27 มีนาคม 2554

css gradient editor online

http://www.colorzilla.com/gradient-editor/


15 Firefox add-ons for Web developers

Aardvark: Aardvark lets you select elements from a Web page and perform various actions on them. I use it to analyze the structure of a page. You can also remove and isolate elements or generate DOM code. I highly recommend it.

ColorZilla: If there's a color on a Web page that you like, ColorZilla will find the precise code for it and allow you to paste it into your coding program. You can also create custom colors with its built-in palette browser. It saves the most-used colors for easy access later on. It's powerful, it's simple, it's a must-have.

CSS Validator: CSS Validator adds a right-click option in your browser, sending the CSS to the W3C CSS Validator. It opens the results in a new tab. CSS Validator is a nice tool that will come in handy often.

CSSViewer: No Web designer should be working without CSSViewer. The add-on informs you of all the CSS information you'll need from a site. Simply click on the page you want, open it in the Tools menu, and it will display CSS information. I use it almost every day.

FireBug: Firebug is one of those extensions that you simply can't be without. It lets you edit, debug, and view CSS, HTML, and JavaScript. Once you make a change to the HTML on the site, Firebug automatically displays it in the same pane. It's extremely powerful.

FirePHP: FireBug is a fine tool for CSS, HTML, and JavaScript, but FirePHP, which only works when you have the FireBug extension installed, creates a full-featured development experience. With the help of both add-ons, you can view the quality of your PHP and find errors. It's a great aid.

Font Finder: Font Finder allows you to highlight a font you like on any site, right-click on the selection, and after choosing "Font Finder", view the full CSS text styling of the selection. You can then paste that into your own Web page.

HTML Validator: HTML Validator is an extremely powerful tool available to Windows users only. The add-on gives you feedback about errors on the page. It also lets you know where problems need to be addressed. But unless you're an advanced Web designer, stay away from this tool. It's very complicated.

IE View: As long as you're running Windows, IE View is a helpful tool. The extension adds an "Open in IE" option in the right-click menu, allowing you to quickly open a site in Internet Explorer. It's a great way to check how a page looks in both browsers

Java Console: If you want to see how Java applets are running on Web pages, the Java Console is for you. You can monitor and debug applets, and get a full report on their performance.

LinkChecker: LinkChecker highlights links on any Web site and tells you if the link will direct you to a live site or if it will return a 404. I use it every day.
Poster: If you want to debug servers and make HTTP requests, Poster is the tool for you. It's easy to use, you can set a content type, and within minutes, you'll have all the information you need to inspect the results of your HTTP query. Useful.

Style Sheet Chooser II: Style Sheet Chooser II replaces Firefox's built-in style sheet switcher and allows you to pick an alternate style that will persist on all pages of a Web site. It's not something you'll use often, but when you do need something of the sort, Style Sheet Chooser II is the way to go.

Web Developer: If you install any of the extensions in this roundup, Web Developer should be included. It adds a menu and toolbar to Firefox giving you the option to display a page's style, view and edit CSS, and much more. No Web developer should be without it.

YSlow: YSlow requires FireBug to be installed for it to work, but it's a great way to find out why your site is running so slowly. It analyzes Web pages and returns issues that are slowing the site down, based on Yahoo's rules for high-performance Web sites. I use it often to find out where I can improve the speed of my sites. Try it out.

from http://is.gd/MiQgsQ


23 มีนาคม 2554

วงจรเฉื่อยชา

ท่านผู้อ่านเคยมีอาการอย่างนี้หรือไม่

1. ไม่รู้ว่าเป้าหมายในชีวิตคืออะไร
2. ง่วงเหงาหาวนอน ขี้เกียจ ไม่อยากทําอะไร
3. มีงานต้องทํา แต่ไม่อยากทํา ในหลายเดือนที่ผ่านมา ไม่ได้ทําอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
4. ไม่รู้สึกภูมิใจตัวเองมานานแล้ว
5. ไม่รู้จักตัวเองว่าตัวตนเป็นอย่างไร
6. ใช้ชีวิตแบบ Auto pilot
7. รู้สึกว่าตนเองมีศักยภาพซ่อนเร้น แต่ไม่ค้นหา เลยไม่ได้ใช้ นานวันเข้าเลยไม่รู้ว่าความสามารถพิเศษของตัวเองคืออะไร
8. ชีวิตมองหาแต่วันหยุด คิดถึงแต่วันรับเงินเดือน ชอบเย็นวันศุกร์มากกว่าเช้าวันจันทร์ เวลาคุยเรื่องงานจะเกิดอาการเซ็งขึ้นมาทันที

ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้มากกว่า 4 ข้อขึ้นไป คุณกําลังเข้าวงจรของ Stagnation in life พูดเป็นภาษาง่ายๆ คือชีวิตเข้าสู่วงจรเฉื่อยชา

ถ้าคุณไม่แก้ไข สุดท้ายจะกลายเป็นโมฆบุรุษ ภาษาพระแปลว่าเกิดมาแล้วใช้ชีวิตแบบเปล่าประโยชน์

คนเราเกิดมาทั้งทีต้องสร้างคุณค่าให้สมกับที่เกิดมาบนโลกนี้ เป็นคุณค่าให้กับตัวเองและคุณค่ากับส่วนรวม

วิธีที่จะหลุดพ้นวงจรเฉื่อยชา

1. มีความรู้ตัว รู้สึกว่าตัวเองผิดปกติ
2. อย่าตําหนิตัวเอง
3. ตั้งสติ ตั้งเป้าหมายว่าต้องหาทางออกจากวงจรเฉื่อยชา สร้างการเปลี่ยนแปลงให้ชีวิต
4. มีความมุ่่งมั่นที่จะต้องต่อสู้กับตัวเอง
5. หาสาเหตุว่าอะไรเป็นต้นตอของวงจรนี้ เป็นเพราะทํางานซ้ําซาก ไม่มีอะไรท้าทายชีวิต หรือเป็นเพราะบรรยากาศเดิมๆ ที่ขาดแรงกระตุ้น
6.เริ่มสร้างความฝัน หาแรงบันดาลใจ ซึึ่งมาได้จากหลายแหล่ง เช่นหนังสือหรือฟังการบรรยายจากนักพูด
7.เปลี่ยนบรรยากาศของชีวิต ไปเที่ยวที่ใหม่ๆ ชีวิตที่เหมือนๆ กันทุกวันเป็นระยะเวลานาน จะทําให้เกิดสภาวะเฉื่อยชา แรงบันดาลใจของชีวิตเปรียบเสมือนน้ํามัน Octane สูง ที่เติมเข้าไปในชีวิต ทําให้เปลี่ยนแปลงชีวิตได้
8. สุดท้ายคือการตั้งเป้าชีวิต เป้าหมายที่มีประสิทธิภาพมาจากคําว่า SMART หนึ่ง Specific เป็นเป้าหมายที่ไม่หลักลอย มีความชัดเจน สอง Measurable วัดผลได้ สาม Achievable ทําได้จริง สี่ Reality เป็นเป้าหมายที่อยู่่ในโลกของความเป็นจริง ห้า Time boundary ระบุเงื่อนเวลาที่ชัดเจน

การจะหลุดจากวงจรเฉื่อยชา ไม่ใช่การหักดิบ เพราะทํายาก ต้องค่อยเป็นค่อยไป หรือที่ภาษาเทคนิคเรียกว่า One little step at a time ต้ังเป้าหมายระยะสั้น เมื่อทําได้ผล แล้วค่อยหาเป้าหมายต่อไป

การค้นหาตัวเอง รู้จักตัวเองเป็นเครื่องมือสําคัญประการหนึ่งที่จะทําให้เราสามารถหลุดจากวงจรเฉื่อยชา มันทําให้คนเราเดินถูกเส้นทาง

วิธีค้นหาจิตวิญญาณมีกระบวนการง่ายๆ ดังนี้

1. นั่งนิ่งๆ ในห้องที่ไม่มีใครรบกวน เอากระดาษมาหนึ่งแผ่น แล้วประเมินว่าตัวเรามี Skill set และบุคลิกส่วนตัวอย่างไร
2. ซื่อสัตย์กับตัวเอง
3. การค้นหา ต้องค้นแบบส่องกล้องจุลทรรศน์ อย่าทําแบบพื้นๆ
4. เมื่อคิดได้แล้ว เขียนลงบนกระดาษ ติดไว้ที่ข้างฝาบ้าน แล้วคิดทบทวนอีกหลายครั้งว่านี่เป็นคุณลักษณะพิเศษของเราจริงๆ หรือเปล่า

เมื่อเจอตัวเองแล้ว นี่เป็นพลังอันวิเศษที่ช่วยเปลี่ยนแปลงตัวเอง แบบ Inside-out

แต่ถ้าคุณค้นหาตัวเองไม่ได้ ข้อแนะนําคือต้องหา Life coacher เป็นตัวช่วย Life coacher ที่ดีเขาจะมีกระบวนการในการช่วยพาคุณออกจากวงจรเฉื่อยชาได้ด้วย

เรื่อง Stagnation ไม่ได้เกิดกับคนเท่านั้น มันมีโอกาสเกิดกับธุรกิจด้วย คุณเคยสํารวจตัวเองว่ามีความรู้สึกอย่างนี้ในฐานะผู้บริหารหรือเจ้าของธุรกิจหรือไม่

1. การทําธุรกิจของคุณเป็นวงจรของการทําซ้ํา ทําอะไรเดิมๆ คุณรู้สึกว่าธุรกิจของคุณจืดชืด ขาดความท้าทาย
2. คุณบริหารธุรกิจเสมือนหนึ่งว่าคุณหลับตาก็ทําได้ ขาดความตื่นเต้น ขาดความ Sexy ที่จะทดลองทําอะไรใหม่ๆ
3. คุณไม่ค่อยอยากที่จะเข้าที่ทํางาน สิ่งเดียวที่จูงใจให้คุณทํางานมีเรื่องเดียวคือเรื่องเงิน เงิน และเงิน

ถ้าคุณอยากจะพาธุรกิจของคุณออกจากวงจรของความเฉื่อยชา คุณต้องเข้าใจพื้นฐานของปัญหาดังต่อไปนี้

1. ผู้ประกอบการใช้ศักยภาพเพียงแค่ 20% มาบริหารธุรกิจ ในขณะที่ศักยภาพอีก 80% จมอยู่ใต้น้ํา
2. ถามว่าทําไมถึงเป็นเช่นนั้น สาเหตุใหญ่มาจากการที่ผู้ประกอบการใช้สมองซ้ายเป็นเครื่องมือในการบริหารธุรกิจ สมองซ้ายคือเหตุผล รายละเอียด อดีตและปัจจุบัน สมองซ้ายทําให้ผู้ประกอบการทําตามๆ กันเพียงเพราะเขาบอกว่า... เพราะสมองซ้ายมีอิทธิพลต่อความคิดของผู้ประกอบการ ทําให้คนเหล่านั้นรักที่จะอยู่ใน Comfort zone

หัวใจของการที่จะนําพาธุรกิจหลุดพ้นจากแรงเฉื่อย คุณต้องเติมคําว่า Re หน้าคํากิริยาต่อไปนี้

• Rethink
• Restructure
• Redefine
• Revive
• Reenergize
• Reform
• Reframe

ความหมายของกลุ่มคําข้างบนคือคุณต้องเปลี่ยนแปลงในทุกส่วนของการทําธุรกิจ

คุณจะทําอย่างนั้นได้ ต้อง Reactivate สมองขวาให้ทํางาน แล้วสมองขวาจะนําศักยภาพที่ซ่อนเร้นอีก 80% มาช่วยคุณเดินนําหน้าในโลกใหม่ ทําให้ชีวิตในการบริหารงานของคุณมีสาร Adrenaline หลั่งออกมาตลอดเวลา

สุดท้ายธุรกิจของคุณนอกจากจะหลุดจากแรงเฉื่อย ยังสร้าง Quantum leap ทําให้ธุรกิจมีความ Sexy เสมือนหนึ่งเป็นสาวที่ปราดเปรียว เพราะสิ่งที่คุณทําไม่ใช่เพียงแค่ดีกว่าเดิม แต่สร้างคุณค่าใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในวงการ

ถ้าคุณอยากจะหลุดจากวงจรของการทําซ้ํา พวกเรา “แกะดําทําธุรกิจ” ยินดีที่จะเป็นคู่คิดช่วยพาคุณก้าวเข้าสู่โลกใหม่ และวันนั้นคุณจะรู้สึกสนุกกับการทําธุรกิจ รักเช้าวันจันทร์ที่คุณจะพบกับความท้าทายใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา

อยากสร้างชีวิตใหม่ในการทําธุรกิจ อ่านรายละเอียดได้ที่ www.blacksheep.co.th

from http://is.gd/vHVXbK


เฉลยข้อสอบสัมภาษณ์งาน (1)

List บทความที่เกี่ยวข้อง
  • เฉลยข้อสอบสัมภาษณ์งาน (1) Link
  • เฉลยข้อสอบสัมภาษณ์งาน (2) Link
  • เฉลยข้อสอบสัมภาษณ์งาน (3) Link



ดิฉันเพิ่งได้มีโอกาสจัดการฝึกอบรมให้กับเหล่ามืออาชีพยุคใหม่ซึ่งไม่เคยอยู่นิ่ง มองหาโอกาสและความท้าทายใหม่ๆในการทำงานอยู่อย่างไม่รู้เบื่อ

เราคุยกันเกี่ยวกับทักษะหลากหลายที่คนทำงานต้องเติม เสริมความเชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็นด้านการสื่อสาร การวางแผนงาน การบริหารเวลา การแก้ปัญหา และการทำงานเป็นทีม

หัวข้อเสริมที่มืออาชีพกลุ่มนี้อยากได้ คือทักษะที่ต้องใช้ตอนถูกสัมภาษณ์งาน โดยเฉพาะการตอบคำถาม จะได้ดูดี น่าประทับใจ ไม่มั่ว ไม่ประหม่า จนเสียโอกาส พลาดงานดีๆ

สัปดาห์นี้ ดิฉันจึงขอไล่เรียงบางคำถามยอดฮิตติดตลาดที่ผู้สัมภาษณ์มักชอบถาม มาเผื่อให้ท่านผู้อ่านลองเตรียมตัวตอบ เป็นข้อสอบปากเปล่า ดังนี้



1. เล่าเรื่องตัวเองให้เราฟังหน่อยค่ะ

คำถามนี้ถือเป็นโอกาสดีที่จะตอบอย่างฉาดฉาน มั่นใจ เพราะเตรียมไว้ได้ ไม่พลาด

วิธีตอบแบบไม่สู้น่าประทับใจ

"ผมจบการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย... ในปี2550 ตอนหางานครั้งแรกสนใจงานด้านการตลาดจึงไปเป็นพนักงานฝ่ายการตลาดที่บริษัท....อยู่ 1 ปี จากนั้น ในปี2551 มีโอกาสย้ายงานไปทำที่บริษัท...ในฝ่ายบริหารช่องทางการตลาด เมื่อต้นปี2553 ผมได้มีโอกาสร่วมงานกับบริษัท...อยู่แผนกการตลาด รับผิดชอบเรื่องการวางแผนการตลาดสำหรับลูกค้าภาครัฐครับ"

แม้คำตอบข้างบนจะดูไม่เลว แต่พัฒนาให้น่าประทับใจขึ้นได้ โดยจัดหมวดหมู่การเล่าใหม่ แทนที่จะร่ายยาวตามเวลา เรามาเน้นตามเนื้องาน โดยเฉพาะเนื้อๆที่เกี่ยวข้องกับงานใหม่ที่กำลังสมัครได้ยิ่งดี

คำตอบที่พัฒนาแล้ว น่าจะฟังได้อารมณ์ประมาณนี้

“ผมจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย...ด้านเศรษฐศาสตร์ เมื่อปี 2550 ผมเริ่มทำงานด้านการตลาดที่บริษัท...เป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม งานสำคัญที่ต้องดูแลคือการประมวลข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ

จากนั้นผมได้มีโอกาสเพิ่มความรู้ในอีกแง่มุมของการตลาด คือด้านการบริหารช่องทางการตลาดที่บริษัท...โดยรับผิดชอบการวางแผนขยายช่องทางการตลาด ซึ่งมีส่วนทำให้ผลประกอบการของบริษัทสูงขึ้นกว่า 25% ในช่วง 2 ปีที่ผมอยู่ที่บริษัทนั้น

ปัจจุบันผมทำงานที่บริษัท...รับผิดชอบด้านการตลาด ดูแลภาครัฐ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทครับ”



2 แล้วทำไหมถึงจะออกจากงานปัจจุบันคะ

คำตอบที่ควรหลีกเลี่ยงสุดชีวิต

“บริษัทที่ผมทำงานเป็นบริษัทเล็ก ผู้บริหารขาดวิสัยทัศน์ แถมไม่มีระบบการทำงานแบบใหม่ ใครต้องทำอะไรไม่เคยชัดเจน คนทำดีไม่ได้ดี...”

ไม่ว่าข้อความจะจริงหรือไม่ กรุณาอย่าทำให้ผู้สัมภาษณ์หวั่นใจ ว่ายามที่เราต้องไปจากเขา เราจะเอาเขาไปนินทาว่าร้ายคล้ายๆเช่นนี้หรือไม่

เอาใหม่ๆค่ะ

“ผมได้เรียนรู้วิธีการทำงานในบริษัทปัจจุบันมาก เพราะเป็นบริษัทขนาดเล็ก ทำให้ผมได้รับผิดชอบงานที่หลากหลาย กระนั้นก็ดี ผมคิดว่าการได้มีโอกาสทำงานในองค์กรที่ใหญ่และมีชื่อเสียง เช่นบริษัทนี้ ผมจะสามารถใช้ความรู้ที่มี เสริมทีมงานของบริษัทได้ และจะมีโอกาสทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญเจาะลึกเฉพาะด้านการตลาด เพื่อเป็นประโยชน์กับองค์กรมากขึ้นในอนาคต”



3 ทำไมเราควรจ้างคุณคะ

กรุณาอย่าเผลอแสดงความเหนียมอาย คละเคล้ากับความไม่มั่นใจในตัวเอง (แล้วจะให้ใครมั่นใจในตัวเรา)

“เอ่อ...คือ...เพราะหนูเหมาะสม...ค่ะ”

เตรียมชี้แจงว่าเรามีจุดแข็งที่แตกต่างและโดดเด่น ที่จะเสริมงานเขาได้ แต่ต้องไม่ฟังเหมือนโอ้อวด จนชวดโอกาส

“ดิฉันได้ติดตามข่าวความก้าวหน้าของบริษัทตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จึงตระหนักดีว่าบริษัทมีนโยบายที่จะขยายตลาดกลุ่มภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ดิฉันได้มีโอกาสทำงานด้านนี้มาโดยเฉพาะ และได้สัมผัสกระบวนการบริหารงาน ตลอดจนนโยบายของภาครัฐ ซึ่งมีความแตกต่างจากลูกค้ากลุ่มอื่นๆ จึงมั่นใจว่าสามารถเป็นกำลังสำคัญให้กับทีมงานการตลาดของบริษัทได้อย่างแน่นอนค่ะ”



4 คาดว่าจะทำอะไรในอีก 5 ปีข้างหน้า

กรุณาอย่าตอบแบบกว้าง เคว้งคว้าง เหมือนไม่เคยวางแผนชีวิต

“ผมจะทำงานด้านการตลาดต่อไป”

หรือตอบแบบจริงใจว่า “ดิฉันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองค่ะ” เพราะยังไม่จำเป็นที่จะให้เขาเห็นว่าเราจะไปจากเขาแน่นอนในอีก 5 ปี จนเขาคิดว่าจากกันตั้งแต่วันนี้น่าจะดีกว่ามั้ง

เตรียมตอบอย่างมืออาชีพ เช่น

“ดิฉันมุ่งมั่นที่จะเติบโตและรู้ลึกรู้จริง เป็นผู้เชี่ยวชาญในสายงานการตลาด และหวังว่าจะมีโอกาสทำงานเป็นผู้บริหาร จะได้ร่วมพัฒนาทีมงานด้านการตลาด เพื่อตอบโจทย์ขององค์กรในอนาคต”

ที่หมดพอดี ไว้สัปดาห์หน้ามาคุยกันต่อนะคะว่าคำถามอื่นๆที่ควรเตรียมตอบให้รอบคอบ ตอบอย่างไร

สำหรับท่านที่กำลังเตรียมตัวไปสัมภาษณ์งานไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหน อย่าไว้วางใจใช้แต่พรสวรรค์ที่มี

เพราะท่านที่มีพรแสวง สามารถแซงหน้าได้แบบไม่รู้ตัว

เตรียมตัวมากๆ แบบผู้ไม่ประมาท เป็นการเพิ่มโอกาสชีวิตค่ะ



ที่มา http://is.gd/gmTjom


19 มีนาคม 2554

20 เคล็ดลับการลงทุน

1. อย่าเยอะ : ในที่นี้คือการพยายามทำให้การลงทุนเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายเข้าไว้ครับ อย่าไปใส่สูตร ลากกราฟ หรือลนแท่งเทียนให้มากจนเกินไปนัก นั่นเพราะการลงทุนไม่ใช่เรื่องของการซื้อๆขายๆหุ้นตามสูตรคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนแต่อย่างใด แต่การลงทุนเป็นเรื่องที่ตั้งอยู่บนเหตุผลที่เรียบง่าย นั่นคือลงทุนในธุรกิจที่มีกำไร มีอนาคตที่ดี ในราคาที่เหมาะสม หรือมีส่วนลดมากๆได้ยิ่งดี ซึ่งถ้าเราเน้นให้ตรงจุด ในข้อมูลที่เป็นเหตุเป็นผลและเรียบง่าย การประสบความสำเร็จในการลงทุนก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันแต่อย่างใด

2. ตั้งเป้าหมายแต่พอประมาณ : อย่าไปคิดว่าการลงทุนในหุ้นเป็นเรื่องที่ทำให้รวยได้ง่ายๆ และรวยเร็วๆ เป็นอันขาด เพราะถึงแม้ว่าหุ้นสามัญจะถือเป็นทรัพย์สินที่มีประวัติการสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้สูงเป็นอันดับต้นๆ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าทุกๆคนจะได้ผลตอบแทนเป็น 100% ภายในระยะเวลาสั้นๆตลอดเวลา (เว้นแต่จะเป็นกลุ่มเก็งกำไรที่มีโชคดีช่วยเหลือหลายๆครั้งติดๆกัน) ซึ่งสถิติผลตอบแทนจากหุ้นสามัญโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 10-12% ต่อปี ดังนั้นการตั้งเป้าหมายการลงทุนไว้แต่พอประมาณ จะทำให้เราไม่เข้าไปติดบ่วงกับการซื้อขายหุ้นแบบเก็งกำไรตามสูตรรวยแบบเร็วๆแต่ฉาบฉวย เอาเป็นว่ารวยช้าๆแต่มั่นคงนั่นแหละดีที่สุดครับ

3. ลงทุนระยะยาว : ในระยะสั้น ตลาดหุ้นจะวิ่งขึ้นๆลงๆสลับกันไป ตามแต่ว่าจะมีข่าวดีหรือข่าวร้ายรายวันออกมา ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะคาดการณ์ตลาดหุ้นในระยะสั้นว่าจะขึ้นหรือลงได้อย่างแม่นยำ ด้วยเหตุนี้เราจึงควรมุ่งเน้นไปที่การลงทุนระยะยาวที่จะสร้างความมั่งคั่งได้อย่างยั่งยืนมากกว่าการคิดที่จะรวยเร็วๆ ใครก็ตามที่ลงทุนซื้อหุ้นที่มีคุณภาพ ทำธุรกิจมีกำไร และมีการเติบโตต่อเนื่อง แม้ราคาของหุ้นไม่ได้ขยับขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างที่ตัวเองคิดไว้ ก็ขอให้ใช้ความอดทนอีกสักหน่อย ศึกษาและทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าธุรกิจของหุ้นนั้นดีจริงๆเพื่อสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง เพราะในที่สุดตลาดหุ้นในระยะยาวนั้นคือเครื่องชั่งน้ำหนักที่ค่อนข้างเที่ยงตรงสำหรับหุ้นที่มีคุณภาพดี

4. นิ่งสงบสยบเคลื่อนไหว (ซะบ้าง) : โลกของเราปัจจุบันนี้เป็นโลกแห่งข้อมูลข่าวสารมากมายที่รวดเร็ว ฉับไว จนบางครั้งก็เหนื่อยที่จะต้องติดตาม ยิ่งเป็นเรื่องของการลงทุนด้วยแล้ว ข่าวสารพวกนี้ยิ่งเยอะจนนับไม่หวาดไม่ไหว แค่ในประเทศยังไม่พอ ยังมีของต่างประเทศมาผสมโรงเข้าไปอีก ไหนจะดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก ตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ราคาน้ำมัน ราคาทองคำ (เดี๋ยวต่อไปถ้ามีราคาน้ำส้มเข้มข้นมาให้ซื้อขายกันก็คงจะฮาดี) ข้อมูลพวกนี้เราจะเพลาๆการเสพลงบ้างก็ได้ เพราะความสามารถในการลงทุนในหุ้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่เรารู้ว่าวันนี้ทองราคาเท่าไหร่ หรือพรุ่งนี้ดาวโจนส์จะขึ้นหรือจะลง แต่การทำใจให้สงบ ไม่หวั่นไหวไปกับข่าวสารมากมาย จะทำให้เรามีเวลามากขึ้นในการที่จะจดจ่ออยู่กับธุรกิจที่เราลงทุนอยู่ ว่ามีความเคลื่อนไหวอย่างไร มีจุดอ่อนหรือจุดแข็งเพิ่มขึ้นหรือไม่ สิ่งเหล่านี้จะทำให้นักลงทุนประสบความสำเร็จในระยะยาวได้มากกว่า แถมไม่ต้องปวดหมองกับข่าวสารที่มากเกินไปอีกด้วย

5. ทำตัวให้สมกับเป็นเจ้าของธุรกิจ : ขอยืนยัน นั่งยัน ตีลังกาขาคู่ยันอีกครั้งว่า หุ้นไม่ได้เป็นสินค้าสำหรับซื้อขายในตลาด แต่เป็นสิ่งที่แสดงถึงความเป็นหุ้นส่วน หรือความเป็นเจ้าของร่วมกันในธุรกิจของหุ้นนั้นๆ ดังนั้นเมื่อเราซื้อหุ้น เราก็เปรียบเสมือนเจ้าของธุรกิจคนหนึ่ง เราจึงควรทำตัวให้เหมือนกับผู้ที่เป็นเจ้าของธุรกิจพึงกระทำ เช่น ฝึกอ่านและวิเคราะห์งบการเงินให้เป็นนิสัย เพื่อสังเกตความผิดปกติทั้งในทางที่ดีและไม่ดีของธุรกิจของเราเอง หรือการวิเคราะห์อนาคตของธุรกิจว่าจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้การลงทุนของเราตั้งอยู่บนความไม่ประมาท และมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากขึ้นอีกด้วย

6. ซื้อถูก ขายแพง : หลักการก็คือเมื่อหุ้นสูงปรับตัวสูงขึ้นทะลุฟ้าย่อมเป็นเวลาสำหรับการพิจารณาเพื่อขายหุ้น และเมื่อหุ้นปรับตัวลดลงราวกับว่ากำลังจะตกสู่ก้นเหว ย่อมเป็นเวลาสำหรับการพิจารณาซื้อหุ้นเพิ่ม อย่าหาความกลัวและความโลภมามีอิทธิพลเหนือการตัดสินใจของเรา และสิ่งที่จะต้องจำไว้ให้ดีก็คือประโยคที่ว่า "จงกลัวในขณะที่คนอื่นกล้า และจงกล้าในขณะที่คนอื่นกลัว" (วอร์เร็น บั๊ฟเฝ็ต)

7. อย่ายึดติดกับราคาหุ้น : นักลงทุนหลายต่อหลายคนที่ยึดติดอยู่กับราคาต้นทุนของหุ้นที่ตัวเองซื้อมา จนละเลยความจริงข้อหนึ่งที่ว่าราคาหุ้นจะวิ่งตามมูลค่าซึ่งขึ้นอยู่กับปริมาณกระแสเงินสดที่จะไหลเข้าสู่ธุรกิจเบื้องหลังหุ้นนั้นๆในอนาคต การยึดติดกับราคาหุ้นเพียงอย่างเดียวจะทำให้เราไม่ได้มองถึงมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นนั้น และอาจตัดสินใจซื้อหรือขายผิดพลาดอย่างร้ายแรงได้ ดังนั้นเราจึงพิจารณาและติดตามผลประกอบการของธุรกิจ อันเป็นตัวสร้างมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นจะดีกว่า

8. บริหารเก่งไม่สู้ธุรกิจดี : คุณสามารถเป็นนักขับรถฝีมือยอดเยี่ยม แต่ถ้ารถของคุณมีแรงม้าแค่ครึ่งเดียวของคู่แข่ง คุณก็แพ้เอาง่ายๆเหมือนกัน เช่นเดียวกันกับธุรกิจ แม้จะมีทีมบริหารที่มีฝีมือยอดเยี่ยม แต่กลุ่มคนเหล่านั้นอาจไม่สามารถแสดงศักยภาพของตัวเองออกมาได้หากมาบริหารธุรกิจที่ไม่มีอนาคต นอกจากนั้น การบริหารเป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ผู้บริหารบางคนอาจเปลี่ยนงาน หรือลาออก หรือเปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างฉับพลันได้ทั้งนั้น แต่ธรรมชาติของธุรกิจนั้นๆเป็นสิ่งที่ค่อนข้างคงที่และใช้เวลานานในการเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้ง เลือกลงทุนในบริษัทที่ทำธุรกิจที่ดี มีอนาคต มีความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง แม้มีการบริหารงานที่ธรรมดาๆ ดีกว่าลงทุนในบริษัทที่มีทีมผู้บริหารชั้นยอดในธุรกิจที่ไม่มีความได้เปรียบอะไรเหนือคนอื่นเลย

9. ระวังงูพิษ : งูพิษในที่นี้หมายถึงผู้บริหารที่ไว้ใจไม่ได้ การบริหารงานที่ไม่มีธรรมาภิบาลเพียงพอจะทำให้การลงทุนประสบกับความล้มเหลวได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นจงหลีกเลี่ยงบริษัทที่ไม่มีธรรมาภิบาลในการดำเนินงาน เช่น บริษัทที่เอารัดเอาเปรียบลูกค้า หรือบริษัทที่มีการจ่ายผลตอบแทนให้กับผู้บริหารสูงเกินไป สิ่งเหล่านี้ล้วนแสดงออกถึงความมีลับลมคมในในการเอาเปรียบผู้ถือหุ้น จงหนีให้ห่างงูพิษเหล่านี้ครับ

10. ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอย : แม้ผลประกอบการที่ดีในอดีตจะไม่สามารถการันตีได้ว่าผลประกอบการในอนาคตจะดีตามไปด้วย แต่ผลงานที่ดีเหล่านั้นของบริษัทก็พอจะเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าวิธีการในการสร้างผลงานที่ดีจะยังคงอยู่ในกลยุทธ์ของบริษัทเสมอ ตัวอย่างเช่น บริษัทที่ประสบความสำเร็จจากการมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆในอดีต ย่อมจะยังคงใช้จุดแข็งของตนเองในการมองหาธุรกิจใหม่ๆต่อไปในอนาคตด้วยเช่นกัน ดังนั้นจงมองหาธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ และน่าจะประสบความสำเร็จต่อไปในอนาคตได้อย่างต่อเนื่องด้วยจุดแข็งที่สั่งสมจากความสำเร็จในอดีตนั้นๆ

11. เตรียมพร้อมตลอดเวลา : ธุรกิจที่ไม่ดีมักจะเสื่อมลงเร็วกว่าที่คุณคิด ดังนั้นเราต้องเตรียมตัวปรับการลงทุนโดยทันทีที่รู้ว่าการวิเคราะห์ธุรกิจของเราผิดพลาด แม้ว่าหุ้นของบริษัทนั้นจะมีราคาถูกมากก็ตาม เช่นเดียวกับในทางกลับกัน นักลงทุนในตลาดจะตอบสนองต่อธุรกิจที่แข็งแกร่งและมีทิศทางที่ดีในอนาคตอย่างรวดเร็วเช่นกัน จงระลึกไว้เสมอว่าให้ลงทุนโดยมีส่วนเผื่อของความปลอดภัยที่กว้างมากๆสำหรับธุรกิจที่กำลังมีปัญหา แต่ก็อย่ากลัวที่จะลงทุนในหุ้นที่มีส่วนเผื่อความปลอดภัยที่น้อยหน่อย แต่มีธุรกิจที่แข็งแกร่งอย่างยั่งยืน

12. เรื่องเซอร์ไพรซ์มักเกิดขึ้นได้เสมอ : ธุรกิจที่ดีมักมีเรื่องเซอร์ไพรซ์ในทางที่ดีอยู่เรื่อยๆ เช่นเดียวกับธุรกิจที่ไม่ดีก็มักมีเรื่องร้ายๆเข้ามากระทบอยู่เรื่อยๆเช่นกัน ควรระมัดระวังตัวโดยใช้หลัก "ทฤษฎีแมลงสาบ" กล่าวคือ เมื่อคุณเห็นแมลงสาบ 1 ตัวโผล่ออกมา อาจมีอีกหลายๆตัวแอบซ่อนอยู่รอบๆก็เป็นได้ ดังนั้นความประมาทด้วยการคิดง่ายๆว่า "เรื่องร้ายๆคงไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว" จะเป็นหนทางไปสู่หายนะได้เสมอ

13. อย่าดื้อแพ่ง : มีเส้นกั้นบางๆที่คั่นระหว่าง "ความอดทน" กับ "ความดื้อแพ่ง" กล่าวคือความอดทนในการลงทุนมักจะเกิดขึ้นเมื่อนักลงทุนโฟกัสไปยังคุณภาพของบริษัทมากกว่าราคาหุ้น และปล่อยให้กระบวนการเป็นไปตามธรรมชาติ ถ้าหากการวิเคราะห์ธุรกิจของเราถูกต้อง และเราลงทุนในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่า แม้ราคาหุ้นจะตกลงในระยะสั้น แต่ในระยะยาว หากเราอดทนได้เพียงพอ กำไรที่เติบโตของบริษัทจะทำให้ราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย แต่ในทางกลับกัน หากเราลงทุนแล้วมองข้ามความผิดปกติของบริษัท, ผลการดำเนินงานที่สาละวันเตี้ยลง และความผิดปกติบางอย่างของงบการเงิน การถือหุ้นนั้นยาวๆอาจเปลี่ยนจากการรู้จักอดทนเป็นความดื้อแพ่งไปได้ เพราะฉะนั้นนักลงทุนควรถามตัวเองอยู่เสมอว่า "บริษัทที่เราลงทุนอยู่นี่มีมูลค่าเท่าไหร่ ณ ปัจจุบัน และถ้าเรายังไม่ได้ลงทุนในบริษัทนี้เลย เราจะลงทุนที่ราคานี้หรือไม่?" คำถามแบบนี้จะช่วยให้คุณรู้จักอดทนในเวลาที่ควรจะอดทน และรู้จักเลิกดื้อแพ่งในเวลาที่ควรเลิก

14. ใช้สัญชาตญาณให้เป็นประโยชน์ : ในแวดวงการลงทุนนั้น มีสูตรการคำนวณหามูลค่าและราคาที่เหมาะสมของหุ้นอยู่หลากหลายรูปแบบ การเลือกใช้สูตรการคำนวณต่างๆตามความเหมาะสมและความถนัดของแต่ละคนถือเป็นเรื่องที่ดี อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเชื่อสูตรต่างๆเหล่านั้น 100% เพราะการลงทุนในหุ้นเป็นเรื่องของการมองไปในอนาคตของธุรกิจ ซึ่งบ่อยครั้งเป็นเรื่องของศิลปะและความชำนาญส่วนบุคคลด้วย เราจึงควรใช้สูตรคำนวณบวกกับสัญชาตญาณในการวิเคราะห์ของเราให้เป็นประโยชน์จะดีกว่า

15. รู้ให้ชัดว่าใครเป็นมิตร และใครเป็นศัตรู : การพยายามเสาะหาข้อมูลเชิงลึกของบริษัทเป็นเรื่องที่สมควรทำ ตัวอย่างของข้อมูลเชิงลึกดังกล่าวเช่น ผู้บริหารของบริษัทมีหุ้นอยู่หรือไม่ มากน้อยแค่ไหน และกำลังซื้อเพิ่มหรือกำลังขายออกอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ หรือ มีกองทุนรวมใดบ้างที่ลงทุนกับบริษัทแห่งนี้ และผู้จัดการกองทุนเหล่านั้นมีประวัติการทำงานเป็นเช่นไร เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้เป็นแหล่งอ้างอิงที่ดีได้ว่าคุณกำลังจะลงทุนร่วมกับคนที่เป็นมิตรหรือคนที่เป็นศัตรูกับคุณกันแน่ ทั้งนี้เพื่อจะได้หาทางหนีทีไล่ได้ถูกนั่นเองครับ

16. ระวังจุดสูงสุดเอาไว้ให้ดี : ข้อนี้เกี่ยวกับเรื่องของฟองสบู่ทางเศรษฐกิจต่างๆซึ่งมีมานานแล้ว และคาดว่าจะยังคงมีอยู่ต่อไปเรื่อยๆเป็นระยะในระบบทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นฟองสบู่จากการค้าดอกทิวลิปในช่วงคริสตศตวรรษที่ 17 หรือหุ้นในกลุ่ม IT และ internet ในช่วงทศวรรษ 1990 เป็นต้น ลักษณะที่เหมือนกันของแต่ละช่วงฟองสบู่ก็คือการที่นักลงทุนมองการลงทุนในสิ่งใดสิ่งหนึ่งในช่วงเวลานั้นเป็นการลงทุนที่ "ไม่มีวันแพ้" ดังนั้นเมื่อเราเห็นสภาพการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเราก็ควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในสิ่งนั้นให้ไกล อย่าได้เข้าไปยุ่งกับกระแสน้ำที่กำลังเชี่ยวกรากให้เจ็บตัวโดยเด็ดขาด อีกลักษณะที่จะทำให้เราพอคาดการณ์จุดสูงสุดของตลาดหลักทรัพย์ได้บ้างก็คือการพบเห็นผู้คนกลุ่มใหญ่ที่ไม่ได้มีความรู้หรือพื้นฐานทางธุรกิจและการลงทุนเริ่มนำเงินของตัวเองเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ด้วย ตัวอย่างเช่น พนักงานเปิดประตูโรงแรมเริ่มนำเงินที่ได้จากทิปไปลงทุนในหุ้น หรือคนขับแท็กซี่เริ่มพูดกับคุณเรื่องเล่นหุ้นมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าฟองสบู่ของเศรษฐกิจกำลังมาถึงจุดที่อันตรายเรียบร้อยแล้วก็เป็นได้

17. เน้นไปที่คุณภาพเสมอ : หากนักลงทุนเน้นไปที่เรื่องของคุณภาพของบริษัทเป็นสำคัญ หุ้นของนักลงทุนก็จะเป็นหุ้นของธุรกิจที่มีความได้เปรียบที่ยั่งยืนที่จะมีกำไรเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว จงมีความอดทนเพียงพอและมองไปที่คุณภาพของบริษัทเสมอแม้ราคาหุ้นจะเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนก็ตาม การมุ่งเน้นไปที่ราคาหุ้นมากกว่าคุณภาพของบริษัทไม่ต่างอะไรกับการเล่นเกมส์การพนัน

18. อย่าซื้อในราคาที่แพงเกินไป : จำนวนเงินที่คุณนำมาลงทุนคือข้อแตกต่างสำคัญระหว่างบริษัทที่สุดยอดกับการลงทุนที่สุดยอด การค้นพบบริษัทที่ยอดเยี่ยม เป็นเพียงส่วนเดียวของการลงทุนที่ดี ลำดับต่อมาก็คือการศึกษาว่าเราควรซื้อที่ราคาเท่าไหร่ และนักลงทุนต้องรู้จักอดทนรอคอยที่จะซื้อที่ราคานั้นหรือต่ำกว่านั้น การลงทุนในหุ้นและธุรกิจที่ยอดเยี่ยมในช่วงที่ราคาของหุ้นมีโปรโมชั่นลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลส์จะทำให้นักลงทุนประสบความสำเร็จทางการลงทุนได้อย่างแน่นอน

19. มี "ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย" อยู่เสมอ : อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่าการลงทุนในหุ้นคือการคาดการณ์อนาคตของบริษัทที่เราลงทุนว่าจะสามารถสร้างรายได้และมีกำไรเพิ่มขึ้นได้มากน้อยแค่ไหนในอนาคต แต่เราก็รู้ๆกันอยู่ว่าอนาคตนั้นเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน อาจมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นและทำให้การคาดการณ์ของเราผิดพลาดได้เสมอ ดังนั้นเราจึงควรลงทุนแบบมี "ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย" เป็นเกราะป้องกันเอาไว้ด้วย การทำตามเคล็ดลับข้อที่ 18 อย่างเคร่งครัดจะทำให้การลงทุนของคุณมีส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยได้เป็นอย่างดี

20. มีสติและอิสระทางความคิด : นักลงทุนที่ดีควรมีความเชื่อมั่นในการตัดสินใจของตัวเอง และไม่ถูกฝูงชนคนหมู่มากชักจูงความคิดของตนไปได้โดยง่าย ในเรื่องของการลงทุนนั้น ผู้ที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่ผู้ที่ฉลาดที่สุด แต่เป็นผู้ที่มีสติสัมปชัญญะ รู้ตัวรู้ตนว่าตัวเองกำลังทำอะไร และไม่หวั่นไหวไปตามสิ่งรบกวนที่เข้ามากระทบ ถ้าหากนักลงทุนมีสติในขณะที่คนส่วนใหญ่กำลังเสียสติไปตามแรงซื้อแรงขายของตลาดหุ้น ความสำเร็จของนักลงทุนก็จะอยู่แค่เอื้อมครับ

from http://is.gd/aEsRPm


อันตรายภัยนิวเคลียร์และวิธีรับมือ

สถานการณ์อุบัติเหตุโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่ประเทศญี่ปุ่นที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 11 มี.ค.54 เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ ทุกขณะ และสร้างความตื่นตระหนก ตระหนักรู้ไปทั่วโลก และขณะที่หลายชาติออกมาเคลื่อนไหวทบทวนแผนการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศของตนนั้น หน่วยงานหลายหน่วยงาน รวมทั้งสื่อนานาชาติก็ออกมาเผยแพร่วิธีการรับมือกับอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากสารกัมมันตรังสีที่แพร่กระจายออกจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในญี่ปุ่นสู่โลกภายนอก ซึ่งมีสาระที่น่ารู้นับตั้งแต่การป้องกันตนเองจากอันตรายดังกล่าวในเบื้องต้นอย่างไร ไปจนถึงความรุนแรงของวิกฤติที่เกิดขึ้นที่จะส่งผลกระทบต่อมนุษย์ ในระดับต่างๆ ที่พึงทราบ ดังนี้


วิธีเตรียมพร้อมรับมือกับการแพร่กระจายของกัมมันตรังสี

สำนักข่าวเกียวโดแนะนำวิธีเตรียมพร้อมรับมือกับการแพร่กระจายของกัมมันตรังสีดังต่อไปนี้

1. หากมีคำสั่งให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้านหรืออาคาร ประชาชนที่เพิ่งกลับเข้าบ้านหรืออาคารต้องถอดเสื้อผ้า รองเท้า และทุกอย่างที่สวมใส่ออกให้หมด จากนั้นใส่ในถุงพลาสติกและมัดปากถุงให้แน่น เนื่องจากอาจมีสารกัมมันตรังสีติดมาด้วย ความจริงแล้วสารเหล่านี้จะหลุดออกไปเมื่อผ่านการซักล้าง ส่วนเส้นผม ใบหน้า และร่างกาย ให้ล้างทำความสะอาดด้วยแชมพูและสบู่ แต่หากไม่มีน้ำใช้ในปริมาณมาก ให้เช็ดตัวด้วยผ้าหรือทิชชูชุบน้ำหมาดๆแทน

2. เมื่ออยู่ในบ้านหรืออาคารแล้ว ควรจะปิดเครื่องระบายอากาศ เครื่องปรับอากาศ หรืออุปกรณ์อื่นๆที่มีการถ่ายเทอากาศระหว่างภายในและภายนอกอาคาร ขณะเดียวกันก็ควรปิดประตูและหน้าต่างทุกบาน ส่วนอาหารควรเก็บไว้ในภาชนะที่มีฝาปิดหรือห่อไว้ และหากจำเป็นก็ควรจะแช่เย็น สำหรับน้ำดื่มควรบรรจุในหม้อ ถัง หรือภาชนะอื่นๆ

3. หากมีคำสั่งให้อพยพออกจากพื้นที่ ต้องปิดวาล์วแก๊สและถอดปลั๊กไฟออกเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดไฟไหม้ และหลังจากล็อกประตูบ้านเรียบร้อยแล้ว ประชาชนต้องเดินไปยังจุดรวมพลและทำตามคำสั่งของผู้นำ ความจริงแล้วการขับรถไปยังจุดรวมพลนั้นสามารถทำได้ แต่ช่วงดังกล่าวการจราจรอาจจะติดขัดมาก หรือหากจำเป็นต้องจอดรถกลางถนน รถของท่านก็จะเป็นอุปสรรคต่อรถขนส่งปัจจัยที่จำเป็นหรือรถดับเพลิง ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้รถหากเป็นไปได้

4.สิ่งของที่ควรพกติดตัวไปคือ หน้ากาก หมวก และเสื้อคลุมที่มีหมวก เพื่อลดการสัมผัสกับสาร หากมีฝนหรือหิมะตกให้สวมรองเท้าบู๊ตและถุงมือ ขณะเดียวกันก็ควรเตรียมผ้าขนหนูหรือผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำปิดปากและจมูกเพื่อป้องกันการสูดดมสารกัมมันตรังสีเข้าไปในร่างกาย นอกจากนั้นควรเตรียมกระเป๋าฉุกเฉิน ซึ่งประกอบด้วยอุปกรณ์ที่จำเป็น อย่างเช่น ไฟฉาย วิทยุพกพา เสื้อผ้า ฯลฯ

5.หากอยู่นอกพื้นที่ที่มีคำสั่งให้ทำการอพยพนั้น ควรสวมหน้ากากหรือย้ายที่อยู่ไปยังจุดที่ห่างออกไป อย่างไรก็ตาม สำนักงานความปลอดภัยนิวเคลียร์และอุตสาหกรรมญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ไม่มีความจำเป็นต้องออกจากพื้นที่ในทันที

6.ปัจจัยด้านสภาพอากาศก็มีส่วนสัมพันธ์กับระดับสารกัมมันตรังสี โดยปริมาณสารกัมมันตรังสีที่เพิ่มขึ้นในอากาศอาจมีปริมาณน้อยลงเมื่อฝนตก กระแสลมแรงอาจทำให้สารกัมมันตรังสีที่โดยปกติแล้วจะมีอาคารหรือภูเขาเป็นด่านป้องกันนั้น แพร่กระจายออกไปไกล อย่างไรก็ตาม สำนักงานความปลอดภัยนิวเคลียร์ระบุว่า โดยปกติแล้วจะมีการกำหนดพื้นที่สำหรับการอพยพ โดยพิจารณาจากสภาพแวดล้อม ดังนั้น ผู้ที่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ภายในบ้านคือผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่ทางการกำหนด

7.ประชาชนพึงระวังอันตรายจากการบริโภคอาหารที่มีสารกัมมันตรังสีปนเปื้อนมากับน้ำหรือพืชผลทางการเกษตร รัฐบาลอาจจะจำกัดการขนส่งผลผลิตจากบางพื้นที่ หลังมีการตรวจวัดระดับกัมมันตรังสีในพื้นที่นั้นๆ สำนักงานวิทยาศาสตร์รังสีแห่งชาติขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารจากพื้นที่ที่มีการอพยพ จนกว่าจะมีการยืนยันเรื่องความปลอดภัย

8.สำหรับการรับประทานไอโอดีนเพื่อป้องกันสารกัมมันตรังสีนั้น มีคำเตือนว่า การรับสารไอโอดีนในปริมาณมากอาจเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งไทรอยด์ นอกจากนี้ การรับสารไอโอดีนเพื่อป้องกันสารกัมมันตรังสีจะทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น เกิดอาการแพ้ ทั้งนี้ ไอโอดีนไม่สามารถป้องกันกัมมันตรังสีทุกประเภทได้ ดังนั้น การรับประทานสารโอโอดีนจึงต้องปฏิบัติตามคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ


สารกัมมันตรังสี –มะเร็งไทรอยด์-ไอโอดิน

หลายสื่อในประเทศไทยรายงานข้อมูลเกี่ยวกับ สารกัมมันตรังสี –มะเร็งไทรอยด์-ไอโอดิน โดยรศ.นพ. อดุลย์ รัตนวิจิตราศิลป์ สาขาวิชาศัลยศาสตร์ศีรษะ คอและเต้านม ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ไว้ดังนี้

สารกัมมันตรังสี กับมะเร็งไทรอยด์
สิ่งที่คนกลัวกันมากเรื่องระเบิดนิวเคลียร์ หรือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิด หรือมีสารกัมมันตรังสีรั่วไหล คือ การที่สารกัมมันตรังสีทำให้เราตายได้ การได้รับสารกัมมันตรังสี ปริมาณมากๆ อยู่ใกล้กับแหล่งระเบิดมากๆ จะทำให้เซลล์ของร่างกายหยุดเจริญเติบโต มีแผลตามร่างกาย เม็ดเลือดต่ำทั้งเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว ร่างกายอ่อนเพลีย และเกิดการติดเชื้อในกระแสโลหิต ถึงขั้นเสียชีวิตในเวลาไม่กี่วัน แต่หากปริมาณรังสีที่ได้รับเป็นจำนวนน้อย อยู่ห่างจากแหล่งที่เกิดระเบิด ปริมาณรังสีนั้นอาจไม่มากพอที่จะทำอันตรายโดยตรงกับร่างกายของเรา แต่อาจทำให้เซลล์บางส่วนผิดปกติ และเกิดเป็นมะเร็งขึ้นภายหลัง ซึ่งหนึ่งในเซลล์ของร่างกาย ที่ไวต่อสารกัมมันตรังสีมากที่สุด คือ ไทรอยด์ ดังนั้น หากต่อมไทรอยด์ของร่างกายได้รับสารรังสีเกินขนาด อาจทำให้เกิดมะเร็งขึ้นในอนาคตได้ อาจจะ 10-20 ปีต่อมา ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ได้รับ

ฝนรังสี กับมะเร็งไทรอยด์
สารกัมมันตรังสี ที่ตกค้างหลังการระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ อาจลอยอยู่ในอากาศ และตกลงมาพร้อมกับฝนได้ ดังนั้น การถูกฝนในบริเวณใกล้เคียงกับแหล่งระเบิดจึงอาจได้รับปริมาณรังสีจากการระเบิดได้ แต่อย่างไรก็ดี จะเกิดเฉพาะรอบๆ แหล่งระเบิดเท่านั้น ฝนดังกล่าวจะไม่สามารถมาจากญี่ปุ่นถึงไทย

เกลือไอโอดีนเม็ด ป้องกันมะเร็งไทรอยด์ได้อย่างไร ในผู้ที่ได้รับสารกัมมันตรังสี
ต่อมไทรอยด์เป็นอวัยวะที่ดูดจับไอโอดีนที่เข้ามาในร่างกายได้เร็วที่สุด และมากที่สุดร้อยละ 99 ของไอโอดีนที่ร่างกายรับเข้าไปจะถูกจับที่ต่อมไทรอยด์ ดังนั้น หากน้ำดื่ม ปลา อาหาร ที่อยู่ในบริเวณที่มีการระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ อาจมีสารกัมมันตรังสีในปริมาณสูง และไอโอดีนเป็นสารที่จับสารกัมมันตรังสีได้เร็วที่สุด ดังนั้น หากรับประทานอาหารจากแหล่งดังกล่าว ต่อมไทรอยด์จะรับสารไอโอดีนที่มีกัมมันตรังสีเข้าไปด้วย จึงเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง ธรรมชาติได้ช่วยร่างกายเราไว้อย่างหนึ่งคือ หากต่อมไทรอยด์ได้รับไอโอดีนจนอิ่มแล้ว จะไม่รับไอโอดีนเพิ่มเข้าไปอีก หรือรับแต่เพียงเล็กน้อย ดังนั้น ในกลุ่มเสี่ยง หากกินไอโอดีนเม็ดเข้าไปในปริมาณพอเหมาะ จะทำให้ต่อมไทรอยด์อิ่ม และดูดจับไอโอดีนที่มีสารกัมมันตรังสีที่ปนเปื้อนกับอาหารและน้ำได้น้อยลง เราจึงเสี่ยงลดลง การกินไอโอดีนเม็ดจึงจำเป็นสำหรับคนที่อยู่ในบริเวณกับที่เกิดเหตุเท่านั้น

คนปกติกินไอโอดีนเม็ด มีโทษ ทำให้เกิดไทรอยด์เป็นพิษได้
การกินไอโอดีนเม็ด จะไม่แนะนำในคนปกติ เพราะหากร่างกายรับไอโอดีนเข้าไปในปริมาณมากเกิน ระยะแรกจะทำให้ต่อมไทรอยด์หยุดทำงานชั่วคราว เกิดอาการอ่อนเพลีย แต่หลังจากนั้นประมาณ 3-5 วัน ต่อมไทรอยด์จะทำให้ไอโอดีนที่กินเข้าไปสร้างเป็นฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งหากกินไอโอดีนเม็ดเข้าไปมาก จะทำให้เกิดภาวะที่ฮอร์โมนไทรอยด์เกิน (hyperthyroid) หรือ ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ ซึ่งเป็นโรคอย่างหนึ่ง แต่ต้องการการรักษา หากไม่รักษา ร่างกายจะอ่อนเพลีย เหนื่อย ผอมลง ดังนั้น คนทั่วไปจึงห้ามกินไอโอดีนเม็ด ถ้าไม่ใช่คนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่อยู่ใกล้บริเวณที่รับสารกัมมันตรังสี มีโทษต่อร่างกาย

ระดับปริมาณรังสีและผลกระทบต่อร่างกายมนุษย์
ผลกระทบมากหรือน้อย ของ"ปริมาณรังสี" คือปริมาณการรับหรือดูดกลืนรังสี (absorbed dose) จากการได้รับรังสีปริมาณมากในครั้งเดียว (acute exposure) ขึ้นกับปริมาณของรังสี ดังนี้
20 Svมีผลต่อประสาทรับรู้ และเกิดอาการสั่นอย่างรุนแรง จากนั้นจะเสียชีวิตภายไม่กี่ชั่วโมงหลังรับรังสี
10 Svทำลายอวัยวะภายใน เลือดออกภายใน ความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตในเวลาเป็นวันหรือประมาณ 2 สัปดาห์
6 Svเจ้าหน้าที่ที่โรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์เชอร์โนบิลได้รับ และเสียชีวิตภายใน 1 เดือน
5 Svถ้าได้รับรังสีอย่างเฉียบพลันเพียงครั้งเดียว ส่งผลให้พิการไปครึ่งร่าง
1 Svเกิดการเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากรังสี และมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งในภายหลัง แต่ไม่ถึงขั้นเสียชีวิต
750 mSvผมร่วงภายใน 2 สัปดาห์หลังจากได้รับรังสี
700 mSvอาเจียนภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากได้รับรังสี
400 mSv เป็นอัตรารังสีต่อชั่วโมงที่มากที่สุดที่ตรวจวัดได้ ที่โรงไฟฟ้าฟิกูชิมะ เมื่อวันที่ 14 มี.ค.54
350 mSv อัตราที่ชาวเมืองเชอร์โนบิลได้รับ ก่อนอพยพออกจากเมือง
100 mSvอัตราจำกัดสำหรับคนทำงานด้านรังสีที่ให้สะสมไม่เกิน 5 ปี โดยถ้าได้รับเฉียบพลันมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งในภายหลัง
10 mSvรังสีที่ได้รับจากการทำซีทีสแกน 1 ครั้ง
9 mSvรังสีที่ลูกเรือสายการบินที่บินผ่านขั้วโลกเหนือเส้นทางระหว่างนิวยอร์กซิตี้และโตเกียวได้รับในแต่ละปี
2 mSvรังสีธรรมชาติที่เราได้รับเฉลี่ยต่อปี
1.02 mSv อัตรารังสีต่อชั่วโมงที่ตรวจพบ บริเวณโรงไฟฟ้าฟูกูชิมะ เมื่อวันที่ 12 มี.ค.54
0.4 mSvรังสีที่ได้รับจากเอกซเรย์เต้านมแบบแมมโมแกรม
0.01 mSvรังสีที่ได้รับจากการเอ็กซเรย์ฟัน
หมายเหตุ
1 Sv= 1,000 mSv
1 mSv = 1,000 ?Sv
1 ?Sv = 1,000 nSv
Sv - ซีเวิร์ต (Sievert), mSv - มิลลิซีเวิร์ต (millisievert), ?Sv - ไมโครซีเวิร์ต (microsievert), nSv - นาโนซีเวิร์ต (nanosievert)


ระดับความรุนแรงของวิกฤติโรงฟ้านิวเคลียร์

ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ร่วมกับองค์กร Nuclear Energy Agency Organization for Economic Cooperation and Development (NEA/OECDได้กำหนดมาตรฐานสำหรับใช้รายงานอุบัติเหตุโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขึ้นในปี 2533 โดยเรียกว่า มาตรการระหว่างประเทศว่าด้วยเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์ โดยกำหนดเป็นมาตราสากล ตั้งแต่ระดับ 0 ถึง 7 ดังนี้

ระดับ 0 การเบี่ยงเบน Deviation เหตุการณ์ที่เกิดความคลาดเคลื่อนเล็กน้อยจากการเดินเครื่องของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ตามปกติ ไม่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัย

ระดับ 1 เหตุผิดปกติ Anomaly เหตุการณ์ที่แตกต่างจากเงื่อนไขตามที่อนุญาตให้เดินเครื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แต่ไม่มีผลกระทบด้านความปลอดภัย ไม่มีการเปรอะเปื้อนสารกัมมันตรังสี หรือ ผู้ปฏิบัติงานไม่ได้รับปริมาณรังสีเกินเกินเกณฑ์กำหนด

ระดับ 2 เหตุขัดข้อง Incident เหตุการณ์ซึ่งส่งผลกระทบด้านความปลอดภัย แต่ระบบป้องกันอื่นๆ ยังสามารถควบคุมสภาวะผิดปกติได้ หรือเหตุการณ์ที่ทำให้ผู้ปฏิบัติงานได้รับปริมาณรังสีเกินเกณฑ์กำหนด หรือเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการแพร่กระจายของสารกัมมันตรังสีภายในบริเวณโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซึ่งไม่ได้มีการออกแบบรองรับไว้ และต้องดำเนินมาตรการแก้ไข

ระดับ 3 เหตุขัดข้องรุนแรง Serious Incident เหตุการณ์ที่ใกล้ต่อการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งเหลือเพียงระบบป้องกันขั้นสุดท้ายยังคงทำงานอยู่ หรือเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการแพร่กระจายของสารกัมมันตรังสีภายในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อย่างรุนแรง หรือผู้ปฏิบัติงานได้รับรังสีในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัย หรือการแพร่กระจายสารกัมมันตภาพรังสีปริมาณเล็กน้อยออกสู่ภายนอกโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ (กลุ่มบุคคลที่ล่อแหลมต่อเหตุการณ์ได้รับปริมาณรังสีในช่วงที่เป็นเศษส่วนในสิบของมิลลิซีเวิร์ต)

ระดับ 4 อุบัติเหตุที่ไม่มีนัยสำคัญต่อ (ผลกระทบ) ภายนอกโรงงาน แต่เป็นอุบัติเหตุที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถานปฏิบัติการนิวเคลียร์ในระดับสำคัญ เช่น แกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์หลอมละลายบางส่วน หรือ ผู้ปฏิบัติงานได้รับปริมาณรังสีเกินเกณฑ์กำหนด ทำให้มีโอกาสเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวป็นไปได้สูง หรือมีการแพร่กระจายของสารกัมมันตรังสีออกสู่ภายนอก ยังผลให้กลุ่มบุคคลที่ล่อแหลมต่อเหตุการณ์ได้รับปริมาณรังสีในช่วง 2-3 มิลลิซีเวิร์ต

ระดับ 5 อุบัติเหตุที่มีผลกระทบถึงภายนอกโรงงาน ก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อสถานปฏิบัติการนิวเคลียร์ หรือมีการแพร่กระจายของสารกัมมันตรังสีออกสู่ภายนอก ในระดับเทียบเท่ากับกัมมันตภาพของไอโอดีน-131 ในช่วง 100-1,000 เทระเบ็กเคอเรล ทำให้ต้องมีการใช้แผนฉุกเฉินบางส่วน

ระดับ 6 อุบัติเหตุรุนแรง Serious Accident อุบัติเหตุที่ที่ก่อให้เกิดการแพร่กระจายของสารกัมมันตรังสีออกสู่ภายนอกโรงไฟฟ้าปริมาณมากในระดับเทียบเท่ากับกัมมันตภาพไอโอดีน-131 ในช่วง 1,000-10,000 เทระเบ็กเคอเรล และต้องดำเนินการตามแผนฉุกเฉินอย่างเต็มรูปแบบ

ระดับ 7 อุบัติเหตุรุนแรงที่สุด อุบัติเหตุใหญ่หลวง ก่อให้เกิดการแพร่กระจายของสารกัมมันตรังสีออกสู่ภายนอกในปริมาณมหาศาล ในระดับเทียบกับกัมมันตภาพไอโอดีน-131 ในช่วง 10,000 เทระเบ็กเคอเรล มีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยและสิ่งแวดล้อมอย่างกว้างขวาง
* (1 เบ็กเคอเรล (Becquerel, Bq) มีค่าเท่ากับการสลายตัวของสารกัมมันตรังสีจำนวน 1 อะตอม ใน 1 วินาที)

from http://is.gd/IvVkKE


14 มีนาคม 2554

สูตรสำเร็จ

ท่านผู้อ่านเคยนั่งนึกตรึกตรองลองคิดเล่นๆ ไหมว่า ทำไมคนบางคนแสนเก่ง จะเป็นเพราะเขาเฮง หรือบังเอิญ หรือฉลาดปราดเปรื่องกว่าคนทั่วไป จึงประสบความสำเร็จกว่าชาวบ้านร้านเมือง

Dr.Heidi Halvorson ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการทำงาน ทั้งนั่งนึกและเดินนึก จนคิดตกผลึกว่า อย่ามัวแต่สงสัย เราควรจะทำการวิจัยเป็นเรื่องเป็นราว ว่าคนเหล่านี้เขามีอะไรดีหนอ จะได้ขอมาใช้บ้าง

แกจึงทุ่มศึกษาวิจัยผู้ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นเด็กนักเรียนที่ชนะการแข่งขันด้านวิชาการ นักกีฬานานาชาติที่พิชิตเหรียญทองโอลิมปิก มนุษย์เงินเดือนที่เป็นดาวเด่นขององค์กร ตลอดจนผู้นำขั้นเทพที่เราคุ้นชื่อ ไม่ว่าจะเป็น Steve Jobs Bill Gates หรือ Warren Buffett

ผลการวิจัยฉบับเต็มจะถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือ ซึ่งจะเปิดโฉมตอนปลายปีนี้ Dr. Heidi จึงแอบสรุปประเด็นเล่าให้เราฟังในนิตยสาร Harvard Business Review ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาก่อนว่า คนที่ประสบความสำเร็จกว่ามนุษย์ทั่วไป ส่วนใหญ่มีพฤติกรรมคล้ายคลึงกันหลายข้อ พอสรุปได้ 8 ประเด็นดังนี้

1.ไม่เบลอ กล่าวคือ เขาตั้งหลักโดยรู้กระจ่างว่าเขาต้องการอะไร และตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน เฉพาะเจาะจง จะได้จินตนาการได้ชัดแจ๋วว่าความสำเร็จหน้าตาเป็นอย่างไร อาทิ การตั้งใจว่า “จะลดน้ำหนักให้ได้” ยังไม่ให้ความชัดเจน ปรับเป็น “ลดน้ำหนัก 3 กิโล ใน 6 เดือน” จะเห็นเป้าหมายได้แจ่มชัด เป็นตัวสร้างความมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงฝันที่วาดไว้

2. ไม่มั่ว เขามีแนวทางและแผนงานชัดเจนว่าจะทำอะไร เมื่อไหร่ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย หากจะลดน้ำหนักต้องวางแผน และจับให้มั่นคั้นให้ตายว่าจะทำอะไร เมื่อไหร่ เช่น “จะวิ่งครึ่งชั่วโมง สัปดาห์ละ 3 วัน” หากเพียงบอกว่า “จะออกกำลังกายสม่ำเสมอ” ยังอาจทำให้เผลอได้ จึงต้องจ้ำจี้จ้ำไช วาดแผนให้ชัดเจน

Dr. Heidi ฟันธงว่า การมีแผนงานที่ชัดเจนและมุ่งมั่นทำตามแผนอย่างไม่ยอมแพ้ จะเสริมเพิ่มอัตราความสำเร็จถึง 3 เท่าเลยทีเดียว

3.ไม่หลงระเริง คนกลุ่มนี้มีสติ เตือนตนตลอดว่าตอนนี้ก้าวหน้า หรือแม้แต่ถอยหลังไปถึงไหน ผู้ที่ประสบความสำเร็จ ตระหนักรู้ว่าตนเองอยู่ตรงใด จะได้รู้ว่าเหลือระยะเวลาอีกนานไหม ใกล้ถึงเป้าแล้วเหรอยัง จะได้ปรับผังปรับแผนได้ทันท่วงที

วิธีหนึ่งที่ทำง่ายๆ ในการติดตามงาน คือ การมี “หลักกิโลเมตร” วัดระหว่างทาง อาทิ หากรอชั่งน้ำหนักหลังเวลาผ่านไป 6 เดือน มีสิทธิ์เป้าสะเทือนได้ง่ายๆ

ในกรณีที่ได้เป้าก็แล้วไป หากไม่ได้ แถมน้ำหนักขึ้น สิ่งที่เรียกร้องกลับมาไม่เคยได้ คือเวลาที่ผ่านไป ผ่านแล้วผ่านเลย ไม่เคยหวนกลับคืนมา คนวัดจึงได้แต่ทำหน้าจืด วืดเป้า เพราะขาดการติดตามผลงานแบบใกล้ชิดระหว่างทาง จะกลับไปแก้ตัว ก็ไม่ได้ สายเกิน

4.ไม่หวังลมๆ แล้งๆ คนที่ประสบความสำเร็จมองโลกในแง่ดี แต่เผื่อที่เผื่อใจไว้สำหรับความจริง อีกนัยหนึ่ง คนที่ประสบความสำเร็จล้วนกล้าฝัน แต่ขณะเดียวกัน ก็มิได้ฝันเฟื่อง หวังพึ่งลม พึ่งแล้งให้แห้งเหี่ยว เปลี่ยวใจ เพราะไปไม่ถึงฝันเสียที

หวังว่าจะสวยแบบพี่อั้ม จึงตั้งใจลดน้ำหนัก 10 กิโลกรัมใน 2 เดือน เอาเข้าจริงๆ ทำไม่ได้ เลยใช้วิธีกินยาที่หาเอง นอกจากไม่ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนัก ยังอาจต้องพักรักษาตัวจากปัญหาสารพัดที่เป็นผลพลอยเสียตามมา

คนที่ประสบความสำเร็จจึงผสมผสานการกล้าฝันกับกล้าตื่นรู้รับความจริง ว่าสิ่งใดน่าจะทำได้ สิ่งใดไกลเกินเอื้อม การดำเนินการก้าวสู่ฝัน จึงทั้งท้าทายและเป็นไปได้ในเวลาเดียวกัน

5. ไม่เหลาะแหละ คนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพราะเป้าหมายที่อยากได้ คงไม่ใช่อะไรที่ง่ายดายเหมือนเล่นขายของ ยอมให้ท้อได้บ้าง แต่ของแท้ต้องไม่ยอมแพ้ หาทางแก้ใหม่ๆ ล้มได้ก็ลุกได้ ไหนๆ จะกัด ต้องกัดให้ติด มีชีวิตเหมือนแมว ตายแล้วเกิดใหม่ได้ 9 ครั้ง

อัตชีวประวัติของใครต่อใครที่ประสบความสำเร็จ อาจจะมีหนทางที่แตกต่าง หลากหลาย แต่จะมีสิ่งหนึ่งที่คล้ายกันมาก คือ เขาต่างสอบผ่านข้อสอบวิชา “ลุกหลังล้ม” มาแล้วทั้งสิ้น

6. ไม่ใจเสาะ คนกลุ่มนี้ใจเด็ด การที่ใครจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ จะต้องอาศัยพลังใจที่มุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว

Dr. Heidi เล่าว่า คนเรามิได้เกิดมาพร้อมใจที่เด็ด หรือ ไม่เด็ด แต่กลุ่มคนที่แกศึกษา ล้วนได้มาซึ่งความใจเด็ดจากการฝึก การหักห้ามใจ การมีวินัยในเรื่องเล็กๆ ในชีวิตก่อน แล้วจึงใช้ใจที่แข็งแกร่ง เป็นแรงภายใน ที่ใครไม่มี ยากที่จะประสบความสำเร็จในเรื่องสำคัญๆ

7. ไม่ประมาท คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ แม้คิดใหญ่ คิดไกล แต่ก็ไม่มุทะลุ หรือมั่นใจในตนเองจนมองไม่เห็นภัยหรืออุปสรรคที่อาจมากล้ำกราย

เขาคงเรียนรู้จากแมวคราว 9 ชีวิตเจ้าเก่าว่า 4 เท้ายังรู้พลาด จึงมีแผนสำรอง แผนฉุกเฉินไว้เตรียมรับมือกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น อย่างไม่ประมาท

8. ไม่หยุดอยู่กับที่ คนกลุ่มนี้รักที่จะก้าวไปข้างหน้า กล้าฝัน ไม่หยุดนิ่ง เขามองเห็นการพัฒนาตนเอง เป็นเสมือน “การเดินทาง” มิใช่ “จุดหมายปลายทาง”

ยิ่งในภาวะปัจจุบันที่โลกแปรผันตลอด การพัฒนาจึงเป็นการเดินทางที่มิได้เน้นจุดหมาย แต่เน้นการขยับขับเคลื่อนไปข้างหน้า อย่างไม่เคยยอมล้าหลัง

Dr. Heidi สรุปอย่างเป็นกำลังใจให้เราทุกคนว่า คนที่ประสบความสำเร็จที่เราเห็นโลดแล่นไปมา เขาประสบความสำเร็จได้ เป็นเพราะ What they do, not who they are

สำเร็จเพราะเขาทำอะไร มิใช่สำเร็จเพราะเขาคือใคร

เราเป็นใคร จะยาก ดี มี จน ก็ประสบความสำเร็จได้

ไม่ต้องรอเกิดใหม่ค่ะ



from http://bit.ly/gCrtuR


10 มีนาคม 2554

สู้...ออฟฟิศซินโดรม

“โรคออฟฟิศซินโดรม” เป็นกลุ่มอาการที่พบบ่อยในวัยทำงาน เกิดจากอิริยาบทที่ไม่เหมาะสม

ไม่ว่าจะเป็นอาการที่ต้องนั่งทำงานตลอดเวลา ทำให้ร่างกายขาดการเคลื่อนไหว นั่งหลังค่อม เก้าอี้ไม่มีพนักพิง จึงไม่สามาถรองรับแผ่นหลัง การจัดวางของที่ทำให้หยิบจับลำบาก และการกดแป้นคีย์บอร์ดไม่มีตัวรองรับข้อมือ จะทำให้มีการกระดกข้อมือขึ้นลงซ้ำๆ ซึ่งเป็นผลเสียต่อสุขภาพ

ซ้ำบางคนที่มีอาการของหมอนรองกระดูกเคลื่อนอยู่แล้ว หากทำงานในอิริยาบทที่ผิด จะทำให้มีอาการรุนแรงมากขึ้น แถมยังมีเรื่องความเครียดในที่ทำงานอีกแต่ไม่ต้องกลัว เพราะถ้าเรารู้จักการดูแลป้องกันตัวเองอย่างถูกวิธีในการนั่งทำงานหน้าจอ คอมพิวเตอร์ โรคออฟฟิศซินโดรมก็จะไม่ถามหาคุณอย่างแน่นอน

อาจารย์หยางเผยเซิน ผู้ก่อตั้งศูนย์ซี่กงเพื่อสุขภาพ กล่าวว่า อิริยาบทและสภาพแวดล้อมในที่ทำงานที่ไม่เหมาะสม จะส่งผลให้กล้ามเนื้ออักเสบและปวดเมื่อยตามอวัยวะต่างๆ เช่น หลัง ไหล่ บ่า แขน หรือข้อมือ

โดยเฉพาะการกระดกข้อมือขึ้นลงซ้ำๆ จากแป้นคีย์บอร์ดที่ไม่มีการรองรับข้อมือ จะส่งผลให้เกิดการอักเสบบริเวณเส้นเอ็น รวมทั้งเกิดสภาวะพังผืดหนา ทำให้เกิดอาการชาบริเวณนิ้วและข้อมือ

ส่วนความเครียดสะสม จะทำให้มีอาการปวดศีรษะหรือเป็นโรคเครียดได้ อาการที่กล่าวมามีศาสตร์แห่งการบำบัดโรคที่มีมาแต่โบราณวิธีหนึ่งคือ “กัวชา” เป็น วิธีบำบัดโรคธรรมชาติแบบวิถีชาวบ้านตั้งแต่สมัยโบราณ

โดยเริ่มมีการเล่าขานถึงตั้งแต่ในยุคชุนซิวจั้นกั๋ว แต่ปรากฏหลักฐานในสมัยราชวงศ์หยวน ชื่อ “ตำรายอดนิยมของหมอกลางบ้าน” โดย เวยอี้หลิน ในราวปี ค.ศ. 1337

ต่อมาในยุคหลังจึงเริ่มบันทึกเป็นตำราทางศาสตร์กัวชา “ กัวชา เป็น ศาสตร์ที่เรียนรู้ได้ง่าย สะดวก เห็นผลเร็ว เพียงใช้อุปกรณ์ที่ทำจากธรรมชาติ มาวาดบนผิวหนังตามเส้นลมปราณทั่วร่างกายเพื่อบำบัดโรคและขับพิษออกจากร่างกาย จึงเป็นที่นิยนของชาวจีนมาอย่างยาวนาน

การบำบัดด้วยกัวชา มีประสิทธิภาพในการขับพิษ เมื่อกัวชาเป็นประจำ จะทำให้ร่างกายแข็งแรง

จุดเด่นของกัวชาออฟฟิศซินโดรมเพื่อบำบัดโรคต่างๆ อาทิ แก้อาการเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ช่วยบรรเทาและบำบัดอาการปวดชาบริเวณ คอ ไหล่ หลัง บ่า แขน และข้อมือ บำบัดอาการมือชา เท้าชา และนิ้วล็อก ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ทำให้เลือดลมหมุนเวียนดีล

นอกจากบำบัดแล้ว ยังมีวิธีป้องกันที่หนุ่มสาวชาวออฟฟิศสามารถทำได้เองง่ายๆ ไม่เสียเวลางานด้วย ซ้ำยังนั่งทำได้ที่หนาจอคอมพิวเตอร์ของคุณเอง พร้อมแล้ว เริ่มกันเลย …

1. ยื่นแขนไปข้างหน้า กางนิ้วมือออก เกร็งไว้สักครู่ สลับกับกำมือ ประมาณ 10 ครั้ง

2. ท่าบริหารหลังส่วนบนและสะบัก ประสานมือไว้ด้านหลังศีรษะ ศอกทั้งสองข้างและลำตัวส่วนบนตั้งตรง ดันศอกทั้งสองข้างออกไปด้านหลังตรงๆ จนรู้สึกตึงบริเวณหลังส่วนบนและสะบัก ค้างไว้ประมาณ 8-10 วินาที ทำแบบนี้ 5-10ครั้ง

3. ท่าบริหารคอด้านข้าง ตั้งศีรษะตรง เอียงศีรษะไปด้านซ้ายช้าๆ จนกระทั่งกล้ามเนื้อคอด้านข้างรู้สึกตึง ค้างไว้ประมาณ 10-20 วินาที จากนั้นสลับไปทำด้านขวาแบบเดียวกัน ทำซ้ำข้างละ 2-3 ครั้ง

4. ตั้งศีรษะตรง หันหน้าไปทางหัวไหล่ด้านซ้าย จนกระทั่งคางเป็นแนวเดียวกับหัวไหล่ จนรู้สึกตึงที่ด้านข้างของคอด้านขวา ค้างไว้ 10-20 วินาที จากนั้นสลับไปทำด้านขวาแบบเดียวกัน ทำซ้ำข้างละ 2-3 ครั้ง ท่านี้ช่วยบริหารคอด้านข้างเหมือนกัน

5. ท่าบริหารคอด้านหลัง ก้มศีรษะจรดหน้าอกและให้รู้สึกตึงบริเวณคอด้านหลัง ค้างไว้ 5-10 วินาที ทำซ้ำ 3-5 ครั้ง

6. ประสานมือและเหยียดแขนไปข้างหน้าจนรู้สึกตึงที่แขนและไหล่ ค้างไว้ประมาณ 20-30 วินาที ทำซ้ำ 2-3 ครั้ง ท่านี้ช่วยบริหารแขนและไหล่ส่วนบน

7. ยกหัวไหล่ขึ้นไปจนจรดหู จนกระทั่งรู้สึกตึงที่คอและไหล่ ค้างไว้ประมาณ 3-5 วินาที จากนั้นปล่อยไหล่ลงในท่าปกติ ทำท่านี้ 2-3 ครั้ง จะเป็นการบริหารการเกร็งบริเวณหัวไหล่และคอ

8. ท่าบริหารหัวไหล่ ใช้มือซ้ายจับที่ข้อศอกขวา ดึงข้อศอกขวามาด้านซ้าย จนรู้สึกตึงที่หัวไหล่ขวา ค้างไว้ประมาณ 15-20 วินาที จากนั้นสลับไปทำด้านซ้าย ทำซ้ำข้างละ 2-3 ครั้ง

9. ท่าบริหารแขนและไหล่ส่วนล่าง ประสานมือและเหยียดแขนขึ้นไปข้างบนจนตึง ค้างไว้ประมาณ 10-20 วินาที ทำซ้ำ 2-3 ครั้ง

ลองทำดูเพื่อสุขภาพที่ดี ห่างไกลจากโรคออฟฟิศซินโดรม

from http://bit.ly/fz5uWXa


เมื่อวัยรุ่น วุ่นเรื่องเงิน

ความรักกับเงินตราผสมกลมกลืนกันจนแยกไม่ออก โดยเฉพาะวัยรุ่นที่ใช้เงินซื้อทุกอย่าง แต่แหล่งเงินนั้นมาจาก "ตู้ ATM ประจำบ้าน" จะทำอย่างไรกันดี

พฤติกรรมจับจ่ายมือเติบไม่ได้กำลังระบาดในกลุ่มคนวัยทำงาน หรือผู้ประสบความสำเร็จด้านการเงินเท่านั้น ปัจจุบันกระแสทุนและวัตถุนิยมกลับสร้างนักช้อปเลือดใหม่ขึ้นมากมาย แต่ที่ลดน้อยถอยลงไปคือตัวเลขอายุของนักช้อปเหล่านี้


เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ดร.รัชดา ธนาดิเรก ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ ออกตัวเป็นแกนนำจัดสัมมนา "เงินในกระเป๋า กับรักของเรา" ณ โรงแรมรอยัล ซิตี้ โดยเชิญ สุพิชา สอนดำริห์ บก.นิตยสารคลีโอ และอุไรวรรณ นพคุณ เจ้าของร้านอาหาร "อัธยาศัยดี" มาร่วมให้ความรู้แก่น้องๆ วัยรุ่นนักเรียนหญิงกว่า 200 คน จากโรงเรียนต่างๆ


เหตุแห่งการเสียเงินนั้นมีหลากหลายอย่าง อันที่จริงทุกกิจกรรมที่ทำล้วนดูดดึงเงินออกจากกระเป๋าได้ทั้งสิ้น ตั้งแต่ก้าวแรกที่ออกจากบ้านก็ต้องเสียค่ารถโดยสารแล้ว โทรศัพท์นัดเพื่อน กินข้าวนอกบ้าน ซื้อของ ซื้อเสื้อผ้า เที่ยวกับแฟน ซื้อขนม แชทบีบี เล่นอินเทอร์เน็ตบนมือถือ นานัปการ


อุไรวรรณ เล่าเกี่ยวกับเส้นทางที่จะนำพาวัยรุ่นไปสู่การเที่ยวเตร่ จากประสบการณ์ตรงซึ่งพบเจอเมื่อครั้งอดีตก่อนจะกลับลำทันแล้วผันตัวเองกระทั่งประสบความสำเร็จได้ในธุรกิจร้านอาหารว่า


"เมื่อก่อนไปเที่ยว RCA แต่เด็กเดี๋ยวนี้คงไปแถวรัชดาฯ มากกว่า อายุ 15 ก็เข้าได้แล้ว ถ้าไม่มีบัตรก็จ่าย 300 เด็กบางคนต้องขอเงินพ่อแม่ไปจ่ายตรงนั้นเพื่อให้ได้อยู่ในสังคมเพื่อน ตอนไปก็มีความสุขหรอก แต่จะไม่มีความสุขตอนที่พ่อแม่ไม่ให้เงินไป เด็กบางคนอยากไปจริงๆ ก็ดิ้นไปเรื่อยๆ ก่อให้เกิดการขโมย และปัญหาในสังคมทุกวันนี้"


ด้าน ดร.รัชดา บอกว่า "น้องๆ อาจจะคิดว่าเรื่องหนี้สินเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ยังมาไม่ถึงตัว เวลาคุณพ่อคุณแม่เป็นหนี้ก็เป็นเพราะพ่อแม่ก่อหนี้สินเอง แต่อย่าลืมนะว่า ค่าเล่าเรียน ค่าเสื้อผ้า หรือว่าเงินที่เราไปหลอกพ่อแม่ว่าเอาไปทำรายงาน ซื้อคอมพิวเตอร์ ถ้าไม่มีคอมพิวเตอร์จะทำรายงานไม่ได้บ้าง อยากได้นั่นได้นี่บ้าง ความอยากของเรามันก็สร้างภาระให้พ่อแม่ได้ น้องๆ อย่าคิดว่าหลอกขอเงินไปเที่ยวนิดๆ หน่อยๆ เป็นเรื่องเล็ก จริงๆ แล้วเป็นปัญหาของครอบครัวได้...เราเคยถามตัวเองไหมว่า ถ้าไม่มีคนอื่นให้เงินเรา จะหาเงินสักสิบบาทจากไหน"


กิจกรรมของวัยรุ่นอาจดูเหมือนสร้างความลำบากแก่กระเป๋าสตางค์ แต่จริงๆ ทุกช่วงของชีวิตล้วนมีกิจกรรมอันต้องเสียเงินเป็นกิจวัตร ใครจะเชื่อว่าความรักความห่วงใยที่ผู้หญิงมีอย่างยิ่งใหญ่จะสร้างหนี้สินได้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว


บก.นิตยสารคลีโอ กล่าวถึงงานวิจัยทั้งหลายที่บอกว่า ผู้หญิงวันนี้อยู่ในกลุ่มคนยากจนมากที่สุดในโลก หนึ่งคือมีอายุยืนกว่าผู้ชาย 6-7 ปี สองคือความรักที่ผู้หญิงรักจะรักแบบถวายหัว เวลาแต่งงานแล้วทำงานได้เงินมา 100 บาท จะใช้จ่ายไปกับครอบครัวถึง 80 บาท ต่างกับผู้ชายที่ใช้จ่ายกับครอบครัวเพียง 50 บาทเท่านั้น


"วันนี้ช่วงเวลาที่เรารักกันกระเป๋าสตางค์จะเป็นใบเดียวกัน อยากได้อะไรก็ซื้อให้ แต่วันหนึ่งถ้าเขาทิ้งเราไป ไปมีคนอื่น แล้วเราไม่มีเงินเก็บออมของเราเลย จะอยู่ยังไง ถ้าเราไม่มีเสรีภาพทางการเงิน ต้องไปพึ่งพาเงินคนอื่น โอกาสที่เราจะไม่ได้รับเกียรติ ศักดิ์ศรี เป็นไปได้สูง เคยไหมที่เวลาเราไปขอเงินใคร จะโดนดูถูก" ดร.รัชดา กล่าว


คล้ายว่าต้นเหตุของปัญหากำลังถูกขุดขึ้นมาเปิดเผยต่อหน้าเยาวชน แต่นั่นก็ทำให้เด็กบางคนสะดุ้งสะเทือนกับเรื่องราวของตนที่บังเอิญตรงกับสิ่งที่ผู้ใหญ่ใจดีบอกเล่า


การแก้ไขจะถูกทางได้ก็ต้องมองเห็นปัญหาเสียก่อนเพื่อจะแก้ได้ทั้งองคาพยพ ดร.รัชดาจึงให้นักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมแบ่งกลุ่มย่อย เพื่อเปิดลู่ทางเข้าถึงปัญหาได้ง่ายขึ้น หลังจากนั้นให้ร่วมกันประมวลรายรับ รายจ่าย ทั้งหมดในแต่ละเดือนแล้วถ่ายทอดลงกระดาษแผ่นใหญ่ เพื่อหาค่าความเสี่ยงว่าจะ "มี" หรือ "อด" แล้วมาแลกเปลี่ยนกัน


ผลคือส่วนใหญ่เสียเงินไปกับค่าของใช้ส่วนตัว ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าเรียนพิเศษ (ซึ่งมีเกือบทุกกลุ่ม) ค่าดูหนัง ฟังเพลง ร้องคาราโอเกะ ซึ่งสะท้อนค่านิยมอะไรบางอย่างในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เสพสิ่งฉาบฉวย ตอบสนองความ "อยาก" มากขึ้นเช่นกัน


แต่ใช่ว่าปัญหาจะไม่มีทางออก เมื่อผลความเสี่ยงที่คิดคำนวณออกมาปรากฏว่า บางกลุ่ม "อด" ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย ทางออกหลายต่อหลายทางถูกหยิบยกมาเป็น "ทางรอด" ให้แก่เยาวชนมือเติบบางกลุ่ม ซึ่งนำไปต่อยอดกับการใช้จ่ายได้ทุกช่วงวัย


"คิดให้ดีว่าสิ่งที่เราอยากได้ จำเป็นหรือไม่ แค่ไหน ? ต้องเป็นของมียี่ห้อด้วยหรือ เราซื้อของหรือเราซื้อยี่ห้อ" ดร.รัชดากล่าวอย่างห่วงใย


ภัสสรา กลิ่นเรณู นักเรียนโรงเรียนมัธยมวัดนายโรง แลกเปลี่ยนประสบการณ์ว่า "ยอมรับว่าเป็นคนใช้เงินฟุ่มเฟือยมาก อยากได้อยากมีทุกอย่าง วันนี้ได้รู้ว่า กว่าที่พ่อแม่จะได้เงินมาแต่ละบาทมันยากมาก อยากให้เพื่อนทุกคนคิดก่อนใช้ เราจำเป็นต้องใช้หรือเปล่า ถ้าไม่จำเป็นก็ตัดมันทิ้งไป เราอย่าใช้อารมณ์ซื้อของ แต่ควรใช้เหตุผลซื้อของ"


สุดท้ายก่อนซื้อของคงต้องชั่งใจสักนิดว่า "อยากได้หรือว่ามันจำเป็น"

from http://bit.ly/f5UcZH


06 มีนาคม 2554

พาลพาไปหาผิด บัณฑิตพาไปหาผล

ปาฐกถาธรรมเรื่อง
พาลพาไปหาผิด บัณฑิตพาไปหาผล
โดย พระภาวนาวิสุทธิคุณ (เสริมชัย ชยมงฺคโล ป.ธ.๖)
เจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดราชบุรี (แห่งที่ ๑)
เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
วันอาทิตย์ที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๖ เวลา ๘.๐๐ น.
_____________

“อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา
ปูชา จ ปูชนียานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ”
การไม่คบคนพาลทั้งหลาย ๑ การคบแต่บัณฑิตทั้งหลาย ๑
การบูชาบุคคลที่ควรบูชา ๑ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด.

เจริญสุข/เจริญพร ญาติโยมสาธุชนผู้ฟังทุกท่าน

สำหรับรายการในวันนี้ จักได้กล่าวถึง เรื่อง “พาลพาไปหาผิด บัณฑิตพาไปหาผล” โดยความหมายว่า คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล ตามนัยแห่งพระพุทธดำรัส ตรัสมงคลอันสูงสุด ๓๘ ประการ แก่เทพยดาองค์หนึ่ง ที่ได้มาทูลขอพระพุทธองค์ ให้ทรงแสดงมงคล ในราตรีปฐมยามล่วงแล้ว ณ พระเชตวันมหาวิหาร

พระคาถาที่ได้ยกขึ้นแสดงไว้ในเบื้องต้นนั้น เป็นพระคาถาที่ ๑ ที่ได้ทรงแสดงมงคล ๓ ประการ ดังจะได้อธิบายขยายความ ต่อไป

ความหมายของคำว่า “คบ” “คนพาล” “บัณฑิต”

(ตามปทานุกรม ฉบับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ)

คำว่า “คบ” ตรงกับศัพท์บาลีว่า “ภชติ” แปลว่า คบหา หรือตรงกับศัพท์ว่า “เสวนา” แปลว่า ความเสพ หรือ ซ่องเสพ ตรงกับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า to serve, to honour, to acquaint, to embrace, to devoted to, to follow, to obtain ซึ่งแปลความว่า รับใช้ (ยอมตัวรับใช้), ให้เกียรติยกย่อง, คุ้นเคย (คลุกคลี ร่วมกิน ร่วมนอน ร่วมคิด ร่วมเห็น), รับรองโอบอุ้ม, ยอมรับนับถือ (ซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อ...), ปฏิบัติตามอย่าง และ/หรือ รับเข้าไว้ (เป็นพรรคพวกคตินิยมเดียวกัน เป็นต้น)

เพราะเหตุนั้น คำว่า “คบ” หรือ “คบหา” หรือ “ซ่องเสพ” ในพระคาถานี้ พึงทราบว่า เพียงการรู้จักกันอย่างผิวเผินโดยธรรมดาทั่วไปในสังคม หรือเพียงการทำงานร่วมกัน หรือติดต่อกันในวงงาน แต่ยังไม่ลึกซึ้งถึงขั้นเป็นเพื่อนร่วมชีวิตจิตใจ คือ ร่วมกิน ร่วมนอน ร่วมคิด ร่วมเห็นกัน หรือเป็นพรรคพวกผู้คุ้นเคยใกล้ชิดสนิทสนมกัน เข้ากันได้สนิท โดยการยอมรับนับถือ ประพฤติตามอย่างกัน รับรองโอบอุ้ม ซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อกัน ถ้ายังไม่ถึงขั้นนี้ ก็ยังไม่จัดว่าเป็นการ “คบ” “คบหา” หรือ “ซ่องเสพ” กัน

คำว่า “พาล” ตรงกับศัพท์บาลีว่า “พาโล” ตรงกับภาษาอังกฤษว่า foolish, ignorant หรือ a child แปลความว่า คนพาล คนอ่อน คนโง่เขลา คือ คนโง่เขลาเบาปัญญา คนอ่อนทางสติปัญญา เหมือนเด็กๆ มีศัพท์บาลีอีกศัพท์หนึ่งว่า “พาลตา” ตรงกับภาษาอังกฤษว่า foolishness, ignorance หรือ childhood ซึ่งแปลความว่า ความโง่เขลาเบาปัญญา หรือ ความเป็นผู้มีสติปัญญาอ่อนเหมือนเด็กๆ นั่นเอง

ส่วนคำว่า “บัณฑิต” ตรงกับศัพท์บาลีว่า “ปณฺฑิโต” ซึ่งตรงกับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า a scholar, a learned man, wise แปลว่า ผู้มีปัญญา ผู้มีปรีชาหลักแหลม หรือนักปราชญ์ และมีศัพท์บาลีอีกศัพท์หนึ่งว่า “ปณฺฑิตตา” ซึ่งแปลว่า ความเป็นบัณฑิต คือ ความเป็นผู้มีปัญญา หรือความเป็นผู้มีปรีชาหลักแหลม นี้ตรงกับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า scholarship หรือ cleverness

ท่านพระสิริมังคลาจารย์ ได้อธิบายความหมาย พระพุทธดำรัสตรัสมงคลข้อ “การไม่คบคนพาล การคบแต่บัณฑิต” นี้มีปรากฏในคัมภีร์ปกรณ์พิเศษ “มังคลัตถทีปนี” ตอนที่ว่าด้วย เสพและไม่เสพพาลและบัณฑิต มีความโดยย่อ ว่า

การไม่คบคนพาลนั้นเป็นเพื่อน ชื่อว่า “การไม่คบ”
การไม่เข้าพวกด้วยคนพาลนั้น ชื่อว่า “การไม่เสพ”

สัตว์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ผู้ประกอบด้วยอกุศลกรรมบถ ๑๐ มีปาณาติบาต เป็นต้น ชื่อว่า “คนพาล” ที่ท่านเรียกว่า “คนพาล” เพราะไม่ดำเนินชีวิตเป็นอยู่ด้วยความเป็นอยู่ด้วยปัญญา เพียงเป็นอยู่ด้วยอาการสักว่าหายใจ

สัตว์ผู้ประกอบด้วยกุศลกรรมบถ ๑๐ มีเว้นจากการฆ่าสัตว์ เป็นต้น เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ชื่อว่า “บัณฑิต” ที่ท่านเรียกว่า “บัณฑิต” เพราะดำเนินชีวิตเป็นไปอยู่ในประโยชน์ทั้งหลาย ทั้งประโยชน์อันเป็นไปในภพนี้ และภพหน้า ด้วย “ญาณคติ” และเป็นไปในประโยชน์ทั้งหลายอันสุขุม ด้วยปัญญาอันเห็นชอบในความจริงอย่างประเสริฐ ว่า อย่างนี้เป็นทุกข์ อย่างนี้เป็นเหตุแห่งทุกข์ อย่างนี้เป็นสภาวะที่ทุกข์ดับเพราะเหตุดับ อย่างนี้เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความพ้นทุกข์ และถึงบรมสุขอย่างถาวร ปัญญานั้น ชื่อว่า “ปัณฑา” เหตุนั้นท่านผู้ดำเนินชีวิตเป็นไปด้วย “ปัณฑา” จึงชื่อว่า “บัณฑิต”

เพราะเหตุนั้น คำว่า “บัณฑิต” ในพระคาถานี้ จึงมิได้หมายถึงเพียงสักว่าเป็นผู้มีความรู้ จากการเรียนจบการศึกษาศิลปวิทยาแล้วได้ปริญญาในทางโลก แต่ขาดคุณธรรม คือ เป็นผู้ไร้ศีลธรรมประจำใจ แต่หมายถึง ธีรชน นักปราชญ์ หรือสัตบุรุษ คือ ผู้ทรงศีล ทรงธรรม ได้แก่ พระอริยเจ้า พระอริยสงฆ์ อย่างสูงสุดหมายถึง มุนี คือ พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์สาวก ผู้มีปัญญาอันเห็นชอบ รอบรู้ทางเจริญแห่งชีวิตอันควรดำเนิน และรู้ทางเสื่อมแห่งชีวิตที่ไม่ควรดำเนิน แล้วดำเนินชีวิตตน นำตนและหมู่คณะไปสู่ความเจริญสันติสุข ได้ถึงประโยชน์สุขในปัจจุบัน และประโยชน์สุขในกาลภายหน้า และถึงความพ้นทุกข์ได้โดยสวัสดี ไม่ดำเนินชีวิตหรือนำตนและหมู่คณะไปในทางเสื่อม อันเป็นโทษเป็นความทุกข์เดือดร้อน ในกาลทุกเมื่อ

ส่วนคำว่า “คนพาล” นั้น หมายถึง คนโง่เขลาเบาปัญญา แม้จะมีความรู้ในทางโลก แต่อ่อนหรือด้อยทางปัญญาอันเห็นชอบ จึงไม่รู้บาป-บุญ-คุณ-โทษ ไม่รู้ทางเจริญ ทางเสื่อม แห่งชีวิตตามที่เป็นจริง จึงมักหลงคิดผิด มีความเห็นผิดๆ จากทำนองครองธรรม จึงเป็นผู้ตัดเหตุปัจจัยที่จะให้ได้ประโยชน์สุขทั้ง ๒ คือ ประโยชน์สุขในปัจจุบัน และประโยขน์สุขในกาลภายหน้า จึงมักประพฤติผิดศีล ผิดธรรม และผิดกฎหมายบ้านเมือง ไม่ดำเนินชีวิตเป็นอยู่ ด้วยความเป็นอยู่ด้วยปัญญา เป็นผู้ประมาท ขาดสติสัมปชัญญะรู้ผิดชอบ-ชั่วดี ไม่คำนึงถึงอนาคตว่า จะเป็นอย่างไรต่อไป มักหมกมุ่น-สำส่อนอยู่ในกาม มั่วสุมอยู่ตามแหล่งอบายมุข แหล่งบันเทิงเริงรมย์ สิ่งเสพติดมึนเมาเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท และแหล่งการพนัน เที่ยวเตร่สนุกสนานไปวันๆ ดำเนินชีวิตตน นำตนและหมู่คณะไปสู่ความเสื่อม เป็นโทษถึงความล้มเหลวแห่งชีวิต และถึงความทุกข์เดือดร้อนต่อๆ ไปไม่มีที่สิ้นสุด

อนึ่ง“ความเป็นพาล” หรือ “ความเป็นบัณฑิต” นั้น มีทั้ง “ภายนอก” และ “ภายใน”

มีทั้ง “ภายนอก” คือ ความเป็นพาล หรือความเป็นบัณฑิตในบุคคลอื่น และมีทั้ง “ภายใน” คือ ความเป็นพาล หรือ ความเป็นบัณฑิตที่มีในจิตสันดานของตนเอง เพราะเหตุนั้นการที่บุคคลใด จะรู้จักความเป็นพาล หรือความเป็นบัณฑิตในภายนอก คือ ในบุคคลอื่นได้ดี ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นรู้จักความเป็นพาลในตนเอง แล้วกำจัดความเป็นพาล คือ ความโง่เขลาเบาปัญญา ความไม่รู้บาป-บุญ คุณ-โทษ จากจิตสันดานของตน แล้วเจริญปัญญาอันเห็นชอบ รอบรู้ทางเจริญ-ทางเสื่อมแห่งชีวิตตามที่เป็นจริงให้มีอยู่ในจิตสันดานของตน และประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ กอปรด้วยศีลธรรมประจำใจ จึงชื่อว่า “บัณฑิตภายใน” กล่าวคือ มีความเป็นบัณฑิตภายในจิตสันดานของตน จึงจะสามารถรู้จักความเป็นพาล และความเป็นบัณฑิตภายนอก คือ ในบุคคลอื่นได้อย่างถูกต้องแจ่มแจ้ง และจึงจะสามารถเลือกคบแต่บัณฑิตทั้งภายในและภายนอก ไม่คบ ไม่เสพคนพาลทั้งภายในและภายนอกได้ถูกต้อง โดยประการนี้จึงเป็นข้อปฏิบัติที่จะนำตนและหมู่คณะไปสู่ความเจริญสันติสุข และถึงความพ้นทุกข์ได้โดยสวัสดีที่แท้แน่นอนได้

เพราะเหตุนั้น จึงต้องทำความเข้าใจ ให้รู้จักลักษณะของความเป็นพาล กับลักษณะของความเป็นบัณฑิต ให้ถ่องแท้ดีเสียก่อน

ลักษณะของคนพาล (ม. อุป. ๑๔/๔๖๘/๓๑๑)

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสแสดง “พาลลักษณะ” ว่า “ทุจินฺติตจินฺตี” คือ ลักษณะของคนพาล ให้ดูที่อัธยาศัยใจคอ ว่า คนพาลมักคิดแต่ความคิดที่ชั่ว คิดแต่เรื่องที่ชั่ว ด้วยอำนาจอภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ คือ คิดชั่วด้วยอำนาจของความโลภจัด และ/หรือ ตัณหาราคะจัด ได้ตรัสแสดง “พาลนิมิต” คือ เครื่องหมายที่แสดงความเป็นพาล ว่า “ทุพฺภาสิตภาสี” แปลความว่า คนพาลมักพูดแต่คำพูดที่ชั่ว ได้แก่ มักกล่าววาจาที่เป็นเท็จ มักกล่าววาจาที่หยาบคาย มักกล่าววาจาที่ยุแยกให้เขาแตกสามัคคีกัน และมักกล่าววาจาที่เพ้อเจ้อเหลวไหล ไร้สารประโยชน์ เช่น มักกล่าววาจาที่ชี้นำ ชักนำ ให้กระทำความชั่วต่างๆ นี้อีกประการ ๑ และได้ตรัสแสดง “พาลาปทาน” คือ ความประพฤติปฏิบัติของคนพาล ที่แสดงออกทางกายบ่อยๆ หรือโดยต่อเนื่อง ให้เห็นการกระทำชั่วเป็นนิจ ว่า “ทุกฺกฎกมฺการี” แปลความว่า คนพาลมักกระทำแต่กรรมชั่ว

อีกนัยหนึ่ง ได้ทรงแสดงถึง ความประพฤติชั่วของคนพาล ทางกาย ทางวาจา และทางใจ ได้แก่ ความประพฤติที่ผิดศีลธรรม ๑ มีเป็นต้นว่า เจตนาฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เจตนาลักฉ้อ คดโกง และประกอบมิจฉาอาชีวะ ประพฤติผิดในกาม กล่าวหรือแสดงอาการที่เป็นเท็จ โกหก หลอกลวงผู้อื่น และเสพสิ่งเสพติดมึนเมาให้โทษ อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เป็นต้น อีกประการ ๑ คือ อกุศลกรรมบถ หรือทุจริต ๑๐ ได้แก่ กายทุจริต ๓ วจีทุจริต ๔ และมโนทุจริต ๓ ดังที่ได้กล่าวในข้อ พาลลักษณะ พาลนิมิต และพาลาปทาน นั้นแล้ว

นอกนั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังได้ตรัสถึง ความประพฤติปฏิบัติที่เป็นทางแห่งความเสื่อมเสียโภคทรัพย์ เสื่อมเสียเกียรติยศชื่อเสียง และอาจถึงเสียชีวิตได้ ชื่อว่า “อบายมุข” (องฺ. อฏฺฐก. ๒๓/๑๔๕/๒๙๖, ที. ปาฏิ. ๑๑/๑๗๘/๑๙๖) อันบัณฑิตละเว้นแล้ว แต่คนพาลปัญญาโฉดเขลา ยังหลงประพฤติและติดอยู่ คือ ความเป็นนักเลงผู้หญิง หรือผู้หญิงเป็นนักเลงผู้ชาย ๑ ความเป็นนักเลงสุรายาเสพติด ๑ ความเป็นนักเลงการพนัน ๑ คบคนชั่ว หรือความมีมิตรชั่ว สหายชั่ว เพื่อนชั่ว ๑ ความติดเที่ยวกลางคืน ๑ ความติดดูการละเล่น ๑ ความเกียจคร้านในกิจการงาน ๑

ลักษณะของบัณฑิต (ม. อุป. ๑๔/๔๘๔/๓๒๑)

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัส “บัณฑิตลักษณะ” คือ อัธยาศัยของบัณฑิตว่า “สุจินฺติตจินฺตี” คือ มีความคิดที่ดี คิดแต่เรื่องดีๆ ที่เป็นบุญกุศล ได้แก่ ความคิดสร้างสรรค์ มีคุณประโยชน์ไม่เกิดโทษ ด้วยความไม่โลภจัด ตัณหาราคะจัด ไม่พยาบาท และไม่หลงมัวเมา และทรงแสดง “บัณฑิตนิมิต” ว่า “สุภาษิตภาสี” คือ บัณฑิตกล่าวแต่วาจาที่ดี คือ ที่จริง ที่ไพเราะอ่อนหวาน ที่ประสานไมตรี และที่มีสารประโยชน์ แนะนำชักนำให้ผู้อื่นกระทำคุณความดี ละเว้นความชั่ว และชำระจิตใจให้ผ่องใส เป็นต้น และทรงแสดง “บัณฑิตาปทาน” ว่า “สุกตกมฺการี” คือ บัณฑิตนั้น เป็นผู้กระทำแต่กรรมดี คือ มีความปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ กอปรด้วยศีลธรรมประจำใจเป็นปกติ นอกจากนี้พระพุทธเจ้ายังได้ตรัสลักษณะของบัณฑิตอีกนัยหนึ่งว่า ชนเหล่าใด ย่อมปฏิบัติข้อปฏิบัติดี ให้ได้รับประโยชน์สุขทั้ง ๒ คือ ประโยชน์สุขในปัจจุบัน ชื่อ ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ๑ และประโยชน์สุขในกาลข้างหน้า ชื่อ สัมปรายิกัตถประโยชน์ อีก ๑ ชนนั้น ชื่อว่า “บัณฑิต” ดังพระพุทธดำรัส (สํ. ส. ๑๕/๓๘๕/๑๓๐) ว่า

“ธีรชน ท่านเรียกว่า “บัณฑิต” เพราะยึดไว้ได้ซึ่งประโยชน์ทั้ง ๒ คือ
ประโยชน์ในทิฏฐธรรม และประโยชน์ในสัมปรายภพ”

ข้อปฏิบัติให้ได้รับประโยชน์สุขในปัจจุบัน ได้แก่ อุฏฐานสัมปทา คือ ความถึงพร้อมด้วยความขยันหมั่นเพียรในการประกอบกิจการงานและอาชีพ ๑ อารักขสัมปทา คือ ความถึงพร้อมด้วยการรักษาทรัพย์และฐานะของตน ๑ กัลยาณมิตตตา คือ ความรู้จักคบคนดีเป็นมิตร ๑ และสมชีวิตา คือ ความรู้จักใช้สอยทรัพย์ที่ทำมาหาได้โดยสุจริต ด้วยความพอเหมาะพอดีกับฐานะ คือ ไม่ฟุ่มเฟือยนัก ไม่แร้นแค้นนัก อีก ๑

ข้อปฏิบัติให้ได้รับประโยชน์สุขในสัมปรายภพ คือ ในภพชาติต่อๆ ไป ได้แก่ ศรัทธาสัมปทา คือ ความถึงพร้อมด้วยศรัทธาในบุคคล และข้อปฏิบัติที่ควรศรัทธา ๑ ศีลสัมปทา คือ ความถึงพร้อมด้วยศีล ๑ จาคะสัมปทา คือ ความถึงพร้อมด้วยความเสียสละ หรือบริจาคเพื่ออนุเคราะห์/สงเคราะห์ผู้อื่น ๑ และปัญญาสัมปทา คือ ความถึงพร้อมด้วยปัญญาอันเห็นชอบในกองสังขาร ในพระอริยสัจทั้ง ๔ รวมเป็นปัญญาอันเห็นชอบในทางเจริญแห่งชีวิตอันควรดำเนิน และในทางเสื่อมแห่งชีวิตอันควรยกเว้น ๑

โทษและภูมิของคนพาล (ม. อุป. ๑๔/๔๗๒-๔๘๕/๓๑๔-๓๒๒)

พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโทษ และภพภูมิของคนพาลผู้โง่เขลา เบาปัญญา มักประพฤติผิดศีล ผิดธรรม ได้แก่ ประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา และทางใจ ๑๐ ประการ ว่า เป็นเหตุให้ประสบแต่ความทุกข์เดือดร้อน จากเวรภัยต่างๆ ทั้งในภพชาติปัจจุบัน และในภพชาติต่อๆ ไปไม่มีที่สิ้นสุด ในชาตินี้เมื่อประกอบกรรมชั่วไปแล้ว เช่น ผู้มีแต่ความคิด พูด ทำ การเข่นฆ่า ประหัตถ์ประหารผู้อื่น เมื่อถูกจับได้ย่อมได้รับโทษทัณฑ์ จากทางการบ้านเมือง และยังเป็นการก่อเวรให้เกิดมีในจิตใจของเหยื่อที่ถูกประหัตถ์ประหารนั้น ให้ผูกใจเจ็บ และมีการกระทำตอบเป็นเวรภัยสะท้อนย้อนกลับมาหาตน ทั้งในภพชาติปัจจุบันและข้ามภพข้ามชาติ ให้รบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ต่อๆ ไปอีกนับภพนับชาติไม่ถ้วน สม ดังพระพุทธดำรัส ว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาลนั้นนั่นแลประพฤติทุจริต ทางกาย ทางวาจา ทางใจแล้ว
เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก”

และว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาลนั้นนั่นแล ถ้าจะมาสู่ความเป็นมนุษย์ในบางครั้งบางคราว ไม่ว่าในกาลไหนๆ โดยล่วงระยะกาลนาน ก็ย่อมเกิดในสกุลต่ำ คือ สกุลคนจัณฑาล หรือสกุลพรานล่าเนื้อ หรือสกุลคนจักสาน หรือสกุลช่างรถ หรือสกุลคนเทขยะ เห็นปานนั้น ในบั้นปลาย อันเป็นสกุลคนจน มีข้าวน้ำและโภชนาหารน้อย มีชีวิตเป็นไปลำบาก ซึ่งเป็นสกุลที่จะได้ของกิน และเครื่องนุ่งห่มโดยฝืดเคือง และเขาจะมีผิวพรรณทราม น่าเกลียดชัง ร่างม่อต้อ มีโรคมาก เป็นคนตาบอดบ้าง เป็นคนง่อยบ้าง เป็นคนกระจอกบ้าง เป็นคนเปลี้ยบ้าง ไม่ได้ข้าว น้ำ ผ้า ยานพาหนะ ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และเครื่องตามประทีป เขาจะประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต [ต่อไปอีก] ครั้นแล้วเมื่อตายไป จะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก [ต่อๆ ไปอีก] ฯลฯ”

และได้ตรัสถึงโทษของการติดอยู่ในอบายมุขต่างๆ (ที. ปาฏิ. ๑๑/๑๗๙-๑๘๔/๑๙๖-๑๙๘) มีตัวอย่างเช่น

โทษของการเสพสิ่งเสพติดมึนเมาให้โทษ คือ เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท คือย่อมเป็นเหตุแห่งการเสียทรัพย์โดยใช่เหตุ ๑ เป็นเหตุให้ก่อการทะเลาะวิวาท ๑ เป็นบ่อเกิดแห่งโรคภัยเบียดเบียน ให้เสื่อมเสียสุขภาพกาย ๑ เป็นเหตุให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ๑ เป็นเครื่องบั่นทอนสติปัญญา เสียสุขภาพจิต ๑ และเป็นเหตุให้ขาดสติสัมปชัญญะ ไม่รู้จักละอาย และ/หรือเป็นเหตุนำให้ประพฤติผิดศีล ผิดธรรม ต่อไปอีก ๑

โทษของการติดการพนัน คือ ผู้ชนะพนันย่อมก่อเวร คือ อยากเล่นอีกต่อๆ ไปจนแพ้อีก และอาจถึงหมดตัวได้ ๑ ครั้นแพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ที่เสียไป ก็เล่นอีก ด้วยหวังจะได้คืน ขึ้นชื่อว่าการพนัน โอกาสชนะมีน้อยกว่า โอกาสแพ้มากมายนัก ลงท้ายก็หมดตัวจนได้ ๑ เป็นเหตุให้เสียทรัพย์สินเงินทองข้าวของอื่นๆ อีก แม้ลูก-เมียก็อาจสูญเสียได้อีก ๑ คนติดการพนันไม่มีใครเชื่อถือ ๑ ผู้ติดการพนันเป็นที่ดูหมิ่นดูแคลนของชนทั้งหลาย ๑ ผู้ติดการพนันไม่มีใครประสงค์จะแต่งงานด้วย หรือรับเข้าทำงานในหน้าที่รับผิดชอบสูง ๑

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังได้ตรัสถึง โทษของการคบคนชั่วเป็นมิตร ว่า นำให้ประพฤติผิดศีล ผิดธรรมต่าง ๆ ได้แก่ นำให้เป็นนักเลงการพนัน ๑ นำให้เป็นนักเลงเจ้าชู้ ๑ นำให้เสพสิ่งเสพติดมึนเมาให้โทษ เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑ นำให้เป็นคนหลอกลวงเขาเลี้ยงชีวิต ๑ นำให้เป็นคนคดโกง ๑ นำให้เป็นคนหัวไม้ ๑

ตัวอย่างที่เห็นๆ เป็นข่าวในสังคมอยู่ในทุกวันนี้ ก็คือ นำให้ประกอบมิจฉาอาชีวะต่างๆ ได้แก่ นำให้ผลิต จำหน่าย จ่ายแจก สิ่งเสพติดมึนเมาให้โทษ และนำหรือส่งเสริมให้ประกอบกิจการอบายมุขต่างๆ เช่น แหล่งมั่วสุมสิ่งเสพติด แหล่งบริการทางเพศ และแหล่งการพนัน เป็นต้น

และยังมีข่าวว่า มีผู้พยายามผลักดันให้มีกฎหมายเปิดบ่อนการพนัน “บ่อนคาสิโนเสรี” โดยไม่คำนึงถึงปัญหาทางสังคม ที่จะเกิดตามมานับนาๆ ประการ อาศัยความโลภจัด เห็นเฉพาะเรื่องเงินเป็นพระเจ้า จึงพยายามผลักดันให้เกิดขึ้น อ้างว่า จะให้มีการควบคุมให้เข้าเล่นได้แต่เฉพาะชาวต่างชาติ พวกเศรษฐีมีเงิน แท้ที่จริงแล้วคุมได้ยาก และใช่ว่าจะได้รายได้เข้ารัฐบาลเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะขึ้นชื่อว่า “การพนัน” นั้นมักเป็นกิจกรรมคู่กับการคดโกงคอร์รัปชั่นชั้นเซียนเหยียบเมฆ และยังจะเกิดโทษอีกนาๆ ประการ ดังผู้รู้ได้เขียนวิจารณ์ไว้ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ มีหัวข้อคอลัมน์ ว่า “บ่อนคาสิโนไม่เพิ่มรายได้เกษตรกรในประเทศ” มีความว่า

“ถ้าในประเทศไทยเปิดบ่อนคาสิโนเสรี ตอนแรกก็คงเคร่งครัดให้เฉพาะคนต่างชาติ คนมีฐานะ แต่ต่อไปก็จะลดความเข้มงวดลง คนชั้นกลางที่ไม่เคยไปเข้าบ่อนนอกประเทศจะเข้าบ่อนไทยง่ายกว่า จะหมดตัว ครอบครัวลำบาก ฆ่าตัวตาย สังคมเสื่อมทราม เงินของคนจำนวนมากจะไปตกอยู่ในมือของคนร่ำรวย มีอิทธิพลไม่กี่คน ไม่กี่ครอบครัว และไม่ใช้จ่ายเงินในประเทศไทย บ่อนคาสิโนไม่มีอะไรดี กับประเทศเกษตรกร อย่างประเทศไทยเรานี้เลย”

สังคมไทยถูกมอมเมาด้วย “สิ่งอันให้โทษ” ได้แก่ ยาเสพติด แหล่งบันเทิงเริงรมย์ สื่อลามกยั่วยุกามารมณ์ และ “สิ่งอันอาจให้โทษ” ได้แก่ เทคโนโลยีที่เป็นดาบสองคม ทั้งให้คุณและให้โทษ แก่ผู้ด้อยทางสติปัญญา รอบรู้ทางเจริญทางเสื่อมแห่งชีวิตตามที่เป็นจริง เป็นสังคมเสื่อมทรามทางศีลธรรม เป็นสังคมป่วยจนร่อแร่อยู่แล้ว ยังจะยัดเยียดการพนันเสรีมอมเมา ซ้ำเติมให้สังคมไทยกลายเป็นเมืองบาป เมืองอบายมุข ที่เต็มไปด้วยแหล่งการพนัน แหล่งมั่วสุมยาเสพติด แหล่งฟรีเซ็กซ์ แหล่งคอร์รัปชั่น และอาชญากรรม ให้ประเทศไทยกลายเป็น อปฏิรูปเทศ เร็วยิ่งขึ้นอีกหรือ เท่าที่เป็นอยู่นี้ยังไม่เสื่อมเสียพออีกหรือ ?

สรุปความว่า ในโลก คือ ชุมนุมมนุษย์ ทั้งถิ่นที่พำนัก ย่อมเป็นที่รวมสิ่งอันให้โทษโดยส่วนเดียว เปรียบด้วยยาพิษก็มี เช่น บุหรี่ สุรา ยาเสพติดให้โทษต่างๆ แม้การพนัน ความเกียจคร้านในการงาน และการคบคนชั่วเป็นมิตร เป็นต้น สิ่งอันให้โทษในเมื่อเกินพอดี เปรียบด้วยของมึนเมาก็มี เช่น สิ่งบันเทิงเริงรมย์ ถ้ามากไปก็ให้โทษ คือ เสียทรัพย์ เสียเวลาโดยใช่เหตุ และเสียสุขภาพกาย เสียสุขภาพจิต เป็นต้น สิ่งอันเป็นอุปการะ เปรียบด้วยอาหารและเภสัชอันสบาย แต่ถ้าใช้ในทางผิดอาจให้โทษได้ก็มี เป็นต้นว่า คอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นดาบสองคม ที่ให้ทั้งคุณและโทษ ที่เป็นโทษก็คือ สามารถใช้ดูทั้งแผ่น วีซีดี และซีดีโป๊ก็ได้ เข้าอินเตอร์เน็ต ดูเวปไซด์ลามกก็ได้ แม้โทรศัพท์ หรือเครื่องมือสื่อสารต่างๆ ที่สามารถใช้ติดต่อถึงกันได้สะดวก ไม่ว่าในทางดี หรือทางชั่ว เช่น ใช้ติดต่อซื้อ-ขายยาเสพติดก็ได้ ติดต่อเพื่อเพศสัมพันธ์ หรือขายเซ็กซ์ก็ได้ เหล่านี้เป็นต้น แม้การแต่งตัว หรือเครื่องแต่งตัว ถ้าแต่งตัวดี เหมาะสม ก็ดูดี ถ้าแต่งตัวล่อแหลม ยั่วยุกามารมณ์ ก็อาจให้โทษ เช่น อาจถูกฉุดคร่าอนาจารได้ พาลชนผู้ไร้พิจารณ์ไม่หยั่งเห็นโดยถ่องแท้ ย่อมเพลิดเพลินในสิ่งอันให้โทษ ย่อมละเลิงจนเกินพอดีในสิ่งอันอาจให้โทษ ย่อมติดในสิ่งเป็นอุปการะ ชื่อว่า หมกมุ่นติดอยู่ในโลก ถอนตนไม่ออก เช่นนี้ย่อมได้เสวยทุกข์บ้าง สุขบ้าง อันสิ่งนั้นๆ พึงอำนวย แม้สุขก็เป็นเพียงสามิส คือ รูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งสัมผัสทางกาย ซึ่งเป็นเสมือนเหยื่อเจือด้วยของล่อใจ ชื่อว่า “บ่วงแห่งมาร” เป็นเหตุแห่งความติด ดุจเหยื่อ คือ ชิ้นเนื้ออันเบ็ดเกี่ยวไว้ ล่อปลาให้ฮุบเหยื่อ แล้วก็ติดเบ็ด จึงเป็นผู้อันจะพึงถูกกิเลสมารจูงไปได้ตามปรารถนา

ฝ่ายบัณฑิตผู้มีปัญญา พิจารณาเห็นความเป็นจริงแห่งสิ่งนั้นๆ ว่าเป็นเช่นไรแล้ว ก็ไม่ข้องเกี่ยว ไม่พัวพันในสิ่งอันล่อใจ อันใครๆ ไม่อาจยั่วให้ติดด้วยประการใดประการหนึ่งได้ ย่อมเป็นอิสระจากกิเลสมารด้วยตน เช่นนี้ย่อมได้สุขเป็นนิรามิส คือ เป็นความสันติสุขอันมิต้องอาศัยเหยื่อ จึงไม่ติดเหยื่ออันเป็นบ่วงแห่งมารให้เป็นทุกข์ มีแต่สุขอันสุขุมเกิด ณ ภายใน

พาลชน คือ คนโง่เขลาเบาปัญญา ไม่รู้บาป-บุญ คุณ-โทษ ไม่รู้จักทางเจริญแห่งชีวิตอันควรดำเนิน และไม่รู้ทางเสื่อมแห่งชีวิตอันควรงดเว้น เขาจึงดำเนินชีวิตความเป็นอยู่สักว่ามีลมหายใจ มักหลงมัวเมาในชีวิตไปตามกระแสโลก ที่เจริญก้าวหน้าแต่เทคโนโลยี และกามวัตถุเครื่องล่อใจ แต่ขาดการอบรม การพัฒนาทางจิตใจ ประกอบด้วยมีอิสรเสรีภาพอย่างกว้างขวางตามกฎหมาย จนหมู่ชนผู้ไร้สติปัญญาสำลักเสรีภาพ ทำอะไรๆ ได้ตามใจชอบด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา ราคะ กลายเป็น “สังคมบริโภคนิยม” บ้าง “สังคมนิยมรักสนุก” บ้าง จนไกลไปถึง “สังคมเซ็กซ์นิยม” อย่างไม่มีขีดจำกัดความพอเหมาะพองาม จึงมักประพฤติผิดศีล ผิดธรรม หลงติดอยู่กับอบายมุขต่างๆ นำชีวิตตนและหมู่คณะไปสู่ความเสื่อม ความล้มเหลวแห่งชีวิต ให้ต้องประสบความทุกข์เดือดร้อนอยู่ร่ำไป ส่วนบัณฑิต คือ ผู้มีปัญญา รู้ทางเจริญทางเสื่อมแห่งชีวิตตามที่เป็นจริง ท่านจึงดำเนินชีวิต เป็นอยู่ด้วยญาณคติ เป็นไปในทางเจริญและสันติสุขแห่งชีวิต ไม่ไปในทางเสื่อม ให้เป็นโทษ เป็นความทุกข์เดือดร้อน

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัส (องฺ ติก. ๒๐/๔๔๐/๑๒๗) ว่า ภัยอันตรายย่อมเกิดแต่คนพาล คือ คนพาลนั้นเองเป็นภัยอันตราย ทั้งแก่ตนเอง และทั้งแก่ผู้อื่นด้วย ภัยอันตรายไม่เกิดแต่บัณฑิต คือ บัณฑิตไม่เป็นภัยอันตรายแก่ใครๆ อุปัทวะ หรือความอัปมงคล ก็เกิดแต่คนพาล เพราะความเป็นพาลนั้นเอง เป็นความอัปมงคล คือ นำความเสื่อมเสียมาสู่ทั้งตนเองและผู้อื่น อุปัทวะ ไม่มีแต่บัณฑิต บัณฑิตมีแต่มงคล คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความเจริญและสันติสุขถ่ายเดียว อุปสรรค์ เหตุขัดข้องต่อการกระทำกรรมดีทั้งหลาย ก็เกิดแต่คนพาล เพราะคนพาลไม่ยอมรับรู้ระเบียบวินัย ไม่ยอมรับรู้ศีลธรรม ชอบแนะนำแต่สิ่งที่ไม่ควรแนะนำ ชอบประกอบ ชอบทำแต่เรื่องที่ไม่ใช่ธุระที่ควรทำ คนพาลชอบถือความชั่วเป็นความดี คนพาลนั้นแม้เราพูดดี ตักเตือนแนะนำกันดีๆ ก็ไม่ฟัง แถมยังโกรธเอาด้วย และคนพาลไม่รู้จักอุบายแนะนำทางที่ดีแก่ใครๆ อุปสรรค์เหตุขัดข้อง ไม่เกิดแต่บัณฑิต บัณฑิตมีแต่ชักนำ สนับสนุนการกระทำกรรมดีทั้งหลายทางเดียว

เพราะเหตุนั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสมงคล คือ ข้อปฏิบัติที่ดีงาม ที่ประเสริฐสูงสุด ให้ถึงความเจริญและสันติสุข ทั้งในปัจจุบันอนาคต ด้วยความสวัสดี ว่า การไม่คบคนพาลทั้งหลาย การคบแต่บัณฑิตทั้งหลาย และการนับถือบูชา ได้แก่ ปฏิบัติตามอย่างบัณฑิตทั้งหลาย เป็นอุดมมงคล คือ เป็นข้อปฏิบัติที่ดี ที่ประเสริฐสูงสุด อันนำไปสู่ความเจริญสันติสุข และความพ้นทุกข์อย่างแน่นอนแท้จริงได้ สมดังสุภาษิตโบราณ ท่านว่า

“คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล”

ด้วยประการฉะนี้

วันนี้ขอยุติแต่เพียงนี้ ขอความสุขสวัสดี จงมีแด่ท่านผู้ฟังทุกท่าน เจริญพร



from http://www.dhammakaya.org/dhamma/lecture/lecture66.php


05 มีนาคม 2554

ซาบีน่า...โรงเรียน "4 ดี" ..พูดดี คิดดี ทำดี เป็นคนดี

คิดดี พูดดี ทำดีและเป็นคนดี คือวัฒนธรรมองค์กรซาบีน่าที่ผู้บริหารตั้งโจทย์ให้พนักงานไปกระเพื่อมความคิดจนได้บทสรุปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน

"ซาบีน่า" ไม่ใช่องค์กรขนาดเล็ก แต่เป็นองค์กรมีพนักงานหลายพันชีวิต อยู่ใน 4 โรงงานกับอีก 1 สำนักงานใหญ่

คนหลากรุ่น หลายวัย ต่างที่มาที่ไป ต่างความคิด การจะอยู่รวมกันโดยไม่ให้เกิดปัญหาใดๆคงเป็นไปได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องงาน เรื่องคน ตลอดจนเรื่องส่วนตัว ล้วนสร้างอุปสรรคต่อการทำงานได้ทั้งสิ้น ทางออกในการแก้ไขปัญหา หาใช่บานประตูที่ติดป้ายว่า“กฎระเบียบ” แต่มันคือประตูที่ติดป้ายว่า “จิตสำนึก” ต่างหาก

ประตูแห่งจิตสำนึกที่เล่นซ่อนหากับพนักงานอยู่นี้ คือโจทย์ที่ผู้บริหารอย่าง "บุญชัย ปัณฑุรอัมพร" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทซาบีน่า จำกัด (มหาชน) จะต้องเป็นผู้นำทาง

“ในแต่ละวันเราต้องมานั่งแก้ปัญหาเรื่องคนเยอะมาก จึงต้องหาภูมิคุ้มกันให้กับพนักงานของเรา ซาบีน่าก็เหมือนโรงเรียน ที่ไม่ได้ทำหน้าที่แค่แข่งกันทำคะแนนสูงๆ เราไม่ได้มุ่งทำการค้าเพียงอย่างเดียว แต่เรายังปลูกฝังพนักงานตั้งแต่นิสัยใจคอ แนวความคิด ทัศนคติ การใช้ชีวิต ไม่เพียงมาทำงานแต่ต้องมีกิจกรรมและบรรยากาศที่จะทำให้พวกเขามีความสุข”

กลายเป็นการสร้างความชัดเจนในวัฒนธรรมองค์กรแบบซาบีน่า แต่การจะได้มาซึ่งวัฒนธรรมองค์กรที่ดีได้นั้น ไม่ใช่หน้าที่ของผู้บริหารเพียงคนเดียว ภารกิจนี้เป็นของพนักงานทุกคน ที่จะร่วมนำเสนอหนทางทำให้องค์กรดีขึ้นตามความคิดของพวกเขา

วิธีการที่ผู้บริหารซาบีน่าทำ คือตระเวนไปยังแต่ละสาขา เพื่อหาอาสาสมัครมาเป็นตัวหลักในการทำงานด้านวัฒนธรรมองค์กร โดยไม่เน้นว่าต้องเป็นคนระดับใด จะอยู่แผนกไหน ฝ่ายไหน ตัวเล็ก ตัวใหญ่ ก็อาสามาเป็นแกนนำทำเรื่องดีๆ ได้ทั้งนั้น เมื่อคัดหัวหน้าได้ ก็หาลูกทีมมาเสริมกำลังอีกทีมละ 10 ราย กลายเป็นตัวแทน"คนทำดี" ที่จะผลักดันเรื่องดีๆ ให้เกิดขึ้นกับองค์กรของพวกเขา

“งานนี้เราไม่มีผลประโยชน์ตอบแทนให้ เขาเข้ามาด้วยจิตอาสาจริงๆ การจะเราจะได้รับความจากพนักงาน เราต้องสะท้อนให้เขาเห็นว่า ความดีที่พวกเขาทำ จะเป็นประโยชน์ต่อองค์กรโดยรวมอย่างไร สุดท้ายผลก็จะส่งถึงตัวเขาเองด้วย ผมมองว่า คนเราไม่ได้ต้องการเงินเพียงอย่างเดียว บางครั้งเขาก็ต้องการขึ้นมาเป็นผู้นำ มาร่วมแก้ไขปัญหาให้กับสภาพแวดล้อมขององค์กร ก็เหมือนการทำบ้านของพวกเขาให้มีความสุข เขาก็ยินดีทำ”

บทสรุปจากความร่วมแรงร่วมใจของพนักงาน คือวัฒนธรรมองค์กร “4 ดี” คือ คิดดี พูดดี ทำดี และเป็นคนดี “เราต้องทำให้เขาคิดดีก่อน เมื่อคิดดี ก็จะนำมาสู่การพูดดี เมื่อพูดดีก็จะทำดี สุดท้ายเขาก็จะกลายเป็นคนดี ขององค์กร” เมื่อได้บทสรุปองค์กรน้ำดีแบบซาบีน่าแล้ว ก็ต้องมาคิดต่อยอด"วิธีการ" และ"กิจกรรม"เพื่อนำไปสู่ความดีทั้งสี่

ซึ่งเขาสรุปออกเป็น 8 วิธีการ ที่มีทั้งด้านบวกและด้านลบ "ควรทำ" และ "ไม่ควรทำ" เช่น การเพิ่มสติ เพิ่มความพอใจ เพิ่มการมองบวก ลดการเปรียบเทียบ ลดการเอาเปรียบ เป็นต้น

“ถ้าคนเรายอมเสียเปรียบ ก็มีแต่คนรักคนชอบ ยอมเสียคำพูดที่จะทำให้คนอื่นเสียหน้า หรือรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง ก็จะสร้างกัลยาณิมิตรที่ดี หรือลดการมองลบ บางคนคิดไปเอง คิดลบตลอดเวลา เวลาเจอเรื่องอะไรไม่เคยมองว่าตัวเองผิดจะโทษแต่คนอื่น หากลดสิ่งเหล่านี้ได้ ก็จะทำให้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นกับตัวเขาและองค์กร เช่น การติฉินนินทากันจะน้อยลง มีความจริงใจให้กันมากขึ้น กล้าพูดคุยกันมากขึ้น สร้างบรรยากาศในการทำงานให้ดีขึ้น มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน เกิดความสามัคคี ข้อผิดพลาดในงานจะลดลง นำไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมาย”

ไม่เพียงการทำงานจะดีขึ้น หากยังรวมถึง"ชีวิตส่วนตัว"ของทุกคน ผู้บริหารซาบีน่าบอกว่า ก็เหมือนการได้ “ชีวิตใหม่” กลับมา เมื่อคนเกิดทัศนคติใหม่ที่ดีกับชีวิต ครอบครัวก็จะดีขึ้น สุขภาพกายใจดี อายุวัฒนะก็จะตามมา แล้วกิจกรรมไหน ที่จะสร้างสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้น ไอเดียต้องเริ่มและรุกโดยพนักงาน กลายมาเป็นกิจกรรมต่อเนื่องตลอดทั้งปี

เริ่มตั้งแต่ ไตรมาสแรกของปีนี้ เขาบอกว่า “ต้องนำด้วยธรรมะ” โดยการเชิญพระนักเทศน์ มากล่อมเกลาจิตใจพนักงาน ด้วยหัวเรื่องจะเป็นประโยชน์ต่อพนักงานมากที่สุด เช่น สอนเรื่องการรู้จักพอ ไม่เอาเปรียบ เป็นต้น

ไตรมาสสอง ยังเป็นฐานกิจกรรมจากไอเดียของพนักงาน ในรูปแบบของเกมสนุกๆ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจคำว่า “4 ดี” มากขึ้น โดยแบ่งกิจกรรมออกเป็นแต่ละฐาน มีการตั้งโจทย์ ตอบคำถามและสะสมคะแนน แม้จะเป็นกิจกรรมสั้นๆ แต่ผู้บริหารซาบีน่าบอกว่า พนักงานจะซึมซับและเข้าใจความดีทั้งสี่ไปโดยไม่รู้ตัว

ไตรมาสสาม ก็ครีเอทออกมาเป็นการทำวีทีอาร์ประกวด ภายใต้โจทย์ องค์กร 4 ดี กิจกรรมสนุกๆแบบนี้ จะช่วยสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงานได้ไม่ยาก นั่นคือเป้าหมายของซาบีน่า เพราะอย่างที่บอกว่า สิ่งเหล่านี้ต้องให้เริ่มต้นจากพนักงาน และทีมงานทุกคนต้องเป็นคนคิดและปฏิบัติด้วยตัวเอง จึงจะนำมาสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนที่สุด

“การให้เขาคิดกันเองตั้งแต่ต้น จะทำให้เขาทำสิ่งเหล่านี้โดยไม่รู้สึกว่าถูกบังคับ เพราะทั้งหมดมาจากความคิดของเขาเอง ต่างกับการที่เราออกเป็นนโยบายว่าเขาต้องทำอย่างโน้นอย่างนื้ หรือสั่งให้เขาทำ ซึ่งพวกเขาก็คงไม่อยากทำ”

การเกิดขึ้นของ “4ดี” จะสร้างอะไรให้กับองค์กรบ้าง ผู้บริหารซาบีน่ายกตัวอย่างง่ายๆ ว่า สมมติในทีมหนึ่ง มีคนงานลาออกไป ทำให้อีกคนต้องทำงานมากขึ้น เขาอาจรู้สึกว่าไม่แฟร์ ไม่พอใจว่าทำไมเขาต้องทำงานมากขึ้น ขณะที่ทีมอื่นยังทำงานเท่าเดิม เขาจะเริ่มคิดไม่ดี จากนั้นก็ทำไปสู่การพูดไม่ดี ไปนินทาให้คนอื่นฟัง สุดท้ายอาการต่อต้านก็แสดงออกมา ซึ่งเขาก็คงเป็นคนดีไปไม่ได้ เพราะคิดเปรียบเทียบอยู่ตลอดเวลา ผลงานที่ทำออกมาก็จะไม่ดีตามไปด้วย

แต่หากพนักงานคนเดียวกันนี้ กลายเป็นคนคิดดี พูดดี ทำดี และเป็นคนดี สิ่งที่เกิดขึ้นเขาจะไม่มองว่าเป็นปัญหา แต่จะเปลี่ยนมุมมองใหม่ว่า การมีคนหายไป จะเป็นโอกาสให้เขาได้เรียนรู้งานเพิ่มขึ้น เพราะไม่ต้องทำผ่านคนหลายๆ คน เมื่อยอมเสียเปรียบ สุดท้ายคนที่ได้ก็คือตัวเอง ท้ายที่สุดงานก็ต้องดีขึ้น เพราะเขาทำด้วยหัวใจ

“สิ่งที่เราต้องทำคือ ทำให้สิ่งเหล่านี้เข้าไปอยู่ในจิตสำนึกของเขาให้ได้ แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ก็เหมือนกับน้ำ มีสีขาวกับสีดำ เราคงไม่สามารถเปลี่ยนน้ำให้เป็นสีขาวได้ทั้งหมด สิ่งที่ทำได้คือทำให้น้ำนั้นดำน้อยที่สุด วิธีการก็คือผสมน้ำดีเข้าไปให้มากขึ้น เพื่อให้สิ่งไม่ดีมันตกตะกอนไป เรื่องนี้มันยากแน่นอน แต่ถ้าเราไม่ยอมทำ ไม่ปลูกฝังในเรื่องพวกนี้ตั้งแต่วันนี้ ผมว่าอนาคตองค์กรก็จะต้องเหนื่อย”

สิ่งนี้เองทำให้ซาบีน่าต้องเดินหน้าเต็มที่ เพื่อขับเคลื่อนวัฒนธรรม “4 ดี” ผ่านการคิดเอง ทำเองของคนแบบซาบีน่า ไม่จำเป็นต้องอาศัยที่ปรึกษามือวางอันดับหนึ่งจากที่ไหน พวกเขาไม่เคยต้องเสียเงินให้กับเรื่องพวกนี้ ด้วยเหตุผลแค่ว่า

“ให้ใครมาทำเรื่องพวกนี้ ก็คงไม่มีใครอินเท่าเราทำกันเอง”

การสร้างคนดีป้อนองค์กร ยังเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) ที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการผลิตชุดชั้นในราคาไม่แพงสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านม การทำ CSR กับเด็ก ๆ ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ที่สอนเรื่องการออม การรักษ์โลก ก่อนขยายต่อสู่ “มูลนิธิคุณแม่จินตนา” เพื่อมุ่งมั่นทำกิจกรรมเพื่อสังคมได้ชัดเจนมากขึ้น

สำหรับบุญชัย องค์กรที่ดี ไม่ต่างจากโรงเรียนที่เด็กเข้าไปเรียนแล้วรู้สึกประทับใจ แม้หน้าที่หลักคือการมาเรียนหนังสือ แต่โรงเรียนยังให้ความสุขกับเด็กในมุมอื่น เช่น มีกิจกรรมให้ทำ ได้เจอเพื่อนดีๆ คุณครูที่น่ารัก เลิกเรียนก็ไม่อยากกลับบ้าน

เป้าหมายของผู้บริหารก็คือต้องทำให้ “ซาบีน่า” เป็นสถานที่แห่งความสุข ที่พนักงานทุกคนจะประทับใจ .

from http://bit.ly/dNqIhC


บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (All Time)