22 สิงหาคม 2553

อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์ (2)


ชาร์ลียังคงรวบรวมและวิจัยความล้มเหลวของบุคคล ธุรกิจ รัฐบาล และการศึกษาอย่างสม่ำเสมอ

จากนั้นจึงเรียบเรียงสาเหตุเพื่อนำไปสู่รายการเพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้อง ด้วยวิธีนี้เขาสามารถหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตได้

ชาร์ลีมีความคิดสร้างสรรค์อย่างไม่มีขีดจำกัด เขามีความกระตือรือร้นและมีความสามารถด้านวิทยาศาสตร์อย่างสูง สำหรับเขาแล้วทุกปัญหาสามารถเข้าใจได้ด้วยตนเอง ในมุมมองเขา ทุกสิ่งในจักรวาลมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันเพียงแค่เรียงร้อยความรู้เหล่านี้เข้าด้วยกัน ทำให้เขาอุทิศในการศึกษาทุกทฤษฎีที่สำคัญ และสร้างพื้นฐานขึ้นมาเรียกว่า "ปรัชญาของคำพูด" (Worldly Wisdom) เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำธุรกิจและลงทุน

แนวความคิดของชาร์ลีอยู่บนพื้นฐานความซื่อสัตย์ต่อความรู้ เขาเชื่อว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป ขีดจำกัดของมันอยู่ที่ความหยั่งรู้และความเข้าใจ ในขณะเดียวกันคุณต้องรวบรวมข้อเท็จจริงใหม่ๆ ที่พิสูจน์ได้ เพื่อตรวจสอบและปรับปรุงความรู้ของคุณ และรู้ว่าสิ่งใดที่คุณรู้และสิ่งใดที่คุณไม่รู้ ถึงกระนั้น ความเข้าใจอย่างแท้จริงของมนุษย์ก็ยังมีขีดจำกัด ดังนั้นการตัดสินใจจึงต้องอยู่ในขอบเขตของคุณที่เรียกว่า “ขอบเขตของความรู้” (Circle of Competence) ความสามารถที่มีขอบเขตเท่านั้นถึงจะเป็นความสามารถที่แท้จริง คำถามอยู่ที่ว่าคุณจะกำหนดขอบเขตความรู้ของคุณได้อย่างไร

ชาร์ลีกล่าวว่า ถ้าเขาต้องเชื่อในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เขาจะต้องไม่สามารถปฏิเสธหรือโต้แย้งได้ว่าความคิดนั้นดีกว่า ความคิดจากคนที่เก่งที่สุดในโลกนี้ที่เคยมีอยู่แล้ว มิฉะนั้นเขาจะไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด นั่นหมายความว่าความคิดของเขานอกจากจะต้องริเริ่มสร้างสรรค์แล้วจะต้องไม่เคยผิดอีกด้วย

ชาร์ลีกล่าวสรุปที่มาของความสำเร็จของเขาด้วยคำคำเดียวคือ "เหตุผล" (Rational) อย่างไรก็ตาม นิยามของเหตุผลที่เขาใช้มีความเข้มงวดมากกว่า ซึ่งทำให้เหตุผลของเขาเป็นเหตุผลที่มีวิสัยทัศน์และเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่เขาไม่ชำนาญเลย เขาก็ยังสามารถระบุประเด็นต่างๆ ที่จำเป็นออกมาได้ บัฟเฟตต์เรียกสิ่งนี้ว่า "ปรากฏการณ์สองนาที" (Two-Minute Effect) บัฟเฟตต์กล่าวว่าชาร์ลีสามารถเข้าใจความซับซ้อนของธุรกิจได้ในเวลาอันสั้นที่ไม่มีใครเทียบได้ ขั้นตอนการลงทุนของเบิร์กไชน์ในบริษัทรถยนต์บีวายดี (BYD Auto) เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ผมจำได้ ในปี 2003 ผมได้ถกเถียงเกี่ยวกับบริษัทนี้เป็นครั้งแรกกับชาร์ลี ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยพบกับหวางชานฟู ประธานบริษัทบีวายดีเลย และไม่เคยไปที่โรงงาน อีกทั้งไม่ค่อยคุ้นเคยกับวัฒนธรรมและตลาดของชาวจีน คำถามและคำวิจารณ์ของเขายังคงเป็นคำถามที่ตรงประเด็นที่สุดที่นักลงทุนคนใดคิดจะลงทุนในบริษัทบีวายดีจะคิดได้จนถึงทุกวันนี้

ทุกคนมีจุดบอด แม้แต่คนที่ฉลาดที่สุดก็ไม่เว้น บัฟเฟตต์กล่าวว่า เบนจามิน เกรแฮม สอนผมให้แค่ซื้อหุ้นถูก แต่ชาร์ลีทำให้ผมเปลี่ยนความคิดยอมเดินออกจากข้อจำกัดในทฤษฎีของเกรแฮม ชาร์ลีชี้จุดบอดในความคิดผม ซึ่งถ้าผมไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเขา ผมก็ยังคงอยู่ในช่วงของการพัฒนาและคลานไปอย่างช้าๆ

ชาร์ลีใช้ชีวิตทั้งหมดศึกษาหายนะของมนุษย์ และชอบหาสาเหตุที่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดจากความโน้มเอียงทางจิตวิทยา สิ่งที่มีค่าที่สุดคือเขาทำนายความหายนะของการแพร่หลายของอนุพันธ์ทางการเงิน ช่องโหว่ในทางบัญชีและระบบตรวจสอบ ย้อนกลับไปในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ชาร์ลีและบัฟเฟตต์ได้เตือนถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากอนุพันธ์ทางการเงินที่ได้เพิ่มขึ้นอย่างแพร่หลาย โชคไม่ดีที่วิกฤติการณ์การเงินในปี 2008 เป็นไปดังที่ชาร์ลีคาดและเข้าใจไว้ก่อนแล้ว

ถ้าเปรียบชาร์ลีกับบัฟเฟตต์แล้ว ชาร์ลีสนใจในสิ่งที่กว้างกว่า ยกตัวอย่างเช่นเขาสนใจในวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ทุกแขนงแล้วนำมารวมกันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเขา เมื่อเทียบกับความคิดที่มาจากหอคอยงาช้างแล้ว ทฤษฎีของชาร์ลีถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาในทางปฏิบัติ ตัวอย่างเท่าที่ผมรู้ ชาร์ลีเป็นคนแรกที่เสนอแนวความคิดทางด้านจิตวิทยาการโน้มเอียงของมนุษย์ และผลกระทบต่อขั้นตอนการตัดสินใจในการลงทุน 10 ปีต่อมา ณ ปัจจุบันหัวข้อ "เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม" (Behavioral Finance) กลายเป็นหัวข้อที่เป็นที่นิยมในการวิจัยในแวดวงนักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบลเป็นต้น

from
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/ceo-blogs/viboon/20100822/349051/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%A1-:-%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A5%E0%B8%B5-%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-(2).html


อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์ (1)


บทความต่อไปนี้เป็นคำนิยมที่ลี ลู (Li Lu) เขียนไว้ในหนังสือ Poor Charlie's Almanack:

The Wit and Wisdom of Charles T. Munger ต้องการสื่อให้ผู้อ่านทราบถึงปรัชญาต่างๆ จากการได้สัมผัสคลุกคลีกับมังเจอร์โดยตรงมาเป็นเวลายาวนาน 20 ปี

เมื่อ 20 ปีก่อน ผมเป็นเด็กหนุ่มที่มาเรียนที่อเมริกา นึกไม่ถึงว่าวันนี้ผมจะมีอาชีพเป็นนักลงทุน และนึกไม่ถึงว่าผมจะโชคดีที่ได้พบกับกูรูร่วมสมัยอย่างชาร์ลี มังเจอร์ ในปี 2004 มังเจอร์ได้เป็นหุ้นส่วนในด้านการลงทุนของผม และหลังจากนั้นเป็นผู้ให้คำปรึกษาและเป็นเพื่อน ผมจบจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในปี 1996 และก่อตั้งบริษัทเพื่อการลงทุนในปี 1997 ถือเป็นจุดเริ่มต้นกับอาชีพการลงทุน

ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงใช้ปรัชญาในการลงทุนที่มีพื้นฐานที่เรียกว่า "ทฤษฎีดั้งเดิม" ตัวอย่างเช่น พวกเขาเชื่อในสมมุติฐานที่ว่าตลาดมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงเชื่อว่าความผันผวนของราคาหุ้นเป็นความเสี่ยงอย่างแท้จริง และตัดสินผลงานของคุณจากความผันผวนนั้น ในความคิดของผม ความผันผวนของราคานั้นไม่ใช่ความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงคือการขาดทุนอย่างถาวรต่างหาก การตกลงของราคาหุ้นไม่ใช่แค่ความเสี่ยง แต่เป็นโอกาสต่างหาก คำถามคือคุณจะหาหุ้นถูกๆ จากที่ไหนได้อีกล่ะ? ดูอย่างผิวเผิน ผมพบว่าผู้จัดการกองทุนที่มีชื่อเสียงยอมรับทฤษฎีของบัฟเฟตต์และมังเจอร์และชื่นชมในผลงานของเขาทั้งสอง แต่ในทางปฏิบัติกลับทำในสิ่งตรงข้าม เนื่องจากลูกค้าของพวกเขาก็ทำในสิ่งที่ตรงข้ามเช่นกัน พวกเขายังคงยอมรับทฤษฎีที่ว่า "ความผันผวนคือความเสี่ยง" และ "ตลาดมักถูกเสมอ"

ผมพบกับชาร์ลีครั้งแรก ที่บ้านของเพื่อนในขณะที่ผมทำงานด้านการลงทุนที่แอลเอ ความประทับใจแรกที่ผมพบคือ "ความห่าง" เขามักเหม่อลอยกับบทสนทนาของอีกฝ่าย แต่ผู้เฒ่าท่านนี้พูดได้อย่างกระชับและเต็มไปด้วยความรู้ที่ทำให้คุณต้องหยุดคิด

7 ปีต่อมาหลังจากที่เราได้รู้จักกัน ในวันขอบคุณพระเจ้าปี 2003 เราได้คุยกันนานอย่างใจจดใจจ่อ ผมได้แนะนำบริษัททุกบริษัทที่ผมได้ลงทุนหรือที่ศึกษากับชาร์ลี จากนั้นเขาจะวิจารณ์แต่ละบริษัทกลับมา ผมยังขอคำแนะนำสำหรับปัญหาที่ผมกำลังเผชิญ ในท้ายที่สุดเขากล่าวว่าปัญหาที่ผมกำลังเผชิญเป็นปัญหาเดียวกันกับพวกวอลล์สตรีท ปัญหาก็คือถึงแม้ว่าเบิร์กไชน์ (Berkshire Hathaway) จะประสบความสำเร็จอย่างไร ก็ไม่มีบริษัทไหนในวอลล์สตรีทที่จะลอกเลียนแบบได้เลย และถ้าผมยังดันทุรังลงทุนในแบบเดิมๆ อีก ผมจะยังคงต้องกังวลในแบบเดิมอีกต่อไป แต่ถ้าผมยกเลิกวิธีการแบบเดิมให้แตกต่างจากพวกวอลล์สตรีท ชาร์ลีก็พร้อมที่จะร่วมลงทุนด้วย

จากความช่วยเหลือของชาร์ลี ผมได้ปรับโครงสร้างบริษัทเพื่อการลงทุนของผมอย่างสมบูรณ์ ไปเป็นรูปแบบคล้ายๆ กับของบัฟเฟตต์และมังเจอร์ในช่วงแรกๆ และเหล่ากองทุนบริหารความเสี่ยงก็ค่อยๆ หายออกจากพอร์ตไป เหลือแต่นักลงทุนระยะยาวเท่านั้น และผมไม่ได้รับนักลงทุนใหม่อีกเลย นั่นทำให้ผมเข้าสู่ช่วงเวลาทองของการลงทุนของผม ผมได้หลุดจากข้อจำกัดทั้งหลายของพวกวอลล์สตรีท อย่างไรก็ตามผลตอบแทนยังคงผันผวนเช่นเคย แต่ในที่สุดผลตอบแทนก็เติบโตสูงขึ้นมาก จากไตรมาส 4 ปี 2004 ไปจนถึง สิ้นปี 2009 กองทุนให้ผลตอบแทนในอัตราทบต้น 36% ต่อปี หลังจากหักค่าใช้จ่าย ผลตอบแทนตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกองทุนในเดือนมกราคมปี 1998 มีอัตราผลตอบแทนทบต้น 29% ต่อปีและใน 12 ปีเงินกองทุนได้เติบโตถึง 20 เท่า

บัฟเฟตต์ได้กล่าวว่า แม้ว่าในชีวิตนี้เขาพบคนมามากมายนับไม่ถ้วน ไม่มีใครที่เหมือนชาร์ลีเลย เพราะชาร์ลีเป็นคนที่มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร โดยเฉพาะเอกลักษณ์ในเรื่องความคิดและบุคลิกภาพ เมื่อไรที่ชาร์ลีคิดในสิ่งใด เขามักจะคิดในทางตรงกันข้าม เช่น เมื่อเขาอยากรู้ว่าจะทำอย่างไรให้ชีวิตมีความสุข ชาร์ลีจะศึกษาว่าทำอย่างไรชีวิตถึงจะทุกข์ เมื่อเขาจะเรียนรู้วิธีจะทำให้ธุรกิจยิ่งใหญ่และเข้มแข็ง เขาจะเริ่มศึกษาวิธีทำอย่างไรให้ธุรกิจตกต่ำและจบลง หลายคนศึกษาวิธีที่จะประสบความสำเร็จจากตลาดหุ้น แต่ชาร์ลีจะศึกษาว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงได้ล้มเหลวจากตลาดหุ้น วิธีการคิดอย่างนี้ได้รับมาจากปรัชญาของเขาที่กล่าวว่า ฉันอยากรู้ว่าฉันจะตายที่ไหน เพื่อที่ฉันจะได้ไม่ไปที่นั่น

from
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/ceo-blogs/viboon/20100816/349052/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%A1-:-%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A5%E0%B8%B5-%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-(1).html


20 สิงหาคม 2553

นี่ไง ตัวอย่างที่เศรษฐีไทย ควรจะเลียนแบบอย่างยิ่ง

อภิมหาเศรษฐีอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ ประธานและซีอีโอของบริษัทบริหารหุ้น Berkshire Hathaway เคยประกาศว่า เขาจะบริจาค 99%

ของทรัพย์สินส่วนตัวให้กับกิจกรรมสาธารณะที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

ครับ ผมอ้างตัวเลขไม่ผิดครับ ร้อยละ 99 ครับ

บิล เกตส์ เจ้าพ่อไมโครซอฟท์ ได้ทุ่มเวลาสิบปีที่ผ่านมา บริหารมูลนิธิที่มีชื่อเขากับภรรยา Bill & Melinda Gates Foundation อย่างเอาจริงเอาจัง

เงินบริจาคที่เขาและภรรยาบริจาคเป็นกองทุนหลักอยู่ที่ 33.5 พันล้านดอลลาร์ (เป็นเงินไทยก็ไม่น้อยกว่า 1.1 ล้านล้านบาท) เพื่อส่งเสริมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ เช่น วิจัยหาทางรักษาโรคภัยไข้เจ็บที่คนส่วนใหญ่ในแอฟริกายังต้องตาย เพราะไม่มีหนทางป้องกันและรักษา

หากจะบอกว่ามูลนิธิของบิล เกตส์ แห่งนี้ ต้องถือว่าใหญ่ที่สุดและมีอิทธิพลที่สุดของโลก ก็คงไม่เกินเลยความจริงนัก

ที่สำคัญกว่านั้น คือ เขาไม่ได้ทำตัวเหมือนมหาเศรษฐีคนอื่น ที่บริจาคเงินเพื่อการกุศลเพียงเพื่อเป็นข่าวหรือได้ชื่อว่าเป็น “เศรษฐีใจบุญ” หรือเพื่อให้สัมภาษณ์ว่า “ผมต้องการจะคืนกำไรให้กับสังคม” แล้วก็ให้คนอื่นทำงานไปโดยที่ตัวเองไม่ได้สนใจกับกิจกรรมเหล่านั้นมากมายนัก

บิล เกตส์ ลงมือลงแรงบริหารมูลนิธินั้นด้วยตนเอง ถึงกับเกษียณจากงานการบริหารธุรกิจของบริษัท Microsoft ที่ตนก่อตั้งและเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่มาทำงานเป็นผู้จัดการมูลนิธิเต็มเวลาด้วยตนเอง

เพราะเขาถือว่างานสาธารณะอย่างนี้ ทำให้ชีวิตเขาคุ้มค่ากว่าการทำมาหากิน เพื่อสร้างความร่ำรวยเพิ่มเติมให้กับตนเอง

วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยบอกว่าที่เขาตัดสินใจจะบริจาคทรัพย์สินส่วนตัว เกือบทั้งหมดให้กับงานสาธารณะนั้น เพราะ "ผมไม่สนใจที่จะให้มรดกของผม ตกทอดไปถึงลูกหลานเพียงเพื่อได้ชื่อว่า ตระกูลผมจะเป็นมหาเศรษฐีต่อเนื่องไปอีกหลายชั่วอายุคน...ยิ่งเมื่อผมเห็นว่าประชากรโลก 6 พันล้านคนยากจนกว่าเรามากมายหลายเท่านัก ผมจะมีความสุขมาก หากเพื่อนร่วมโลกจะสามารถได้ประโยชน์จากการให้ของเรา..." เขาบอกกับบีบีซีวันหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้

ดังนั้น เมื่อบัฟเฟตต์ กับบิล เกตส์ ตกลงจับมือกับประกาศ “โครงการเพื่อการให้” หรือ Giving Pledge ด้วยการชักชวนให้มหาเศรษฐีคนอื่นๆ อีกอย่างน้อย 400 คนในอเมริกา และทั่วโลกให้ช่วยกันบริจาคเงินอย่างน้อย 50% ของความมั่งคั่งของตนเอง ก็ต้องฮือฮาเป็นธรรมดา

เพราะเป็นการท้าทาย “มโนธรรม” ของคนที่ร่ำรวยจากการทำธุรกิจ อันหมายความว่า ความมั่งคั่งของเขาเหล่านั้น มาจาก “ผู้บริโภค” หรือจากสังคมส่วนรวมนี่แหละ

ดังนั้น จึงเป็นการ “ตอบแทนสังคม” อย่างแท้จริง หากจะเอาทรัพย์สินอันมหาศาลนั้นมาคืนให้กับคนด้อยโอกาสของประเทศชาติ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำต่ำสูง

ทั้งสองคนบอกว่า ณ วันนี้ ได้เศรษฐีประมาณ 40 คน ที่พร้อมจะร่วมขบวนการแล้ว จากที่ติดต่อไปได้เกือบ 80 คน และแต่ละคนจะช่วยกันกระจายข่าวออกไปเป็นลูกโซ่

แม้ว่าคนบริจาคเงินในอเมริกาส่วนใหญ่จะทำเพราะได้ลดหย่อนภาษี แต่บัฟเฟตต์ บอกว่า "จากประมาณ 20 คนที่ตกลงจะร่วมกับผมในการบริจาคทรัพย์สินเงินทองส่วนตัว ไม่มีคนไหนถามไถ่เรื่องลดหย่อนภาษีเลยสักคนเดียว เพราะผมคิดว่าแม้นั่นจะเป็นหนึ่งในข้อพิจารณา แต่ผมเชื่อว่าคนที่ต้องการทำความดีความถูกต้องนั้น คิดอะไรเกินเลยเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวแล้วแน่นอน..."

ผมเข้าไปในเว็บไซต์ของบรรดาเศรษฐีมะกัน ที่เห็นพ้องกับสองอภิมหาเศรษฐีแล้ว ก็พอจะเข้าใจปรัชญาชีวิตของเขาเหล่านี้ได้ค่อนข้างดี...สำหรับฝากบรรดาเศรษฐีไทยด้วยครับ

ไมเคิล บลูมเบิร์ก นายกเทศมนตรีนิวยอร์ก... "ถ้าคุณต้องการทำอะไรให้ลูกหลานของคุณ และแสดงให้พวกเขาเห็นว่าคุณรักพวกเขาขนาดไหน สิ่งที่ทำได้ดีที่สุด คือ หันไปสนับสนุนองค์กรต่างๆ ที่จะช่วยสร้างให้โลกใบนี้ดีขึ้นสำหรับพวกเขาและลูกหลานของพวกเขา และหากคุณเริ่มให้ คุณก็จะเป็นเครื่องบันดาลใจให้คนอื่นบริจาคต่อด้วย...ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคเงินหรือเวลาของเขาก็ตาม..." เศรษฐีคนอื่นๆ ที่ตกปากตกคำจะบริจาคทรัพย์สินเงินทองของตนเองไม่น้อยกว่า 50% ก็มี เท็ด เทิร์นเนอร์ แห่งซีเอ็นเอ็น เดวิด ร็อคกีเฟลเลอร์ แลรี่ เอลลิซัน เจ้าของและผู้ก่อตั้ง Oracle Corp

หากคุณอยู่ในรายชื่อมนุษย์ร่ำรวยที่สุด 400 คน ของนิตยสาร Forbes ก็ต้องได้รับโทรศัพท์ จากบัฟเฟตต์ และบิล เกตส์ แน่นอน

และถ้าคุณเป็นคนไทยที่รวยที่สุด 500 คนของประเทศไทย คุณจะเริ่มต้นแสดง “จิตกุศล” อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อ “คืนอะไรให้กับสังคมอย่างจริงจังและจริงใจ” ไหม

เพราะนี่คือ จุดเริ่มต้นของการช่วยบ้านเมืองนี้แก้ปัญหาความ “เหลื่อมล้ำต่ำสูง” ที่เป็นสาเหตุของความวุ่นวายปั่นป่วนมากมายทีเดียวเชียวแหละ

from http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/suthichaiyoon/20100820/348720/นี่ไง-ตัวอย่างที่เศรษฐีไทย-ควรจะเลียนแบบอย่างยิ่ง.html


18 สิงหาคม 2553

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ - หนูดี วนิษา เรซ

บางครั้งในชีวิตประจำวัน เรารู้สึกว่ามีหน้าที่หลายอย่างที่เรา "ต้อง" ทำ ทั้งๆ ที่ขี้เกียจแสนขี้เกียจ หรือเหนื่อยแสนเหนื่อยแล้วจากการทำงาน เช่น การล้างจาน การท่องหนังสือ การจดจ่ออยู่หน้าคอมพิวเตอร์ แถมพ่อแม่หลายท่านในปัจจุบันนอกจากทำงานเหนื่อยแล้วยังต้องมานั่งรับส่งลูกเรียนพิเศษเสาร์อาทิตย์อีก...เวลานั่งรอบางครั้งก็เหนื่อยจนลืมชื่นใจความเก่งความน่ารักของลูก
สิ่งของเหล่านี้ดูธรรมดาและดูเหมือนเป็น "หน้าที่" ที่เราต้องกระทำ ทั้งๆ ที่บางครั้งทำให้เราหงุดหงิดพอควรเลย...ตัวหนูดีเป็นคนเกลียดการล้างจานมาก เพราะไม่ชอบความเหนอะของคราบอาหารและความสากมือหลังจากล้างจานเสร็จ ถึงขนาดมีกฎประจำใจเลยว่า ผู้ชายคนไหนจะมาขอหนูดีแต่งงาน หนูดีจะให้ล้างจานให้ดูก่อน...แถมอาจมีการเซ็นสัญญากันว่า หนูดียินดีทำอาหารทุกชนิดแต่ฝ่ายชายต้องรับอาสาเป็นผู้ล้างจาน...จนกระทั่งวันหนึ่งหนูดีได้ไปปฏิบัติธรรมในวิถีเซน การไปอยู่วัดครั้งนั้น ทุกคนต้องล้างจานเอง...พระสอนว่า เวลาล้างจานเราต้องการอะไรจากการล้างจาน...คำตอบของพวกหนูดี คือ เราต้องการให้จานสะอาด (แหม ถามอะไรตอบง่ายอย่างนี้ ก็มันชัดเจนอยู่แล้วใช่ไหมคะ)...แต่ท่านบอกว่า ตอบผิดค่ะ ...อ้าว ถ้าไม่อยากให้จานสะอาดแล้วจะล้างไปทำไมคะ หนูดีงงมาก...ท่านตอบว่า จากนี้ไป ขอให้ล้างจานเพื่อล้างจานได้ไหม...
ทำไมต้อง "ล้างจานเพื่อล้างจาน" กว่าหนูดีจะเข้าใจและทำได้ก็ผ่านไปจากนั้นนานแสนนาน และทุกวันนี้หนูดีก็ยังฝึกเป็นประจำ...เคล็ดอยู่ตรงนี้เองค่ะ หากเราล้างจานเพื่อต้องการให้จานสะอาด ก็เหมือนกับเราโยนทิ้งปัจจุบันแล้วรอให้ความสุขเกิดขึ้นในอนาคต แต่ปัจจุบันคือความทุกข์ที่ต้องอยู่กับจานสกปรก เราจะมีความสุขก็ต่อเมื่อจานสะอาดแล้วเท่านั้น ....สรุปว่าใช้ชีวิตแค่กับเป้าหมาย รอให้เป้าหมายเป็นผลแล้วค่อยยอมปล่อยใจให้เป็นสุข แต่หากเราเปลี่ยนมาเป็นทำใจให้สุขในขณะล้างจาน จิตจดจ่ออยู่กับน้ำ ฟองน้ำและจาน...เป็นสุขอยู่ตรงนั้น ซึ่งหลังจากครั้งแรก พระท่านก็สอนที่สูงขึ้นไปอีกว่า จินตนาการดูสิว่า จานเป็นพระพุทธรูปและเรากำลังชำระล้างท่านให้สะอาดอยู่...น่ารักมากเลยค่ะ ไม่เห็นต้องรอวันสงกรานต์แล้วค่อยสรงน้ำพระ ถ้าคิดอย่างนี้ได้ ความสุขเล็กๆ ก็เกิดขึ้นได้ตลอดวัน
ในการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและมีความสุข...หนูดีคิดว่า เราต้องแยกให้ออกระหว่างวิถีและเป้าหมายก่อน ...คนส่วนใหญ่มักเอาความสุขไปผูกไว้กับ "เป้าหมาย" แต่หลงลืมว่า เวลาเกือบทั้งหมดในชีวิตอยู่ที่ "วิถี" ในการไปถึงเป้าหมายนั้น เหมือนเมื่อก่อนหนูดีตั้งเป้าไว้ว่า จะเรียนให้ได้คะแนนดีๆ ให้ได้เกียรตินิยม...และระหว่างภาคเรียนจะต้องทนทุกข์ทรมานขนาดไหนหนูดีไม่มีหวั่น เพราะเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนมาก...พอสอบเสร็จโล่งอกสบายใจ ได้เกรดดีๆ ก็ดีใจอยู่แผล็บเดียวเดี๋ยวก็เปิดเทอมอีกแล้ว...จะเป็นจะตายต่อไปอีกเทอม...พอมาดูจริงๆ แล้วเรียนปริญญาตรีเราจะได้เห็นเกรดตัวเองหลักๆ ก็ 8 ครั้ง โอ้โห เวลา 4 ปี จะยอมให้ตัวเองมีความสุขใหญ่ๆ แค่ 8 ครั้ง ก็ดูเป็นชีวิตที่เศร้าสร้อยไปหน่อยนะคะ
ดังนั้น การกลับมาปรับ "วิถี" ให้เรามีสุขขึ้นในระหว่างทางกลับทำให้ดัชนีความสุขมวลรวมของชีวิตเราพุ่งสูงขึ้นอีกมาก เมื่อหารเฉลี่ยแล้วทั้งชีวิตเราน่าจะมีความสุขขึ้นอีกมากนะคะ ...เดี๋ยวนี้หนูดีเลยมีกฎในการใช้ชีวิตว่า "วิถีคือเป้าหมาย" พูดง่ายๆ ว่า การทำใจให้สุขเป็นประจำวัน มีสุขในวิถี นั่นแหละคือเป้าหมายของหนูดี ส่วนเป้าหมายใหญ่ๆ ภายนอกก็ยังมีอยู่ค่ะ ไม่ได้ทิ้งหายไปไหน หนูดียังคงวางแผนชีวิตและมีเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่เช่นเดิม...อาจจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะเป้าหมายเหล่านั้นไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะตัวหนูดีคนเดียวอีกต่อไปแล้ว แต่ยังรวมคนอื่นๆ ในสังคมเข้ามาอีกด้วย และหนูดีไม่รอให้ "เป้าหมายสำเร็จ" แล้วค่อยเป็นสุข...ไม่มีกฎอะไรกำหนดนี่คะว่าต้องรอ ก็เลยขอเป็นสุขเรื่อยๆ ดีกว่า
ท่าน ติช นัท ฮันท์ พูดเรื่องนี้ไว้ดีมาก...หนูดีเอามาเขียนเตือนใจตัวเองหน้าหนังสือ "ขอบคุณสรรพสิ่ง" ที่เขียนก่อนนอนเลยค่ะว่า "ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ หรือบินอยู่บนอากาศ แต่ปาฏิหาริย์คือการเดินอยู่บนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว" หนูดีเห็นด้วยอย่างมาก เพราะชีวิตเราเต็มไปด้วยเรื่อง "ธรรมดา" เช่น ตื่นมาอาบน้ำ แปรงฟัน ขับรถไปทำงาน กินอาหารเที่ยงกับเพื่อนในที่เดิมๆ ตอนเย็นกลับมาก็เห็นหน้าภรรยาหรือสามีคนเดิมๆ ใส่ชุดธรรมดาๆ...หน้าตาเราหรือก็ธรรมดาๆ...ใช่ค่ะ เราส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนธรรมดาๆ มีชีวิตธรรมดาๆ กันทั้งนั้น
แต่ถ้าความ "ธรรมดา" นี้หมดไปล่ะคะ เช่น อยู่ดีๆ ลูกเราเกิดเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือสามีเราถูกรถชนตาย หรือเราถูกไล่ออกจากงานที่เราเบื่อแสนเบื่อ...เรื่องก็จะ "ไม่ธรรมดา" ไปในทันที และในเวลานั้นเอง เราจะหวนมาคิดเสียดายความ "ธรรมดา" จนใจแทบจะขาด...หนูดีไม่ได้พูดเองเออเองนะคะ แต่เพราะหนูดีอยู่ในอาชีพที่ได้เห็นความพลัดพรากสูญเสียในครอบครัวมาเยอะมาก จนเกิดเป็นกฎประจำใจเลยว่า ให้เรารีบชื่นชมกับความ "ธรรมดา" ที่เรามีและใช้ชีวิตประหนึ่งว่า สิ่งนั้นคือสิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล เพราะสิ่งธรรมดาๆ แท้จริงแล้วคือสิ่งที่พิเศษที่สุดแล้วค่ะ
วันนี้ หนูดีขอชวนแฟนๆ คอลัมน์ลองมองหาสิ่งธรรมดาๆ สักสองสามสิ่งที่เรามองข้ามไปแล้วลองคิดขอบคุณเขาไหมคะ เช่น วันนี้เราไม่ปวดฟันเลย ขอบคุณฟันที่อยู่อย่างปกติ หรือวันนี้ลูกของเรายังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า เรามีความสุขจัง หรือแม้แต่ วันนี้รถของเรายังไม่ถูกชน โชคดีจังเลย...เรื่องสุดท้ายนี่หนูดีคิดเป็นประจำเลยค่ะ เพราะในโลกนี้ หนูดีเป็นหนึ่งในคนที่รถชอบโดนชนประจำขนาดขับช้าเหมือนเต่าคลาน ดังนั้น หากวันไหนรถหนูดีอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แค่ได้มองเห็น ก็เป็นสุขแล้วค่ะ

from thaivi.com


17 สิงหาคม 2553

สิ่งที่เรามักจะนึกเสียใจก่อนเสียชีวิต


รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย pasu@acc.chula.ac.th กรุงเทพธุรกิจ วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สัปดาห์นี้เปลี่ยนอารมณ์หน่อยนะครับ เพราะพอดีไปเจอบทความเรื่องหนึ่ง โดย Bronnie Ware ซึ่งเป็นนักเขียนอิสระอยู่ที่ออสเตรเลีย โดยนักเขียนผู้นี้เคยทำงานดูแลผู้ป่วยที่รู้ตัวว่าจะเสียชีวิตและกลับไปอยู่ที่บ้านเพื่อรอวันตาย โดยเธอจะอยู่กับผู้ป่วยเหล่านี้ในช่วงสามถึงสิบสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่ผู้ป่วยจะเสียชีวิต โดยในช่วงเวลาดังกล่าว เธอได้มีโอกาสพูดคุย และรับฟังความในใจของผู้ป่วยเหล่านี้ เมื่อถามถึงสิ่งที่เสียใจหรือสิ่งใดๆ ก็ตามที่ถ้าทำได้อยากจะย้อนอดีตไปเปลี่ยนแปลงนั้น เธอพบว่ามีอยู่ห้าประเด็นที่มักจะพบในผู้ป่วยที่กำลังใกล้เสียชีวิตเป็นส่วนใหญ่ครับ

ประเด็นแรก คือ ผู้ป่วยเหล่านี้อยากจะมีความกล้าที่จะใช้ชีวิตตามแบบที่ตนเองอยากหรือต้องการจะเป็น ไม่ใช่ดำรงชีวิตตามความต้องการหรือความคาดหวังของผู้อื่น ซึ่งพบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ป่วยอยากจะเปลี่ยนแปลงมากที่สุดครับ เนื่องจากเมื่อผู้ป่วยพบว่าชีวิตตนเองกำลังจะสูญเสียไป และมีโอกาสมองย้อนกลับไปในอดีตนั้น จะพบว่ามีความฝันหลายๆ อย่างที่ยังไม่ได้เริ่มต้นทำหรือยังไม่บรรลุ และเมื่อใกล้จะเสียชีวิตก็จะพบว่าความฝันของตนเองนั้นจะไม่มีวันบรรลุ และส่วนใหญ่ก็มักจะมานั่งนึกเสียใจ เพราะสาเหตุที่ไม่สามารถทำตามความฝันได้นั้น เป็นเพราะตัวเองเลือกที่จะไม่ทำเอง ตัวเองเลือกที่จะทำตามสิ่งที่ผู้อื่นขีดเส้นทางให้เดิน

ถือเป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับทุกๆ ท่านนะครับ ที่ในช่วงชีวิตหนึ่ง ถ้ามีโอกาสและเลือกได้ก็ควรจะเดินตามความฝันของตัวท่านเอง เพราะคนเราหนีไม่พ้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย และเมื่อวันนั้นมาถึง เราก็คงจะไม่มีแรงที่จะเดินตามความฝันที่เราต้องการแล้ว การมีสุขภาพที่ดีจะช่วยทำให้ท่านเดินตามความฝันได้ แต่เมื่อใดก็ตาม ที่สุขภาพท่านเริ่มแย่แล้ว อิสระในการเดินตามฝันก็ท่านก็จะลดน้อยลง

ประเด็นที่สอง คือ ผู้ป่วยใกล้เสียชีวิตเหล่านั้น คิดเสียใจว่าในอดีตจะไม่ได้ทำงานหนักเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์นี้ มักจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยชายเกือบทุกคนเลยครับ คุณผู้ชายเหล่านี้มักจะเสียใจว่าในอดีตที่ผ่านมา ไม่ค่อยได้มีเวลาในการดูแลลูกๆ ของตนเท่าที่ควร รวมทั้งไม่ได้อยู่เป็นคู่ทุกข์คู่ยากภรรยาเท่าที่ควร ผู้ป่วยที่เป็นชายเกือบทุกคนจะรู้สึกเสียดายว่าในอดีตใช้ และให้เวลากับงานมากเกินไป

ข้อสังเกตนี้ก็น่าคิดนะครับ ว่าในปัจจุบันเราให้ความสำคัญกับการทำงานมากเกินไปหรือไม่ เราต้องการแสวงหารายได้ ชื่อเสียง เกียรติยศมากเกินไปหรือไม่ สุดท้ายเมื่อเราใกล้ตายเราจะสำนึกเสียใจว่าเราได้พลาดโอกาสดีๆ ในชีวิตที่ไม่มีวันหวนกลับมาหรือไม่ การมีรายได้ที่พอเพียงอาจจะเป็นทางออกสำหรับทุกท่านนะครับ อีกทั้งการมีที่ว่างในตารางเวลาและชีวิต ที่ไม่ใช่เรื่องของการทำงานเพียงอย่างเดียว จะทำให้เรามีความสุขขึ้น และเมื่อเราใกล้เสียชีวิต จะไม่มานั่งย้อนนึกเสียใจในสิ่งที่เราพลาดไป

ประเด็นที่สาม คือ ผู้ป่วยอยากจะกล้าที่จะแสดงอารมณ์และความรู้สึกที่แท้จริงของตน เนื่องจากคนจำนวนมากจะปิดกั้นอารมณ์และความรู้สึกที่แท้จริงของตน เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสงบและสันติ ทำให้สุดท้ายแต่ละคนรู้สึกว่าอารมณ์ของตนเองถูกเก็บกด และไม่สามารถเป็นตัวตนที่แท้จริง

ประเด็นที่สี่ คือ ผู้ป่วยที่ใกล้เสียชีวิตนั้น มักจะเสียใจที่ไม่ได้ติดต่อเพื่อนฝูงเก่าๆ เนื่องจากเรามักจะไม่ค่อยเห็นถึงคุณค่าของเพื่อนเก่าๆ จนกระทั่งใกล้เสียชีวิต คนจำนวนมากจะมัวแต่ยุ่งและวุ่นวายกับชีวิตประจำวัน จนละเลยต่อความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนฝูง ทำให้เรามักจะไม่ค่อยให้ความสัมพันธ์กับเพื่อนฝูงต่างๆ จนกระทั่งใกล้จะเสียชีวิต ก็จะเริ่มนึกถึงเพื่อนฝูงขึ้นมา

ดูเหมือนว่าเมื่อคนใกล้จะเสียชีวิต เกียรติยศ เงินทอง หรือสถานะทางสังคมต่างๆ กลับดูไปจะด้อยหรือไร้ความหมายนะครับ สุดท้ายดูเหมือนว่า เรื่องของความรัก ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลจะกลายเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยที่กำลังใกล้ตายนึกถึง

ประเด็นสุดท้าย ซึ่งค่อนข้างน่าแปลกใจ คือ ผู้ป่วยเหล่านี้กลับสำนึกเสียใจว่าไม่ได้ทำให้ชีวิตที่ผ่านมาของตนเองมีความสุขเท่าที่ควร ผู้ป่วยหลายคนจะไม่เคยนึกถึงมาก่อนนะครับว่าตนเองสามารถที่จะเลือกที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขได้ คนจำนวนมากเลือกที่จะอยู่และปฏิบัติในสิ่งที่คุ้นเคย ความกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง ทำให้คนเรามักจะหลอกตนเองว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นมีความสุข ซึ่งจริงๆ แล้วกลับไม่ใช้

ท่านผู้อ่านจะเห็นได้นะครับว่าเมื่อคนเราใกล้จะตายนั้น เรามักจะนึกย้อนกลับไปถึงอดีต และเริ่มสำนึกเสียใจในสิ่งที่ได้ทำหรือไม่ได้ทำมาในอดีต และเราจะพบว่าเมื่อเราใกล้ตายแล้ว เงินทอง ชื่อเสียง สถานะ เกียรติยศต่างๆ กลับไม่มีความหมาย สิ่งที่มีความหมายเมื่อใกล้ตาย คือ เรื่องของความรักและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซึ่งหลายครั้งกลับกลายเป็นสิ่งที่เราละเลยหรือไม่สนใจในขณะที่เรามีชีวิตอยู่

นอกจากนี้ เมื่อใกล้ตาย คนเราจะพบว่าชีวิตในอดีตที่ผ่านมานั้นเรามีสิทธิที่จะเลือก แต่เราดันเลือกในสิ่งที่ไม่ได้ทำให้เรามีความสุข หรือเลือกในสิ่งที่ทำให้เราต้องมาย้อนสำนึกเสียใจ เมื่อเราใกล้ตาย ดังนั้น ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่และยังแข็งแรง เราจะต้องเลือกอย่างมีสติ เลือกอย่างฉลาด เลือกในสิ่งที่ถูก และเลือกในสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขนะครับ

from
http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2010q3/2010August10p1.htm
http://www.pantip.com/cafe/silom/topic/B9587679/B9587679.html


16 สิงหาคม 2553

"วาโก้" ฉีกกฎ 3 ข้อสหพัฒน์

"วาโก้" ชุดชั้นในอันดับ 1 ของไทยที่มีอายุร่วม 40 ปี เปรียบเป็นสาวใหญ่ทรงเสน่ห์ที่ยังสวยสะพรั่ง ครองความเป็นเจ้าตลาดอย่างยาวนาน กว่าวาโก้จะก้าวถึงจุดนี้ ต้องผ่านการทำความเข้าใจในสรีระหญิงไทย กลายมาเป็นจุดแข็งของวาโก้จนถึงทุกวันนี้
"วาโก้" ถือเป็นผลิตภัณฑ์สินค้าแรก ๆ ที่สหพัฒน์เพียรพยายามนำเข้ามาจำหน่าย กลายเป็นอู่ข้าวอู่น้ำต่อจากเครื่องสำอางเพี้ยซ เป็นสินค้าที่แจ้งเกิดให้บริษัท ไอ.ซี.ซี.ฯ เติบใหญ่เคียงข้างเครือสหพัฒน์อย่างยาวนาน

ความสำคัญของวาโก้ นอกจากเป็นชุดชั้นในครองยอดขายอันดับ 1 ของประเทศ ทิ้งห่างคู่แข่งไม่เห็นฝุ่น ถือเป็นสินค้าทำรายได้คิดเป็นสัดส่วนมากที่สุดให้กับ ไอ.ซี.ซี.ฯ

มองในแง่ความแข็งแกร่งของแบรนด์ "วาโก้" สามารถทัดเทียมกับ "มาม่า" และ "เปา" ในฝั่งสินค้าอุปโภคที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของเครือสหพัฒน์ได้อย่างไม่น้อยหน้า

หรือถ้าจะจำกัดวงเฉพาะ ไอ.ซี.ซี.ฯ ชุดชั้นในแบรนด์นี้คือ 1 ใน 4 เสาหลัก นอกเหนือจากเพี้ยซ ลาคอสต์ และแอร์โรว์

วาโก้ เป็นหนึ่งในผลงานระดับโบแดงของ "บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา" หลังจาก เจ้าตัวเห็นโอกาสทางการตลาดที่เปิดกว้าง และมองทะลุว่าถ้าสร้าง "ช่องทางจำหน่าย" ที่เหมาะสมขึ้นมา บวกกับกลยุทธ์ "แนะนำสินค้า" บริเวณจุดขาย ตลาดจะเป็นของ วาโก้อย่างแน่นอน

นั่นเป็นเพราะ "บุณยสิทธิ์" ไม่เคยสงสัยในคุณภาพของวาโก้แม้แต่น้อย

"คุณบุณยสิทธิ์เป็นคนที่มองหาช่องว่าง (ตลาด) ตลอด มองว่าสมัยนั้นตลาดชุดชั้นในยังไม่พัฒนา แต่ต้องใช้ความอดทนมาก ต้องติดต่อแล้วติดต่ออีก จนในที่สุดวาโก้ตัดสินใจร่วมลงทุนตั้งโรงงานกับเรา และให้ไอ.ซี.ซี.ฯ เป็นผู้จัดจำหน่าย"

ในที่สุดบริษัท ไทยวาโก้ จำกัด ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2513 เป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด และบริษัท วาโก้คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ต่อจากเครื่องสำอางเพี้ยซ ที่เริ่มนำเข้ามาจำหน่ายตั้งแต่ปี 2507

ในเวลาไม่นาน "วาโก้" ประสบความสำเร็จอย่างทะลุทะลวง สร้างกระแสให้กับผู้หญิงไทย กลายเป็นสินค้าเสาหลักตัวที่ 2 ต่อจากเครื่องสำอางเพี้ยซ

"สำเริง มนูญผล" ลูกหม้อของเครือสหพัฒน์ เล่าว่า วาโก้ก็เหมือนสินค้าของสหพัฒน์ส่วนใหญ่ที่เริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ ก่อนจะเติบใหญ่ในเวลาต่อมา ช่วงบุกเบิกวาโก้มีพื้นที่ทำงานเล็ก ๆ อยู่ภายในตึก ไอ.ซี.ซี.ฯ สาธุประดิษฐ์ มีจักรเย็บผ้า 20-30 ตัว ที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือวิธีการทำงานของวาโก้ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งละเอียดลอออย่างยิ่ง

"วาโก้ฝึกให้พนักงานหัดเย็บจากเข็มเปล่า ๆ ไม่มีด้าย เพื่อให้พนักงานชินกับฝีเข็ม กว่าจะร้อยด้ายให้ฝึกเย็บต้องผ่านไปเป็นเดือน"

กว่าจะวางจำหน่ายจริง ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกเช่นกัน

"สำเริง" ฉายภาพว่า ในช่วงแรกพนักงานของวาโก้ ญี่ปุ่น นำชุดชั้นในใส่กระเป๋าใบใหญ่ ตระเวนไปตามที่ต่าง ๆ ให้ผู้หญิงทดลองสวมใส่ เพื่อให้รู้ไซซ์ที่แท้จริงของ ผู้หญิงไทย

วิธีนี้เองที่ต่อมาเรียกกันว่า "ฟิตติ้ง" ในวงการเสื้อผ้า หรือหากเปรียบเป็นสินค้าทั่ว ๆ ไป เสมือนกับ "การวิจัยตลาด" ที่มีพนักงานตระเวนสอบถามผู้บริโภค วิธีฮอตฮิตในสมัยนี้

"ตอนนั้นไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้า พอดีผมมีเพื่อนทำธุรกิจอาบอบนวด จึงให้คนญี่ปุ่นนำสินค้าไปวิจัยกับผู้หญิงกลุ่มนี้แทน ค่าจ้าง 20 บาท หรือไม่พอทดลองเสร็จก็ให้ชุดชั้นในไปเลย"

วิธีการทำงานดังกล่าวเปิดหูเปิดตาให้กับเครือสหพัฒน์ ได้เรียนรู้การฟิตติ้งเป็นครั้งแรก เป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับการเปิดตลาดสินค้าแฟชั่นในเวลาต่อมา

เพราะละเอียดขนาดว่าผู้หญิงแต่ละภาค แต่ละกลุ่มอายุมีสรีระไม่เหมือนกัน

"พอทำชุดชั้นในออกมา จึงพอดีเป๊ะ และทำให้ขายได้ดี กว่าจะมีวาโก้ ไม่ใช่ เรื่องง่าย"

แม้ว่าวันนี้เวลาจะผ่านเลยมาร่วมสี่สิบปี "วาโก้" ยังให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างสม่ำเสมอ มีการวิจัยสรีระของผู้หญิงไทยทุก 5 ปี เพื่อศึกษาถึงสรีระที่อาจเปลี่ยนแปลงไป

บันทึกความจำของนายห้างเทียม ในช่วง พ.ศ. 2517-2521 ได้เล่าความคิดในการทำตลาดวาโก้ในช่วงบุกเบิกว่า

"ตัวข้าพเจ้านั้นทำงานมาหลายสิบปี แต่ยึดหลักการทำงานเพียง 3 ประการ คือ 1.ทุกอย่างต้องเร็ว 2.ต้องง่าย 3.ต้องเห็นประโยชน์เฉพาะหน้าทันที ช้าไม่เอา"

ประสบการณ์ตรงจากวาโก้ แตกต่างจากหลักการทำงานของนายห้างเทียม โดยสิ้นเชิง

"วาโก้เริ่มงานในไทย ตอนแรกก็เริ่มเตรียมงานคือเอาคนมาฝึกหัดอบรม กินเวลา ขัดกับข้อ 1-2 ของข้าพเจ้า ซึ่งคิดว่าถ้าเอาคนเป็นงานมาหัดก็จะได้ผลเร็วขึ้น ทำงานเป็นเร็ว แต่วาโก้ก็ได้คัดค้านว่าไม่ต้องการคนเคยงาน เพราะไม่อยากให้ติดนิสัยเคยชิน ดัดนิสัยกันลำบาก"

ไม่เพียงผิดกฎข้อ 1 และ 2 ในข้อที่ 3 ก็ไม่ผ่านเช่นกัน

"กิจการค้าทุกอย่างที่ข้าพเจ้าเคยทำมา ปีแรกจะได้กำไรนิดหน่อย ปีที่ 2-3 กำไรจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น เมื่อทำวาโก้ปีแรกขาดทุน ปี 2 ก็ขาดทุน ปี 3 เสมอตัว เราเคยได้ประโยชน์เฉพาะหน้าแต่เขามองประโยชน์ในอนาคต ตอนแรกข้าพเจ้ายอมรับว่าเรามองไปไม่ถึง คัดค้านหลักการของเขาทั้งเปิดเผยและในใจ"

สิ่งหนึ่งที่ทำให้นายห้างเทียมยอมฝืนกฎที่ตัวเองขีดขึ้นมาเป็นเพราะ "บุณยสิทธิ์" ผู้ชักนำวาโก้เข้ามาร่วมธุรกิจในเมืองไทย

"ลูกชายข้าพเจ้า ซึ่งเคยไปญี่ปุ่นได้มองเห็นความสำเร็จของวาโก้ เชื่อมั่นในระบบ ทำให้กล้าพอที่จะอดทนรอคอย ถ้าเป็นลำพังข้าพเจ้าคงอยู่กันไม่ยืดแน่นอน หลักการนั้นแม้ช้า แต่มีมาตรฐานขยายได้เร็ว มั่นคง มีคุณภาพ ยอมรับว่าตัวเองนั้นคิดสั้น เมื่อมีระบบแล้ว ผลประโยชน์ก็ติดตามมาอย่างมั่นคงแบบที่เราท่านเห็นอยู่ในปัจจุบัน"

เป็นกรณีศึกษาที่แสดงให้เห็นถึงยืดหยุ่น การปรับทัศนคติในการทำตลาด ที่แม้จะขัดแย้งกับสไตล์การทำงาน และสิ่งที่ตัวเองยึดมั่นมา

กรณีศึกษาจากวาโก้ทำให้สหพัฒน์ได้ซึมซับและเรียนรู้โนว์ฮาวจากบรรดาพันธมิตรที่สหพัฒน์เข้าไปร่วมทุนด้วยทุกครั้ง

นานวันประสบการณ์ในรูปแบบต่าง ๆ ยิ่งพอกพูน สหพัฒน์กลายเป็นคลังสะสมโนว์ฮาว การขาย การทำตลาดต่าง ๆ

จากบันทึกนายห้างเทียม ทิ้งบทสรุปจากสิ่งที่ได้จาก "วาโก้" ว่า ทำให้เปลี่ยนวิธีคิดและความเชื่อในหลักการแบบเก่าไปจนเกือบหมด

"หลักการนั้นก็เป็นแบบเก่า ซึ่งเหมาะกับงานแบบครอบครัว หากคิดทำอุตสาหกรรมใหญ่จะนำหลักเก่า ๆ มาใช้ย่อมเป็นไปไม่ได้ จึงต้องศึกษายอมรับหลักการใหม่ ๆ ศึกษาอดีต เตือนความจำ วิเคราะห์ เปรียบเทียบ ปรับตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์ได้ และเราต้องขอบใจความคิดของเขา ต้องขอบคุณในความสำเร็จที่เขาช่วยเหลือเราด้วย"

เส้นทางของ "วาโก้" มาถึงวันนี้ได้แบบไม่ต้องรีบ แต่สามารถยืนหยัดอยู่บนสมรภูมิการต่อสู้

แม้จะ "ช้า" แต่ "มั่นคง"


from http://www.ttisfashionbiz.com/news/brand/item/3737-


"แก่นแท้" แห่งวิถีการลงทุน ของ "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร"

สูตรการลงทุนให้ประสบความสำเร็จสำหรับ "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธ.นครหลวงไทย ไม่ได้แตกต่างไปจากวิถีทางเดินชีวิตของดอกเตอร์เลยแม้แต่น้อย

ทางเดินความคิดของ...."Value Investor" หมายเลข 1 ผู้นี้ทั้งเรียบง่าย และสมถะ

ดอกเตอร์ไม่ได้เสแสร้ง หรือสร้างภาพลักษณ์โดยปราศจาก "แก่นแท้" ของความปกติพอดี..."ชีวิตคนเราจะต้องการอะไรไปมากกว่านี้"

แก่นแท้อย่างหนึ่งที่สรุปได้ในความหมายของดอกเตอร์ ก็คือ ความสำเร็จมันซ่อนอยู่ในความ "พอเพียง" ของการใช้ชีวิต และรู้จัก "เพียงพอ" ต่อความโลภ

กว่าชั่วโมงที่นั่งคุยในช่วงเวลาอาหารมือกลางวัน เริ่มต้นจากเทคนิคการเล่นหุ้น ไปจบที่วิถีความคิด และเส้นทางการใช้ชีวิต ขณะที่ดอกเตอร์ก็นั่งกินแซนด์วิชที่ออกจะแข็งกระด้างไปพราง ตามด้วยน้ำเปล่าเป็นระยะๆ มันเป็นอาหารที่ออกจะวิเศษสุดในมื้อนั้นสำหรับ Value Investor พันธุ์แท้ที่เน้นความเรียบง่าย

วันนี้ต้องบอกว่า ดร.นิเวศน์ "รวย" แล้ว แม้จะยังมีเงินไม่ถึง 1,000 ล้านบาท ตามที่ตั้งใจ แต่ก็มีมากพอที่จะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปตลอดชั่วชีวิต แต่เปล่าเลยดอกเตอร์กลับไม่เคยใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย

....ทุกสิ่งที่ ดร.นิเวศน์ จ่ายเงินออกไป จะต้องแลกกลับมาด้วยความ "คุ้มค่า" เสมอ

"คนชอบเข้าใจผิดว่า Value Investor ต้องใช้ของถูก จริงๆ แล้วเข้าใจผิด เรามองทุกอย่างที่ความคุ้มค่า "ดอกเตอร์บอกอีกว่า Value Investor จะไม่จ่ายอะไรที่แพงเกินความจำเป็น เพราะฉะนั้น "การใช้จ่าย" เพื่อซื้อความสุข สำหรับ Value Investor จึงไม่ใช่ความสุข"

"....ไม่มี Value Investor พันธุ์แท้คนไหน ใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยแล้วประสบความสำเร็จในการเล่นหุ้น(ในระยะยาว) ทั้งหมดเป็นวิธีคิดที่อยู่ในห่วงโซ่เดียวกัน" ดอกเตอร์บอก ดูอย่าง "วอร์เรน บัฟเฟตต์" ซิ!!! พอเขาเป็น Value Investor ทั้งชีวิตและจิตใจ จะไม่มีความสุขกับการใช้เงิน

ความสุขทั้งหมดของเขาจะไปอยู่ที่การลงทุน เห็นราคาหุ้นเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง เอาเงินไปซื้อบ้านราคาแพง ไปซื้อรถเบนซ์ ของพวกนี้ใช้แล้วมันหายไป Value Investor พันธุ์แท้จะไม่ชอบ"

การค้นหาหุ้นของ ดร.นิเวศน์ เรียบเรียงจากวิธีคิดพอจะสรุปได้ว่ามาจากขบวนการภายใต้ "จิตสำนึก" โดยมองสินค้าที่ผ่านเข้ามาในชีวิตประจำวัน และทำความเข้าใจกับมันทุกวันจนกลายเป็นความเคยชิน

"เราเห็นมันบ่อยๆ เนื่องจากการใช้ชีวิตของเรา ผมจะเลือกซื้อหุ้นพวกนี้ก่อน"

เคล็ดลับเช่นนี้เองที่กลายเป็นพฤติกรรมแทรกซึมเข้ามาอยู่ในจิตใต้สำนึกที่เฟ้นแต่หุ้น "Value" เข้าพอร์ต "ทุกครั้งที่เห็นสินค้า เราอ่านหนังสือเจอ ทุกอย่างมันจะลิ้งเข้ามาที่เรื่องของหุ้น มันเข้ามาเองอัตโนมัติ"

ดร.นิเวศน์ อธิบายว่า จริงๆ แล้ว Value Investor เวลาเลือกหุ้นก็แบบเดียวกัน หาหุ้นที่ "ดีมาก" แต่ใช้เงิน "นิดเดียว" (ซื้อตอนที่ราคายังไม่แพง หรือตอนที่หุ้นตกหนักๆ) เช่นเดียวกับการใช้ชีวิต ค้นหาสิ่งดีๆ ให้กับชีวิตได้มากมาย ด้วยเงินเพียงนิดเดียว

"ถ้าศึกษาวิธีคิดของ Value Investor มันเกี่ยวกับข้องกับชีวิตนะ ถ้าคุณจ่ายเงินซื้อรถเบนซ์โก้หรู ผมยังไม่ค่อยเห็น ถ้าคุณคิดแบบนั้นคุณก็ไม่ใช่ Value Investor พันธุ์แท้"

Value Investor พันธุ์แท้ในมุมมองของ ดร.นิเวศน์ จะต้องมองที่ "คุณค่า" ของเงินที่จ่าย คุณอย่าซื้อหุ้นเพราะเห็นว่าราคา "ถูก" แต่ต้องซื้อหุ้นเพราะว่ามัน "ดี" แล้วจ่ายเงินซื้อในราคา "ยุติธรรม"

"ผมไม่เคยซื้อหุ้นราคา 3 บาท 5 บาท ชอบซื้อหุ้นที่คนพูดว่า "แพง" ในด้านราคา แต่ "ถูก" ในแง่ของ "Value" ถ้าสังเกตุดูหุ้นในพอร์ตผมราคาเป็น 100 บาทขึ้นไปทั้งนั้น หรือราคาหลายสิบบาทที่พาร์บาทเดียว (เช่น STANLY SE-ED IRC APRINT SSC PR และ TMD) หุ้นของผมราคาสูงหมดนะ แต่มันคุ้มค่า มันสร้างผลตอบแทนให้เราดีมาก"

ดอกเตอร์พูดว่าการเล่นหุ้นขาดไม่ได้จะต้องมีความสุขกับมัน....เพราะความสุขจะเป็น "ทุน" สร้างผลตอบแทน มันเป็น "เหตุ" ที่สร้างผลลัพธ์ของ "กำไร"

"จริงๆ ผมมีความสุขกับการได้ซื้อหุ้นที่เราพอใจมากๆ ดีมากๆ น่าสนใจมากๆ แล้วเก็บมากขึ้นๆ จนวันหนึ่งเรากลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท"....ความสุขในที่นี้ของ ดร.นิเวศน์หมายถึงความ "ภาคภูมิใจ"

"ผมเชื่อมาตลอดว่า "การเดินทาง" สำคัญกว่า "เป้าหมาย" อยากบอกนักลงทุนทุกคนว่าอย่าไปกังวลกับเป้าหมาย แต่ควรใส่ใจใน "เส้นทาง" ที่เรากำลังเดิน ถ้าเราทำดีที่สุด และมีความสุขในเส้นทางของเราทุกวัน ในที่สุดเราก็จะไปถึงเป้าหมายนั้นเอง" ดร.นิเวศน์ เชื่อเช่นนี้ตลอด

".....เงิน 1,000 ล้าน สำหรับผมถ้าไม่ได้ ก็ไม่ใช่จะเป็นจะตาย เรามี "เป้าหมาย" เพื่อกำหนด "เส้นทาง" ไม่ให้เราไขว้เขว ถ้าเราแน่วแน่ ผลลัพธ์ที่ออกมามันจะสอดคล้องกันทั้งหมด"

ถามดอกเตอร์ว่าสมมติ ดร.นิเวศน์ ทำเงินถึง 1,000 ล้านบาท จริงๆ เป้าหมายต่อไปคืออะไร?

"ถ้าตัดเรื่องเงินออกไป เป้าหมายของผมก็ยังต้องการเป็น "นักลงทุน" และใช้ชีวิต "สมถะ" เช่นนี้ตลอดไป(จนตาย) คนเราอย่าไปคิดว่ามีเงิน 1,000 ล้าน แล้วจะใช้จ่ายฟุ่มเฟือย คนที่คิดก่อนแล้วว่า จะทิ้ง "วิถี" ชีวิตดั้งเดิมของตัวเองก่อนที่ตัวเองจะไปถึงเส้นชัย....ผมคิดว่าเขาคงจะไปไม่ถึงเป้าหมายที่แท้จริงหรอก"

ความเร้นลับของ "กำไร" และ "ความสุข" สำหรับ ดร.นิเวศน์ สะท้อนออกมาในแง่มุมของการเลือกหุ้น ก็เหมือนกับการเลือก "คู่แต่งงาน" คุณต้องคิดเสมอว่าต้องหาคู่ที่ดีที่สุด และเหมาะสมที่สุดกับคุณ เพื่อจะครองคู่กันไปจนแก่เฒ่า....โดยเน้นย้ำว่า Value Investor จะไม่เลือกหุ้น "ฉาบฉวย" หวังขายในอีก 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือนข้างหน้า แต่ต้องเลือกหุ้นที่ดีที่สุด และมีอนาคตในอีกหลายๆ ปีข้างหน้า

"ผมจะซื้อหุ้นที่ตัวเองรู้สึกพอใจมากๆ แล้วอยากจะเก็บมันไว้นานๆ" นี่คือปฐมบทของความสำเร็จที่ดอกเตอร์สรุปให้ฟัง

ดร.นิเวศน์ คิดถึงขนาดที่ว่าสักวันหนึ่งหุ้นที่ "พ่อ" ถือก็จะถูกส่งต่อไปให้กับ "ลูก" เพื่อเป็น "มรดก" ด้วยซ้ำ

"จริงๆ แล้วหุ้นที่ผมซื้อส่วนใหญ่ส่งต่อไปเป็นมรดกได้ แต่ไม่รู้ว่าถ้าเวลาผ่านไปนานๆ ปัจจัยบางอย่างเปลี่ยนไป เราอาจต้องเปลี่ยนหุ้นตัวอื่น แต่ทุกกิจการที่ลงทุนตั้งต้นจากวิธีคิดที่ว่าสามารถถือไปจนถึงลูกถึงหลานได้"

ดอกเตอร์ย้อนกลับมาที่คำพูดคำเดิม การเล่นหุ้นจะต้องเริ่มที่ "ความสุข" มันเป็นเหตุเป็นผลกัน

"ถ้าผมซื้อหุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยม ในราคาที่ค่อนข้างต่ำ มีผู้บริหารดี ในที่สุดราคาหุ้นจะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เราก็มีความสุขกับ Score (ผลตอบแทน) ที่เพิ่มขึ้น แต่เป็นคนละส่วนกับการเอากำไรมาซื้อความสุขนะ"

ดร.นิเวศน์ อธิบาย Score แห่งความสุขเพิ่มเติมว่า เราซื้อไปแล้วราคาหุ้นเพิ่มขึ้น จ่ายปันผลมาเราก็ "ทบต้น" ขึ้นไป แล้วเห็นผลตอบแทนแต่ละปีที่ผ่านไปดีกว่าตลาดโดยรวม รู้สึกพอใจเมื่อเห็นมันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

"จนวันหนึ่งเราสามารถบอกได้ว่า ตอนนี้เราก็มีฐานะ มีความมั่นคง และเป็นอิสระพอที่จะไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้ สามารถมีปันผลที่เลี้ยงเราตลอดชีวิตไปจนถึงลูกถึงหลานได้ นี่คือ ความสุขของผม"

ถามว่า ดร.นิเวศน์ เคยรู้สึกว่าตัวเองผิดพลาดเรื่องการลงทุนบ้างหรือไม่!!!

ดร.นิเวศน์ เล่าให้ฟังว่า ผมเคยซื้อบ้านราคานับสิบล้านบาทด้วย "กิเลส" ที่มันซุกอยู่ภายในเหมือนกับคนทั่วๆ ไป แต่นั่นไม่ใช่การลงทุนที่คุ้มค่าเลย ท้ายที่สุดก็ขายบ้านหลังนั้นทิ้งไป

"ตอนที่ผมยังไม่มีความคิดแบบ Value Investor เคยสนใจซื้อที่ดิน เราเห็นเลยว่าที่ดินมันก็อยู่ที่เก่า มันไม่เคยจ่ายปันผลให้เรา ราคาก็ไม่ได้ไปไหน 10 ปีที่ผ่านมา ถ้าขายราคาเดิม...ผมขาย แต่มันขายไม่ได้ เพราะฉะนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ชำนาญทางด้านนี้ ให้ซื้อเพื่อเก็งกำไรคงไม่ทำแน่"

ดร.นิเวศน์ เล่าว่า ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง เป็นแค่บ้านชั้นเดียวเล็กๆ บนเนื้อที่ไม่กี่ตารางวา ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิของแม่ยาย ทุกคนอยู่รวมกัน เห็นหน้ากันทุกวัน ไม่มีพื้นที่สำหรับความเป็นส่วนตัว ไม่มีคนรับใช้ แต่บ้านหลังนี้ไม่เคยปราศจากอบอุ่นเลย

"ความสะดวกสบายในบ้านจริงๆ มีน้อย บ้านหลังเล็กมาก แต่ผมก็ไม่ได้ต้องการมากกว่านี้ เพราะมาคิดดูอีกทีถามว่าไปอยู่บ้านหลังใหญ่ๆโตๆได้มั๊ย!!..."มันก็ได้" แต่บ้านใหญ่โตมันก็ไม่ได้ให้ความสุขกับเรามากไปกว่าบ้านหลังเล็ก ทุกคนใกล้ชิดกัน เจอหน้ากันทั้งวัน"

ส่วนรถยนต์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันก็เป็นรถประจำตำแหน่ง(ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธ.นครหลวงไทย)ไม่มีเป็นของตัวเอง ถ้าออกจากงานวันไหน วันนั้นค่อยไปหาซื้อมาเป็นของตัวเอง

"ทุกวันนี้กิจกรรมที่ผมทำอยู่จริงๆ ชีวิตมันมีความสุขอยู่แล้ว การออกกำลังกายเป็นความสุขยิ่งใหญ่ ผมไม่ต้องใช้เงินเลย มีรองเท้าคู่เดียว ถามว่า "ฟิตเนส" มันดีกว่ามั๊ย!! สำหรับผมวิ่งในสวน (สาธารณะ) มันก็สดชื่นไปอีกแบบหนึ่ง...นี่คือสิ่งที่ผมกำลังจะบอกว่าพื้นฐานความคิดของ Value Investor "เงิน" มันไม่ใช่โจทย์ของ "ความสุข" ตรงกันข้ามกับการเลือกหุ้นคุณต้องเลือกหุ้นที่คิดว่าดีเยี่ยมที่สุด"

ดอกเตอร์ บอกว่า เกือบ 10 ปีที่ผมลงทุนในแนวทางนี้ พิสูจน์แล้วว่ามันประสบความสำเร็จ ยังจำได้ว่าวันแรกที่ลงทุนตามแนวคิด Value Investor หนี้สินผมมากกว่าสินทรัพย์สภาพคล่อง สมัยนั้นผมคิดว่าอยากจะมีบ้านหลังใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็ไปก่อหนี้ขึ้นมา 10 กว่าล้านบาท แต่โชคดียังพอมีเงินสดเหลืออยู่ แม้จะน้อยกว่าตัวหนี้ ผมเอาเงินก้อนนั้นไปลงทุนจนถึงวันนี้เงินก้อนนั้นเติบโตขึ้นมาเกือบ 20 เท่าตัว"

แม้วันนี้ Score แห่งความสุขของดอกเตอร์จะทะยานผ่านพรมแดนแห่งคำว่า "อิสรภาพ" ทางการเงิน(รายรับจากเงินลงทุนมากกว่ารายจ่ายประจำ)ไปแล้ว แต่ ดร.นิเวศน์ ก็หาไม่ที่จะนำเงินเก็บส่วนของการลงทุนมาซื้อความสุข "กาย" ในชีวิต มากไปกว่าสิ่งที่มีอยู่

รางวัลในชีวิตของ ดร.นิเวศน์ จึงแตกต่างจากคนทั่วไป ดอกเตอร์พูดว่า "รางวัลของชีวิต ก็คือ สิ่งที่ทำอยู่ทุกวัน" คำๆ หนึ่งที่ ดร.นิเวศน์ เน้นย้ำน่าสนใจอย่างยิ่ง คำว่า "การเดินทาง" กับ "เป้าหมาย" ในชีวิตของคนทุกคน...นักเล่นหุ้นที่ประสบความสำเร็จที่แท้จริง เขาควรเฟ้นหาเฉพาะหุ้นระดับ "เฟิร์สคลาส"...มีวิถีชีวิตแบบ "อีโคโนมี"

ทั้งหมดคือ ทางเดินความคิดของ "Value Investor"หมายเลข 1 ที่ชื่อ"ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร"

from http://th-th.facebook.com/note.php?note_id=106130216078520


15 สิงหาคม 2553

ปรับพอร์ตรับดอกเบี้ยขาขึ้น

จากการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.25% เป็น 1.50% ต่อปี เมื่อเดือนที่แล้ว

ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังมีอยู่ต่อเนื่อง แม้จะบอบช้ำกับสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงกลางปีอยู่บ้างก็ตาม

ผู้ลงทุนทั้งหลายก็เริ่มถกแถลงถึงกลยุทธ์การลงทุนเพื่อตั้งรับกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่กำลังปรับเพิ่มสูงขึ้น จากการดำเนินนโยบายรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของธนาคารกลางประเทศต่างๆ ซึ่งเริ่มหวั่นเกรงถึงผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อหลังจากรัฐบาลกลางทั่วโลกต่างทุ่มเทสรรพกำลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจภายหลังวิกฤตการณ์หนี้

ภาคอสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพเมื่อ 3 ปีก่อน
เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับวงจรดอกเบี้ยขาขึ้น จึงขอนำกลวิธีในการปรับพอร์ตการลงทุนด้วยตนเองแบบง่ายๆ มาฝากกันค่ะ

1) แบ่งเงินฝาก/กองทุนรวมตราสารหนี้ให้ทยอยครบอายุ มีคนจำนวนมากมักเข้าใจว่าในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นนั้นควรฝากเงินไว้ในเงินฝากระยะสั้นหรือกองทุนรวมตลาดเงินแต่เพียงอย่างเดียวเพื่อรอลงทุนในตราสารที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงเมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้น อันที่จริงแล้วการทำเช่นนี้อาจทำให้ผู้ลงทุนเสียโอกาสในการลงทุนได้ เนื่องจากอัตราผลตอบแทนที่ได้รับมักอยู่ในระดับที่ต่ำมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อที่กำลังถีบตัวสูงขึ้น ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงควรใช้วิธีฝากเงิน หรือซื้อกองทุนตราสารหนี้ให้ทยอยครบกำหนดทุกระยะเวลา 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน และ 12 เดือน เป็นต้น โดยคำนึงถึงช่วงเวลาที่ต้องการใช้เงินควบคู่ไปด้วย เพื่อที่ว่าเมื่อเงินฝากหรือกองทุนรวมเหล่านี้ครบอายุ ผู้ลงทุนก็จะมีโอกาสนำเงินที่ครบดังกล่าวไปลงทุนให้ได้รับอัตราผลตอบแทนสูงขึ้นในอนาคต โดยอัตราผลตอบแทนรวมตลอดระยะเวลาการลงทุนมักอยู่ในระดับที่สูงกว่าการทิ้งเงินไว้ในบัญชีเงินฝากระยะสั้นๆ แต่เพียงอย่างเดียว

2) หลีกเลี่ยงตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวที่มีความน่าเชื่อถือไม่สูงนัก ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเริ่มปรับตัวสูงขึ้นมักเป็นช่วงเวลาที่ผู้ออกตราสารหนี้ภาคเอกชนถือเป็นโอกาสอันดีในการออกหุ้นกู้ระยะยาวเพื่อรักษาต้นทุนเงินกู้ของตนไว้ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตามก่อนตัดสินใจลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนเหล่านี้ ผู้ลงทุนควรที่จะให้ความสำคัญกับระดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสารมากกว่าอัตราดอกเบี้ยที่จะได้รับแต่เพียงอย่างเดียว เพราะอัตราดอกเบี้ยที่สูงไม่สามารถชดเชยกับการสูญเสียเงินต้นทั้งหมดหรือบางส่วนได้ นอกจากนี้ยังควรพิจารณาถึงประวัติการผิดนัดชำระหนี้ รวมถึงความมีธรรมาภิบาลขององค์กรด้วย เพราะหากผู้บริหารองค์กรไม่มีความซื่อสัตย์กับลูกค้า พนักงาน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ แล้ว ก็ยากที่จะคาดหวังให้องค์กรมีความซื่อสัตย์กับประชาชนทั่วไปที่เป็นเจ้าหนี้ได้

3) หาโอกาส Refinance หนี้ ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเริ่มปรับตัวขึ้นนั้น หากผู้ที่กำลังผ่อนบ้านอยู่ในช่วงที่สามารถเลือกกู้เงินก้อนใหม่ในอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ แทนอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ก็จะช่วยทำให้ภาระดอกเบี้ยเงินกู้บ้านในอนาคตลดลงได้

4) ลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ใช้สินค้าโภคภัณฑ์เป็นวัตถุดิบในการผลิต สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้มากขึ้น ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯปรับตัวขึ้นนั้น ค่าเงินดอลลาร์มักจะแข็งค่าขึ้นไปด้วย ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในรูปเงินดอลลาร์มีราคาลดลง ซึ่งช่วยให้บริษัทที่ใช้สินค้าโภคภัณฑ์เป็นวัตถุดิบในการผลิตมีต้นทุนที่ต่ำลง ส่งผลให้อัตรากำไรของบริษัทเหล่านี้มีโอกาสสูงขึ้นด้วย ถือเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อได้ดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น

รู้อย่างนี้แล้วอย่าลืมตรวจเช็คพอร์ตการลงทุน เพื่อเตรียมรับอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นกันนะคะ

from
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20100815/347982/%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2-%E2%80%9C%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99%E2%80%9D.html


'ขวัญเรือน' โชวห่วยพันธุ์แกร่ง เปิดกลยุทธ์ชนโมเดิร์นเทรด

ในยุคที่ห้างค้าปลีกค้าส่งขนาดยักษ์ หรือโมเดิร์นเทรด เข้ามาบุกยึดครองตลาดค้าปลีกค้าส่งแทบเบ็ดเสร็จ ก่อให้เกิดความกังวลว่า ร้านขายของชำรายย่อยแบบโบราณ หรือที่เรียกกันติดปากว่า “โชวห่วย” จะต้องสูญพันธุ์ไปในที่สุด

แต่สำหรับผู้ประกอบการร้าน “ขวัญเรือน” ใน อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี อาศัยข้อได้เปรียบในฐานะเจ้าถิ่น เข้าใจธรรมชาติผู้บริโภคในพื้นที่ลึกซึ้ง ผสานกับพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ช่วยให้โชวห่วยรายนี้ ไม่เพียงแต่ประคองตัวอยู่รอดได้เท่านั้น หากยังยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งอีกด้วย


พนักงานกำลังจัดเรียงสินค้า


***ลูกแม่ค้า แจ้งเกิดตลาดสด***

ขวัญเรือน สุขนิรัญ เจ้าของร้าน “ขวัญเรือน” วัย 40 ปี เล่าว่า ครอบครัวทำมาหากินค้าขายอยู่ในตลาดสด อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ชีวิตจึงคลุกคลีอยู่ในตลาดสดตั้งแต่จำความได้ และด้วยข้อจำกัดของฐานะทางบ้าน โอกาสการศึกษาต้องหยุดแค่ ป.6 หลังจากนั้น ออกมาช่วยค้าขายอยู่ในตลาดเรื่อยมา

ด้วยความเป็นคนขยันและทุ่มเท เธอสามารถตั้งตัวเปิดร้านโชวห่วย ขนาด 1 คูหาของตัวเองได้ในวัยเพียง 26 ปี แต่เวลานั้น ยังอ่อนประสบการณ์ ประกอบกับมีปัญหาชีวิตคู่ กิจการในช่วงแรกๆ จึงประสบปัญหาอย่างมาก ถึงขั้นเป็นหนี้สะสางกว่า 2 ล้านบาท

“ตอนนั้น ดิฉันพยายามทิ้งปัญหาเก่าๆ กลับมาตั้งต้นใหม่ โดยเจรจาขอผ่อนใช้หนี้กับบริษัทซับพรายเออร์ต่างๆ เน้นรักษาวินัยชำระคืนให้ตรงต่อเวลา แล้วค่อยๆเคลียร์หนี้ทีละราย จนผ่านไปกว่า 2 ปีสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ และมีกำไรมาหมุนเวียนกิจการ นอกจากนั้น ได้รับความช่วยเหลือจากเอสเอ็มอีแบงก์ (ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย) รีไฟแนนท์จากธนาคารเดิมช่วยแบ่งเบาอัตราดอกเบี้ยต่ำลง ทำให้มีสภาพคล่องมากขึ้น” ขวัญเรือน เล่าย้อน


ขวัญเรือน สุขนิรัญ เจ้าของร้าน “ขวัญเรือน”


***ชูกลยุทธ์ราคาถูกและหลากหลาย***

ร้าน “ขวัญเรือน” มีทั้งส่วนค้าส่ง หรือที่เรียกแบบบ้านๆ ว่า “ยี่ปั้ว” กับส่วนค้าปลีก สำหรับส่วนค้าส่ง ได้ขยายกิจการ ย้ายมาตั้งร้านที่ อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี บนพื้นที่กว่า 300 ตารางวา เมื่อราว 7 ปีที่แล้ว มีจุดแข็ง คือ ราคาสินค้าโดยเฉลี่ยจะถูกกว่าในห้างโมเดิร์นเทรด เนื่องจากยอมที่จะได้กำไรส่วนต่างน้อยกว่า อีกทั้ง มีสินค้าหลากหลาย กว่า 5 พันรายการ โดยเฉพาะสินค้าบางประเภท ซึ่งไม่สามารถหาได้ในห้างดัง แต่คนท้องถิ่นมีความจำเป็นต้องใช้ จะสามารถมาหาได้ที่ร้านขวัญเรือน


“เนื่องจากดิฉันเป็นคนท้องถิ่น อยู่ในตลาดตั้งแต่เกิด ทำให้รู้ว่า ความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค สินค้าบางอย่างห้างอาจมองข้าม หรือเป็นสินค้าชุมชน ซึ่งมาตรฐานยังไม่สามารถเข้าห้างได้ แต่ชาวบ้านต้องการใช้ เราก็จะนำสินค้าเหล่านี้มาขายด้วย” เจ้าของร้าน เผยและอธิบายต่อว่า

“สำหรับเคล็ดลับสำคัญ คือ เมื่อซื้อสินค้ามาแล้ว ต้องปล่อยออกให้เร็วที่สุด โดยพยายามซื้อสินค้าจากบริษัทผู้ผลิตโดยตรง ตัดขั้นตอนผ่านตัวแทนตรงกลาง ซึ่งจะทำให้ได้สินค้าต้นทุนต่ำ สามารถมาขายต่อได้ในราคาที่ถูกกว่าสินค้าในห้าง เมื่อลูกค้ามาซื้อสินค้าได้ในราคาถูก ทำให้เกิดกระแสบอกต่อว่า ไม่จำเป็นต้องไปซื้อที่ห้างก็ได้ เพราะร้านขวัญเรือน มีสินค้าที่เขาต้องการครบถ้วน ราคาถูกกว่า และอยู่ในท้องถิ่นใกล้บ้าน” เจ้าของกิจการ เผย

***ยกระดับโชวห่วยชนห้างยักษ์ ***

ร้านแห่งนี้ ยังให้ความสำคัญด้านพัฒนาความสามารถตัวเอง โดยเฉพาะการบริหารสต๊อก ลงทุนกว่า 1.5 ล้านบาท นำระบบไอทีมาใช้ตรวจนับสินค้าและคุ้มบัญชีการเงิน อีกทั้ง จัดอบรมพนักงานในสังกัดกว่า 26 คน ในด้านวิธีจัดสต๊อกสินค้าแบบมืออาชีพ ทั้งจัดเรียง และวางตำแหน่งสินค้า เป็นต้น

นอกจากนั้น ยังมีบริการเสริมแบบที่ห้างยักษ์ใหญ่ทำให้ไม่ได้ เช่น มีรถซาเล้งบริการวิ่งส่งสินค้าภายในชุมชน จัดโปรโมชั่นพิเศษในรูปแบบเฉพาะตัว และเนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี การบริการจึงเป็นไปอย่างอะลุ่มอล่วยมีความยืดหยุ่นสูง ช่วยให้เกิดความผูกพันใกล้ชิดระหว่างผู้ซื้อและลูกค้า

ขวัญเรือน ระบุว่า ตั้งแต่เปิดร้านขายส่งมากว่า 7 ปี ไม่เคยหยุดแม้แต่วันเดียว โดยเปิดบริการตั้งแต่ 4.00-23.00 น.ทุกวัน ส่งผลให้ปัจจุบัน ร้านแห่งนี้ถือเป็นยี่ปั๊วรายใหญ่ประจำท้องถิ่น มีเงินหมุนเวียน ประมาณ 10-11 ล้านบาทต่อเดือน ลูกค้าหลักคือ ร้านโชวห่วยขนาดย่อยๆ ในท้องถิ่น อ.ท่ายาง และใกล้เคียง ทั้งใน จ.เพชรบุรี เรื่อยไปถึง จ.ประจวบคิรีขันธ์

ในส่วนขายปลีก เธอ เผยว่า ได้ปรับปรุงร้านในตลาดสดให้กลายเป็นมินิมาร์ทสมัยใหม่ครบวงจร ขนาด 3 คูหา ใช้ชื่อร้านว่า “ขวัญเรือน” เช่นกัน ภายนอกตกแต่งร้านสวยงาม เป็นห้องกระจก ติดเครื่องปรับอากาศ พนักงานสวมใส่ยูนิฟอร์ม และมีรูปแบบบริการแบบมืออาชีพ ขณะเดียวกัน เน้นจุดแข็งเช่นเดียวกับร้านขายส่ง คือ ราคาสินค้าถูกกว่าร้านสะดวกซื้อเจ้าดัง และมีสินค้าให้เลือกหลากหลาย ช่วยให้กิจการเป็นไปได้ด้วยดี มียอดซื้อกว่า 600 บิลต่อวัน

“ดิฉันพยายามพัฒนาให้แข่งขันกับรายใหญ่ได้ เพราะส่วนตัว ไม่ชอบอยู่ภายใต้ชื่อใคร ของเราก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องพึ่งแบรนด์ต่างชาติเท่านั้น อยากให้ลองมาสัมผัส จะรู้ว่าโชวห่วยฝีมือคนไทยก็สร้างความประทับใจได้ไม่แพ้กัน” ขวัญเรือน ย้ำอย่างมั่นใจ


from
http://manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9530000106644


10 เครื่องมือตลาดที่ (SMEs) ควรรู้

โดยในช่วงระยะเวลา 10ปีที่ผ่านมานั้น เครื่องมือการตลาดที่เข้ามาเป็น ‘ตัวช่วย’ให้ประสบความสำเร็จ หลักๆมี 10อย่างด้วยกันที่ควรรู้ ซึ่งแต่ละอย่างมีข้อดีแตกต่างกันทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์กับการทำธุรกิจนั้นๆ ลองดูซิว่าเครื่องมือไหนสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของคุณมากที่สุด

1. Digital marketing ได้เข้ามามีบาทบาทกับกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นอายุตั้งแต่ Per-teen ก่อน 13 ปี จนถึงวัยTeen ที่มีอายุ 13-18ปี เพราะ อินเตอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ ถือเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตของพวกเขาไปเสียแล้ว ดังนั้นกิจกรรมออนไลน์ผ่านตามเวบไซต์ มือถือ ในรูปแบบแคมเปญต่างๆมักจะได้รับความสนใจจากกลุ่มวัยรุ่น ยกตัวอย่างเช่น ไอศกรีมวอลล์ ออกแคมเปญกระตุ้นยอดขายผ่านเวบไซต์ เพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ ของกลุ่มเป้าหมาย

2. Word of Mouth เป็นกลยุทธ์ที่ใช้งบประมาณน้อย เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการสร้างกระแสความตื่นเต้นและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับสินค้าหรือบริการได้ดีไม่แพ้สื่อหลักอย่างโทรทัศน์วิทยุ ซึ่งวิธีนี้จะต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการนำเสนอเรื่องราวให้เป็นที่สนใจกับสื่อมวลชน เชื่อว่า หลายคนคงรู้จัก ตัน โออิชิ กันเป็นอย่างดีในฐานะพรีเซ็นเตอร์ เพราะวิธีการนำเสนอสินค้า แคมเปญแต่ละครั้ง ที่แปลกและแตกต่างชนิดที่ไม่ต้องเสียเงินจ้างดารามาเป็นพรีเซ็นเตอร์

3. Sport Marketing เป็นการเชื่อมต่อ ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคให้มีความใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น โดยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีกับตัวแบรนด์ (Brand Experience) ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า แม้กระทั้งรถกระบะวีโก้ ของค่ายโตโยต้า ยังลงโดดลงมาทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับกีฬาตระกร้อ ภายใต้ชื่อ วีโก้ คัพ เป็นครั้งแรก เพื่อต้องการใกล้ชิดกับกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากการที่แข่งโฆษณาประสิทธิภาพเครื่องยนต์ เท่านั้น

4. Music Marketing ถือเป็นสูตรสำเร็จอย่างหนึ่งในการทำตลาดด้วยการใช้นักร้องมาดึงดูดความสนใจของวัยรุ่น ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของตลาด ยกตัวอย่าง เช่น เครื่องดื่มเป๊ปซี่ ที่ใช้ดนตรีเข้ามาเป็นตัวกลางในการสื่อสารกับผู้บริโภคซึ่งในแต่ละปีจะมีการเลือกนักร้องที่ได้รับความนิยมเข้ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมเข้ามาสนับสนุนคอนเสิร์ตเพื่อเปิดโอกาสให้คนดื่มเป๊ปซี่ได้เข้าไปชม

5. Out of Home Media หมายถึง สื่อนอกบ้าน ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจของนักการตลาดมากขึ้นเมื่อสื่อหลักอย่าง ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ มีราคาสูง แต่กลับได้รับความสนใจจากผู้บริโภคในการรับสื่อลดน้อยลง เจ้าสินค้าจึงหันใช้สื่อนอกบ้านเพิ่มขึ้นอาทิ ทีวีในลิฟต์ ในเชลฟ์ขายของ Big Banner ในบริเวณที่เป็นจุดที่มีคนสัญจรไปมาเป็นจำนวนมาก อย่างสยามเซ็นเตอร์ เซ็นเตอร์พ้อยท์ เพราะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ชีวิตอยู่นอกบ้านมากขึ้น

6. Premium Marketing คือกลยุทธ์การแจกของพรีเมี่ยม ของสมนาคุณ ที่เจ้าของธุรกิจแจกจ่ายให้เป็นของแถมสำหรับผู้ที่ซื้อสินค้าหรือเข้ามาใช้บริการ ซึ่งเป็น ‘ลูกเล่น’ การตลาดที่ได้รับความนิยมทุกวงการ โดยเฉพาะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเป็นเหล้านอก เหล้าไทย เบียร์ ส่วนหนึ่งเพราะข้อจำกัดเรื่องโฆษณาสินค้า แต่เชื่อหรือไม่ว่า สิ่งเหล่านี้สามารถดึงดูดความสนใจลูกค้าได้มหาศาล

7. Personal Selling การใช้พนักงานขายช่วยแนะนำคนซื้อ ณ จุดขาย เริ่มกลับมาได้รับความนิยมมาก เพราะสามารถกระตุ้นยอดขายได้ตามเป้าหมาย ซึ่งจะเห็นภาพชัดในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ลูกค้าต้องการทราบข้อมูลสินค้ารวมทั้งวิธีการใช้งาน ซึ่งหัวใจสำคัญของวิธีนี้คือการฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้เชี่ยวชาญในสินค้าและบริการนั้นๆ รวมถึงสามารถเปรียบข้อดีข้อเสียระหว่างสินค้าที่ขายกับสินค้าคู่แข่งได้อย่างชัดเจน โดยอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง

8. Direct marketing คือ เครื่องมือ ประกอบการขายสินค้าที่จะมี ‘สื่อ’ เข้ามาเกี่ยวข้องที่เห็นบ่อยๆ เช่น ไดเร็กเมล์ ช้อบปิ้ง แค็ตตาล็อก รวมไปถึงการขายสินค้าทางทีวีต่างๆ ที่คุ้นเคยกันดี ซึ่งสินค้าทุกประเภทสามารถใช้ได้เครื่องมือการตลาดนี้ได้ด้วยการทำเอง หรือเข้าร่วมกับตัวกลางที่มีสื่อ ไดเร็กเมล์ อยู่แล้ว อย่างเช่นบัตรเครดิตการ์ด หรือ บริษัทขายตรง ที่มีแค็ตตาล็อกเซลล์ เป็นต้น

9. Promotion กิจกรรมส่งเสริมการขาย กลายเป็นตัวช่วยสำคัญ ในการจูงใจผู้บริโภคให้เข้ามาจับจ่ายใช้สอย หลักๆคงหนีไม่พ้นการลดราคา และกิจกรรมชิงโชค ซึ่งสามารถกระตุ้นต่อมการซื้อได้ง่ายกว่าวิธีการอื่นๆ จึงไม่น่าแปลกใจที่มักจะเห็นกิจกรรมเหล่านี้เพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ยอดขายสินค้าไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

10. Innovation หรือนวัตกรรม ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ต่อให้ทำตลาดดี แต่ถ้าสินค้าไม่ดี ก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จ เพราะลูกค้าจะไม่มีวันซื้อซ้ำ ยิ่งยุคสมัยนี้ การพัฒนาสินค้าใหม่ ถือเป็นเรื่องสำคัญเพราะคงไม่มีสินค้าไหนที่สามารถอยู่ได้ในทุกยุคสมัยโดยมีได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา ยกตัวอย่าง กระแสผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ รักษาสิ่งแวดล้อมจะได้รับความนิยมจากผู้บริโภคไทย ล่าสุดทาง ไอ.ซี.ซี. บริษัทในเครือสหพัฒน ได้ร่วมกับสำนักนวัตกรรมแห่งชาติ การผลิตกระเป๋าผ้านาโนบีเอสซี เพื่อร่วมรณรงค์ให้คนไทยหันมาใช้กระเป๋าผ้าแทนถุงพลาสติก เป็นต้น


from
http://manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9530000112269

www.smethailandclub.com


ปฏิรูป : จุดบอดที่น่าขจัด

หลีจื๊อ นักปราชญ์จีน สมัย 24 ศตวรรษก่อน มีความรอบรู้ยิ่งในคำสอนของปรมาจารย์เล่าจื๊อ และยอดนักการปกครองขงจื๊อ


ขนาดสามารถตีความคำสอนที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันของทั้งสองท่าน ให้มีความกลมกลืนกันได้ ท่านหลีจื๊อได้เล่านิทานอมตะสอนใจไว้เรื่องหนึ่ง ดังนี้


กาลครั้งหนึ่ง มีชายคนหนึ่งในแคว้นฉี เป็นคนหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องเงินๆ ทองๆ แต่กลับยากจนมาตลอด อย่างเก่งก็เก็บสะสมได้ไม่เคยเกินหนึ่งเหรียญทอง ที่น่าเวทนายิ่ง ก็คือ มีสังขารวัยชราภาพ เวลาเดิน จะสะบัดไปซ้ายทีขวาที


ตื่นนอนเช้า ชายชราจะคิดแต่เรื่องเงินๆ ทองๆ เข้านอนค่ำ ก็ฝันแต่เรื่องเงินๆ ทองๆ ไม่ว่าจะ "ตีนถีบปากกัด" ขนาดใด ก็ไม่ร่ำรวยขึ้นมาสักที


วันหนึ่งๆ ชายชราจะเดินไปยังบ้านเศรษฐีทั้งหลาย เพื่อของานทำ ก็ได้แต่งานที่ต้องใช้แรงกาย โดยได้รับค่าจ้างตอบแทนแบบย่ำแย่มาก พอได้เงินมาบ้าง ก็นำไปเล่นพนันที่หน้าร้านขายเหล้า ปรากฏว่า ต้องสิ้นเนื้อประดาตัวกลับบ้านทุกครั้ง ในที่สุด เหรียญทองสุดท้ายในย่าม มีอันต้องหลุดจากมือตน เข้าสู่กระเป๋าของเซียนพนันผู้เป็นเจ้ามือ


วันหนึ่ง ชายชราตื่นแต่เช้าตรู่ จัดแจงแต่งตัวให้แลดูเรียบร้อย แล้วเดินไปยังตลาด ตรงรี่ไปที่ซุ้มขายทอง พลันฉกฉวยทองคำแท่งใหญ่ได้แท่งหนึ่ง แล้วรีบวิ่งกระย่องกระแย่งหนีไปตามทางเท้า ทว่า วิ่งไปได้ไม่นาน ก็ถลาเข้าชนเจ้าหน้าที่รักษาการณ์คนหนึ่งอย่างจัง เลยถูกลากเข้าห้องขังตามระเบียบ


"เจ้าคิดยังไงถึงได้ไปขโมยทองคำแท่งของคนอื่น ต่อหน้าผู้คนตั้งมากมายเช่นนั้น" ผู้พิพากษาถามชายชราด้วยความสงสัย


"ข้าแต่ศาลที่เคารพ เมื่อตอนที่คว้าทองแท่งนั้น ข้าฯ มองเห็นแต่ทองแท่ง มองไม่เห็นคนอื่นเลย ขอรับ" ชายชรากล่าวตอบอย่างตรงไปตรงมา


ท่านหลีจื๊อสรุปไว้ว่า เรามักมองไม่เห็น "ปัจจัยอันประเสริฐ" ในชีวิตเรา โดยมุ่งมั่นแต่ที่จะ "มี" หรือ "ครอบครอง" ปัจจัยที่เราปรารถนาให้มี "ค่า" ต่อตน แทนที่จะมุ่งมั่นอยู่กับ "ความเป็นจริง"


"ปัจจัยอันประเสริฐ" ได้แก่ "ศีลธรรม" "จริยธรรม" "การทำตนให้เป็นคุณเสริมสร้างต่อสังคม" "ความพอเพียง" ตลอดจน "ความเป็นตัวของตัวเอง" ซึ่งล้วนแล้วแต่มี "คุณค่า" สูงยิ่งต่อผู้อื่นและตัวเรา ส่วนการครอบครองปัจจัยมี "ค่า" โดยมิชอบด้วย "ศีลธรรม" "จริยธรรม" คือ การไม่ได้อยู่กับ "ความเป็นจริง" ในที่สุด ก็จะได้รับการตอบสนองด้วยความเป็นธรรมจาก "ความเป็นจริง"


นิทานดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า ความปรารถนาที่จะร่ำรวยโดยมิได้คำนึงถึง "ความเป็นจริง" ได้ก่อให้เกิด "จุดบอด" ซึ่งส่งผลให้ชายชรามองไม่เห็นผู้คนทั้งหลายและเจ้าหน้าที่รักษาการณ์ในตลาด เพราะกำลังหน้ามืดมองเห็นแต่ทองคำแท่งสีเหลืองอร่ามงามวาววับ ซึ่งตนปรารถนาสุดชีวิตจะมีไว้ครอบครอง ทว่า ในที่สุด "ความเป็นจริง" ก็ทำให้ทองแท่งกับชายชราต้องพลัดพรากจากกัน คือ ทองแท่งกลับไปหาเจ้าของโดยชอบ ส่วนชายชราก็ย้ายที่พักเข้าห้องคุมขังเรียบร้อยโรงเรียนจีนไป


ใครที่ฉ้อฉลฉ้อโกงเงินของแผ่นดินไป ไม่ว่าจำนวนเท่าใด หนึ่งล้านหรือหลายหมื่นล้านบาท ก็เปรียบได้กับชายชราดังกล่าว สักวันหนึ่ง จะวิ่งไปชนเจ้าหน้าที่รักษาการณ์ มิฉะนั้น ความตายตามกฎแห่งธรรมชาติ จะย่างกรายเข้ามากระชากเงินแผ่นดินที่ถูกโกงไป ให้หลุดออกจากมือตนอย่างแน่นอน


การใช้ชีวิตบน "ศีลธรรม" "จริยธรรม" "การทำตนให้เป็นคุณเสริมสร้างต่อสังคม" "ความพอเพียง" ตลอดจน "ความเป็นตัวของตัวเอง" คือ "ความร่ำรวยด้วยความสุข" ที่ไม่มีใครหรืออำนาจใด สามารถทำให้พลัดพรากจากผู้ใช้วิถีชีวิตดังกล่าวได้เลย


"ลัทธิสัตว์เศรษฐกิจ" ที่เน้น "การครอบครองทรัพย์สินเงินทอง" โดยไม่คำนึงถึง "ความเป็นจริง" จึงเป็นลัทธิของคนมี "จุดบอด" ไม่ต่างอะไรจากชายชราดังกล่าว


หากจะปฏิรูปประเทศไทย เราน่าจะขจัด "จุดบอด" ดังกล่าว ด้วยการเสริมสร้าง "ลัทธิสัตว์ประเสริฐ" ที่นิยมวิถีชีวิตดังกล่าว เพื่อว่าผู้ด้อยโอกาสทั้งหลายจะได้ไม่ต้องตกอยู่ในสภาพอดมื้อกินมื้อต่อไป ซึ่งเป็นสภาพที่ย่ำแย่กว่าสัตว์เลี้ยงในบ้านเสียอีก


หากต้องการปฏิรูปจริง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คือหน่วยงานแรกที่น่าจะได้รับการยุบก่อนอื่นใด แล้วสถาปนาสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการสังคมและเศรษฐกิจแห่งชาติ ขึ้นมาแทนที่


ตราบใดที่จิตวิญญาณ "เศรษฐกิจ" ยังนำหน้า จิตวิญญาณ "สังคม" เราก็จะยังมีคนแบบชายชราดังกล่าวอีกนับไม่ถ้วน


แล้วจะพัฒนาหาวิมานอะไรมิทราบ?


from
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/reader-opinion/20100812/347816/%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B-:-%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94.html


ตะลึงธรรมชาติ - ตื่นตากับทุ่งดอกกระเจียว ชวนสัมผัสความงามธรรมชาติกับเทศกาลฤดูฝน ตะลุยหยิบหมอก... หยอกดอกกระเจียว และ ชมหมู่บ้านดินเทพนา แห่ง....ชุมชนยั่งยืน

วันนี้ผมขอพักสักวันหนีเมืองกรุงที่อากาศร้อนๆ (การเมือง) พาไปเที่ยว 1 วัน 1 คืนสัมผัสแห่งทุ่งสวรรค์จับทะเลหมอกชมทุ่งดอกกระเจียวบานเพชร เม็ดงามแดนอีสานกันนะครับซึ่งเป็นที่ที่หลายๆคนรอคอย จะได้เดินทางมาเยือนดินแดน ที่เปรียบเป็นสวรรค์แห่งดอกไม้

ถ้าจะมาเพื่อชมความงานควรจะมาช่วงเดือนมิถุนายน – เดือนสิงหาคม นะครับ ณ. อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ

ที่นี่ ณ.จังหวัดชัยภูมิเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวของประเทศไทยแห่งหนึ่ง ที่สร้างชื่อเสียงไปทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะความสวยงามของผืนป่าภูเขียว น้ำตกตาดโตน ที่มีมนต์เสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาเยือนอยู่ไม่ขาด ยิ่งในช่วงต้นฤดูฝนที่พัดผ่านมาในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิเป็นสัญญาณบอกให้เราทราบ ว่าเริ่มเข้าสู่ฤดูการท่องเที่ยวเทศกาลทุ่งดอกกระเจียวบานที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของจังหวัดชัยภูมิ ซึ่งเป็นที่รู้จักของคนไทยทั้งประเทศก็ว่าได้

ณ. อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม เป็นอีกสถานที่หนึ่งของจังหวัดชัยภูมิ ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาตินิยมเดินทางไปเที่ยวชมความงามของธรรมชาติของ ทุ่งดอกกระเจียว หลากสีอันไกลโพ้นสุดลูกหูลูกตาเกิดอยู่ท่ามกลางโขดหินและทะเลหมอก โดยเมื่อย่างเข้าฤดูฝนในช่วงต้นเดือนมิถุนายนถึงปลายเดือนสิงหาคมของทุกปี ที่นักท่องเที่ยวต่างตั้งใจเดินทางมาดูมาชมความงดงามตระการตาของดอกสีชมพูม่วงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ออกดอกชู่ช่อไปทั้งผืนป่าตัดกับสีเขียวขจีของดงหญ้าเพ็กและโขดหินที่เต็มไปด้วยเฟิน กล้วยไม้ป่านานาชนิด ประดุจเทพจากสวรรค์ได้ประทานให้แผ่นดินแห่งนี้เป็นทุ่งดอกกระเจียวที่เกิดตามธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลกและงดงามที่สุดในประเทศไทย


ก่อนอื่นขอพาไปชมทุ่งหญ้าเพ็กสีเขียว และความสดใสของดอกกระเจียวสีชมพูอมม่วง ที่ล้อสายหมอก หยอกสายลมในช่วงหน้าฝน ที่ใครหลายคนคิดว่าเป็นฤดูที่แตกต่าง ต่อไปก็จะเป็นหน้าผามองไกลสุดหูสุดตา ชาวบ้านแถวนี้เรียกว่า..ผาสุดแผ่นดิน...เพราะเป็นที่ดินที่สุดระหว่างภาคเหนือและภาคอีสานครับ ต่อด้วยชมสวนหินงามป่าหินล้านปี ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติปั้นแต่ง ตามแต่จะสุดจินตนาการ

หลังจากชมความงามของธรรมชาติแล้วผมขอพามาชมบ้านดินเทพนา ชุมชน มั่นยืน บ้านเทพนา อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ เป็นชุมชนที่ได้รับผลกระทบที่เป็นรูปธรรมจากการพัฒนากระแสหลัก ชุมชนเดิมล่มสลายจากการก่อสร้างเขื่อน ชาวบ้านจึงได้รวมกลุ่ม ในนามของ “สหกรณ์การเกษตรปฏิรูปที่ดินชุมชนมั่นยืนจำกัด” เพื่อกู้เงินนำไปซื้อที่ดินจำนวน ๑,๐๐๐ ไร่และตั้งชุมชนใหม่เพื่อการพึ่งตนเอง โดยที่ดินทั้งหมดเป็นของสหกรณ์ มีการจัดพื้นที่เพื่อการใช้ประโยชน์จากสมาชิกชุมชน มุ่งไปสู่ชุมชนแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน เป็นการแสวงหาทางออกเพื่อความเป็นไทจากโครงสร้างทุนนิยมและบริโภคนิยม ในรูปแบบโครงการพระราชดำริคือ การเกษตรแบบพอเพียง ทำการผลิตเพื่อกินเพื่ออยู่ ให้พร้อมสมบูรณ์ในปัจจัย ๔ ส่วนที่เหลือจึงค่อยขายและจำหน่ายจ่ายแจกไปยังชุมชนต่างๆ อาศัยภูมิปัญญาชาวบ้านและเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับท้องถิ่น ไม่ทำลายธรรมชาติและสภาพแวดล้อม บ้าน เป็นหนึ่งในปัจจัย ๔ ที่ชุมชนมั่นยืนต้องการ ซึ่งบ้านควรกลมกลืน เกื้อกูลกับสภาพแวดล้อม และเป็นบ้านแบบพื้นบ้านใช้วัสดุจากธรรมชาติ ลงทุนน้อย บ้านดิน เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมอีกทางเลือกหนึ่งที่ชุมชนมั่นยืนใช้เพื่อแสวงหาแนวทาง ในการพึ่งตนเอง ทางอาศรมวงศ์สนิท ในมูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป จึงได้จัดโครงการนี้ขึ้นเพื่อระดมความร่วมมือในเชิงลงแขกทำบ้านเพื่อฟื้นฟู ประเพณีและฝึกทักษะการทำบ้านดินด้วยตนเอง หลายท่านอาจจะได้ยินข่าวถึงความอัปยศอดสูของคนไทยที่มุ่งทำลายล้างกันเอง ด้วยความขัดแย้งในเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์ โดยเฉพาะกรณีการเผาหมู่บ้านแม่มูนมั่นยืน1 ที่ อ.โขงเจียม จ. อุบลราชธานี ซึ่งสิ่งเหล่านั้นอาจจะเป็นตัวอย่างให้เราได้เข้าใจความกดดันและความบีบคั้น ของชาวบ้านที่โดนกระแสทุนนิยมขับไล่ออกจากผืนธรรมชาติที่เขาเคยอาศัยอยู่ได้ เป็นอย่างดี
ผู้ที่รักธรรมชาติที่สนใจจะมาเที่ยวหมู่บ้านดินแห่งนี้ อยู่ไม่ไกลจากทุ่งดอกกระเจียวเท่าไหร่ ก่อนถึงอุทยานป่าหินงาม ก็เลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าไปทางอุทยานไทรทองไป ประมาณ 5 กิโล เท่านั้น ท่านก็ได้พบหมู่บ้านดินเทพนาที่สวยงาม อากาศที่นี่หนาวทั้งปีครับ ฉะนั้นบ้านดินเหมาะกับอากาศหนาวจะอุ่นเมื่ออากาศเย็นอุ่นดีจริงๆไปลองพักดูครับ ราคาค่าที่พักที่นี่ไม่แพงครับ 1 หลังนอนได้ 4 ท่าน ราคา 1000 บาท ชาวบ้านที่นี่จะเวียนกันมาคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกวัน สำหรับท่านที่จะมาจัดสัมนาที่นี่บ้านดินหลังใหญ่ก็สามารถรองรับ ได้ ถึง 200 คนเลยทีเดียวครับ



ของฝากที่นี่ส่วนมากจะเป็นผลไม่ที่ชาวบ้านปลูกกันเอง และ จำพวกกล้วยไม้สวยงามหายากก็มีครับลองไปเยี่ยมชมดูท่านจะประทับใจมาก
แต่คนที่คอยท่านอยู่ทุกวันที่นี่ คือ ป้าอ่อนผู้ใจดีครับ
ติดต่อท่านได้โดยตรงครับ 084-8773298 ทุกเวลา
ก่อนกลับผมได้แวะเยี่ยมชมสถานที่เพาะ ต้นตะบองเพชร หรือ cactus
น่าสนใจครับที่นี่คุณลุงคอยต้อนรับท่านด้วยความเต็มใจ ที่นี่เพาะเพื่อส่ง ออกครับสวยงามมาก อยู่ระหว่าง ถนนสาย ชัยบาดาล – เทพสถิต กม.ที่ 287 ก่อนถึง อ.เทพสถิต 7 กม. หน้าทางเข้าชื่อหมู่บ้าน ซับไทร เข้าไป ประมาณ 1 กม. ด้านซ้ายเป็นกระโจมสีขาวไปเยี่ยมชมดูได้ครับ สวยจริงๆ




http://www.oknation.net/blog/print.php?id=482469


ที่มาของการเติบโต

ที่มาของการเติบโต

ในการค้นหาหุ้นเติบโตนั้น สิ่งที่เราควรสนใจยิ่งกว่าระดับของการเติบโต คือ "สาเหตุเบื้องหลัง" ที่ทำให้ธุรกิจนั้นเติบโตว่าคืออะไร การที่ธุรกิจเติบโตได้สูงมากในปีปัจจุบันนั้น ไม่อาจการันตีได้เลยว่า การเติบโตในช่วงถัดไปจะต้องเป็นไปในทำนองเดียวกันด้วย เพราะสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังการเติบโตของแต่ละบริษัทนั้นเป็นไปได้ร้อยแปด บางอย่างดำรงอยู่ได้นาน แต่บางอย่างก็ฉาบฉวย บริษัทที่โตสูงมากปีเดียวแล้วปีถัดมากลายเป็นหนังคนละม้วนมีให้เห็นเป็นประจำในตลาดหุ้น การเข้าใจว่าบริษัทเติบโตเพราะอะไรจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่า เพราะมันคือสิ่งที่จะตอบคำถามเราทั้งหมดเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นเติบโต ได้แก่ การเติบโตที่เกิดขึ้นจะเกิดขึ้นต่อไปได้หรือไม่? เมื่อลงทุนไปแล้วจะลงทุนต่อได้นานแค่ไหน? เมื่อไรควรจะหยุดลงทุนได้แล้ว เพราะสาเหตุที่ทำให้เติบโตนั้นได้หายไปแล้ว เป็นต้น

ถ้ากำไรรายไตรมาสของบริษัทหนึ่งเพิ่มขึ้นเพราะมาร์จิ้นของบริษัทดีขึ้น เช่น บริษัทดำเนินมาตรการลดค่าใช้จ่าย ใช้เครื่องจักรรุ่นใหม่ที่ประหยัดพลังงานกว่าเดิม หรือนำธุรกิจที่ไม่ทำเงินออกขายทอดตลาดเพื่อลดผลขาดทุน การเติบโตของกำไรแบบนี้อาจส่งผลดีต่อพื้นฐานมาก เพราะช่วยให้องค์กรมีประสิทธิภาพสูงขึ้นด้วย (ลดไขมัน) แต่หากมองในแง่ของการเติบโตแล้ว การเติบโตแบบนี้ย่อมมีขีดจำกัดมาก บริษัทคงไม่สามารถใช้วิธีลดค่าใช้จ่ายไปเรื่อยๆ เพื่อทำให้กำไรเพิ่มขึ้นทุกปีได้ ในขณะเดียวกัน Upside ของการเติบโตก็ค่อนข้างจำกัดด้วย การเพิ่มมาร์จิ้น 1-2% ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แล้ว และต่อให้ลดได้มากแคไหน ก็จะไปที่ติดเพดานที่ตัวรายได้ ที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นอยู่ดี จึงไม่ควรหวังว่ากำไรที่เติบโตในลักษณะจะยั่งยืน

การเติบโตที่ดีต้องมีสาเหตุมาจากด้านของรายได้ เพราะมีขีดจำกัดน้อยกว่า และแสดงถึงธุรกิจที่เติบโตขึ้นอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม รายได้ = ยอดขาย x ราคาขาย หากบริษัทรายได้มากขึ้นต้องดูว่าเกิดจากยอดขาย หรือว่าราคาขายกันแน่ ผมเคยสนใจหุ้นคอมโมตัวหนึ่งเพราะเห็นว่ารายได้เติบโตเกิน 10% ต่อปีได้อย่างต่อเนื่องหลายปี แต่พอไปฟังบริษัทบรรยายถึงได้รู้ว่า รายได้ที่เพิ่มขึ้นนั้นเกิดจากราคาขายที่สูงขึ้นตามราคาตลาดโลก ส่วนยอดขายเองนั้น (units sales) จริงๆ แล้วเติบโตแค่ 2% ต่อปี เท่านั้น จึงได้เข้าใจว่าไม่ใช่ธุรกิจเติบโตอย่างที่คิด

การเติบโตของรายได้ที่แสดงถึงการเป็นธุรกิจเติบโตที่แท้จริงจึงต้องมาจากยอดขาย (units sales หรือ volume sales) ที่เพิ่มขึ้นด้วย เพราะแสดงว่ามีการบริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างแท้จริงของตลาด อาจเรียกว่า organic growth ก็ได้ ตรงนี้ส่วนใหญ่แค่นั่งดูงบการเงินอยู่กับบ้านจะไม่รู้เลย ต้องสอบถามบริษัทหรืออ่านจากบทวิเคราะห์เอาถึงจะรู้

ยอดขายที่เพิ่มขึ้นนั้น ก็ยังมีสาเหตุแยกได้หลายอย่าง ลองตรวจสอบดูว่าเกิดจากจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น หรือลูกค้ามีเท่าเดิมแต่การบริโภคต่อหัวมากขึ้น หากเป็นอย่างหลัง การเติบโตก็จะอิ่มตัวได้เร็วกว่าแบบแรก ตัวอย่างเช่น ยอดขายของผู้ให้บริการมือถือที่โตขึ้นเพราะ จำนวน subscriber กำลังเพิ่มขึ้นมักโตได้ในอัตราที่สูงกว่าและมักจะยังมี room เหลือให้โตต่อไปในอนาคตอีกได้เยอะกว่าการโตด้วยการเพิ่มยอดค่าบริการต่อบิล (ARPU) ในช่วงที่ราคาเครื่องลดฮวบจากเครื่องละหลายหมื่นกลายเป็นไม่กี่พัน และผู้ให้บริการออกบริการแบบ pre-paid ออกมาทำให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงมือถือได้เป็นครั้งแรก ผู้ให้บริการสามารถเพิ่มจำนวน subscriber ได้เป็นสิบเท่าตัว (จากหลายแสนเป็นหลายล้านราย) ในขณะที่การเพิ่มยอดค่าโทรต่อบิลให้เป็นสองเท่านั้นก็ยากมากแล้ว (ค่าโทรมีแต่ละลดลงด้วยซ้ำ) ทำให้รายได้ของผู้ให้บริการมือถือโตได้ช้ามากในปัจจุบัน จะเห็นว่า ถ้าเราเข้าใจว่าการเติบโตของผู้ให้บริการมือถือมาจากสาเหตุใด เราก็จะรู้ว่าควรคาดหวังการเติบโตได้มากน้อยแค่ไหนและต่อเนี่องเพียงใด (เช่นนี้ผมเองคงไม่คาดหวังว่าผู้ให้บริการจะโตได้มากเหมือนสมัยก่อนต่อจากนี้อีกแล้ว เพราะทุกคนก็มีมีอถือกันหมดแล้ว การโตด้วย ARPU คงทำให้โตไวๆ ไม่ได้เหมือนการโตด้วยการเพิ่ม subscriber เป็นต้น)

การเติบโตแบบ organic growth ยังเป็นการเติบโตที่ปลอดภัยและมั่นใจได้มากกว่าการเติบโตด้วยการหันเข้าสู่ธุรกิจใหม่ซิงๆ เพราะ organic growth มีการใช้สิ่งที่บริษัทมีอยู่แล้วรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งให้เป็นประโยชน์ เช่น ฐานลูกค้ากลุ่มเดิมแต่เพิ่มการบริโภคต่อหัวให้มากขึ้น หรือสินค้าเดิมแต่ขยายฐานลูกค้าออกไป เป็นต้น เราควร discount แผนการเติบโตของ บริษัทที่ใช้การเข้าสู่ธุรกิจใหม่ที่ไม่มีเคยทำมาก่อน เพราะมีความเสี่ยงสูง และอาจเป็นสัญญาณที่แสดงด้วยว่าธุรกิจเดิมของบริษัทถึงจุดอิ่มตัวแล้ว (บริษัทจึงได้ต้องเสี่ยงออกไปหาธุรกิจใหม่ทำ แทนที่จะเติบโตโดยอาศัยสิ่งที่คุ้นเคย)

การเติบโตแบบ non-organic แบบสุดท้ายที่พบเห็นได้บ่อยขึ้นเร่อยๆ คือ การเติบโตโดยวิธีควบรวมกิจการ (M&A) วิธีนี้บริษัทใช้สภาพคล่องที่เหลือหรือหามาได้ไล่ซื้อกิจการไปเรื่อยๆ เพื่อนำงบการเงินมารวม (หรือบันทึกส่วนแบ่งกำไร แล้วแต่กรณี) วิธีนี้จะว่าไปก็เหมือนกับการเติบโตแบบหลอกๆ เพราะบริษัทที่ซื้อมายังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย แต่งบการเงินของบริษัทแม่ก็โชว์ว่า มีกำไรเพิ่มขึ้นได้แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม M&A ก็อาจสามารถทำให้กำไรในอนาคตเพิ่มขึ้นได้จริง (1+1 มากกว่า 2) เช่น ถ้าหากธุรกิจที่ซื้อมาสามารถแชร์ต้นทุนบางอย่างกับบริษัทแม่ได้จะเกิดกำไรจากการประหยัดต้นทุน ที่มีค่ายิ่งกว่าคือ ผลบวกที่อาจเกิดขึ้นในเชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจ เช่น ทำให้มีส่วนแบ่งตลาดมากขึ้นเกิดอำนาจต่อรองมากขึ้น หรือมีสินค้าที่ครบถ้วนมากขึ้นทำให้ลูกค้าหันมาซื้อของกับเรามากขึ้น ได้เป็นต้น หรือในบางธุรกิจมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้การขยายธุรกิจด้วยการซื้อกิจการเป็นวิธีที่ดีกว่าการสร้างขึ้นมาใหม่ เช่น ในธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ การเข้าพื้นที่ที่ตลาดอิ่มตัวไปแล้วควรใช้วิธีซื้อสาขาของคู่แข่งแทนที่จะสร้างสาขาใหม่ เพื่อไม่ให้ price war ที่รุนแรงระหว่างคู่แข่งได้ หรือ การขยายธุรกิจโรงพยาบาลด้วยการซื้อโรงพยาบาลเก่า อาจเป็นวิธีที่ดีกว่า เพราะการสร้างโรงพยาบาลใหม่มักต้องใช้เวลาสร้างความน่าเชื่อถือนับสิบๆ ปีขึ้นไปและยังมีโอกาสล้มเหลวสูงอีกด้วย พึ่งระวังบริษัทที่ไล่ซื้อกิจการที่ดูแล้วมีความเกี่ยวข้องกันน้อยมากแล้วอ้างว่าจะทำให้เกิด 1+1>2 ได้ แต่ที่จริงทำไปเพื่อผลประโยชน์อย่างอื่นแอบแฝง บริษัทพวกนี้กำไรจะโตขึ้นไปอย่างรวดเร็วอยู่พักหนึ่งจากการรวมกิจการ แต่พอผ่านไปสักระยะก็จะโชว์ขาดทุนออกมาเมื่อบริษัทเริ่มขาดสภาพคล่องจากการไล่ซื้อกิจการที่เกินตัว

จงให้ความสำคัญกับการค้นหาสาเหตุของการเติบโตให้ได้มากกว่าเรื่องของระดับของการเติบโตนะครับ

from http://portal.settrade.com/blog/1001ii/2010/08/13/903


08 สิงหาคม 2553

หลักการในการตรวจสอบหุ้น 10 ข้อของวอร์เรน บัฟเฟต

1.ROE สูงๆ หรือไม่

2.ROA สูงๆ หรือไม่

3.ประวัติการทำกำไรที่ดีเยี่ยมหรือไม่

4.มีหนี้สินน้อยๆหรือไม่

5.สินค้าหรือบริการมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืนหรือไม่

6.ไม่มีปัญหาที่เกิดจากสหภาพแรงงานหรือไม่

7.บริษัทสามารถปรับสินค้าหรือบริการตามสภาวะเงินเฟ้อได้หรือไม่

8.ต้นทุนการดำเนินงานที่เหมาะสมหรือไม่

9.บริษัทสามารถซื้อหุ้นคืนจากตลาดได้หรือไม่

10.กำไรสะสมสามารถทำให้มูลค่าตลาดสูงขึ้นได้หรือไม่

from thaivi.com


ธรรมะดีดี โดย ท่าน ว วชิรเมธี



03 สิงหาคม 2553

ซินเน็ค จัดงาน “Synnex Open House & Exhibition Week”

เนื่องด้วย บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กำหนดจัดงาน “Synnex Open House & Exhibition Week” ระหว่าง วันที่ 2 — 11 สิงหาคม 2553 โดยเปิดให้ ผู้ประกอบการไอทีชั้นนำทั่วประเทศ นักวิเคราะห์ สถาบันการเงิน ผู้สื่อข่าว และนักธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ได้เข้าเยี่ยมชมกิจการ

ครั้งนี้บริษัทฯ ได้จัดสาธิตการทำงาน ที่เชื่อมโยง ธุรกิจ การจัดจำหน่ายไอทีซินเน็คฯ ทุกภูมิภาคทั่วประเทศของซินเน็คฯ ด้วยระบบการบริหาร “ Global System “ ซึ่งมีความสามารถใน การจัดการ ตั้งแต่ระบบบัญชี การวิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์ ทางการตลาดของผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงการบริหารฐานข้อมูลลูกค้าอย่างครบวงจร และ การลงทุนนำระบบ Automation Storage and Retrieval System (ASRS) ซึ่งเป็นระบบบริหารคลังสินค้าอัตโนมัติที่ใช้ระบบแขนกลอัจฉริยะ (Robot Arm) ที่เต็มเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ และทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทยมาใช้ในบริษัทฯ เพื่อรองรับธุรกิจที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

โอกาสนี้ บริษัทฯ จึงใคร่ขอเรียนเชิญ สื่อมวลชนทุกท่านเข้าเยี่ยมชมกิจการ ของบริษัทฯ พร้อมร่วมงานแถลงผลประกอบการในครึ่งปีแรก 2553 และทิศทางธุรกิจในครึ่งปีหลัง และร่วมเปิดตัวสินค้าเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจากซีเกท ในวันอังคารที่ 10 สิงหาคม 2553 เวลา 08.30 - 13.00 น. ณ บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ โดยมีคุณสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เป็นผู้ให้การต้อนรับ พร้อมพูดคุยในบรรยากาศเป็นกันเอง

from http://www.ryt9.com/s/prg/950847


02 สิงหาคม 2553

จีนร่วมจัดนิทรรศการ “เสือ” ใน “มหกรรมวิทย์” 7-22 ส.ค.

ร่วมฉลองปีขาลด้วยนิทรรศการ “เสือ” จากจีนใน “งานมหกรรมวิทย์ 53” วันที่ 7-22 ส.ค.นี้ ณ ไบเทค และสัมผัสเสือตัวเป็นๆ จากสวนเสือศรีราชา พร้อมไฮไลท์นิทรรศการเทิดพระเกียรติ นิทรรศการแสง-สีฉลอง 50 ปีกำเนิดเลเซอร์ และทอล์คโชว์ไดโนเสาร์ครั้งแรกในเมืองไทย

“มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2553” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-22 ส.ค.53 ณ ศูนย์แสดงนิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา โดย ดร.วีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวระหว่างแถลงข่าว เมื่อวันที่ 29 ก.ค. ที่ผ่านมา ณ จตุรัสวิทยาศาสตร์ อาคารจตุรัสจามจุรี (จามจุรีสแควร์) ว่างานดังกล่าวรวมความยิ่งใหญ่ไว้ถึง 3 ด้านด้วยกัน คือการจัดงานด้วยพื้นที่มากที่สุดถึง 42,000 ตารางเมตร รองรับผู้ชมงานมากที่สุด 1.2 ล้านคน และเป็นมหกรรมที่จัดขึ้นนานที่สุด

ภายในงานมหกรรมมีการจัดนิทรรศการแบ่งออกเป็น 2 นิทรรศการ คือ นิทรรศการเทิดพระเกียรติ (Royal Pavilion) ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 “พระบิดาวิทยาศาสตร์ไทย” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช “พระบิดาแห่งเทคโนโลยีไทย” และ “พระบิดาแห่งนวัตกรรมไทย” สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ พร้อมพระบรมวงศานุวงศ์ โดยมีไฮไลท์คือนิทรรศการแลนด์มาร์ก (Exhibition Landmark) แสดงความสำคัญและความสัมพันธ์ของดิน น้ำ ป่า และการพัฒนาอย่างยั่งยืน และเป็นชิ้นงานนิทรรศการขนาดใหญ่ที่สุดในงาน

อีกส่วนคือนิทรรศการหลักด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งมีนิทรรศการร่วมฉลองปีสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ โดยจำลองสภาพธรรมชาติจากใต้ทะเลลึกจนถึงยอดเขาสูง และจำลองสวนผีเสื้อที่รวบรวมผีเสื้อนานาชาติ โบยบินรอบพันธุ์ไม้และดอกไม้ และในโอกาสครบรอบ 50 ปีการค้นพบเลเซอร์ จึงมีนิทรรศการความมหัศจรรย์ของแสง รวมถึงการเรียนรู้เรื่องการหักเห และการสะท้อนแสงผ่านอุโมงค์กระจก ที่จะได้สัมผัสทั้ง ห้องกระจกเอียง 120 องศา ให้ได้เห็นแฝดของเราอีกคน ห้องกระจกสะท้อน 6 ด้าน และห้องกระจกกึ่งโปร่งแสง

นอกจากนี้มีนิทรรศการหุ่นยนต์ไดโนเสาร์ทอล์คโชว์ครั้งแรกในไทย ที่หุ่นยนต์ไดโนเสาร์ 2 ตัวจะสื่อสารกันผสานกับสื่อมัลติมีเดียนำเสนอเรื่อง “วิวัฒนาการ จุดเริ่มต้นหรือจุดจบของความหลากหลายทางชีวภาพ”

ในส่วนของนิทรรศการนานาชาตินั้นจีนได้นำนิทรรศการ “เสือ” มาร่วมแสดงในงาน ซึ่งแบ่งการแสดงออกเป็น 4 ส่วนคือ นิทรรศการเกี่ยวกับคนและเสือ นิทรรศการวิถีแห่งเสือ นิทรรศการเกี่ยวกับการล่าของเสือ และนิทรรศการเกี่ยวกับการอนุรักษ์เสือ โดยในนิทรรศการนี้มี “ลูกเสือ” ตัวเป็นๆ จากสวนเสือศรีราชามาร่วมแสดงในนิทรรศการด้วย พร้อมนิทรรศการ “การบิน” จากประเทศฟินแลนด์

ด้าน ดร.พิชัย สนแจ้ง ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ซึ่งเป็นเจ้าภาพในการจัดงานกล่าวว่า ขณะนี้มีโรงเรียนติดต่อนำนักเรียนเข้าชมนิทรรศการกว่า 600,000 คนแล้ว

สำหรับผู้สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมและชมนิทรรศการภายในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2553 ได้ที่ศูนย์การแสดงนิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ระหว่างวันที่ 7-22 ส.ค.53 (ยกเว้นวันที่ 9 ส.ค.53)

from http://manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9530000104849


"บ้านพอเพียง" นวัตกรรมยุคประหยัดพลังงาน

"บ้าน" คือที่ที่เราอยู่แล้วมีความสุขทั้งทางกายและทางใจ แต่ถ้าจะให้ดียิ่งกว่าและทันสมัยยิ่งขึ้น บ้านในยุคนี้ต้องช่วยเจ้าของบ้านประหยัดพลังงานได้ และทำให้ผู้อยู่อาศัยมีคุณภาพชีวิตที่ดีมีอายุยืนยาวขึ้นด้วย

ต่อยอดความรู้ 40 ปี สู่ต้นแบบ "บ้านพอเพียง"

หลายปีที่ผ่านมามีการพูดถึงภาวะโลกร้อนและวิกฤตพลังงานกันอย่างหนาหู มีการศึกษาวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีรวมถึงการออกแบบอาคารบ้านเรือนที่ช่วยลดการใช้พลังงานกันไม่น้อย แต่ก็มีอยู่ไม่มากที่องค์ความรู้จะถูกหยิบเอามาปั้นแต่งให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้น หนึ่งในนั้นคือ "บ้านพอเพียง" ที่อยู่อาศัยที่เข้ากับยุคประหยัดพลังงาน

รศ.ดร.วรสัณฑ์ บูรณากาญจน์ อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหัวหน้าโครงการวิจัยแบบบูรณาการต่อยอดองค์ความรู้ประหยัดพลังงานสู่บ้านพอเพียง เปิดเผยว่า บ้านพอเพียงเกิดขึ้นจากการต่อยอดองค์ความรู้งานวิจัยสาขาต่างๆ ของจุฬาฯ ที่สะสมมานานกว่า 40 ปี ให้เกิดเป็นรูปธรรมและทำให้ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้ปานกลาง

"เราคำนึงถึงความยั่งยืนเป็นหลัก โดยนำหลักการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ผสมผสานกับการออกแบบ วัสดุ ระบบอาคาร และการแปลงทรัพยากรธรรมชาติให้สมดุลกับสภาพแวดล้อม เพื่อให้เกิดการประหยัดพลังงาน เป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อม และทำให้ผู้อยู่อาศัยต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย" อาจารย์สถาปนิกกล่าว

ปรับภูมิทัศน์เพื่อประหยัดพลังงาน

รศ.ดร.วรสัณฑ์ ให้ข้อมูลว่า ภูมิอากาศของประเทศไทยในปัจจุบันร้อนขึ้นเฉลี่ย 2-3 องศาเซลเซียส ทุกฤดูกาลเมื่อเทียบกับในสมัยรัชกาลที่ 5 และเดือนที่ร้อนที่สุดเปลี่ยนจากเดือน พ.ค. มาเป็นเดือน เม.ย. ส่วนพื้นที่ที่จัดอยู่ในเขตเย็นสบาย (อุณหภูมิประมาณ 21.1-27.8 องศาเซลเซียส) ที่พบได้ทั่วไปในสมัยนั้นไม่มีเหลืออยู่แล้วในปัจจุบัน ดังนั้นเมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป เราจึงต้องเปลี่ยนแปลงการออกแบบที่อยู่อาศัยให้เข้ากับสภาพแวดล้อม

สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงในการออกแบบบ้านพอเพียงคือ การปรับสภาพแวดล้อมภายนอกอาคาร โดยการปลูกต้นไม้ทรงสูงเพื่อให้ร่มเงาและป้องกันแสงแดดจากดวงอาทิตย์ ปลูกไม้พุ่มเตี้ยและพืชคลุมดินเพื่อลดการสะสมความร้อนและลดอุณหภูมิพื้นผิวจากการระเหยของน้ำ เพิ่มบ่อน้ำทางด้านทิศใต้เพื่อช่วยลดอุณหภูมิอากาศจากกระแสลม รวมถึงการปรับกระแสและทิศทางลม

ส่วนตัวบ้านนั้นออกแบบให้ลดพื้นที่ผิวอาคาร เพื่อลดพื้นที่การถ่ายเทความร้อน และออกแบบระบบผนังให้เป็นโครงสร้างของบ้านด้วยเพื่อให้รองรับน้ำหนักบ้านได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเสาและคานรองรับ ทำให้พื้นที่ใช้สอยในบ้านโล่งกว้าง สามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มที่

ใช้วัสดุผสมผสาน กันชื้น กันร้อน กันยูวี

ประเทศไทยอยู่ในเขตร้อนชื้น การเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่มีคุณสมบัติป้องกันความร้อนและความชื้นเข้าสู่ตัวอาคารจึงเป็นหัวใจสำคัญอีกอย่างหนึ่งของบ้านพอเพียง ผนังบ้านทั้งหมดจึงใช้วัสดุเม็ดโฟมคอนกรีตที่ทำจากโฟมรีไซเคิล มีน้ำหนักเบาแต่แข็งแรง ต้านทานแรงลมได้ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นฉนวนกันความร้อนและความชื้นได้ดีกว่าผนังอิฐมวลเบาหรือก่ออิฐฉาบปูน 10-12 เท่า

ประตูและหน้าต่างทุกบานเป็นกระจกให้แสงธรรมชาติส่องผ่านเข้าสู่ตัวบ้านและลดการใช้ไฟฟ้าในเวลากลางวัน โดยใช้กระจกลามิเนตติดฟิล์มป้องกันรังสีอัลตราไวโอเล็ต (ยูวี) และมีคุณสมบัติเดียวกับกระจกรถยนต์ คือ ไม่แตกง่าย เมื่อแตกแล้วเศษกระจกจะไม่กระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กรอบประตูและหน้าต่างทำจากพลาสติกยูพีวีซีที่แข็งแรง ทนทานต่อรังสียูวีมากกว่าพีวีซีธรรมดา และมีระบบล็อคหลายจุดที่มีความปลอดภัยต่อการงัดแงะสูงกว่า

หลังคาเป็นระบบผสมผสานโครงสร้าง ฝ้าเพดาน และคุณสมบัติฉนวนกันความร้อนที่กันความร้อนได้ดีกว่าหลังคากระเบื้องคอนกรีตถึง 24 เท่า โดยไม่ต้องมีโครงสร้างขื่อและแป จึงสร้างได้รวดเร็ว น้ำหนักเบากว่า 10 เท่า ไม่มีปัญหาน้ำรั่วซึม และสามารถใช้พื้นที่ภายในใต้หลังคาได้ทั้งหมด โดยใช้เวลาเพียง 90 วัน ก็สามารถสร้างบ้านพอเพียงได้ 1 หลังที่มีขนาด 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องพระ 1 ห้องรับแขก และ 1 ห้องรับประทานอาหาร บนพื้นที่ใช้สอยราว 140 ตารางเมตร และมีน้ำหนักอาคารลดลงถึง 50% เมื่อเทียบกับบ้านทั่วไปขนาดเดียวกันที่ต้องใช้เวลาก่อสร้างนาน 240-360 วัน

"แม้ว่าค่าวัสดุก่อสร้างบ้านพอเพียงจะสูงกว่าวัสดุก่อสร้างทั่วไป แต่ข้อดีของการออกแบบและเลือกใช้วัสดุที่ทำให้ก่อสร้างได้รวดเร็วกว่าบ้านทั่วไปมาก จึงช่วยประหยัดค่าแรงได้ ทำให้ต้นทุนต่างกันไม่มากเท่าไร" รศ.ดร.วรสัณฑ์ เผยข้อดี และจุดเด่นอีกประการของบ้านพอเพียงคือใช้วัสดุที่ผลิตได้ภายในประเทศทั้งหมด

ลดใช้พลังงาน ลดค่ารักษาพยาบาล

บ้านพอเพียงติดตั้งเครื่องปรับอากาศขนาด 18,000 บีทียู แค่เครื่องเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้บ้านทั้งหลังเย็นสบาย เพราะใช้ระบบท่อกระจายความเย็นถึงทุกห้องภายในบ้าน สามารถเปิดได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่เปลืองไฟ และทำให้ในบ้านมีอุณหภูมิเฉลี่ย 25 องศาเซลเซียสตลอดปี เพราะผนังและหลังคาบ้านที่มีคุณสมบัติกันความร้อนได้ดี และการปรับสภาพแวดล้อมภายนอกบ้านให้มีอุณหภูมิต่ำลงกว่าปกติ ทำให้เครื่องปรับอากาศไม่ต้องทำงานหนัก สามารถช่วยประหยัดพลังงานได้มากกว่า 60%

นอกจากช่วยประหยัดพลังงานแล้ว อุณหภูมิภายในบ้านพอเพียงยังค่อนข้างคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อย มีอากาศบริสุทธิ์ไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา และไม่มีรังสียูวีเล็ดลอดเข้าสู่ในบ้าน ทำให้ผู้อยู่อาศัยมีโอกาสเจ็บไข้ได้ป่วยน้อยลง สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย

"ปัจจุบันประเทศไทยต้องใช้งบประมาณไปกับการรักษาพยาบาลผู้ป่วยปีละไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท และส่วนใหญ่ต้องนำเข้ายาจากต่างประเทศ หากเราสามารถลดอัตราการเจ็บป่วยของประชากรได้ จะช่วยให้ประเทศลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ลงได้อย่างมหาศาล" รศ.ดร.วรสัณฑ์ กล่าว

โครงการนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ วิทยาเขตบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา อนุเคราะห์พื้นที่ในการสร้างบ้านต้นแบบ และจะมีการแสดงแบบจำลองบ้านพอเพียงให้ผู้สนใจชมกันในงานการนำเสนอผลงานวิจัยแห่งชาติ ประจำปี 2553 ระหว่างวันที่ 26-30 ส.ค. ที่จะถึงนี้ ณ ศูนย์ประชุมบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ ราชประสงค์
******************
เปรียบเทียบบ้านพอเพียงและบ้านทั่วไป
    



from http://manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9530000102285



บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (All Time)