเหลือเพียง 1 ฟุต จึงทำให้เส้น 3 ฟุตโดดเด่นขึ้นมา แล้วศิษย์ก็สบตาอาจารย์พลางขอความเห็นว่า "เช่นนี้ ใช้ได้หรือยังครับ"

อาจารย์เขกหัวศิษย์เบาๆ แล้วบอกว่า "คนที่คิดจะยกตนเองให้สูงขึ้นโดยการทำร้ายคู่แข่งนั้นไม่ใช่วิธีที่ดี ดังนั้นถ้าเลือกใช้วิธีนี้ชีวิตเธอก็มีแต่จะล้มเหลวไม่พัฒนา ทางที่ดีควรเลือกวิธีที่จะยกตัวเองขึ้น โดยไม่ไปลดคนอื่นลง"

แล้วอาจารย์ก็ขีดเส้น 2 เส้นให้เท่าเดิม คือ 3 ฟุต และ 5 ฟุต แล้วอาจารย์ก็สาธิตให้ดูด้วยการขีดเส้น 3 ฟุตให้ยาวขึ้นเป็น 10 ฟุต แล้วกล่าวว่า "จงอย่าคิดว่าคู่แข่งของเธอคือศัตรู แต่ให้คิดว่าเป็นครูของเธอ ที่เธอจะต้องพัฒนาตนเองให้เทียบเท่าหรือดีกว่า เขาคือคนสำคัญที่จะทำให้เธอได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างาม หากไร้คู่แข่ง แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองมีศักยภาพในการทำงานขนาดไหน ไม่มีอัปลักษณ์ก็ไม่รู้จักสวยงาม"

นักสู้ที่ดีมักชื่นชมคู่ต่อสู้ที่เข้มแข้ง เพราะคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอจะทำให้ชัยชนะของเขาไม่ยั่งยืนยง ดังนั้นเมื่อได้พบกับคู่แข่งที่แกร่งและฉลาดล้ำ ก็ยิ่งทำให้เรารู้จักขยับตัวเองขึ้นไปให้สูงส่งยิ่งขึ้น

คนที่พยายามจะเลื่อนตัวเองขึ้นไป โดยการฆ่าน้อง ฟ้องนาย และขายเพื่อน ถึงแม้จะทำให้สำเร็จ แต่นั่นก็เป็นความสำเร็จที่ปราศจากเกียรติคุณ ไม่อาจเอ่ยอ้างได้อย่างเต็มภาคภูมิ การเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยวิธีที่ไม่ชอบธรรม กับการเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยปล่อยให้คนอื่นได้ก้าวไปตามวิถีทางของเขาอย่างเสรีนั้น ย่อมมีผลลัพธ์ที่ต่างกัน

การเลื่อนตัวเองขึ้นพร้อมกับลดคนอื่นลง เธออาจจะชนะ แต่ก็มีศัตรูเป็นของแถม แต่การเลื่อนตัวเองขึ้นโดยไม่ลดคนอื่นลง เธออาจเป็นผู้ชนะ พร้อมกับมีเพื่อนแท้เพิ่มขึ้นมากมาย และหนึ่งในนั้นอาจเป็นคู่แข่งหรืออดีตศัตรูของเธอเองด้วย เป็นสังคมแห่งความสำเร็จบนพื้นฐานของมิตรภาพโดยแท้

from http://variety.teenee.com/saladharm/21268.html


บทเรียน 16 ข้อจาก Anthony Bolton สุดยอด VI ของอังกฤษ


บทเรียน 16 ข้อจาก Anthony Bolton สุดยอด VI ของอังกฤษ

บทเรียนเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์ในการเป็นผู้จัดการกองทุนมานาน 25 ปีของผม

1. เข้าใจความได้เปรียบเชิงแข่งขันและคุณภาพของบริษัท

คุณจะต้องรู้ฐานะการแข่งขันของบริษัทและรู้ว่าบริษัททำผลกำไรได้ด้วยวิธีการใด ธุรกิจที่ผมชอบคือ ธุรกิจที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันที่ยั่งยืนเป็นระยะเวลายาวนาน สิ่งที่ผมจะถามก็คือ : ในอีก 10 ปีข้างหน้า บริษัทนี้จะยังอยู่หรือไม่และบริษัทน่าจะมีมูลค่าสูงกว่านี้หรือเปล่า ?

2. เข้าใจตัวแปรสำคัญๆ ที่เป็นตัวผลักดันธุรกิจ

ระบุตัวแปรหลัก ๆ ที่จะส่งผลต่อการดำเนินงานของบริษัทออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวแปรที่บริษัทควบคุมไม่ได้อย่างเช่น ค่าเงิน, อัตราดอกเบี้ย และภาษี สำหรับผม ธุรกิจที่ดีคือ ธุรกิจที่สามารถควบคุมชะตากรรมส่วนใหญ่ของตัวเองได้

3. สนใจธุรกิจที่เข้าใจได้ง่ายมากกว่าธุรกิจที่ซับซ้อน

ธุรกิจที่ซับซ้อนจะวิเคราะห์ได้ยากว่ามีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืนหรือเปล่า สำหรับผมแล้ว ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดเป็นคุณสมบัติที่น่าสนใจ ธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนสูง ๆ ในการดำเนินธุรกิจจะมีความน่าสนใจน้อยกว่า

4. ฟังข้อมูลจากผู้บริหารโดยตรง

ผมชอบผู้บริหารที่ตรงไปตรงมาและไม่ขี้โม้ ผมอยากได้ยินทั้งข่าวดีและข่าวร้าย

5. หลีกเลี่ยงบริษัทที่มีผู้บริหารไม่ซื่อสัตย์และไม่มีความน่าเชื่อถือในทุกกรณี

6. พยายามคิดล้ำหน้ากว่าคนอื่น ๆ ไปสองก้าว

ดูว่าอะไรถูกมองข้ามไปในปัจจุบัน แต่มันจะสร้างความตื่นเต้นให้กับนักลงทุนในอนาคตได้ โดยทั่วไปแล้ว ตลาดหุ้นไม่ได้มองอะไรไกล ๆ นัก ดังนั้น หากเรามองไกลกว่าคนอื่น ๆ เราจะทำกำไรได้

7. เข้าใจความเสี่ยงในงบดุล

การลงทุนเป็นการจำกัดความเสี่ยงและการหลีกเลี่ยงความหายนะ คุณต้องวิเคราะห์งบดุลอย่างละเอียด ดูเรื่องหนี้สินของบริษัทให้ดี

8. เสาะหาความคิดจากหลายๆแหล่ง

ยิ่งคุณมีแหล่งความคิดหลากหลายขึ้นเท่าไร คุณก็จะมีโอกาสหาหุ้นเด็ด ๆ ได้สูงขึ้นเท่านั้น แหล่งความคิดที่ชัดเจนที่สุดอาจจะไม่ใช่แหล่งที่ดีที่สุดเสมอไป ผมจะชอบแหล่งข้อมูลที่คนอื่น ๆ ไม่ค่อยใช้กัน

9. ดูการซื้อขายหุ้นของผู้บริหารบริษัทด้วย

มันไม่ใช่ตัวชี้วัดที่ถูกต้องเสมอไป แต่มันก็มีประโยชน์มาก ดูจำนวนรายการที่เกิดขึ้น การซื้อจะบอกอะไรได้มากกว่าการขาย และผู้บริหารบางคนจะน่าสนใจกว่าคนอื่น ๆ

10. ตรวจสอบเหตุผลในการลงทุนของคุณเป็นระยะ ๆ

การซื้อหุ้นต้องมีเหตุผลรองรับ และคุณต้องตรวจสอบเหตุผลเหล่านั้นเป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีข้อมูลใหม่ ๆ เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม อย่าปล่อยให้ความเชื่อมั่นพัฒนากลายเป็นความดื้อรั้น

11. ลืมต้นทุนของคุณซะ

ราคาที่คุณซื้อหุ้นมาไม่มีความเกี่ยวข้องเลย มันแค่มีความสำคัญในเชิงจิตวิทยาเท่านั้น เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปในเชิงลบ อย่างลังเลที่จะตัดขาดทุน

12. ผลงานที่ผ่านมาไม่ได้บ่งบอกถึงอนาคต

อย่างไรก็ตามคุณต้องวิเคราะห์ความผิดพลาดของคุณและเรียนรู้จากมัน

13. ใส่ใจกับมูลค่าเฉพาะของบริษัทนั้น ๆ ไม่ใช่ดูแต่มูลค่าเชิงเปรียบเทียบ

หากคุณดูแต่มูลค่าเชิงเปรียบเทียบ คุณอาจจะซื้อหุ้นตัวที่แพงน้อยกว่ามาซึ่งมันจะทำให้คุณขาดทุนอยู่ดี

14. ใช้วิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นตัวบ่งชี้เพิ่มเติม

ผมจะใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคมาช่วยกำหนดขนาดการซื้อหุ้นของผม หากปัจจัยทางเทคนิคช่วยยืนยันการวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน ผมจะซื้อหุ้นในปริมาณที่มากขึ้น แต่ถ้าไม่ ผมจะซื้อหุ้นอยู่ดีแต่จะซื้อในปริมาณที่ลดลง เมื่อไรก็ตามที่ปัจจัยทางเทคนิคชี้ว่าหุ้นกำลังอ่อนแอ ผมจะตรวจสอบปัจจัยพื้นฐานของบริษัทอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ผมพบว่ามันจะมีประโยชน์สำหรับหุ้นขนาดใหญ่มากกว่า

15. หลีกเลี่ยงการทำนายทิศทางตลาดและการลงทุนตามเศรษฐกิจมหภาค

ผมจะลงทุนในบริษัทที่ผมคิดว่ามีความได้เปรียบเชิงแข่งขัน

16. จงสวนกระแส

หากคุณรู้สึกสบายใจที่จะลงทุนในหุ้น คุณอาจจะเข้ามาสายไปแล้ว
จงลงทุนสวนกระแสฝูงชน อย่ารู้สึกมั่นใจสูงขึ้น เมื่อราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้น
เวลาที่ทุกคนปราศจากความกังวลจะเป็นเวลาที่น่ากลัวที่สุด
เวลาที่ทุกคนกังวลอย่างมาก ความกังวลมันจะไปสะท้อนในราคาแล้ว


Warren Buffet

warren buffet story


ชายแก่คนนั้นทำงานในบริษัท แต่เขาไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ ไม่มีคนขับรถ ขับรถคันเก่าไปไหนมาไหนด้วยตัวเอง

เขาไม่ใช่คนยากไร้ ตรงกันข้ามเขาเป็นคนร่ำรวยอันดับที่หนึ่งของโลก ( จัดโดยนิตยสารฟอร์บส์ ปี 2007 ) ประมาณว่าความร่ำรวยราวห้าหมื่นสองพันล้านดอลลาร์ ด้วยเงินของเขาสามารถซื้อเครื่องบินส่วนตัวได้หลายลำ แต่เขาไม่เคยเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว เขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดิมที่เขาซื้อเมื่อครึ่งศตรรษที่แล้ว กินอาหารง่ายๆ ใช้ชีวิตง่ายๆ การหย่อนใจของเขาคือนอนดูโทรทัศน์รายการโปรดบนโซฟา กินข้าวโพดคั่วที่ทำเอง

เขาไม่ใช่คนขี้เหนียว ตรงกันข้ามเขาเพิ่งบริจาคเงิน 83 เปอร์เซ็นต์ของเขาให้องค์กรการกุศล (ประมาณสามหมื่นล้านดอลลาร์) เป็นเงินบริจาคที่สูงที่สุดก้อนหนึ่งในประวัติศาสตร์ ชายแก่คนนั้นชื่อ วอร์เรน บัพเฟตต์

วอร์เรน บัฟเฟตต์ เริ่มทำงานครั้งแรกกับพ่อตอนอายุสิบเอ็ดขวบ เป็นงานนายหน้าค้าหุ้น ปีนั้นเขาซื้อหุ้นตัวแรก คือหุ้น ซิตีส์ เซอร์วิสเซส หุ้นละ 38.25 เหรียญ เขาขายเมื่อหุ้นขึ้นถึง 40 เหรียญ และไม่กี่ปีต่อมามันขึ้นถึง 200 เหรียญ สิ่งนี้สอนให้เขาเห็นค่าของการลงทุนกับหุ้นที่ดีในระยะยาว

อายุสิบ สี่ เขาซื้อที่ดิน 40 เอเคอร์ ราคา 1,200 เหรียญ แล้วให้ชาวนาเช่า ตอนเป็นนักเรียนมัธยมปลาย เขากับเพื่อนซื้อเครื่องเล่นพินบอลราคา 25 เหรียญ ตั้งในร้านตัดผม ภายในสามเดือนพวกเขามีเครื่องสามเครื่องในร้านต่างๆ เมื่ออายุสิบหก เขามีเงินเก็บถึงห้าพันเหรียญ

เขารู้สึกว่าการเรียนในวิทยาลัยเป็นความสูญเปล่า แต่ก็ยอมเรียนต่อเพราะพ่อขอไว้ และเป็นนักศึกษาระดับต้นๆ ด้วยคะแนนสูงลิ่ว

เมื่อ เรียนจบ เขาก็ไปทำงานไม่กี่ปีก็ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ในวัยยี่สิบหก สร้างตัวมาจากความไม่มีด้วยสองมือ จนกลายเป็นซีอีโอของบริษัทขนาดยักษ์ ( Berkshire Hathaway )

เงินเดือนทั้งปีของเขาในปี 2549 คือ หนึ่งแสนเหรียญ จัดว่าน้อยมากสำหรับหมายเลขหนึ่งของบริษัท ซีอีโอทั่วไปมีรายได้ต่อปีเฉลี่ยเก้าล้านดอลลาร์

เขาบอกว่า สหรัฐอเมริกาจ่ายเงินให้นักมวยสิบล้านเพื่อที่จะน็อกคู่ต่อสู้ให้ล้มในเวลา สิบวินาที แต่ไม่สามารถจ่ายเงินดีแก่ครูที่เก่งที่สุด พยาบาลที่ดีที่สุด เป็นการจ่ายที่ไม่สมเหตุผลอย่างยิ่ง เขาเห็นคุณค่าของการทำงานที่เป็นประโยชน์เท่านั้น

ด้วยเหตุนี้เขาจึง ไม่คิดจะย้ายบ้านที่อยู่มาตั้งแต่หนุ่มไปอยู่คฤหาสน์ที่ไหนสักแห่ง เขาบอกว่า ซื้อบ้านใหม่ทำไม ในเมื่อเขามีทุกอย่างที่ต้องการในบ้านหลังนี้แล้ว การย้ายบ้านเพียงเพื่อให้ 'สมฐานะ' ของตัวเองเป็นเรื่องเหลวไหล

หลาย ปีก่อนเคยมีการสัมภาษณ์มหาเศรษฐีชั้นนำของโลกจำนวนหนึ่ง และพบว่ามหาเศรษฐีที่ร่ำรวยจริงๆ ล้วนเป็นคนมัสยัสถ์อย่างยิ่ง ใช้เงินเท่าที่จำเป็น เพราะพวกเขาเห็นว่าเงินทองไม่ใช่ทุกสิ่งในชีวิต

โลก เราเต็มไปด้วยคนรวยกลวงๆ คนที่พยายามทำตัวให้ดูรวย เมื่อไม่มีเงินก็พยายามกู้เงินมา ด้วยค่านิยมที่ว่า "คนที่กู้เงินได้คือคนที่มีเครดิต"

คนรวยเช่น วอร์เรน บัฟเฟตต์ กลับบอกว่า จงหลีกห่างจากบัตรเครดิตไปไกลๆ

ที่ แตกต่างจากคนอื่นก็คือ ลูกหลานของเขาจะไม่ได้รับมรดกมากเท่าส่วนบริจาค เขาบอกว่า "ผมต้องการให้ลูกหลานของผมมากพอที่พวกเขารู้สึกว่าสามารถทำอะไรก็ได้ แต่ไม่มากพอที่ทำให้พวกเขาไม่ทำอะไรเลย"

เมื่อมองทะลุวัตถุนิยม ก็เริ่มแลเห็นความหมายและคุณค่าที่แท้จริงของชีวิต

มีรายการสัมภาษณ์หนึ่งชั่วโมงของสถานีโทรทัศน์ CNBC สัมภาษณ์ วอร์เรน บัพเฟตต์มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งบริจาคเงินให้การกุศล 31,000 ล้านดอลล่าร์ ต่อไปนี้คือแง่มุมบางส่วนที่น่าสนใจยิ่งจากชีวิตของเขา:

1) เขาเริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบ และปัจจุบันบอกว่ารู้สึกเสียใจที่เริ่มช้าไป!

2) เขาซื้อไร่เล็กๆ เมื่ออายุ 14 โดยใช้เงินเก็บจากการส่งหนังสือพิมพ์

3) เขายังอาศัยอยู่ในบ้านเล็กหลังเดิมขนาด 3 ห้องนอน กลางเมืองโอมาฮา ที่ซื้อไว้
หลังแต่งงานเมื่อ 50 ปีก่อน เขาบอกว่ามีทุกสิ่งที่ต้องการในบ้านหลังนี้ บ้านเขาไม่มีรั้วหรือกำแพงล้อม

4) เขาขับรถไปไหนมาไหนต้วยตนเอง ไม่มีคนขับรถหรือคนคุ้มกัน

5) เขาไม่เคยเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว แม้จะเป็นเจ้าของบริษัทขายเครื่องบินส่วน
ตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก

6) บริษัท เบิร์กไช แฮทะเวย์ ของเขามีบริษัทในเครือ 63 บริษัท เขาเขียนจดหมายถึง
ซีอีโอของบริษัทเหล่านี้เพียงปีละฉบับเดียว เพื่อให้เป้าหมายประจำปี เขาไม่เคยนัดประชุมหรือโทรคุยกับ
ซีอีโอเหล่านี้เป็นประจำ

7) เขาให้กฎแก่ ซีอีโอ เพียงสองข้อ
กฎข้อ 1 อย่าทำให้เงินของผู้ถือหุ้นเสียหาย
กฎข้อ 2 อย่าลืมกฎข้อ 1

8 ) เขาไม่สมาคมกับพวกไฮโซ การพักผ่อนเมื่อกลับบ้าน คือทำข้าวโพดคั่วกินและดู
โทรทัศน์

9) บิล เกตส์ คนที่รวยอันดับสองของโลก เพิ่งพบเขาเป็นครั้งแรกเมื่อห้าปีก่อน บิล เกตส์คิดว่า
ตนเองไม่มีอะไรเหมือนวอร์เรน บัพเฟตต์เลย จึงให้เวลานัดไว้เพียงครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อบิล เกดส์ได้พบ
บัฟเฟตต์จริงๆ ปรากฏว่าคุยกันนานถึงสิบชั่วโมง และบิล เกตส์กลายเป็นผู้มีศรัทธาในตัววอร์เรน
บัพเฟตต์

10) วอร์เรน บัพเฟตต์ ไม่ใช้มือถือ และไม่มีคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน

11) เขาแนะนำเยาวชนคนหนุ่มสาวว่า: จงหลีกห่างจากบัตรเครดิตและลงทุนในตัวคุณเอง


ที่สุดของชีวิต คือ มีปัจจัย๔ อย่างเพียงพอนั่นเอง

มหาเศรษฐีหรือยาจก กินข้าวแล้วก็อิ่ม1มื้อ เท่ากัน
มหาเศรษฐีหรือยาจก มีเสื้อผ้ากี่ชุด ก็ใส่ได้ทีละชุด เท่ากัน
มหาเศรษฐีหรือยาจก มีบ้านหลังใหญ่แค่ไหน พื้นที่ที่ใช้จริงๆ ก็เหมือนกันคือ ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัวเหมือนกัน
มหาเศรษฐีหรือยาจก จะมียารักษาโรคดีแค่ไหน ยื้อชีวิตไปได้นานเพียงไร สุดท้ายก็ต้องตาย เหมือนกัน

มองทะลุวัตถุนิยม และเห็นความหมายที่แท้จริงของชีวิต



from http://growth.exteen.com/20081024/entry-1, http://growth.exteen.com/20081024/entry


วอร์เรน บัฟเฟตต์ คนเล่นหุ้นที่รวยที่สุดในโลก

“วอร์เรน บัฟเฟตต์ คนเล่นหุ้นที่รวยที่สุดในโลก” สำหรับคอลัมน์ มองบุคคลโลก หนังสือพิมพ์โพสต์ ทูเดย์


ผมขอนำเรื่องของมหาเศรษฐีคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จและสร้างฐานะจากการเล่น หุ้นจนกลายมาเป็นคนเล่นหุ้นที่รวยที่สุดในโลกขณะนี้ เรื่องนี้มีความน่าสนใจอยู่มากเพราะข้อเท็จจริงที่เราต่างทราบกันดีคือไม่ ได้หมายความว่าคนที่เล่นหุ้นจะรวยเช่นเขาทุกคน หลาย ๆท่านที่ลงทุนในตลาดหุ้นต้องลงทุนอย่างมีหลักการและเหตุผล อย่าทำตัวเป็นเหมือนแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟหรือทุ่มทุนสร้างเพราะคิดว่ามัน เหมือนกับการเล่นการพนันชนิดหนึ่ง เพราะโอกาสเสี่ยงมีสูงมาก แต่เป็นเพราะเขามีบางสิ่งบางอย่างที่โดดเด่นและแตกต่างจากคนอื่นจึงทำให้ เขาประสบความสำเร็จได้

ผมมองว่าสังคมโลกยุคปัจจุบันเราพบว่า หากใครก็ตามที่ดำเนินธุรกิจอยู่และต้องการระดมทุนเพื่อนำมาขยายธุรกิจ ตลาดหุ้นเป็นเสมือนขุมทรัพย์ที่นักธุรกิจต้องการ ตามการเติบโตและพัฒนาของโลกอย่างไร้ขอบเขต จนทำให้หลาย ๆ ประเทศมีขนาดของตลาดหุ้นเท่ากับขนาดของเศรษฐกิจของประเทศ มีเงินหมุนเวียนจำนวนมหาศาลทุกวัน เมื่อเราดูข่าวไม่ว่าจะผ่านสื่อใด ๆ จะต้องมีการนำเสนอถึงความเป็นไปของตลาดหุ้นไปพร้อม ๆ กันจนสามารถถือได้ว่าตลาดหุ้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปโดยปริยาย และกลายเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลกที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้เลย ผมมองว่าตลาดหุ้นเป็นเสมือนบ่อนการพนันที่ถูกกฎหมายไปและได้รับการยอมรับ อย่างสูง เพราะมีหลายต่อหลายคนกลายเป็นมหาเศรษฐีจากการลงทุนในตลาดหุ้น ในขณะเดียวกันก็มีมหาเศรษฐีหลาย ๆ คน ที่เดินออกมาจากตลาดหุ้นในฐานะยาจก มีคนจำนวนมากมีชีวิตอยู่กับตลาดหุ้นจนลืมทุกสิ่งทุกอย่าง และอยู่ในตลาดหุ้นทั้งที่รู้ว่าบางครั้งมันเป็นเหมือนสวรรค์และเหวนรกในเวลา เดียวกันสิ่งนี้เป็นสัจธรรม

สำหรับผมก็เหมือนคนเล่นหุ้นทั่วไป เพราะโดยส่วนตัวมีหุ้นของบมจ. อมตะในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยผมเก็บหุ้นของตัวเองไว้ ไม่เคยขายหุ้นของตัวเองออกไปเลยแม้แต่หุ้นหนี่ง บางช่วงที่ผมมีกำไรจากการทำธุรกิจผมกลับนำเงินนั้นมาซื้อหุ้นของอมตะเพิ่ม ขึ้นเสียอีก ปัจจุบันนี้ผมมั่นใจจนสามารถบอกกับคนอื่นได้ว่า ผมไม่เคยขายหุ้นอมตะออกจากบัญชีของผมเลย เพราะผมไม่ใช่คนเล่นหุ้น เป็นแต่เพียงคนลงทุนในตลาดหุ้นเท่านั้น เป็นเรื่องบังเอิญมากเมื่อผมมาได้ทราบวิธีการของวอร์เรน บัฟเฟตต์ที่เขาลงุทนนั้นช่างมีความคล้ายคลึงกับหลักการ วิธีทำของผมเพราะเขาเป็นนักลงทุนที่มีหลักการ ซึ่งแนวทางการลงทุนที่ว่านี้ผมมองว่า

อันที่จริงแล้วก็ไม่ใช่หลักการที่ยากนัก เพียงแต่เรามองดูผู้บริหารองค์กรนั้น ๆ ว่าบริหารงานอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมและซื้อสัตย์ดีพอหรือไม่ และองค์กรนั้นจะต้องมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นธุรกิจที่มีความต้องการของตลาดสูง ไม่ใช่ธุรกิจที่ซับซ้อนเข้าใจยาก หรือหวือหวาอย่างธุรกิจสินค้าไฮเทค การลงทุนสำหรับหุ้นตัวนี้ จะเป็นเหมือนการลงทุนระยะยาว เพราะลักษณะนี้เป็นการลงทุนอย่างชญฉลาด เพราะเป็นการพิจารณาจากตัวหุ้นโดยตรง

วอร์เรน บัฟเฟตต์เป็นผู้หนึ่งที่ใช้วิธีการลงทุนแบบที่ผมกล่าวมาข้างต้น และด้วยระยะเวลา 49 ปีนับจากวันแรกที่เขาเริ่มเล่นหุ้น จนถึงปัจจุบันนี้ เขาได้กลายมาเป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยจากการเล่นหุ้นมากที่สุดของโลกได้ เป็นเพราะเขามีหลักการในการเล่นหุ้นอย่างเป็นขั้นตอน มีเหตุมีผล และด้วยการตัดสินใจที่ดีของตัวเขาเอง ด้วยวัย 76 ปีในปัจจุบัน ชายคนนี้ได้นำทรัพย์สินกว่า 3,700 ล้านเหรียญของเขาบริจาคให้กับสาธารณะกุศล เพราะเขามั่นใจว่าเงินที่เขาบริจาคนี้ จะเกิดประโยชน์มากกว่าการที่เขาจะมอบให้กับลูก ๆ ของเขา และเขาก็มั่นใจในตัวคนที่เขามอบเงินให้ว่าจะสามารถทำในสิ่งที่เขาปราถนาและ ตามเจตนารมย์ที่เขาตั้งไว้ เพราะเขาเชื่อว่าเงินที่เขาได้มาก็มาจากสังคม และเมื่อเขาประสบความสำเร็จและมีเงินมากมายมหาศาลก็ควรที่จะคืนให้กับสังคม

วอร์เรน บัฟเฟตต์ คิดเสมอว่าเขาอายุมากแล้ว คงจะใช้เงินไปอีกไม่ได้มาก เขายังมีเงินเหลือเก็บอีกเยอะและพร้อมที่จะนำเงินที่เหลือใช้ไปก่อให้เกิด ประโยชน์แก่สาธารณะชนก่อนที่เขาจะจากโลกนี้ไป เพื่อทำให้เขารู้สึกภูมิใจว่า ในชีวิตนี้ของเขา เขาได้ทำประโยชน์ให้กับโลกใบนี้ นับว่าเป็นมหาเศรษฐีที่เศรษฐีน้อยเศรษฐีใหญ่ที่เหลือในโลกนี้ควรเอาเยี่ยง อย่างนะครับ



ประวัติ

วอร์เรน บัฟเฟตต์ มีชื่อเต็มว่า วอร์เรน เอ็ดเวิร์ด บัฟเฟตต์ เขาเกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 1930 (ค.ศ. 1930) ที่เมืองโอแมฮา ในรัฐเนแบรสกา พ่อของเขาชื่อโฮเวิร์ด บัฟเฟตต์ เป็นวุฒิสมาชิกสังกัดพรรครีพับลิกัน และยังเป็น Stock Broker อีกด้วย ส่วนมารดาของเขามีชื่อว่าไลล่า บัฟเฟตต์ เขามีพี่น้องอยู่ 2 คน คือดอริส และเบอร์ตี้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ชอบหมกมุ่นกับตัวเลขตั้งแต่อายุยังน้อย และมีความจำอันดีเลิศ เขาสามารถจดจำจำนวนประชากรของเมืองใหญ่ในสหรัฐได้อย่างมากมาย

ไม่เพียงเท่านั้น ในตอนที่เขาอายุ 6 ขวบ เขาได้จ่ายเงิน 25 เซนต์ซื้อโค๊กจำนวน 6 แพ็ค และนำมาขาย ในราคา กระป๋องละ หนึ่งเหรียญ และเมื่ออายุ 11 ขวบ เขาทำหน้าที่เป็นเด็กจดกระดานในบริษัทหุ้นของพ่อของเขา และในปีเดียวกันนั้น เขาเริ่มซื้อหุ้นเป็นครั้งแรก ด้วยเงินอันน้อยนิด เขาสามารถซื้อได้แค่ 3 หุ้น หุ้น Cities Service Preferred ในราคาหุ้นละ 38 เหรียญ เมื่อซื้อแล้วราคาได้ตกมา 27 เหรียญ แต่เมื่อหุ้นกลับขึ้นมาอีกที เขาก็ขายไปที่ 40 เหรียญ นั่นเป็นการทำกำไรครั้งแรกในชีวิต ของเขา ได้มาเน็ต ๆ แค่ 5 เหรียญ หลังจากนั้นต่อมาไม่ทราบว่าใช้เวลานานนานเท่าไร หุ้นนั้นทะยานไปถึงหุ้นละ 200 เหรียญ

นอกจากการเล่นหุ้นแล้ว เขายังทำงานพิเศษอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น การเร่ขายของเคาะประตูตามบ้าน ส่งหนังสือพิมพ์ จนเมื่อเขาอายุได้ 14 ปี เขาสามารถเก็บหอมรอมริบได้ เงินจำนวนถึง 1200 เหรียญ ซึ่งถือว่าเป็นเงินจำนวนมากเลยทีเดียวในสมัยนั้น และเขาได้ทำเงินก้อนนี้ไปซื้อที่ดินราว ๆ 100 ไร่ เพื่อให้คนเช่าทำการเกษตร

ต่อมาเขาได้เข้าเรียนระดับมัธยมที่ Woodrow Wilson High School ในกรุงวอชิงตันดีซี และเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่วิทยาลัยการเงินวอร์ตัน ของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ระหว่างปี 1947 – 1949 แต่จากนั้นก็ย้ายมาเรียนที่มหาวิทยาลัยเนแบรสกา ซึ่งที่นี่เองที่เขาได้มีความสนใจด้านการลงทุนเพราะได้แรงบันดาลใจจากการ อ่านหนังสือของ Benjamin Graham ที่มีชื่อว่า The Intelligent Investor หนังสือเล่มนี้เปรียบเสมือนคัมภีร์ของ value investors และเขาก็ได้รับความรู้มากมายจากหนังสือเล่มนี้

เมื่อจบการศึกษาระดับปริญญาตรี เขาได้ศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และได้เรียนหนังสือกับปรมาจารย์ในใจเขาคือ Benjamin Graham และเขาได้รับปริญญาโททางด้านเศรษฐศาสตร์ในปี ค.ศ. 1951

หลังจากเรียนจบ เขาก็กลับบ้านเกิดและเข้าทำงานเป็นเซลล์แมนในบริษัทของพ่อตัวเอง ระหว่างปี 1951 – 1954 พอมาปี 1954 – 1956 เขาก็ทำงานเป็นนักวิเคราะห์ความเสี่ยงของบริษัท Graham-Newman Corp. ที่กรุงนิวยอร์ก

ในปี 1957 เขากลับมาถิ่นเกิดอีกครั้ง และเริ่มก่อตั้งบริษัทลงทุนที่มีชื่อว่า Buffett Partnership, Ltd. มีนักธุรกิจมากมายใส่เงินร่วมทุน จุดประสงค์ของเขาก็คือต้องการเอาชนะดัชนีดาวโจนส์ ซึ่งเขาก็ทำได้ผลในปี 1969 อัตรากำไรที่บริษัทเขาทำได้นั้นสูงถึง 29.5 % เปรียบเทียบกับดัชนีดาวโจนส์ แค่ 7.4 % เท่านั้น

ในปี 1962 เขาได้เข้าไปซื้อกิจการของบริษัทสิ่งทอ Berkshire Hathaway ในราคาไม่ถึง 8 เหรียญต่อหุ้น เขาได้ขายโรงทอผ้าทิ้งไป แปลงโฉมบริษัทเป็น Holding Company และนี่เองที่เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของบริษัทที่ต่อมายิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และในขณะเดียวกันเขาก็ได้แต่งงานกับ ซูซาน ทอมป์สันในปี ค.ศ. 1952 และมีลูก 3 คน คือซูซี่ โฮเวิร์ด และปีเตอร์ แต่ชีวิตสมรสของทั้งคู่ก็ต้องแยกกันอยู่ตั้งแต่ปี 1977 โดยที่ไม่มีการหย่าร้าง และภรรยาของเขาก็เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อปี 2004

ชีวิตส่วนตัวของเขาเรียบง่ายและสมถะมาก เขายังคงขับรถเก่าๆ ไปทำงาน บ้านที่อยู่ก็บ้านเก่า และเขาก็ยังอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดิมในเมืองโอมาฮา เนบราสกา ซึ่งเป็นบ้านที่เขาซื้อมาด้วยราคา 31,500 เหรียญ เมื่อปี ค.ศ. 1958 หรือตั้งแต่ 49 ปีที่แล้ว อาหารที่กินประจำยังเป็นแมคโดนัลด์กับโค้ก ซึ่งเขากินวันละหลายๆ กระป๋องประมาณ 15 กระป๋องต่อวัน เนื่องจากเป็นสินค้าของกิจการที่เขาลงทุนอยู่ มูลค่าหุ้นของเขาเป็นล้านล้านบาท แต่เขากลับจ่ายเงินเดือนให้กับตัวเองเพียงปีละ 1-2 แสนดอลลาร์เท่านั้นเอง และไม่เคยขายหุ้นของตัวเองเลยตลอดชีวิต เขาขับรถเก่ายี่ห้อ Lincoln Town ไปทำงานเอง ไม่มีเลขาหน้าห้อง บนโต๊ะทำงานไม่เคยมีเครื่องคอมพิวเตอร์ดูราคาหุ้น ชอบใช้ชีวิตในแบบเดิมๆ และคิดถึงผู้ถือหุ้นเป็นอันดับแรก และยังชอบเล่นไพ่บริดจ์กับบิลล์ เกตส์ อยู่เสมอๆ

เงินที่เขาหาได้ เขาเอามาใช้น้อยมาก ความสุขของเขาอยู่ที่การลงทุน เขาไม่ต้องการเอาเงินไปทำอย่างอื่นที่ไม่ให้ผลตอบแทนหรือให้ผลตอบแทนน้อย เขาคิดว่าเงินถ้าอยู่กับเขาแล้วจะโตเร็วมากและมีประโยชน์กว่า เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่ได้บริจาคเงินเพื่อการกุศลมากนัก แต่ในที่สุดเขาก็บริจาคเงินให้กับมูลนิธิบิล –มิรินดา เกตส์เพื่อนของเขา เขาถือเป็นแบบอย่างของคนที่รู้จักความพอดีในการใช้ชีวิต รู้และสำนึกได้ด้วยตัวเองว่า จุดความพอดีของตัวเองนั้นอยู่ที่ไหน และเมื่อไหร่ที่จะปล่อยวางจากทุกสิ่งทุกอย่าง

ความร่ำรวยส่วนใหญ่ของเขานั้นสั่งสมในบริษัทเบิร์กเชียร์แฮทเวย์ ซึ่งมีผลกำไรหลากหลายนับจากธุรกิจการประกันภัย อสังหาริมทรัพย์ พลังงานและการเช่าเครื่องบิน และบริษัทเบอร์กไชร์ ฮาธาเวย์ ของเขาไม่มีสินค้าอะไรเลย ไม่มีการขายสินค้า ไม่มีการผลิตการบริการใดๆ รายได้จำนวนมากมายมหาศาล ทั้งหมดมาจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ได้รับฉายาว่าเป็นนักลงทุนที่เก่งที่สุดในโลก เขาสามารถเพิ่มราคาหุ้นกองทุน Berkshire ของเขาถึง 3600 เท่า และเน้นย้ำเฉพาะการลงทุนแบบ Value Investor เท่านั้น

หุ้นของเบอร์กไชร์นั้นจดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก และเป็นหุ้นตัวใหญ่ที่แปลกประหลาด นอกจากไม่มีการผลิตสินค้าและบริการใดๆ เลย ซื้อขายหุ้นอย่างเดียว ยังเป็นหุ้นที่ไม่เคยมีการจ่ายปันผลมาหลายสิบปี ทั้งๆ ที่มีกำไรมหาศาลทุกปี ทำให้บริษัทมีสินทรัพย์มากขึ้นเรื่อยๆ ราคาหุ้นของเบอร์กไชร์ทะลุหลักล้านบาทไปแล้ว คนที่ถือหุ้นบริษัทเขาตั้งแต่วันแรก ก็ยังถือมาจนถึงปัจจุบัน พวกเขาเชื่อในตัวบัฟเฟตต์มากๆ หุ้นบริษัทเขาจึงมีสภาพคล่องต่ำมาก ซึ่งเป็นผลดีกับกิจการ เนื่องจากจะไม่มีคนที่เล่นหุ้นวันต่อวันมาป่วนราคา บริษัทของเขาจะเลือกลงทุนในหุ้นในกิจการที่เยี่ยมยอดเพียงไม่กี่ตัว โดยซื้อเมื่อตอนราคาถูกและยุติธรรม แล้วเก็บไว้ให้นานที่สุด หรือเก็บไปตลอดชีวิตเลย

สำหรับพอร์ทการลงทุนของเขาจะมีแต่กิจการที่ดีของโลก เช่น บริษัทโค้ก ยิลเลท ดิสนีย์แลนด์ เป็นต้น หุ้นที่เขาจะซื้อ จะต้องมีพื้นฐานกิจการที่ดี และเขาจะต้องรู้จักและเข้าใจว่ากิจการสามารถสร้างรายได้มาได้อย่างไร เพราะฉะนั้น หุ้นกลุ่มไฮเทค จะไม่ได้รับความสนใจจากเขาเลย แม้แต่ไมโครซอฟต์ เพราะเขาบอกว่า ถ้าเขาไม่รู้ว่าอีก 5-10 ปีข้างหน้า บริษัทนั้นจะเป็นอย่างไร เขาก็จะไม่ซื้อหุ้นบริษัทนั้น ซึ่งหุ้นไฮเทคจะมีการเปลี่ยนแปลงที่เร็วมาก จึงไม่อยู่ในข่ายลงทุน

สิ่งที่บัฟเฟตต์ยึดถือในการลงทุน นอกจากคุณค่าของกิจการแล้วคือ ผู้บริหารต้องมีความซื่อสัตย์ ยึดผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นรายย่อยเป็นหลัก ฉะนั้นการบริหารงานของบัฟเฟตต์จึงทำอย่างโปร่งใส และยึดถือประโยชน์ของทุกคนเป็นที่ตั้ง เขาไม่เคยเอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายย่อยแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นการบริจาคเงินของบริษัท



หลักการเลือกลงทุนของ วอร์เรน บัฟเฟตต์:

1. เป็นธุรกิจหรือบริษัทที่ไม่ซับซ้อน กิจการประเภทง่ายๆ ไม่วุ่นวายนี้ จะสามารถบริหารจัดการได้อย่างง่ายๆ ไม่ต้องใช้เทคนิคบุคคลากรพิเศษมากมายนัก

2. เป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมแข็งแกร่ง เช่นมียี่ห้อหรือตราสินค้าที่แข็งแกร่ง มีการบริการเป็นพิเศษที่หาจากที่อื่นไม่ได้

3. สามารถคาดเดาได้ คือสามารถคาดเดาผลการดำเนินงานได้ค่อนข้างแน่นอน เนื่องจากการที่ไม่ซับซ้อนของธุรกิจนี่เอง

4. ผลตอบแทนจากส่วนของเงินลงทุนสูง (ROE) อย่างน้อย 12 %

5. มีกระแสเงินสดที่ดี

6. มีผู้บริหารที่ดี เห็นแก่ผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ ธุรกิจที่ดี มีธรรมชาติของธุรกิจที่ดี



จากการศึกษาวอร์เรน บัฟเฟตต์ เขาให้ความสนใจลงทุนในธุรกิจ 5 กลุ่มด้วยกัน คือ

1) ธุรกิจเครื่องดื่ม เช่น โค้ก

2) กลุ่มการเงินที่เกี่ยวกับรายย่อย เช่น บริษัทอเมริกันเอ็กเพรส

3) กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค

4) กลุ่มธนาคารพาณิชย์ เช่น ธนาคารของแคลิฟอร์เนีย

5) หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์



กรณีหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์วอร์เรน บัฟเฟต เข้าลงทุนเมื่อ 1974 จำนวน 11 ล้านเหรียญสหรัฐ 30 ปีผ่านไปได้ผลตอบแทน 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวน 15% ที่ผ่านมาเขามีหนังสือออกมาสามเล่มด้วยกัน คือ 101 เหตุผลที่คุณจะเป็นเจ้าของกิจการ เล่มที่ 2 ชื่อ บัฟเฟตต์ ซีอีโอ แต่ด้วยเนื้อหาที่ต้องมีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มขึ้น ทำให้ ต้องมีเล่มที่สาม ซึ่งใช้ชื่อว่า “WARREN BUFFETT WEALTH” หรือ วอร์เรน บัฟเฟต ผู้มั่งคั่ง สำหรับหนังสือเล่มที่ 3 นี้จะใช้ภาษาเขียนที่เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น มีการยกตัวอย่างประกอบ ซึ่งเนื้อหาได้มาจากการศึกษาเกี่ยวกับนายวอร์เรน บัฟเฟต และบริษัทของเขา ตลอดจนได้มีการสอบถามจากผู้ใกล้ชิดของเขา และล่าสุดชื่อ The New Buffetology ซึ่งมีชื่อเป็นไทยว่า ลงทุนอย่าง...วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซึ่งรายละเอียดในหนังสือนั้นที่สำคัญคือ The Warren Buffett Way ที่เป็นเหมือนกลยุทธ์การลงทุนพื้นฐานสไตล์บัฟเฟตต์

อย่างไรก็ตาม ข่าวคราวที่สร้างความโด่งดังให้แก่วอร์เรน บัฟเฟตต์ มากที่สุดในชีวิตของเขาก็คือการที่เขายกทรัพย์สินถึง 85 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณสามหมื่นเจ็ดพันล้านเหรียญ ให้แก่มูลนิธิบิลล์และเมลินดา เกตส์ ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาโดยสองสามีภรรยาเกตส์เพื่อนเก่าแก่ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังผลให้มูลนิธินี้กลายเป็นมูลนิธิที่ร่ำรวยที่สุดในโลก นับว่าเป็นการรวมตัวทางการเงินเพื่อทำการกุศลยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ บิล เกตส์ และเมอลินดา ภริยา บอกว่า มูลนิธิหวังจะใช้ของขวัญล้ำค่าชิ้นนี้ไปใช้วิจัยหาวัคซีนสยบโรคเอดส์ ร่วมกับอีก 20 โรคร้ายแรง ที่คร่าชีวิตคนทั่วโลกปีละไม่รู้กี่ล้าน ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่มียารักษา

เงินจำนวนนี้ถือเป็นเงินบริจาคที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกที่เคยมีมา เงินนี้วอร์เรน บัฟเฟตต์หามาเองเกือบทั้งสิ้นตลอดชีวิตการลงทุนที่ประสบความสำเร็จที่สุดใน โลก และได้รับการยกย่องว่าเป็นนักธุรกิจตัวอย่าง ที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม และไม่ฟุ้งเฟ้อ เขาเชื่อว่าเงินที่เขาได้มานั้น เขาต้องการที่จะทำในสิ่งที่มีประโยชน์และทำให้เขารู้สึกภูมิใจ และเขายังคาดหวังว่า การตัดสินใจบริจาคทรัพย์สมบัติครั้งนี้ จะเป็นแบบอย่างแก่บรรดาเศรษฐีทั้งหลายให้ทำบุญสร้างกุศล โดยการบริจาคให้มูลนิธิต่าง ๆ ที่มีอยู่ โดยไม่ต้องแข่งกันตั้งมูลนิธิขึ้นมาใหม่ ส่วนการที่เขาบริจาคให้กับมูลนิธิของบิล เกตส์ เพราะเชื่อมั่นในนโยบายช่วยเหลือคนด้อยโอกาสจริง ๆ

บัฟเฟตต์พูดอยู่เสมอว่าเขาเป็นคนที่โชคดีมากเขากล่าวไว้ว่า “ผมรู้สึกอยู่เสมอว่าควรจะตอบแทนสังคม และครอบครัวของผมก็เห็นด้วยกับผม คำถามก็คือว่า จะตอบแทนอย่างไร” และ“ผมไม่ใช่คนที่ปรารถนาในความมั่นคั่งอย่างราชา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อทางเลือกหนึ่งยังมีคนอีกจำนวน 6,000 ล้านคน ยังจนกว่าที่เรามีอยู่มาก”



โดยวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานมูลนิธิอมตะ


บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (All Time)