26 ตุลาคม 2554

คำคมการลงทุน

“จงคุมชะตาด้วยตนเอง มิฉะนั้น ผู้อื่นจะมาคุมแทน”

ท่านผู้หญิงนิรมล สุริยสัตย์

from efinancethai.com


23 ตุลาคม 2554

'VT แหนมเนือง' ชูธงดีลิเวอรี เสิร์ฟเมนูเวียดนามทั่วไทย


       “VT แหนมเนือง” สร้างชื่อในฐานะผู้ผลิตอาหารเวียดนามเจ้าดัง จ.อุดรธานี ตามด้วยแผนเปิดตลาดใหม่ โดยให้บริการดิลิเวอรีควบคู่กับสร้างเครือข่ายกระจายสินค้า หนุนให้เมนูท้องถิ่นสามารถเสิร์ฟความอร่อยได้ทั่วประเทศ ผลักดันให้แบรนด์ก้าวกระโดดจากเจ้าดังประจำจังหวัดสู่เจ้าดังระดับประเทศ


       จุดกำเนิดของ VTแหนมเนือง เริ่มต้นจาก “ทอง กุลธัญวัฒน์” แยกตัวออกมาจากกิจการครอบครัว ร้าน “แดงแหนมเนือง” ที่ จ.หนองคาย โดยเลือกมายึดทำเลเปิดร้านแหนมเนืองขนาด 3 คูหาที่ จ.อุดรธานี เมื่อ พ.ศ.2540 ใช้เงินลงทุนเบื้องต้นราว 3 ล้านบาท
       ทอง เสริมว่า เหตุที่เลือก จ.อุดรธานี เพราะเป็นจังหวัดใหญ่ มีกลุ่มสัมมนา กลุ่มท่องเที่ยวจำนวนมาก และแทบตลอดทั้งปี ที่สำคัญยังไม่มีสินค้าประเภทนี้ในท้องถิ่นมาก่อน อย่างไรก็ตาม ช่วงแรกยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะเป็นแบรนด์ใหม่ คนทั่วไปไม่รู้จัก กระทั่งค่อยๆ สะสมชื่อเสียงจากการบอกต่อ จนเข้าสู่ปีที่ 4-5 ชื่อเสียงร้านติดตลาด กลายเป็นเจ้าดังประจำท้องถิ่น
       “ส่วนตัวผมคิดว่า การทำร้านอาหารให้ประสบความสำเร็จ ไม่ได้อยู่ที่อาหารอร่อยที่สุด เพราะไม่มีใครทำอาหารที่ถูกปากลูกค้าทุกคนได้ แต่เราทำอาหารให้ได้มาตรฐานที่สุด ไม่ว่าจะมากินเมื่อไร ที่ไหน ความสดสะอาด คุณภาพจะต้องเหมือนเดิม ควบคู่กับงานบริการที่ประทับใจ ไม่ว่าจะรับออเดอร์ เสิร์ฟ เช็คบิล ซึ่งเราได้พัฒนาระบบเรื่อยมา ทั้งด้านวัตถุดิบ บุคลากร และไอที จนปัจจุบัน สามารถทำแต่ละขั้นตอนเสร็จภายใน 1 นาที” ทอง กล่าว
       จากชื่อเสียงโดดเด่นภายในจังหวัด ผู้ผลิตแหนมเนืองเจ้าดังเริ่มขยายตลาดเพิ่มเติม โดยเบื้องต้นจัดเป็นชุดใส่กล่อง เพื่อบริการลูกค้าที่เข้ามากินในร้าน สามารถซื้อกลับไปเป็นของฝาก ตามด้วยให้พนักงานร้านจัดส่งสินค้าบริเวณใกล้ๆ ร้าน ในรัศมี 5 กิโลเมตร
       และเนื่องจากลูกค้าต่างถิ่น โดยเฉพาะชาวกรุง ที่เข้ามากินในร้าน มักยิงคำถามว่า “หลังกลับไปกรุงเทพฯ แล้วจะหากิน VTแหนมเนืองได้จากที่ไหน” ประเด็นดังกล่าว จุดไอเดียให้คิดถึงระบบดิลิเวอรี ซึ่งถือเป็นความท้าทายจะที่ต้องส่งอาหารท้องถิ่น ซึ่งต้องการความสดใหม่ให้ถึงมือลูกค้าห่างไกลได้สำเร็จ
       “การส่งดิลิเวอรี ผมให้ความใส่ใจตั้งแต่กล่อง ซึ่งต้องแข็งแรงเป็นพิเศษ รับรองการขนส่งทางไกลได้ และต้องสวยงามดูดี เหมาะที่จะซื้อหาหรือมอบเป็นของฝากได้ อีกทั้ง วัตถุดิบทุกอย่างในกล่องต้องพร้อม ส่วนการขนส่ง เราพัฒนาระบบเรื่อยมา เพื่อให้ของถึงมือลูกค้าเร็วที่สุด จากเบื้องต้นส่งไปรษณีย์ ปัจจุบัน ส่งผ่านทางเครื่องบิน รถไฟ และรถทัวร์ นอกจากนั้น เราได้เชื่อมเครือข่ายกับวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างต่างๆ เพื่อทำหน้าที่ส่งสินค้าไปถึงจุดรับของผู้สั่ง” ทอง เผย
       บริการจัดชุดบรรจุกล่องส่งทั่วประเทศได้ผลตอบรับอย่างดียิ่ง รวมถึง มีผู้สนใจรับสินค้าไปขายต่ออีกจำนวนมาก ปัจจุบัน มีตัวแทนขายกว่า 20 รายทั่วประเทศ ซึ่ง จะกระจายสินค้าต่อไปยังจุดต่างๆ ทั้งร้านอาหาร สนามบิน และร้านสินค้าของฝาก ฯลฯ ซึ่งจากช่องทางกระจายสินค้ากว้างขวางดังกล่าว ทำให้กิจการเติบโตอย่างสูง และยังสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
       “สิ่งสำคัญของการสร้างเครือข่ายตัวแทนขาย ต้องจูงใจด้วยกำไรที่เขาจะได้รับ โดยเฉลี่ยตัวแทนขาย VTแหนมเนืองจะได้กำไรสุทธิประมาณ 30% ขณะที่ส่วนตัวเราเอง ต้องรักษาคุณภาพมาตรฐานของสินค้า เพื่อที่ผู้บริโภคซื้อไปแล้ว พึงพอใจก็จะทำให้แบรนด์เป็นที่น่าเชื่อถือ” ทอง ระบุ
       อีกช่องทางตลาด ยังเปิดโอกาสให้ผู้มีความพร้อม และตั้งใจจริง มาเป็นตัวแทนเปิดร้านสาขา ซึ่งจะได้รับสิทธิ์ใช้ชื่อแบรนด์ และระบบบริหารจัดการเดียวกับร้าน VTแหนมเนืองต้นตำรับทุกประการ คล้ายๆ ระบบแฟรนไชส์ โดยกำหนดต้องเป็นรูปแบบร้าน ที่นั่งไม่ต่ำกว่า 30 โต๊ะ เงินลงทุนกว่า 8 ล้านบาท ภายใต้เงื่อนไขต้องรักษาชื่อเสียงของแบรนด์ และรับวัตถุดิบทั้งหมดจาก “ครัวกลาง” เท่านั้น ปัจจุบัน มีสาขาตัวแทนอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ และกรุงเทพฯ
       ทอง เผยด้วยว่า เมนูของ VTแหนมเนือง เป็นอาหารเวียดนาม รวมกันประมาณ 10 กว่ารายการ เช่น แหนมเนือง เปาะเปี๊ยะ หมูย่างเวียดนาม หมูทอดทรงเครื่อง กุ้งพันอ้อย และกุนเชียงสด เป็นต้น ปริมาณวัตถุดิบที่ใช้ผลิต เฉลี่ยเนื้อหมู และผัก อย่างละ 1 ตันต่อวัน โดยวัตถุดิบผักมีแปลงปลูกเอง ส่วนการผลิตโรงงานได้มาตรฐาน GMP HACCP มีแรงงานรวมกว่า 100 คน โดยรายได้ของธุรกิจ มาจากยอดขายภายในร้านประมาณ 30% ส่วนอีก 70% มาจากการบรรจุกล่องขาย เฉพาะแค่ที่ร้านสาขาอุดรฯ ยอดขายกว่า 700-800 กล่องต่อวัน
       สำหรับส่วนแบ่งตลาดของธุรกิจอาหารเวียดนามที่ใกล้เคียงกัน ทอง ระบุว่า VTแหนมเนืองมาเป็นอันดับ 2 รองจาก “แดง แหนมเนือง” ในสัดส่วนราว 45% กับ 55% ขณะ ที่ หน้าใหม่จะแบ่งตลาดเป็นเรื่องยาก เนื่องจากขั้นตอนการผลิตค่อนข้างยุ่งยาก โดยเฉพาะการควบคุมต้นทุนวัตถุดิบ ถ้าไม่เชี่ยวชาญ และมีพื้นฐานที่พร้อมจริงๆ โอกาสประสบความสำเร็จมีน้อยมาก ส่วนแผนตลาดขั้นต่อไป เตรียมขยายตลาดเปิดสาขาที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว และเวียดนาม ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า


from http://is.gd/fZ8u2l


14 สุดยอดบทเรียนระดับ MBA จาก Steve Jobs

 

ความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงในการสร้าง Apple ให้เป็นบริษัทไฮเทคที่ทรงคุณค่ามากที่สุดในโลก ทำให้ Steve Jobs กลายเป็นตำนานและวีรบุรุษแห่งกรณีศึกษาในบรรดามหาวิทยาลัยธุรกิจชั้นนำไปจนถึงบนเวทีสัมมนา

และต่อไปนี้คือสุดยอดทักษะและกลยุทธ์ 14 อย่างของ Steve Jobs ที่ทำให้เขาสามารถกอบกู้ Apple จากบริษัทที่ใกล้ล้มละลาย ให้กลายเป็นบริษัทที่มีค่าที่สุดในโลกได้ ซึ่งได้มาจากการวิเคราะห์ของบรรดาผู้เชี่ยวชาญ อันประกอบไปด้วยบรรดาอดีตเพื่อนร่วมงานของ Jobs คู่เจรจาธุรกิจ นักออกแบบชื่อดัง และนักวิเคราะห์วิจารณ์สังคม คุณจะได้เรียนรู้บทเรียนจากความเป็นปรมาจารย์ด้านนวัตกรรมของ Jobs จากทักษะในการสร้างความเกรียวกราว จากความเป็นอัจฉริยะทางการตลาด และจากความพยายามของ Jobs ที่ต้องการสร้าง Apple ให้เป็นบริษัทที่ “หิวและโง่”



1. อย่ามองปัจจุบัน

เหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนเชิดชู Apple เหนือกว่าบริษัทอื่นใด เป็นเพราะ Apple เป็นบริษัทที่เปลี่ยนแปลงและสร้างทุกอย่างใหม่หมด ในขณะที่สิ่งที่บริษัททั่วๆ ไปทำ คือการปรับเปลี่ยนสิ่งเดิมๆ ที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ Apple สร้างความต้องการที่เราไม่เคยรู้ตัวมาก่อนว่าเรามีอยู่ และทำให้เราเกิดความรู้สึกว่าเราต้องมีบางอย่าง ถ้าหากว่าเราอยากจะมีความสุข Steve Jobs เป็นผู้ประกอบการที่เหนือกว่าผู้ประกอบการทั่วๆ ไป เพราะเขามองว่า ผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่มีใครสร้างขึ้น เป็นเพียงสิ่งสะท้อนถึงความดาษดื่นและการขาดไร้ซึ่งจินตนาการเท่านั้น Jobs มองเห็นความเป็นไปได้ ในสิ่งที่คนอื่นเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ เขาสามารถจับเอาความไม่พอใจและความโหยหาของคน มาเปลี่ยนให้เป็นสินค้า




2. ลูกค้ายอมจ่ายแพง ถ้าคุ้มค่า

เป็นที่รู้กันดีว่า Jobs นั้น เป็นเมธีทางด้านสุนทรียศาสตร์ เขาชอบความงามและความประณีตในทุกรายละเอียด ทั้งวัสดุและการออกแบบที่สามารถสนองความรู้สึกของผู้ใช้ Jobs ยังเป็นนักมนุษยนิยม ที่ชอบใส่ความมีชีวิตชีวาและความเป็นมนุษย์ ลงไปในสิ่งที่เขาสร้าง การได้สุดยอดนักออกแบบอย่าง Jonathan Ive มาร่วมงานในปี 1997 ทำให้ทั้งสองได้ตระหนักในความจริงง่ายๆ ที่ว่า ต้องเริ่มต้นด้วยสิ่งที่เรารัก แล้วจึงค่อยคิดเรื่องเทคโนโลยีทีหลัง ผลิตภัณฑ์ทุกตัวของ Apple เป็นมากกว่าแค่เครื่องจักร ทั้งๆ ที่ผลิตภัณฑ์ของ Apple ประกอบขึ้นด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงที่สลับซับซ้อน ทว่ากลับใช้งานง่าย ราวกับเป็นอุปกรณ์ในยุคอะนาล็อก คติของ Jobs คือ อย่าถามลูกค้าว่าพวกเขาต้องการอะไร เพราะพวกเขาเองก็ไม่รู้



3. ให้พนักงานของคุณได้พบปะพูดคุยกัน

Jobs ซื้อ Pixar Animation Studios มาจากผู้กำกับฮอลลีวู้ดคนดัง George Lucas เมื่อปี 1986 โดยที่เขาไม่ได้มีความสนใจในสร้างภาพยนตร์การ์ตูนแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่เขาสนใจใน Pixar คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ Pixar Image Computer ราคา 135,000 ดอลลาร์ ซึ่งสามารถสร้างภาพกราฟฟิกที่ซับซ้อนได้ แต่ด้วยราคาที่แสนแพง ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์นี้ขายไม่ออก Jobs จึงนำเจ้าเครื่องนี้มาใช้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนจากคอมพิวเตอร์ ผลปรากฏว่า เขาทำให้ Pixar กลายเป็นหนึ่งในบริษัทภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตลอดกาลทั้งเงินและกล่อง จนสุดท้าย Jobs สามารถขาย Pixarให้แก่ Walt Disney เป็นเงินถึง 7,400 ล้านดอลลาร์ จากบริษัทที่เขาซื้อมาด้วยเงินเพียง 5 ล้านดอลลาร์เท่านั้น

เหตุผลสำคัญเบื้องหลังความสำเร็จแบบถล่มทลายของ Pixar คือการออกแบบสถานที่ทำงานของ Jobs ในตอนแรก Pixar studios จะแยกออกเป็น 3 ตึก สำหรับนักคอมพิวเตอร์ นักวาดการ์ตูนและฝ่ายบริหาร แต่ Jobs ฉีกแผนการสร้างสำนักงานแบบนี้ทิ้ง แทนที่จะแยกเป็น 3 ตึก กลับมีเพียงตึกเดียวที่โล่งกว้างโดยมีโถงใหญ่อยู่ตรงกลาง และรวมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้แม้กระทั่งห้องน้ำ ปรัชญาเบื้องหลังการออกแบบสถานที่ทำงานของ Jobs คือ ส่วนงานที่สำคัญที่สุด ต้องตั้งอยู่ใจกลางของตึก และส่วนงานที่สำคัญที่สุดของ Pixar คือการได้พบปะพูดคุยกันของพนักงาน Jobs เชื่อว่า การพบปะพูดคุยที่ดีที่สุด มักเกิดขึ้นโดยบังเอิญ และเขาคิดถูก พนักงานของ Pixar ค้นพบว่า ไอเดียดีๆ มักจะเกิดขึ้นในเวลาที่พวกเขานั่งคุยกันในช่วงพักเบรก หรือบังเอิญเจอกันในห้องน้ำ




4. รู้จักทุกซอกทุกมุมของธุรกิจอย่างถ่องแท้

หลักการของ Jobs คือ

-เคารพธรรมชาติ เพราะเราเป็นเพียงส่วนหนึ่งของธรรมชาติ อย่าขัดขืนธรรมชาติ แต่ให้น้อมรับ ธรรมชาติมีคำตอบให้กับทุกสิ่ง ดอกทานตะวันคือแรงบันดาลใจในการออกแบบเครื่อง iMac จงใส่ความงาม จิตวิญญาณและความเป็นมนุษย์ลงไปในสิ่งที่คุณสร้าง ทำตลาดและขาย

-ใส่ใจรายละเอียด กล้าลงมือแก้ปัญหาที่คู่แข่งยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอยู่ กล้าแตะปัญหาที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง และหาวิธีแก้ปัญหาที่สามารถเปลี่ยนความรู้สึกของลูกค้าที่มีต่อวิธีใช้งานผลิตภัณฑ์

-ทำตัวให้มีค่า ไม่ก็ “ไสหัวไป” เมื่อ Jobs กลับมากอบกู้ Apple ในปี 1997 นั้น ราคาหุ้นของบริษัทตกลงต่ำสุดในรอบ 12 ปี สิ่งแรกที่เขาทำคือ ตัดทุกอย่างที่ไม่จำเป็นทิ้งไปให้หมด รวมถึงคนที่ไม่มีค่า

-อย่าหยุดทำทุกอย่างให้ดีขึ้น Snow Leopard เป็นระบบปฏิบัติการที่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่ Jobs ไม่เคยหยุดแก้ไขปรับปรุงมัน แม้ในจุดที่ไม่มีใครเห็นว่าเป็นปัญหา ถ้าหากว่า การปรับปรุงนั้นจะทำให้มันทำงานได้เร็วขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

-อย่าอยู่บนหอคอยงาช้าง Jobs คงเป็น CEO เพียงไม่กี่คนในโลกนี้ ที่ตอบ email ลูกค้าด้วยตัวเอง เขาให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้า เขาไม่เคยยอมให้กลุ่มตัวอย่างเล็กๆ มากำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะเขาตระหนักถึงความสำคัญของปฏิกิริยาจากลูกค้า

-อย่าเสียเวลากับหลักการสวยหรูบนกระดาษ ซึ่งไร้ความหมาย แต่จงเปลี่ยนความคิดของคุณให้กลายเป็นการกระทำ

-ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม ไม่จำเป็นต้องเป็นคนแรกในตลาด ตราบใดที่ผลิตภัณฑ์ของคุณยอดเยี่ยมกว่าคนที่มาก่อนทั้งหมด

-น้อยคือมาก หลักการ “less is more” ชนะในทุกวงการ บรรจุภัณฑ์ของ Apple ใช้พลาสติกและกระดาษน้อยมาก นอกจากจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ทำให้ลูกค้าสะดวกและมีความสุขมากขึ้น และหมายถึงผลกำไรที่มากขึ้นด้วย

-คลุกวงใน ผู้บริหารต้องคลุกวงในและใส่ใจทุกรายละเอียด และต้องรู้จักทุกแง่ทุกมุมของบริษัทอย่างถ่องแท้



5. เริ่มจากศูนย์

Jobs มีพรสวรรค์ในการจินตนาการสร้างสิ่งใหม่ โดยไม่ต้องเริ่มจากสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน เขาสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นจากศูนย์ และผลก็คือ เขาทำให้วัตถุที่ไร้ชีวิตกลายเป็นสิ่งที่เกือบจะมีชีวิต ตัวอย่างที่น่าทึ่งที่สุดก็คือ การที่ Jobs คิดเครื่อง iPod ขึ้นมา ในช่วงเวลาที่ Sony กำลังครองตลาดเครื่องเล่นเพลงด้วย Walkman อย่างชนิดที่เกือบจะไร้คู่แข่ง และยังมี CBS เป็นผู้คอยสร้างเนื้อหาให้ การจะเอาชนะคู่แข่งแบบนี้ เกือบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่ Jobs ชนะเพราะเริ่มต้นด้วยความคิดว่า เครื่องเล่นเพลงที่ “ควรจะเป็น” ควรจะเป็นอย่างไร แล้วจึงค่อยสร้างสิ่งอื่นๆ เติมเข้าไปในเครื่องเล่นเพลงของเขา



6. เอาอย่าง อย่าลอกเลียน

คุณเป็นคนหนึ่งที่อยากจะเป็น the next Jobs หรือไม่ ต่อไปนี้คือ 4 หลุมพรางของคนที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็น Jobs คนต่อไป

- อย่าเลียนแบบ Jobs แต่เปลือก แค่แต่งตัวให้เหมือน Jobs ผู้นิยมสวมเสื้อคอเต่าสีดำและกางเกงยีนส์ ไม่ได้ทำให้คุณสามารถเป็น Jobs คนต่อไปได้ แต่หากคุณเอาอย่าง Jobs ที่ใช้สไลด์ ซึ่งเน้นภาพและมีข้อความเพียงเล็กน้อย ในการนำเสนองาน คุณอาจมีโอกาสพัฒนาตัวเองให้เป็นนักพูดที่สุดยอดเหมือนกับ Jobs ได้

-สิ่งที่บริษัททำหลังจากประสบความสำเร็จ อาจไม่ใช่สิ่งเดียวกับที่เคยทำให้บริษัทประสบความสำเร็จ Apple ควบคุมโปรแกรมใช้งานต่างๆ บน iPhone และ iPad อย่างเข้มงวด และสร้างรายได้มหาศาลจากการขายโปรแกรมเหล่านี้ผ่านร้าน iTunes Store ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับที่ Apple เคยทำกับเครื่อง Macintosh ในยุคทศวรรษ 80 ซึ่งเป็นช่วงที่ Apple เปิดเผยข้อมูลระบบ เพราะในตอนนั้น Apple กำลังต้องการให้คนอื่นๆ มาช่วยพัฒนาซอฟต์แวร์ให้อย่างมาก

-เส้นทางที่จะประสบความสำเร็จมีหลายเส้นทาง เส้นทางที่เคยทำให้ Jobs ประสบความสำเร็จ ไม่จำเป็นว่าจะใช้ได้ผลกับคุณด้วย ความจริงแล้ว Apple ทำหลายอย่างที่คนอื่นๆ ไม่เข้าใจ หรือแม้กระทั่งส่ายหน้า เช่น ไม่ฟังลูกค้า ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับสื่ออย่างเปิดเผยหรือเป็นมิตร ไม่ได้เข้าถึงลูกค้าผ่านสื่อ Social Media และไม่ได้บริหารพนักงานแบบเป็นประชาธิปไตยหรือมีส่วนร่วม แต่ Apple ก็ยังเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงมาก

-บางครั้งเฮงอาจดีกว่าเก่ง กว่าจะถึงวันที่คุณสามารถทำความเข้าใจกับสิ่งที่ทำให้ Apple ประสบความสำเร็จได้ทั้งหมด ก็อาจจะสายไปแล้วที่จะทำอย่างเดียวกับที่ Apple เคยทำ เพราะโอกาสที่เคยทำให้ Apple ประสบความสำเร็จ อาจหมดไปแล้ว


ต่อไปนี้คือ 3 บทเรียนที่คุณควรเอาอย่าง Jobs

-ให้ในสิ่งที่ลูกค้าอยากได้ ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูด

-ให้ความสำคัญมากที่สุด กับการใช้งานที่ง่ายและการออกแบบให้สวยงาม

-จัดสถานที่ทำงานที่จะทำให้คนทำงานได้ดีที่สุด




7. สำคัญที่สุดคือการออกแบบ

Jobs ให้ความสำคัญกับการออกแบบอย่างมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ทำให้คนอยากซื้อ การออกแบบเป็นส่วนหนึ่งของ Apple มาตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม โลโก้รูปแอปเปิลสีรุ้งที่แหว่งด้วยรอยกัด คืองานออกแบบยุคแรกสุด Apple อาจเริ่มต้นด้วยการเป็นบริษัทคอมพิวเตอร์ ที่มีลูกค้าเป็นพวกคลั่งไคล้เทคโนโลยี แต่สิ่งที่ทำให้ Apple ประสบความสำเร็จ กลับเป็นการที่สามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นเหมือนสินค้าแฟชั่น ที่แทบไม่ต่างจาก Prada หรือ Paul Smith และคำว่า “คอมพิวเตอร์” ก็ได้หายไปจากชื่อของบริษัท

ทุกวันนี้ Apple ไม่ได้ผลิตคอมพิวเตอร์ แต่สร้างสิ่งต่างๆ หรือพูดให้ถูกคือ “ออกแบบ” สิ่งต่างๆ ที่ทำงานให้เรา การออกแบบทำให้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ Apple กลายเป็นวัตถุที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจ และพาเราก้าวเข้าสู่โลกใหม่ยุคหลังวัตถุ (post-object world) คือโลกที่สิ่งสำคัญไม่ใช่รูปร่างหน้าตาของวัตถุสิ่งของอีกต่อไป หากแต่เป็น “ความรู้สึก” ที่เจ้าของมีต่อวัตถุนั้นและการใช้งานมัน ดังเช่นที่ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ Apple ได้เปลี่ยนแปลงวิธีที่เราสื่อสารถึงกัน วิธีที่เราเชื่อมความสัมพันธ์กัน และอื่นๆ โดยสุดท้ายแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดก็คือ Apple ได้เปลี่ยนวิธีที่เรามองโลกและเข้าใจโลก




8. ทำให้ผู้ฟังเคลิบเคลิ้ม

3 เทคนิคที่ทำให้ Jobs เป็นนักเล่าเรื่องตัวฉกาจที่หาตัวจับยาก

-อธิบายความเจ๋งของผลิตภัณฑ์ในประโยคเดียว Jobs บอกว่า iPod เป็น “1,000 เพลงในกระเป๋าของคุณ” MacBook Air คือ “คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คที่บางที่สุดในโลก” และ iPad คือ “มหัศจรรย์แห่งการปฏิวัติคอมพิวเตอร์” หลักการของ Jobs คือ ให้ภาพใหญ่ก่อน ด้วยการอธิบายถึงผลิตภัณฑ์ด้วยประโยคเดียว ที่มีความยาวไม่เกิน 140 ตัวอักษรหรือน้อยกว่า

- อธิบายด้วยภาพ Jobs ชอบใช้สไลด์ที่มีแต่ภาพและข้อความเพียงเล็กน้อยไม่เกิน 40 คำ เพราะว่าเขาคิดเป็นภาพ สไลด์ของ Jobs จะไม่มีข้อความที่แบ่งเป็นหัวข้อๆ เด็ดขาด วิธีการที่ Jobs ใช้เรียกว่า Picture Superiority ซึ่งหมายความว่า คนจะรับข้อมูลข่าวสารได้ดีกว่า ถ้ามีทั้งภาพและข้อความ แทนที่จะมีแต่ข้อความเพียงอย่างเดียว ซึ่งบังเอิญถูกต้องตามหลักการทำงานของสมองมนุษย์ โดยคนจะจำข้อมูลที่มีแต่คำพูดได้เพียง 10% เท่านั้น หลังจากผ่านไป 3 วัน แต่จะจำได้มากถึง 65% ถ้าหากข้อมูลนั้นมีภาพด้วย

-กฎไม่เกิน 3 Jobs บอกว่า iPad2 “บางกว่า เบากว่า และเร็วกว่า” iPad1 ตามหลักจิตวิทยาแล้ว ความจำระยะสั้นจะดีขึ้น ถ้าหากข้อมูลที่ได้รับมาไม่เกิน 3 ส่วน แล้วจึงค่อยขยายรายละเอียดของแต่ละส่วน แต่ “ภาพใหญ่” จะต้องไม่เกิน 3



9. จากปาก Steve Jobs


“การสามารถคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ไม่เกี่ยวกับการทุ่มเงินไปกับการวิจัยและพัฒนาให้มากๆ ตอนที่ Apple คิดเครื่อง Mac นั้น IBM ทุ่มเงินไปกับ R&D มากกว่าเรา ไม่ต่ำกว่า 100 เท่า แต่มันไม่เกี่ยวกับเงิน แต่เกี่ยวกับคนที่คุณมี คุณมีผู้นำอย่างไร และคุณเข้าใจเรื่องการสร้างสรรค์มากน้อยแค่ไหน”

Fortune 9 พฤศจิกายน 1998



“เป็นเรื่องยากมากที่จะออกแบบผลิตภัณฑ์โดยอาศัยแค่กลุ่มตัวอย่าง เพราะคนมักจะไม่ค่อยรู้ว่า อะไรที่พวกเขาต้องการ จนกว่าคุณจะทำมันออกมาให้เขาเห็น”

BusinessWeek 25 พฤษภาคม 1998



“(นวัตกรรมของ Apple) เกิดมาจากการปฏิเสธ 1,000 สิ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าเราไม่ได้เดินไปผิดทาง หรือพยายามมากเกินไป”

BusinessWeek online 12 ตุลาคม 2004



“ไม่มีใครพยายามจะกลืนเรา ตราบใดที่มีผมอยู่ที่นี่ ผมคิดว่าพวกเขาคงกลัวเรื่องรสชาติ”

ที่ประชุมผู้ถือหุ้น Apple 22 เมษายน 1998



“เราออกแบบปุ่มบนหน้าจอให้ดีซะจนคุณนึกอยากจะเลียมัน”

Fortune 24 มกราคม 2000 ในการเปิดตัว Aqua user interface ของ Mac OS X



“(iTune) จะเข้าไปอยู่ในประวัติศาสตร์ในฐานะจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมเพลง”

Fortune 12 พฤษภาคม 2003



“ผมอยากจะเป็นเจ้าของและควบคุมเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดในทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ”

BusinessWeek online 12 ตุลาคม 2004



“(Android) อยากจะฆ่า iPhone แต่เราไม่ยอม”

ตอบคำถามพนักงาน Apple 28 มกราคม 2010



(เกี่ยวกับความล้มเหลว) “การเป็นคนรวยที่สุดที่นอนอยู่ในสุสาน ไม่มีความหมายอะไรกับผม แต่ถ้าได้เข้านอน ด้วยความรู้สึกว่า ได้ทำอะไรที่แสนวิเศษ นั่นจึงจะมีความหมาย เวลาที่คุณคิดสิ่งใหม่ๆ คุณมักจะทำผิด ต้องรีบยอมรับความผิดนั้นโดยเร็ว และปรับปรุงแก้ไขในครั้งต่อไป”

The Wall Street Journal 25 พฤษภาคม 1993



10. ท้าทายความคาดหวังของคนอื่น

Apple ไม่ใช่ทั้งบริษัทผลิตคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่บริษัทโทรศัพท์ ไม่ใช่โปรแกรมเมอร์ที่เขียนซอฟต์แวร์ และไม่ใช่บริษัทออกแบบแฟชั่น ถ้าเช่นนั้น Apple คืออะไร และความเป็นอัจฉริยะที่แท้จริงของ Jobs อยู่ตรงไหน คำตอบคือ ค้าปลีก ร้าน Apple Store มียอดขายสูงลิ่วทำลายสถิติ ลูกค้าสามารถแวะเวียนไปพักผ่อนหย่อนใจที่ Wi-Fi Clubhouse ได้ทุกเมื่อ ในขณะที่อุตสาหกรรมเพลงขายเพลงไม่ได้ แต่ Steve Jobs ขายได้ เขายังขายหนังสือและโปรแกรมซอฟต์แวร์ และมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ว่า เขาจะขายอะไรต่อไป อาจจะเป็นแฟชั่น Apple บ้าน Apple รถ Apple และเชื่อเถอะว่า มีคนมากมายที่เต็มใจจะรอซื้อ บทเรียนจาก Jobs ในข้อนี้คือ อย่ายอมรับความคาดหวังของคนอื่นที่มีต่อคุณ ที่คาดหวังให้คุณต้องเป็นอย่างนั้น หรือทำอย่างนี้ อย่ายอมให้คนอื่นตัดสินคุณค่าของตัวคุณ



11. เป็นคู่แข่งของตัวเอง

Jobs เชื่อมั่นตั้งแต่แรกว่า Apple สามารถจะประสบความสำเร็จในตลาดอุปกรณ์สื่อสารพกพาได้ เพราะ Apple เป็นเพียงบริษัทเดียวที่เป็นบริษัทซอฟต์แวร์ ในขณะที่คู่แข่งทั้งหมดล้วนแต่เป็นบริษัทฮาร์ดแวร์ และบริษัทน้องใหม่ในอุตสาหกรรมอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่อย่าง Apple ก็สามารถสอนมวยและให้บทเรียนระดับ MBA ให้แก่รุ่นพี่ๆ ทั้งอุตสาหกรรมได้จริงๆ ถึงวิธีที่จะทำให้ลูกค้าบริโภคข้อมูลบนอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ ด้วยความสวยงามของผลิตภัณฑ์ ความน่าทึ่งของแบรนด์ และประสบการณ์ของผู้ใช้ที่แตกต่าง สมแล้วที่ Jobs คืออัจฉริยะทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุค เขาสามารถสร้างความแตกต่างอย่างชาญฉลาด ให้แก่สินค้าที่ดูเหมือนๆ กันไปหมด และยังนำความมหัศจรรย์ของเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา ในรูปแบบที่เข้าถึงได้ง่าย พึ่งพาได้ และสร้างแรงบันดาลใจ Jobs มีความสามารถในการคิดสร้างสิ่งที่เราจะต้องการ ก่อนที่เราจะรู้ตัวว่าเราต้องการมัน และสร้างสิ่งนั้นให้ง่ายต่อการใช้งาน



12. ปิดแล้วเปิดใหม่

Jobs นำเทคนิคของ Hollywood มาใช้กับ Silicon Valley อย่างได้ผล ผู้ยิ่งใหญ่ของ Hollywood ในสมัยก่อน ได้ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ที่เน้นแต่เรื่องเทคนิคและเคร่งขรึมจริงจังในทศวรรษ 1910-20 ให้กลายเป็นอุตสาหกรรมบันเทิง Jobs ก็ทำในสิ่งเดียวกัน เขากำลังปฏิวัติอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคม ให้กลายเป็นอุตสาหกรรมบันเทิงอิเล็กทรอนิกส์ ด้วย 3 วิธีการเดียวกับ Hollywood ได้แก่ หนึ่ง Jobs เข้าใจลูกค้า เขาเข้าใจดีว่า คนส่วนใหญ่ชอบบริโภคเนื้อหา มากกว่าจะเป็นผู้สร้างเนื้อหา ดังนั้นทั้ง iPad, iPhone และ iPod จึงถูกสร้างขึ้นอย่างดีที่สุด เพื่อส่งเสริมการบริโภคให้ง่ายที่สุด

ข้อ 2 Jobs ผู้เป็นเอตทัคคะด้านสุนทรียศาสตร์ เข้าใจดีว่า สิ่งที่ถูก “ตัด” ออกไป สำคัญมากกว่าสิ่งที่ใส่เข้ามา เขาจะไม่เพิ่มสิ่งใดแม้แต่เพียงสิ่งเดียว หากว่ามันจะทำลายความงามของผลิตภัณฑ์ของเขา ข้อสุดท้าย Jobs เข้าใจดีถึง “พลังดารา” คือการที่คนเข้าไปชมภาพยนตร์ เพียงเพราะมีดาราคนโปรดเพียงคนเดียว Jobs ทำให้ผลิตภัณฑ์ทุกตัวของเขาเป็นเหมือน “ดารา”



13. ความลับ คือโฆษณาที่ดีที่สุด

Jobs รู้ดีมานานแล้วว่า โฆษณาที่ดีที่สุดไม่ใช่จะใช้เงินซื้อหาได้ และโฆษณาที่ดีที่สุด ก็คือเรื่องใหม่ๆ Jobs เปิดตัวผลิตภัณฑ์ทุกตัวของเขา เหมือนกับมันเป็นข่าวใหม่ๆ ข่าวหนึ่ง วิธีการของเขาประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เขาได้โฆษณาฟรีๆ บนสื่อ ที่ต่างพากันรายงานการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของเขาในฐานะของข่าว เคยมีการประเมินว่า Jobs ได้โฆษณาฟรีๆ ที่สามารถคิดเป็นเม็ดเงินได้ถึง 400 ล้านดอลลาร์ ในการเปิดตัว iPhone จากการที่สื่อทั่วโลกต่างพากันทำข่าวนี้ จริงๆ แล้ววิธีการของ Jobs เป็นหลักจิตวิทยาง่ายๆ แต่ฉลาด เขาแค่บอกว่า เขามีความลับ

1 สัปดาห์ก่อนหน้าการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Jobs จะส่งคำเชิญให้ไปร่วมงานที่ลึกลับ ทำให้คนรู้สึกอยากรู้อยากเห็น เกิดการคาดเดากันอย่างใหญ่โตและข่าวลือ สื่อก็ร่วมเล่นเกมค้นหาความลับด้วย แต่ Jobs ก็จะปกปิดความลับของเขาอย่างยิ่งยวด จนกว่าจะเฉลยในวันสุดท้าย Jobs ใช้วิธีการนี้อย่างได้ผลมาตลอด 20 ปีแห่งการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของ Apple




14. จงเป็นคนที่หิวและโง่

โอวาทอันโด่งดังที่ Steve Jobs ซึ่งไม่เคยเรียนจบปริญญา ได้กล่าวแก่บัณฑิตจบใหม่ของมหาวิทยาลัย Stanford University เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2005 เขาได้เล่าเรื่อง 3 เรื่อง เรื่องแรก เกี่ยวกับการเรียนมหาวิทยาลัยของเขา หลังจากเข้าเป็นนักศึกษาใหม่ที่มหาวิทยาลัย Reed College ใน Portland รัฐ Oregon ได้เพียง 6 เดือน Jobs ก็พบว่ามันช่างไร้ประโยชน์ เขาตัดสินใจลาออก ซึ่งทำให้เขาไม่ต้องเรียนวิชาที่ถูกบังคับให้เรียนโดยที่เขาไม่สนใจ และสามารถเรียนวิชาที่เขารู้สึกสนใจได้ หนึ่งในนั้นคือวิชา “อักษรวิจิตร” (calligraphy) เกี่ยวกับการการออกแบบตัวอักษรให้สวยงาม แม้ว่าในตอนนั้นเขาเอง ยังมองไม่เห็นเลยว่า วิชานี้จะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตเขาอย่างไร แต่ 10 ปีให้หลัง ในขณะที่ Jobs กำลังออกแบบเครื่องคอมพิวเตอร์ Macintosh เครื่องแรก วิชานี้กลับเป็นประโยชน์อย่างมหาศาล และทำให้ Mac เป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในโลกที่มีตัวอักษรสวยงาม ที่แม้แต่ Windows ยังลอกเลียนไปใช้

Jobs บอกกับบัณฑิตใหม่ในวันนั้นว่า คุณไม่รู้หรอกว่า “จุด” ต่างๆ ในชีวิตของคุณ จะไปเชื่อมต่อกันได้อย่างไรในอนาคต เพราะคุณจะสามารถลากเส้นต่อจุดเหล่านั้นได้ ก็ต่อเมื่อเวลาที่คุณได้มองย้อนกลับไปข้างหลังเท่านั้น คุณจึงต้องเชื่อมั่นว่า จุดต่างๆ เหล่านั้น จะเชื่อมต่อกันเองในอนาคต คนเราต้องมีความเชื่อมั่นศรัทธาในบางอย่าง ไม่ว่าบางอย่างนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ความกล้าในตัวคุณเอง โชคชะตา หรือกรรม เพราะความเชื่อมั่นศรัทธาว่าจุดต่างๆ ในชีวิตของคุณ จะเชื่อมต่อกันเป็นถนนที่คุณจะเดินในอนาคต จะทำให้คุณบังเกิดความเชื่อมั่นที่จะเดินตามหัวใจของคุณ แม้ว่าอาจจะต้องเดินออกไปจากหนทางที่คุณคุ้นเคย แต่คุณจะค้นพบสิ่งที่แตกต่าง

เรื่องที่สองคือเรื่องที่เขาถูกไล่ออกจาก Apple บริษัทที่เขาก่อตั้งขึ้นมาเองกับมือ แต่ Jobs บอกว่า นั่นล่ะ คือสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของเขา ความหนักของความสำเร็จ ถูกแทนที่ด้วยความเบาสบายของการได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง และได้ปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ จนสามารถก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตของเขา ช่วงนั้น Jobs ได้สร้างบริษัท NeXT และ Pixar และได้พบรักกับภรรยา

เรื่องสุดท้ายเกี่ยวกับความตาย ตอนที่เขาเป็นมะเร็งตับอ่อน Jobs บอกว่า การคิดว่าตัวเองกำลังจะตาย เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดที่เขาเคยพบมาในชีวิต ที่ช่วยให้เขาสามารถตัดสินใจเรื่องยากที่สุดในชีวิตได้ การรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย ทำให้เกือบทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเคยคิดว่าสำคัญ ความคาดหวัง ความหยิ่งทรนง ความกลัวว่าจะอับอายและล้มเหลว ล้วนกลายเป็นสิ่งที่ไร้ความหมายไปสิ้น เมื่ออยู่ต่อหน้าความตาย คงเหลือแต่เพียงสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างแท้จริงเท่านั้น การรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย ทำให้เขารอดพ้นจากกับดักความคิดที่ว่า เขามีอะไรต้องสูญเสีย คนเราทุกคนเกิดมาในโลกนี้อย่างตัวเปล่า จึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่เดินตามหัวใจตัวเอง

Jobs ปิดท้ายโอวาทของเขาด้วยคำแนะนำสุดท้าย ที่เขานำมาจากคำบรรยายใต้ภาพปกนิตยสารชื่อ Whole Earth Catalog ฉบับสุดท้าย ก่อนที่นิตยสารฉบับนั้นจะปิดตัวลง ซึ่งเขาได้อ่านเมื่อตอนอายุเท่าๆ กับบัณฑิตจบใหม่ในวันนั้น เป็นประโยคที่เขาหวังให้ตัวเองทำได้เสมอมา และประโยคนั้นคือ “จงเป็นคนที่หิวและโง่” **


เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์ แปลและเรียบเรียง

Wired กรกฎาคม 2554

from http://is.gd/IISSUP


16 ตุลาคม 2554

พลังแบรนด์ 81 ปี “เลโก้”


  ไม่ใช่เรื่องง่ายที่แบรนด์อายุเก่าแก่จะยืนหยัดมาได้จนถึงทุกวันนี้ แถมยังเป็นแบรนด์ของเล่น ที่ต้องครองใจเด็กได้ทุกยุคทุกสมัย แต่เลโก้ (LEGO) ทำได้

เลโก้ เป็นแบรนด์สัญชาติสวีดิช ของเล่นเลื่องชื่อประเภท Construction Toys หรือตัวต่อในรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายทศวรรษ รวมเวลา 81 ปีที่เลโก้ยังคงฝ่าฟันและท้าทายความก้าวหน้าของเทคโนโลยีแห่งเกมคอมพิวเตอร์ จนกระทั่งยืนหยัดได้เช่นทุกวันนี้



ก่อตั้งโดยOle Kirk Christiansenช่างไม้ฝีมือดี ชาวเมือง Billund ประเทศเดนมาร์ก ชื่อ LEGO มาจากภาษาสวีดิชว่าleg godt แปลว่า Play well และมีวิสัยทัศน์ที่เด่นชัดว่า “Only the best is good enough”

เลโก้ผลิตที่เดนมาร์ก เช็ก ฮังการี และเม็กซิโก แต่ละปีผลิตชิ้นส่วนเลโก้กว่า 31,000 ล้านชิ้น ตัวต่อเลโก้ถูกออกแบบมาให้แตกต่างกันถึง 3,900 แบบ และมีถึง 58 สี ในสนนราคาตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักหมื่นบาท ในแต่ละปีเลโก้ผลิตตัวต่อถึง 22,000 ล้านตัว หรือคิดเป็น 30,000 ชิ้นต่อนาที และในทุกวินาทีสินค้าเลโก้มากกว่า 7 กล่องถูกขายออกไป

ตัวต่อแต่ละตัวผลิตจากพลาสติกที่ไม่เป็นพิษ คือAcrylonitrile Butadiene Styrene (ABS)
เปิดโอกาสให้ผู้เล่นสร้างสรรค์รูปแบบต่างๆ ได้ด้วยตัวเองอย่างไร้ขีดจำกัด คำว่า “กรอบ” จึงไม่เคยเกิดขึ้นกับเลโก้ ความสำเร็จของเลโก้ถึงกับทำให้นิตยสารฟอร์จูนยกย่องเลโก้ว่าเป็น "ของเล่นแห่งศตวรรษ"
แม้เริ่มแรกเลโก้จะถือกำเนิดเพื่อกลุ่มเด็ก และจัดเป็นแบรนด์ประเภทดื้อดึงที่ไม่ยอมรับข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการสร้าง สรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จากผู้บริโภค แต่ปัจจุบันผู้บริโภคที่ขับเคลื่อนแบรนด์กลายเป็นกลุ่มผู้ใหญ่ ที่เป็นแฟนประเภท “Die Hard” ที่สะสมและคลั่งไคล้เลโก้เป็นชีวิตจิตใจ

ในช่วงคริสต์มาสปี 1999/2000 ทางวอลมาร์ท ทาร์เก็ต และทอยอาร์อัสแจ้งกับเลโก้ว่า พวกเขาไม่รู้ว่าลูกค้าของเลโก้เป็นใคร เพราะเลโก้เองก็หาได้ใส่ใจกับลูกค้าที่เป็นผู้ใหญ่แต่อย่างใด

ลูกค้ากลุ่มนี้เริ่มก่อตั้งเว็บไซต์เพื่อพูดคุยกัน สร้างช่องทางซื้อขายสินค้าเลโก้ออนไลน์ขึ้นมาเอง รวมถึงเป็นช่องทางแบ่งปันผลงานเลโก้ที่แต่ละคนสร้างขึ้นมา

กลุ่มเป้าหมายที่เคยดูจำกัด กลับกลายเป็นว่า เปิดกว้างสำหรับทุกเพศ ทุกวัย อย่างแท้จริง ตั้งแต่ 1 ขวบเรื่อยไปจนถึงตราบสิ้นอายุขัย โดยเลโก้เริ่มหันมาให้ความสนใจลูกค้าตัวจริงเสียงจริงอย่างจริงจังมากขึ้น ผ่านทางโซเชี่ยลมีเดีย และเริ่มสร้างคอมมูนิตี้อย่างเป็นทางการขึ้นมา ล่าสุดคือ เลโก้คลิก เพื่อส่งเสริมให้แฟนๆ ปลดปล่อยพลังสร้างสรรค์ที่มีต่อเลโก้ หรือทำให้เกิด User Generated Content นั่นเองผ่านทั้งไวรัล วิดีโอ รูปภาพ

นอกจากนี้ยังมีโครงการเลโก้แอมบาสเดอร์ คัดเลือกแฟนพันธุ์แท้ 40 คนอายุ 19-65 ปีจากทั่วโลก เพื่อให้แฟนเสียงดังที่กระจายอยู่ในประเทศต่างๆ เป็นกระบอกเสียงและ Influencer ต่อไป
พลังของแฟนตัวยงคือตัวช่วยสำคัญที่ทำให้เลโก้ยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งได้จนถึง ปัจจุบัน และทำให้เลโก้สามารถการขายสินค้าในกลุ่ม Licensed Theme ได้เป็นกอบเป็นกำทั้งๆ ที่มีราคาสูง

Licensed Theme อันโด่งดัง คือ Star Wars, Pirates of the Caribbean, Indiana Jones, Toy story, Spider Man, Avatar, Ben-10, Prince of Persia, Harry Potter โดย Licensed Theme ทำเงินให้กับเลโก้คิดเป็นสัดส่วนกว่า 60-70% ของสินค้าทั้งหมด
เลโก้ยังสร้างอาณาจักรแห่งจินตนาการเพิ่มเติมผ่านสวนสนุกเลโก้แลนด์ ที่ทำจากตัวต่อนับ 20 ล้านชิ้น ปัจจุบันมีที่เดนมาร์ก อังกฤษ สหรัฐอเมริกา

อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2549 เลโก้เผชิญวิกฤติครั้งสำคัญเมื่อขยายธุรกิจไปยังสินค้าอื่นๆ เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า นาฬิกา ฯลฯ แต่กลับล้มเหลว ผลประการตกต่ำ จนกระทั่งต้องเลิกจ้างพนักงานกว่า 1,000 คน เพื่อเรียกความฟิตแอนด์เฟิร์มกลับมาคืนมา และโฟกัสในธุรกิจหลักอีกครั้ง ส่งผลให้ผลประกอบการกลับมาดีขึ้นในปี 2552

พลังของแบรนด์นี้ทำให้เมือง Billund ถิ่นกำเนิดเลโก้ กลายเป็นเมืองฮิตของนักท่องเที่ยวเมื่อมาเยือนสวีเดน โดยมีนักท่องเที่ยวราว 1 ล้านคนต่อปี

ปัจจุบันสินค้าเลโก้แบ่งออกเป็นหลายแคทิกอรี่ คือTown and City, Space, Robots,
Pirates, Trains, Vikings, Castle, Dinosaurs, Undersea Exploration และWild West
แม้ส่วนใหญ่จะเป็นของเล่นสำหรับผู้ชาย แต่ไลน์สำหรับเด็กผู้หญิงก็มีเช่นBelville (ชุดบ้านหมาน้อย สาวฟาร์มม้า)

ปัจจุบันเลโก้มีจำหน่ายในกว่า 130 ประเทศทั่วโลก ในไทยนำเข้าและจัดจำหน่ายโดย บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด ผ่านช่องทางห้างสรรพสินค้า (ต่างประเทศมีเลโก้สโตร์)

ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดของเล่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่สำหรับประเทศไทยตลาดของเล่นเฉพาะที่มีแบรนด์ คิดเป็นมูลค่า 1,000 ล้านบาท และเป็นเซ็กเมนต์ของเล่นตัวตัว 400 ล้านบาท โดยเลโก้มีส่วนแบ่งการตลาดในเซ็กเมนต์นี้ 80% ภายใต้งบการตลาด 25-30 ล้านบาทต่อปี

    เลโก้ กรุ๊ป จัดเป็นบริษัทผู้ผลิตของเล่นอันดับ 4 ของโลก
  1. Mattel
  2. Bandai-namco
  3. Hasbro
  4. The LEGO Group
  5. Tomy-Takar

from http://is.gd/Z305cv


09 ตุลาคม 2554

สุนทรพจน์ของสตีฟ จ๊อบส์ ณ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด 12 มิ.ย.2548

ผ่านจากวันนั้นถึงวันนี้ 6 ปี ของสุนทรพจน์ดังบทหนึ่งแห่งยุคได้ให้แนวทางและยังเป็นเหมือน "ตะเกียง" ให้คนรุ่นหลังได้ลองอย่างที่เขาได้ "ลอง" ด้วยวลีที่เขาประกาศว่า "อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความเชื่อ"

สุนทรพจน์นี้ทำให้เราเห็นตัวตนของเขาชัดเจน ตั้งแต่ความเป็นคนนอกกรอบ กล้าลอง เชื่อในความหวัง โชคชะตา และมีวิถีคิดในเชิงพุทธและสุดท้ายแม้สุนทรพจน์นี้จะผ่านมาแล้วถึง 6 ปี ทว่ามันกลับเหมือนเป็น "คำพูดบอกลา" ได้อย่างดีที่สุดเช่นกัน

"ความตายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ธรรมชาติให้เรามา เป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลงกำจัดของเก่าเพื่อสละพื้นที่ให้กับของใหม่"--สตีฟ จ๊อบส์กล่าว

ประชาชาติธุรกิจแบ่งเนื้อหาของสุนทรพจน์นี้ออกเป็น 3 ช่วงของชีวิตสตีฟ จ๊อบส์ นั่นคือ การเชื่อมจุด , ความรักและการสูญเสีย, ความตาย


เนื้อหาของสุนทรพจน์เรียบเรียงจากหนังสือ "วิชาสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน" พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ OpenBooks



บทเรียนที่ 1 จ๊อบส์เรียกมันว่า "การเชื่อมจุด"


"ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาคุยกับน้องๆทั้งหลายในวันจบการศึกษาจากหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก ผมเองไม่เคยเรียนจบปริญญา ตรงนี้เป็นก้าวที่ใกล้ที่สุดแล้วของผม วันนี้ผมอยากเล่าเรื่องจากชึวิตจริงของผมให้น้องๆฟัง 3 เรื่อง ไม่มีอะไรมากครับ แค่ 3 เรื่องเท่านั้น"

"เรื่องแรกเป็นเรื่องของการเชื่อมจุดครับ"


"ผมลาออกจากมหาวิทยาลัยรีดหลังจากไปเรียนอยู่ที่นั่น 6 เดือน แต่ก็ไปนั่งเรียนต่ออีกประมาณ 18 เดือนก่อนที่ผมจะลาออกจริงๆ แล้วทำไมผมถึงลาออก?"


"เหตุมันเกิดก่อนผมเกิด แม่แท้ๆของผมเป็นนักเรียนสาวที่จบมหาวิทยาลัยแต่ไม่ได้แต่งงาน แม่อยากยกผมให้เป็นลูกบุญธรรมของคนที่จบปริญญา ก็เลยจัดการให้ทนายคนหนึ่งกับภรรยารับอุปการะผมตั้งแต่เกิด ทีนี้คู่นี้เกิดเปลี่ยนใจนาทีสุดท้ายขึ้นมา คิดว่าเขาอยากอุปการะเด็กผู้หญิงมากกว่า พ่อแม่ผมก็เลยต้องรับโทรศัพท์กลางดึก หมอถามว่า ทารกเป็นเด็กชายคุณยังอยากเลี้ยงเขาอยู่รึเปล่า?"


"พ่อแม่ผมตอบว่า แน่นอน ตอนหลังแม่แท้ๆของผมค้นพบว่า แม่บุญธรรมของผมไม่เคยจบมหาวิทยาลัย และพ่อบุญธรรมของผมไม่เคยจบมัธยมปลาย แม่ก็เลยไม่ยอมเซ็นเอกสารส่งตัวผม มายอมหลายเดือนหลังจากนั้นก็ตอนที่พ่อแม่ผมสัญญากับเธอว่า วันหนึ่งผมจะได้เรียนมหาวิทยาลัย


หลังจากนั้นอีก 17 ปี ผมก็ได้ไปเรียนมหาวิทยาลัยจริงๆ แต่ด้วยความไร้เดียงสา ผมดันเลือกมหาวิทยาลัยที่แพงเกือบเท่าสแตนฟอร์ด ทำให้พ่อแม่ผู้ใช้แรงงานของผมต้องใช้เงินเก็บเกือบทั้งหมดเพื่อส่งผมเรียน หลังจากเรียนได้ 6 เดือน ผมก็มองไม่เห็นประโยชน์ของมันอีก ผมไม่รู้ว่าผมต้องการอะไรจากชีวิต และผมก็ไม่รู้ว่าปริญญาจะช่วยหาคำตอบให้ผมได้ยังไง ในขณะที่ผมกำลังถลุงเงินที่พ่อแม่ของผมเก็บหอมรอมริบมาทั้งชีวิต

ผมก็เลยตัดสินใจลาออกด้วยความเชื่อว่าทุกอย่างคงโอเคในที่สุด ตอนนั้นน่ากลัวเหมือนกันนะครับ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของผม นาทีที่ผมลาออก แปลว่าผมไม่ต้องไปเรียนวิชาที่ผมไม่สนใจอีกต่อไป และไปนั่งเรีนยแบบไม่เอาคะแนนในวิชาที่น่าสนใจแทน


ชีวิตของผมช่วงนั้นไม่ได้โรแมนติกหรอกนะครับ ผมไม่มีหอพักแล้ว ก็เลยต้องไปนอนบนพื้นในห้องของเพื่อนๆ ผมเก็บขวดโค้กไปแลกเงินค่าคืนขวด 5 เซ็นต์ เก็บไปซื้อข้าวกิน และทุกๆวันอาทิตย์ ผมจะเดิน 7 ไมล์จากฟากหนึ่งของเมืองไปยังอีกฟากหนึ่งเพื่อไปกินข้าวดีๆซักมื้อที่วัดพระกฤษณะ ผมรักมันมาก การที่ผมปล่อยชีวิตไปตามความอยากรู้อยากเห็นและสัญชาตญาณ ทำให้ผมได้เจอหลายสิ่งโดยบังเอิญ ผมจะยกตัวอย่างซักเรื่องนะครับ


มหาวิทยาลัยรีดสมัยนั้นมีคอร์สสอนการคัดลายมือ ที่น่าจะดีที่สุดในประเทศ ในบริเวณมหาวิทยาลัย โปสเตอร์ทุกแผ่น ป้ายติดลิ้นชักทุกอัน ล้วนเขียนด้วยลายมือที่สวยมากๆ เพราะผมไม่ต้องไปเรียนวิชาบังคับหลังจากลาออกแล้ว ผมก็เลยตัดสินใจไปเรียนคอร์สนี้ เพราะอยากรู้ว่าเขาเขียนกันยังไง ผมเรียนวิธีเขียนตัวอักษรแบบเซรีฟแบบซานเซรีฟ เรียนวิธีเว้นช่องไฟระหว่างตัวอักษร เรียนรู้เทคนิคการเรียงพิมพ์อันยอดเยี่ยม ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสวยงาม ประวัติศาสตร์ และศิลปะที่มีความลึกล้ำในแง่มุมที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจอธิบายได้ ผมรู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก

วิชานี้ดูเหมือนไม่มีอะไรที่จะเอามาใช้ในชีวิตจริงของผมได้เลย แต่อีก 10 ปี ต่อมา ตอนที่เรากำลังออกแบบคอมพิวเตอร์แมคอินทอชรุ่นแรก ความรู้เหล่านี้ก็ย้อนกลับมาใหม่ เราใส่มันลงไปในเจ้าแมคนี้หมดเลยครับ ทำให้แมคเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในโลกที่มีตัวพิมพ์ที่สวยงาม ถ้าผมไม่ได้ไปเรียนวิชานั้น ป่านนี้แมคก็คงไม่มีตัวพิมพ์หลากหลายรุปแบบ หรือตัวพิมพ์ที่เว้นช่องไฟในสัดส่วนที่เหมาะสม และเพราะวินโดวส์ใช้วิธีก๊อปปี้แมคเป็นหลัก นั่นก็หมายความว่าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะทั่วไปก็คงไม่มีด้วย ถ้าผมไม่ลาออก ผมก็คงไม่ได้ไปนั่งเรียนวิชาคัดลายมือ และคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะก็คงไม่มีตัวพิมพ์ที่สวยงาม แน่นอนครับ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ตอนผมเป็นนักเรียน แต่การเชื่อมจุดเป็นเรื่องง่ายดายในอีกสิบปีให้หลัง เมื่อผมมองย้อนกลับไปในอดีต


ไม่มีใครสามารถเชื่อมจุดจากปัจจุบันไปยังอนาคตได้ เราทำได้เพียงเชื่อมจากปัจจุบันไปหาอดีตเท่านั้น เพราะฉะนั้นน้องๆต้องมั่นใจว่าอะไรที่ทำอยู่ตอนนี้จะเชื่อมไปเองในอนาคต น้องๆต้องเชื่อมั่นในอะไรซักอย่างนะครับ ไม่ว่าจะเป็นสัญชาตญาณ โชคชะตะ ชีวิต กฎแห่งกรรม หรืออะไรก็แล้วแต่ ความมั่นแบบนี้ไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง และมันทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปมาก


บทเรียนที่ 2 ความรักและการสูญเสีย


ผมเป็นคนโชคดีที่ค้นพบงานที่ผมรักตั้งแต่อายุยังน้อย ผมกับวอซก่อตั้งแอปเปิ้ลในโรงรถของพ่อแม่ผม ตอนผมอายุ 20 ปี เราทำงานกันหนักมากครับ ภายใน 10 ปี แอปเปิ้ลขยายจากแค่เรา 2 คน ในโรงรถ เป็นบริษัทมูลค่ากว่า 2,000 ล้านเหรียญที่มีพนักงานกว่า 4,000 คน ตอนนั้นเราเพิ่งเปิดตัวผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเรา เครื่องแมคอินทอช 1 ปีก่อนหน้าที่ผมจะอายุเต็ม 30 ปี แล้วผมก็ถูกไล่ออก ทำยังไงคนเราถึงได้ถูกไล่ออกจากบริษัทที่เราก่อตั้งมาเองกับมือหรือครับ?


คือว่าเมื่อแอปเปิ้ลโตขึ้น เราก็จ้างคนที่เราคิดว่าเก่งมากๆมาช่วยผมบริหารบริษัท ปีแรกเหตุการณ์ก็ราบรื่นดี แต่หลังจากนั้นวิสัยทัศน์ของเราก็เริ่มแยกทางกัน จนในที่สุดเราก็ไปด้วยกันไม่ได้ เมื่อถึงจุดนั้น คณะกรรมการบริษัทเลือกอยู่ข้างเขา ผมก็เลยถูกไล่ออกตอนอายุ 30 ปี แล้วก็ออกแบบเป็นข่าวดังมากด้วย ในพริบตาเท่านั้น สิ่งที่ผมทุ่มเทให้ทั้งชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของผมก็สลายไป มันเป็นเรื่องที่สะเทือนใจผมมาก


ผมไม่รู้จะทำอะไรเป็นเวลาหลายเดือนหลังจากนั้นผมรู้สึกว่าผมทำให้เจ้าของธุรกิจรุ่นก่อนผิดหวังรู้สึกว่าผมทำไม้ผลัดตกตอนที่เขากำลังหยิบยื่นมันมาให้ผม ผมไปพบเดวิด แพคการ์ด กับบ๊อบ นอยซ์ เพื่อขอโทษพวกเขาที่ทำทุกอย่างพังพินาศ ผมเป็นตัวอย่างของความล้มเหลวที่โด่งดัง ช่วงหนึ่งผมคิดขนาดจะหนีไปจากวงการ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมก็เริ่มคิดได้อย่างช้าๆว่าผมยังรักในสิ่งที่ผมทำอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นที่แอปเปิ้ลไม่ได้เปลี่ยนแปลงความรู้สึกนี้เลย ผมถูกไล่ออก แต่ผมยังมีความรักอยุ่ นั่นทำให้ผมตัดสินใจเริ่มต้นใหม่


ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอย่างนี้ แต่ปรากฎว่าการถูกไล่ออกจากแอปเปิ้ลกลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะเกิดกับผมได้ ภาระอันหนักอึ้งจากความสำเร็จแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเบาสบาย เมื่อผมกลับกลายเป็นมือใหม่ที่มีความเชื่อมั่นน้อยลง มันทำให้ผมมีอิสรภาพที่จะเข้าสู่ช่วงที่ผมมีความสร้างสรรค์ที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต


ในช่วง 5 ปี หลังจากนั้น ผมก่อตั้งบริษัทชื่อ เน็กสต์ อีกบริษัทชื่อ พิกซาร์ และตกหลุมรักผู้หญิงมหัศจรรย์คนหนึ่ง ซึ่งต่อมากลายเป็นภรรยาผม พิกซาร์สร้างภาพยนตร์ขนาดยาวที่เป็นการ์ตูนแอนิเมชั่นล้วนๆ เรื่องแรกของโลก คือ ทอย สตอรี่ และตอนนี้เป็นสตูดิโอแอนิเมชั่นที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก หนึ่งในเหตุการณ์พลิกผันอันน่าพิศวงคือ เมื่อแอปเปิ้ลซื้อกิจการของเน็กสต์ กลับคืนสู่แอปเปิ้ล และเทคโนโลยีที่พัฒนาที่เน็กสต์ก็กลายเป็นหัวใจของแอปเปิ้ลยุครุ่งเรืองในปัจจุบัน ตอนนี้ลอรีน และผมมีครอบครัวที่อบอุ่นร่วมกัน


ผมเชื่อว่าเรื่องราวเหลานี้จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าแอปเปิ้ลไม่ไล่ผมออก แม้มันจะเป็นยาที่ขมมาก แต่ผมก็คิดว่าเป็นยาที่คนป่วยต้องการพอดี บางครั้งชีวิตก็กระแทกเราเหมือนอิฐ อย่าเสื่อมศรัทธานะครับ ผมเชื่อว่าสิ่งเดียวที่ทำให้ผมผ่านช่วงนั้นมาได้ คือความรักในสิ่งที่ผมทำ น้องๆต้องหาสิ่งที่ตัวเองรัก ผมหมายถึงทั้งงานและคนรัก เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตเราจะหมดไปกับงาน วิธีเดียวที่จะทำให้เรามีความสุขกับการทำงาน คือ เมื่อเราทำงานที่ยอดเยี่ยม และวิธีเดียวที่จะทำให้งานออกมายอดเยี่ยมคือ เมื่อเรารักงานที่เราทำ ถ้าน้องๆยังหางานนั้นไม่เจอ จงหาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง งานก็เหมือนเรื่องของหัวใจเรื่องอื่นๆ ตรงที่เราจะรู้ว่ามัน "ใช่" เมื่อได้เจอกับมัน และการทำงานก็เหมือนความสัมพันธ์ที่ดีแบบอื่น คือมันจะดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นผมอยากย้ำให้น้องๆ ตามหางานที่รักจนกว่าจะเจอ อย่าท้อถอย



บทเรียนที่ 3 ความตาย

ตอนผมอายุ 17 ปี ผมอ่านคำคมประโยคหนึ่งที่ว่าไว้ทำนองนี้ ถ้าคุณใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนมันเป็นวันสุดท้ายของคุณแล้วล่ะก็ วันหนึ่งคุณจะพบว่าสิ่งที่ทำไปนั้นถูกต้อง ผมรู้สึกประทับใจกับประโยคนี้มาก ตั้งแต่นั้นมาก

ก่วา 33 ปี ผมมองหน้าตัวเองในกระจกทุกวัน แล้วถามตัวเองวา ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของผม ผมจะอยากทำสิ่งที่ผมกำลังจะทำวันนี้หรือเปล่า? แล้วเมื่อไหร่ที่คำตอบคือ ไม่ ติดกันหลายวัน ผมจะรู้ตัวว่าผมต้องเปลี่ยนอะไรบางอย่างแล้ว


ความสำนึกว่าผมจะต้องตายในไม่ช้าเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดที่ผมรู้จัก ที่ผมใช้ในการตัดสินใจสำคัญๆของชีวิต เพราะเกือบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวัง ความภูมิใจ ความกลัวการหน้าแตกและความผิดพลาดทั้งหลาย ล้วนไม่มีความหมายอะไรเลย เมื่อเทียบกับความตาย เหลือเพียงสิ่งที่สำคัญจริงๆเท่านั้น มรณานุสติเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ผมรู้ ที่จะหลุดพ้นจากบ่วงความคิดที่ว่า เรามีอะไรต้องเสีย เราทุกคนเปล่าเปลือยอยู่แล้วครับ ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เราจะไม่ทำตามสิ่งที่ใจเราต้องการ


ประมาณ 1 ปีก่อน หมอบอกว่าผมเป็นมะเร็งผมไปเข้าเครื่องสแกนเวลา 7 โมงครึ่งตอนเช้า ผลออกมาชัดเจนว่ามีเนื้อร้ายที่ตับอ่อนของผม ตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตับอ่อนคืออะไร หมอบอกว่าเขาค่อนข้างแน่ใจว่าผมเป็นมะเร็งแบบที่รักษาไม่หาย และผมไม่น่าจะอยู่ได้นานเกิน 3-6 เดือน หมอบอกให้ผมกลับบ้านไปสะสางเรื่องต่างๆที่คั่งค้างอยู่ก็เป็นโค้ดของหมอที่แปลว่าให้ไปเตรียมตัวตายนั่นแหละครับ แปลว่าให้พยายามบอกลูกๆถึงสิ่งต่างๆที่คนปกติมีเวลา 10 ปีที่จะบอกให้บอกภายในไม่กี่เดือน แปลว่าให้เก็บความรู้สึกทุกอย่างให้เรียบร้อย ให้ครอบครัวไม่ยุ่งยากใจเมื่อถึงเวลา แปลว่าให้เอ่ยคำลา


ผมหมกหมุ่นอยู่กับคำวินิจฉัยนั้นทั้งวัน เย็นวันนั้นผมไปเข้ากระบวนการไบอ็อพซี คือหมอต้องหย่อนกล้องเอ็นโดสโคปลงไปในคอผมผ่านกระเพาะไปยังลำไส้ เอาเข็มฉีดยาแทงเข้าตับอ่อนดูดเอาเซลล์มะเร็งบางเซลล์ออกมา ตอนนั้นผมอยู่ใต้ฤทธิ์ยาชา ภรรยาผมซึ่งอยู่ในห้องด้วยเล่าให้ฟังว่าตอนที่ส่องกล้องจุลทรรศน์ดูเซลล์มะเร็ง หมอหลายคนถึงกับร้องไห้ เพราะปรากฎว่ามันเป็นมะเร็งตับอ่อนชนิดหายากที่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการผ่าตัด หลังจากนั้นผมก็เข้ารับการผ่าตัด ตอนนี้ผมสบายดีแล้วครับ


นั่นเป็นเหตุการณ์ที่นำให้ผมใกล้ชิดกับความตายมากที่สุดในชีวิต ผมหวังว่ามันจะไม่มาใกล้กว่านี้แล้วในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า เพราะผมได้ประสบด้วยตัวเอง ผมเลยสามารถเล่าสิ่งต่อไปนี้ให้น้องๆฟังด้วยความมั่นใจกว่าตอนที่ความตายเป็นแค่นามธรรมสำหรับผม


ไม่มีใครอยากตายหรอกครับ ขนาดคนที่อยากไปสวรรค์ก็ยังไม่อยากตายก่อนไปถึง ถึงกระนั้นเราทุกคนก็ต้องตายทั้งนั้น ไม่มีใครเคยรอดพ้นจากมัน แต่นั่นก็เป็นสัจธรรมที่ควรจะเป็น เพราะความตายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ธรรมชาติให้เรามา เป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลงกำจัดของเก่าเพื่อสละพื้นที่ให้กับของใหม่ ตอนนี้น้องๆทุกคนเป็นของใหม่ แต่ในอีกไม่นานนับจากนี้ น้องๆจะกลายเป็นของเก่าที่ธรรมชาติต้องกำจัด ขอโทษที่อาจฟังดูเว่อร์นะครับ แต่มันเป็นความจริง


เวลาของน้องๆมีจำกัด ดังนั้นอย่าทำให้มันเปล่าประโยชน์ด้วยการใช้ชีวิตของคนอื่น อย่าตกเป็นทาสของกฎเกณฑ์ นั่นคือการใช้ชีวิตตามความคิดของคนอื่น อย่าปล่อยให้เสียงของทัศนคติคนอื่นดังกลบเสียงของหัวใจของเราเอง และที่สำคัญที่สุดคือ จงมีความกล้าที่จะเดินตามสิ่งที่หัวใจและสัญชาตญาณเรียกร้อง เพราะสองสิ่งนี้รู้อยู่แล้วว่าน้องๆอยากเป็นอะไรทุกอย่างที่เหลือเป็นเรื่องรองลงมาทั้งนั้น


ตอนผมเป็นเด็กมีหนังสือที่น่าอัศจรรย์มากเล่มหนึ่งชื่อ แคตตาล็อกของโลก (The Whole Earth Catalog) ซึ่งนับเป็นคัมภีร์ไบเบิลของคนรุ่นผม คนคิดแคตตาล็อกนี้ชื่อ สจ๊วต แบรนด์ เป็นคนเมืองเม็นโล ปาร์ค ไม่ไกลจากนี่เลยครับ เขาทำให้หนังสือนี้มีชีวิตขึ้นมาด้วยอารมณ์กวี เรากำลังพูดถึงช่วงทศวรรษ 1960 ก่อนยุคคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และโปรแกรมเวิร์ด แปลว่าแคตตาล็อคนี้ผลิตขึ้นจากเครื่องพิมพ์ดีดกรรไกร และกล้องโพลารอยด์ คล้ายๆกับกูเกิลในรูปกระดาษ 35 ปี ก่อนกูเกิลเกิด มันเป็นอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ และเต็มเปี่ยมด้วยเครื่องมือและไอเดียดีๆมากมาย


สจวตและทีมของเขาผลิตแคตตาล็อกออกมาได้ไม่กี่เล่ม ก่อนที่มันจะม้วนเสื่อไป เขาเข็นเล่มสุดท้ายออกมาประมาณกลางทศวรร 1970 ตอนนั้นผมมีอายุเท่าน้องๆ ตอนนี้ ปกหลังของเล่มนี้เป็นรูปถนนแถวชนบทยามเช้า แบบที่น้องๆ นักผจญภัยชอบไปโบกรถกันนั่นแหละครับ ใต้รูปเขียนว่า อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความเชื่อ Stay Hungry. Stay Foolish. แล้วผมก็ใช้ประโยคนี้เป็นคติประจำใจมาตลอด และในวันนี้วันที่น้องๆออกจากรั้วมหาวิทยาลัยไปเริ่มชีวิตใหม่

ผมขออวยพรให้น้องๆด้วยประโยคนี้ครับ "อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความเชื่อ" ขอบคุณมากครับ

from http://is.gd/qlI7C5


08 ตุลาคม 2554

ธรรมะกับชีวิตประจำวัน เรื่อง การเลือกคู่ครอง

 สำหรับคนโสด ก็มักจะมีคำถามว่า "คนที่ ใช่ เมื่อไรจะเจอสักที" ฝ่ายชายก็เฝ้ารอคอย "นางในดวงใจ" ฝ่ายหญิงก็เฝ้ารอคอย "ชายในฝัน" ที่เจอๆมาแล้ว ผ่านไปแล้ว ก็ยังไม่ใช่ คนที่ "ใช่" สักที ใครหนอคือคนที่ใช่ของเรา

บางคนก็เชื่อเรื่องบุพเพสันนิวาส ว่าคู่แล้วไม่แคล้วกัน ยังไงๆคงต้องได้เจอสักวันจนได้ บางคนก็เชื่อเรื่องพรหมลิขิต ยังไงเสีย ต้องดลใจให้เนื้อคู่ของเรา มาพบมาเจอเราจนได้

อันที่จริงแล้ว ทุกอย่างนั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเลือกของเราเองต่างหาก บางทีบุพเพสันนิวาสก็ทำให้เราได้พบได้เจอคนที่เรารู้สึกถูกชะตา ถูกอัธยาศัย แต่ถ้าเราไม่สานสัมพันธ์ต่อให้ดีๆ เขาหรือเธอก็อาจจะไปใกล้ชิดสนิทสนมกับคนอื่น และตกร่องปล่องชิ้น แต่งงานแต่งการกับเขาหรือเธอไปเสียก่อน เราก็ต้องรับประทาน "แห้ว" ไปตามระเบียบ

บางทีพรหมลิขิตก็ทำงานหนักแล้ว ดลใจให้เขาหรือเธอมาพบกับเราแล้ว แต่ด้วยค่านิยมที่ผิดๆ ด้วยความเขิน ด้วยความเหนียมอาย จนกลายเป็นเล่นตัว คนที่เขามาทีหลัง เขากล้าหาญชาญชัยกว่าเรา เขาก็คว้าเอาไปครอบครองเสียก่อน แล้วเราก็ต้องรับประทาน "แห้ว" อีกวาระหนึ่ง

จากคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ทำให้เรารู้ว่า คนทุกคนที่มีความสัมพันธ์กับเราทุกวันนี้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ต่างก็เคยได้มีความสัมพันธ์กับเรามาแล้วทั้งนั้นในอดีตชาติ คนที่เคยมีความสัมพันธ์ในทางที่ดีต่อเรามาก่อน เมื่อได้มาพบกันอีกในชาตินี้ จะทำให้รู้สึกถูกชะตา ถูกอัธยาศัยกัน ชอบพอกัน แต่ความสัมพันธ์ในอดีตชาตินั้น ก็ยังไม่มีอิทธิพลหรือมีความสำคัญต่อเรามากเท่ากับความสัมพันธ์ในปัจจุบัน เราจึงควรพิจารณาเรื่องความสัมพันธ์ในปัจจุบันนี้ให้มากว่า หากต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแล้ว เขาหรือเธอ จะเข้ากับเราได้ดีไหม ไปกันได้ดีไหม ยอมรับและเข้าใจกันได้ไหม และจะทำให้มีความสุขที่อยู่ด้วยกันหรือไม่


หลักธรรมในการเลือกคู่ครอง คือ สมชีวิธรรม 4 เราควรเลือกคู่ครองที่มีลักษณะดังนี้

สมชีวิธรรม 4 (qualities which make a couple well matched) เป็นธรรมที่จะทำให้คู่สมรส ครองรักกันได้ราบรื่น กลมกลืน และยาวนาน ได้แก่

1. สมสัทธา (to be matched in faith) คือ มีศรัทธาสมกัน มีความเชื่อในสิ่งเดียวกัน มีทัศนคติในการมองโลก มองชีวิต ไปในทางเดียวกัน ก็จะทำให้เข้าใจกันง่าย ไม่มีความขัดแย้งกัน

2. สมสีลา (to be matched in moral) คือ มีศีลสมกัน ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ต้องมีหลักในการประพฤติปฏิบัติตนเรื่องผิดชอบชั่วดีเหมือนๆกัน เช่น ถ้าคนหนึ่งไม่ชอบการโกหก อีกคนหนึ่งต้องไม่ชอบการโกหกด้วย ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมักโกหกเป็นนิสัย อีกฝ่ายหนึ่งย่อมเกิดความไม่ไว้วางใจ และอยู่ด้วยกันอย่างไม่มีความสุข หรือถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ชอบเล่นการพนัน แต่อีกฝ่ายชอบมัวเมากับการพนัน ก็ไม่ควรเลือกมาเป็นคู่ครอง เพราะจะมีแต่ความขัดแย้ง อยู่ด้วยกันไปก็ไม่มีความสุข

3. สมจาคา (to be matched in generosity) คือ มีจาคะสมกัน มีใจเมตตากรุณา โอบอ้อมอารี เหมือนๆกัน ชอบเกื้อกูลสนับสนุนญาติพี่น้อง และคนที่ตกทุกข์ได้ยาก ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนตระหนี่ ก็ย่อมเกิดความไม่พอใจทุกครั้งที่อีกฝ่ายหนึ่งช่วยเหลือแบ่งปันแก่ผู้อื่น หากอยู่ร่วมกันไป ชีวิตย่อมจะมีแต่ความขัดแย้ง ไม่มีความสงบราบรื่น

4. สมปัญญา (to be matched in wisdom) คือ มีปัญญาสมกัน ทั้งชายและหญิง ต้องมีระดับสติปัญญาใกล้เคียงกัน มีความเฉลียวฉลาด พอๆกัน ความคิดความอ่านต้องไปกันได้ มีการใช้วิจารณญาณในการมองปัญหา แก้ปัญหา และตัดสินใจ ไปในทิศทางเดียวกัน เช่น ถ้าฝ่ายหนึ่งชอบใช้เหตุผลในการพิจารณาแก้ปัญหา แต่อีกฝ่ายหนึ่งชอบใช้อารมณ์ ก็ไม่ควรจะเลือกมาเป็นคู่ครอง เพราะชีวิตสมรส จะมีแต่การทะเลาะเบาะแว้ง ไม่เข้าใจกันได้ คนที่มีอะไรคล้ายๆกัน ย่อมเข้าใจกันได้ดีกว่า หรือถ้าฝ่ายหนึ่งฉลาดและเข้าใจอะไรได้ง่ายๆ อีกฝ่ายหนึ่งเป็นคนสมองทึบ เข้าใจอะไรได้ช้า การอยู่ด้วยกันทุกวัน จะทำให้เกิดความไม่กลมกลืนกัน ไม่สมดุลย์กัน คุยกันไม่รู้เรื่อง มีแต่ความอึดอัดรำคาญใจ ก็ไม่ควรเลือกมาเป็นคู่ครอง


คู่ครองตามที่่กล่าวไว้ใน สิทธิการิยะฯ มี 4 แบบ คือ

1. คู่เวรคู่กรรม ได้แก่คู่สามีภรรยาที่อยู่ด้วยกันแล้วทะเลาะเบาะแว้ง บางคู่ถึงขั้นตบตีกันแต่ก็ไม่เลิกรากันไป ยังคงใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน แต่มักมีเรื่องบาดหมางขัดใจกัน ทะเลาะกันอยู่เป็นประจำ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจไม่ซื่อสัตย์ อาจสุรุ่ยสุร่าย ล้างผลาญเงินทอง อาจดูถูกดูหมิ่นอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่ยกย่องให้เกียรติ ไม่มีความเคารพเกรงใจกัน แม้การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันไม่มีความสุข แต่ก็ยังต้องอยู่ด้วยกันต่อไป

2. คู่ทุกข์คู่ยาก ได้แก่ คู่สามีภรรยาที่ลำบากลำบนมาด้วยกัน ฟันฝ่าอุปสรรคของชีวิตมาด้วยกัน แต่ก็รักและเห็นอกเห็นใจกันเสมอ

3. คู่สร้างคู่สม ได้แก่ คู่สามีภรรยาที่อยู่ร่วมกัน ชีวิตมีแต่ความสุข มีโชคดี ไม่มีปัญหาและอุปสรรคใดๆ รักและให้เกียรติยกย่องกันและกัน มีความสุขอยู่ด้วยกันจนวันตาย

4. คู่อาศัย ได้แก่คู่รัก หรือคู่สามีภรรยา ที่รักกันได้ไม่นาน ก็มีอันต้องเลิกรากันไป

ถ้าคู่สมรสคู่ใด ที่ครองรักกันอย่างมีความสุขในชีวิตนี้ และมี ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา สมกัน แม้ตายจากกันไปแล้ว ชาติต่อไปก็ย่อมได้เกิดมาเป็นคู่ครองกันอีก เรียกว่า คู่แล้วไม่แคล้วกัน


จาก อังคุตตรนิกาย มีพระสูตรที่ 2 ปฐมสังวาสสูตร และทุติยสังวาสสูตร แห่งปุญญาภิสันทวรรค ทุติย- ปัณณาสก์ จตุกกนิบาต ที่่ว่าด้วยการอยู่ร่วมกันระหว่างสามีภรรยามี 4 แบบ โดยเปรียบเทียบว่า คนทุศีลเป็นเสมือนผี คนมีศีลเป็นเสมือนเทวดา ดังนี้

1. การอยู่ร่วมกันแบบผีอยู่ร่วมกับผี หมายถึงสามีทุศีลอยู่ร่วมกับภรรยาทุศีล ต่างฝ่ายต่างชั่วพอๆกัน บางคู่อาจเข้าใจกันดี ไปกันได้ดี อยู่ด้วยกันได้อย่างกลมกลืน บางคู่อาจเป็นแบบ ขิงก็รา ข่าก็แรง

2. การอยู่ร่วมกันแบบผีอยู่ร่วมกับเทวดา หมายถึงสามีทุศีลอยู่ร่วมกับภรรยามีศีล สามีเลวแต่อยู่ร่วมกับภรรยาที่ดี ฝ่ายสามีจะเป็นฝ่ายที่เอาเปรียบภรรยา ปฏิบัติต่อภรรยาไม่ดี การอยู่ด้วยกัน ไม่ทำให้มีความสุข

3. การอยู่ร่วมกันแบบเทวดาอยู่ร่วมกับผี หมายถึงสามีมีศีลอยู่ร่วมกับภรรยาทุศีล สามีดีอยู่ร่วมกับภรรยาที่เลว ฝ่ายภรรยาเป็นภาระของสามี เอารัดเอาเปรียบสามี ปฏิบัติต่อสามีไม่ดี อาจไม่ซื่อสัตย์ นอกใจ หรือ ล้างผลาญสมบัติ การอยู่ด้วยกัน ย่อมไม่มีความกลมกลืน เข้ากันไม่ได้ดี

4. การอยู่ร่วมกันแบบเทวดาอยู่ร่วมกับเทวดา หมายถึงสามีมีศีลอยู่ร่วมกับภรรยามีศีล ต่างฝ่ายต่างดีพอๆกัน รักใคร่ปรองดองกัน ถนอมน้ำใจกัน ยกย่องให้เกียรติกันและกัน สามีภรรยาแบบนี้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตลอดไป


พระพุทธเจ้า ได้จำแนกภรรยาไว้ 7 แบบ ดังนี้ ถ้าท่านต้องการภรรยาแบบไหน ย่อมเลือกลักษณะหญิงที่ท่านจะเลือกมาเป็นคู่ครองได้ตามลักษณะดังกล่าวนี้ คือ


ภรรยา 7 (seven types of wives) ภรรยาแบบต่างๆ ซึ่งจำแนกโดยคุณธรรม ความประพฤติลักษณะนิสัย และการปฏิบัติต่อสามี ดังนี้

1. วธกาภริยา (a wife like a slayer; destructive wife) ภรรยาเยี่ยงเพชฌฆาต ได้แก่ ภรรยาที่คิดร้ายกับสามี เป็นผู้หญิงที่ซื้อได้ด้วยเงิน เห็นแก่เงิน ไม่ได้อยู่กินกับสามีด้วยความรัก มักเจ้าชู้ มีใจยินดีในชายอื่น ดูหมิ่นไม่ยกย่องให้เกียรติ ไม่เคารพสามี

2. โจรีภริยา (a wife like a robber; thievish wife) ภรรยาเยี่ยงโจร ได้แก่ ภรรยาผู้ล้างผลาญทรัพย์สมบัติ ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ไม่รู้จักประหยัด อาจติดการพนัน หรือชอบความหรูหราฟุ่มเฟือย ใช้เงินเกินตัว ไม่รู้จักประมาณตน

3. อัยยาภริยา (a wife like a mistress; Madam High and Mighty) ภรรยาเยี่ยงนาย ได้แก่ ภรรยาที่เกียจคร้าน ไม่ใส่ใจการงาน กินมาก ปากร้าย หยาบคาย ใจเหี้ยม ชอบข่มสามี

4. มาตาภริยา (a wife like a mother; motherly wife) ภรรยาเยี่ยงมารดา ได้แก่ ภรรยาที่หวังดีเสมอ คอยห่วงใยเอาใจใส่สามี เหมือนมารดาปกป้องบุตร และประหยัดรักษาทรัพย์ที่หามาได้

5. ภคินีภริยา (a wife like a sister; sisterly wife) ภรรยาเยี่ยงน้องสาว ได้แก่ ภรรยาผู้เคารพรักสามี ดังน้องรักพี่ มีใจอ่อนโยน รู้จักเกรงใจและคล้อยตามสามี

6. สขีภริยา (a wife like a companion; friendly wife) ภรรยาเยี่ยงสหาย ได้แก่ ภรรยาที่เป็นเหมือนเพื่อน พบสามีเมื่อใด ก็ปลาบปลื้มดีใจเหมือนเพื่อนพบเพื่อนที่จากไปนาน เป็นผู้มีการศึกษาอบรม มีกิริยามารยาท ความประพฤติดี ภักดีต่อสามี เป็นคู่คิดคู่ครอง เคียงบ่าเคียงไหล่สามี

7. ทาสีภริยา (a wife like a handmaid; slavish wife) ภรรยาเยี่ยงทาสี ได้แก่ ภรรยาที่ยอมอยู่ในอำนาจสามี ถูกขู่ตะคอกเฆี่ยนตี ก็อดทนไม่โกรธตอบ รักสามีมาก ยอมรับใช้และทำทุกอย่างเพื่อความสุขของสามี

พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ภรรยาสำรวจตนเองว่า ตนเป็นภรรยาประเภทไหน และจะให้ดีควรจะเป็นภรรยาประเภทใด

สำหรับชาย อาจใช้เป็นหลักสำรวจอุปนิสัยของตนว่าเหมาะแก่หญิงประเภทใดที่จะเลือกมาไว้เป็นคู่ครอง และสำรวจหญิงที่จะเป็นคู่ครองว่าเหมาะกับอุปนิสัยของตนหรือไม่ (สำหรับผู้เขียนเอง ขอเลือกภรรยาในแบบที่ 6 คือ ภรรยาเยี่ยงสหาย)


การปฏิบัติต่อสามีหรือภรรยา มีกล่าวไว้ใน ทิศ 6 (directions; quarters) บุคคลประเภทต่างๆ ที่เราต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์ทางสังคม ดุจทิศที่อยู่รอบตัว

ภรรยานั้น ถือเป็นทิศที่ 3 ปัจฉิมทิศ (ทิศตะวันตก)

ปัจฉิมทิศ (wife and children as the west or the direction behind) ทิศเบื้องหลัง ทิศตะวันตก ได้แก่ บุตรภรรยา เพราะติดตามเป็นกำลังสนับสนุนอยู่ข้างหลัง


ก. สามีบำรุงภรรยา ผู้เป็นทิศเบื้องหลัง ดังนี้

1) ยกย่องให้เกียรติสมกับฐานะที่เป็นภรรยา
2) ไม่ดูหมิ่น
3) ไม่นอกใจ
4) มอบความเป็นใหญ่ในงานบ้านให้
5) หาเครื่องประดับมาให้เป็นของขวัญตามโอกาส


ข. ภรรยาย่อมอนุเคราะห์สามี ดังนี้

1) จัดงานบ้านให้เรียบร้อย
2) สงเคราะห์ญาติมิตรทั้งสองฝ่ายด้วยดี
3) ไม่นอกใจ
4) รักษาทรัพย์สมบัติที่หามาได้
5) ขยันไม่เกียจคร้านในงานทั้งปวง


ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน ได้เลือกคนที่มี ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา สมกันกับท่านมาเป็นคู่ครอง และเป็นคู่สร้างคู่สมที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันด้วยความรัก มีความสุขด้วยกันตลอดไป

from http://is.gd/83s5Xh


03 ตุลาคม 2554

ถูกบีบให้เล่นเกมที่ไม่ถนัด by Invisible Hand

ผมเป็นคนชอบดูกีฬาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะฟุตบอล ถึงปัจจุบันแม้มีเวลาน้อยลงแต่ก็ยังต้องหาเวลาดูฟุตบอลให้ได้ทุกสัปดาห์ แต่ผมเองก็ยังคิดว่าบางทีการดูกีฬาก็มีข้อเสียตรงที่ หากทีมที่เราเชียร์นั้นชนะเราก็ดีใจตามเรื่องตามราว เมื่อทีมที่เราเชียร์แพ้ หรือเสมอในนัดที่ไม่ควรเสมอ ก็มักจะรู้สึกเซ็งเมื่อดูจบ จนรู้สึกว่าจริงๆ การดูกีฬาอาจจะมีข้อเสียเหมือนกันคือสร้างความผิดหวังให้กับเราในหลายๆ ครั้ง แต่ผมคิดว่ารวมๆ แล้วการดูกีฬาก็ให้ข้อคิดหลายๆ อย่างเหมือนกันจึงทำให้ผมรู้สึกว่าการดูกีฬานั้นแม้จะผิดหวังบ่อยๆ แต่ก็สอนอะไรเราได้หลายๆ อย่างครับ


สิ่งหนึ่งที่ผมได้ยินบ่อยในการแข่งขันกีฬาประเภทฟุตบอล หรือประเภทอื่นๆ เช่น เทนนิส ก็คือ การถูกฝ่ายตรงข้ามบีบให้เราเล่นในเกมที่ตนเองไม่ถนัด เช่น ทีมที่ถนัดการเล่นบอลช้า เน้นการจ่ายบอลแม่นตามช่อง อาจจะถูกคู่แข่งเล่นเกมบีบพื้น ประกบตัวเร็ว จึงทำให้ทีมเราต้องจ่ายบอลเร็วหรือต้องเล่นลูกโยนและเสียบอลในที่สุด ทีมที่นักเตะไม่ถนัดลูกโหม่งก็จะถูกคู่แข่งที่ถนัดการเล่นลูกกลางอากาศในลูก โหม่งโจมตีและเอาชนะได้บ่อยๆ เช่น ทีมอาร์เซนอลที่ไม่ถนัดลูกกลางอากาศมักจะแพ้หรือทำผลงานได้ไม่ค่อยดีนักกับ การเจอทีมที่ถนัดลูกโด่งอย่างโบลตัน แม้กระทั่งการแข่งขันเทนนิสที่คู่แข่งขันมักจะตีลูกไปยังด้านที่ฝ่ายตรงข้าม ไม่ถนัด เป็นต้น


ดังนั้นหากเราย้อนมามองเรื่องการลงทุน จะเห็นว่า นักลงทุนแต่ละคนมีความถนัด หรือสไตล์การลงทุนต่างกัน ซึ่งบางครั้งความถนัดอย่างหนึ่งอาจจะทำเงินได้ดีในตลาดบางช่วง แต่สร้างผลงานได้ไม่ดีนักในตลาดบางช่วง อย่างเช่น นักลงทุนที่ลงทุนแบบกล้าได้กล้าเสีย เน้นการเก็งกำไรแบบมีหลักการ นักลงทุนกลุ่มนี้อาจจะไม่เน้นการวิเคราะห์พื้นฐานเท่า value investor แต่อาจจะมีหลักการต่างๆ เข้ามาประกอบการซื้อขาย เช่น การดูกราฟ การดู volume การดูการเข้าซื้อขายของนักลงทุนรายใหญ่ หรือการเข้าซื้อธุรกิจที่ผ่านการฟื้นฟูกิจการ หรือมีข่าวต่างๆ ที่มีผลดีต่อราคาหุ้น


จุดเด่นอย่างหนึ่งและเป็นสิ่งที่ถนัดของนักลงทุนประเภทเก็งกำไรแบบมีหลักการ คือ การมีจิตใจที่มั่นคงและพร้อมกล้าตัดสินใจในการซื้อขายอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด จึงทำให้สามารถสร้างกำไรในหุ้นบางตัวได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ และกล้าที่จะ cut loss ได้ก่อนที่พอร์ตจะเสียหาย นักลงทุนประเภทนี้จะประสบความสำเร็จในช่วงตลาดขาขึ้น เช่น ปี 2542 หรือปี 2546 และจะไม่เสียหายมากนักในตลาดขาลง นักลงทุนประเภทเก็งกำไรแบบมีหลักการเหล่านี้มักจะมีหลักเสมอว่าหากตลาดขาลง จะหยุดเล่นหุ้น คือจะถือเงินสดหรือถือหุ้นในสัดส่วนที่น้อย จะไม่พยายามเก็งกำไรในช่วงตลาดขาลงหรือซบเซามากนัก และพร้อมจะกลับมาทุกเมื่อหากตลาดเป็นขาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในช่วงที่เป็นตลาดขาขึ้น นักลงทุนประเภทเก็งกำไรแบบมีหลักการจะสามารถสร้างผลกำไรได้มากพอที่จะออกนอก ตลาดไปได้อีกระยะใหญ่ๆ


แต่ก็มีนักลงทุนแบบเก็งกำไรที่เป็นรายย่อยจำนวนมาก ที่ทำตรงกันข้ามกับนักเก็งกำไรที่มีหลักการ ก็คือ การพยายามเก็งกำไรในทุกๆ ภาวะตลาด ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง ด้วยเหตุผลว่า หาค่าขนม หรือค่ากับข้าว โดยเวลากำไรก็จะกำไรเล็กน้อย แต่หากพลาดพลั้งขาดทุนมักจะขาดทุนทีละมากๆ คือ เวลาได้ก็ได้ค่าขนมจริงๆ แต่พอเสียก็อาจจะเสียเงินรถเก๋งเป็นครึ่งคันหรือคันหนึ่ง ซึ่งนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากเหล่านี้ก็จะประสบภาวะขาดทุนสะสมเรื้อรังมา เรื่อยๆ จนมูลค่าพอร์ตลดลงอย่างน่าตกใจ


สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ นักลงทุนแบบเก็งกำไรที่มีหลักการ จะพยายามเล่นในเกมที่ตนเองถนัดเท่านั้น ก็คือ การลงทุนในตลาดขาขึ้น และหลีกเลี่ยงเกมที่ตนเองไม่ถนัด คือการลงทุนในตลาดขาลงหรือซบเซา ซึ่งถือว่ามีสิ่งที่จำเป็นสำหรับการลงทุนซึ่งก็คือ วินัยการลงทุน คือ ทำในสิ่งที่ตนเองถนัด แต่นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากพยายามฝืนตลาดด้วยการเข้าไปเก็งกำไรในช่วงตลาด ไม่ดีโดยหวังกำไรเล็กๆ น้อยๆ ถือว่าเล่นเกมไม่ถนัด


สำหรับนักลงทุนแบบ Value investor ผมคิดว่าความถนัดของ VI ก็คือการวิเคราะห์พื้นฐานของบริษัทเพื่อให้สามารถคาดการณ์ผลประกอบการและ เงินปันผลในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่มีผลตอบแทนของการลงทุน ซึ่งก็พบว่าในบางปีที่ตลาดเป็นตลาดกระทิง นักลงทุนแบบ VI อาจจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนน้อยกว่านักลงทุนแบบเก็งกำไรทั้งที่มีหลัก การและไม่มีหลักการ จึงทำให้นักลงทุนแบบ VI บางคนทนความเย้ายวนของผลตอบแทนของหุ้นเก็งกำไรหรือผลตอบแทนของเพื่อนๆ นักลงทุนที่ลงทุนแบบเก็งกำไรไม่ได้ และหันมาเล่น “ เกมที่ไม่ถนัด ” ด้วยการเข้าซื้อหุ้นเก็งกำไร หรือหุ้นที่มีข่าวต่างๆ นานา ด้วยหวังว่าจะทำกำไรมากๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งช่วงแรกๆ อาจจะได้กำไรที่ดี แต่ท้ายสุดแล้ว VI หลายคนที่โดดเข้าไปเล่นเกมที่ตนเองไม่ถนัดก็ได้รับผลตอบแทนในการลงทุนที่ไม่ สู้ดีนัก


อีกเหตุการณ์ที่ทำให้ VI หันไปเล่นเกมที่ไม่ถนัดก็คือ นักลงทุนแบบ VI แต่ละคนมีความเชี่ยวชาญในกลุ่มธุรกิจที่ต่างกัน บางคนเชี่ยวชาญด้านหุ้นการผลิตอุตสาหกรรม บางคนเชี่ยวชาญด้านพลังงาน บางคนเชี่ยวชาญด้านหุ้นโรงเรือน เช่น โรงแรม โรงพยาบาล ค้าปลีก บางคนเชี่ยวชาญอสังหาริมทรัพย์ หรือหุ้นวัฎจักรต่างๆ เป็นต้น หลายๆ ช่วงเวลาที่หุ้นที่ตนเองเชี่ยวชาญอาจจะอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่น่าลงทุน เช่น ราคาหุ้นมี p/e แพงเกินไปแล้ว หรือสภาพแวดล้อมทางธุรกิจยังไม่เอื้ออำนวย ทำให้ VI อาจจะไม่สามารถใช้ความถนัดของตนเองในการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ตนเองถนัดได้ จึงหันไปเล่นเกมที่ไม่ถนัดด้วยการพยายามหาหุ้นในกลุ่มที่ตนเองไม่เคยสนใจ หรือมีความรู้ความเชี่ยวชาญ และอาจจะพยายามใช้หลักของ VI เข้าไปบางส่วนเช่น ดู p/e p/bv ต่ำๆ แต่ไม่สามารถศึกษาลงไปลึกในรายละเอียดได้อยากแตกฉาน ซึ่งท้ายสุดแล้วก็จะได้หุ้นที่เราอาจจะไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจอย่างแท้ จริง และมีโอกาสสูงที่ผลประกอบการ และผลตอบแทนการลงทุนอาจจะไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาดหวัง


ดังนั้นสำหรับ VI บางครั้งหากเราอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถหาหุ้นใหม่ๆ ที่น่าสนใจได้จริงๆ เราควรจะรอจังหวะและโอกาสที่จะต้องเกิดขึ้นในอนาคต มากกว่าที่จะไปเล่นในเกมที่ตนเองไม่ถนัด ด้วยการหาหุ้นแปลกใหม่ที่เราอาจจะไม่มีความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริงเข้ามา ในพอร์ตครับ


ดังนั้น สิ่งที่นักลงทุนทุกคนควรทำก็คือ การหาความถนัดของเราเองเพื่อให้รู้ว่าเราควรจะมี style การลงทุนแบบใด เพราะหาก style ไม่เหมาะกับความถนัดโอกาสประสบความสำเร็จก็จะน้อย เปรียบเหมือนทีมฟุตบอลที่กองหน้าตัวเล็กแต่เพื่อนโยนบอลให้โหม่งลูกเดียว นอกจากนี้ เราจึงต้องหาโอกาสเพิ่มความถนัดของตัวเราด้วยการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม และลดความไม่ถนัดในบางเรื่องที่เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการลงทุน ยกตัวอย่างเช่น หากเราเป็น VI แต่ไม่ถนัดการอ่านงบการเงินและวิเคราะห์กระแสเงินสด ถือว่าเป็นความไม่ถนัดที่ควรจะได้รับการแก้ไขให้ได้โดยเร็วเพราะถือว่าเป็น จุดที่นักลงทุนแบบ VI ควรจะทำได้ครับ หรือหากเรารักจะเล่นหุ้นแบบเก็งกำไรแต่ไม่สามารถอ่านทิศทางตลาดหรือราคาหุ้น ได้จากการดูกราฟ volume หรือเครื่องมือต่างๆ หรือไม่สามารถมีการตัดสินใจที่รวดเร็วและเด็ดขาด เราก็จะอยู่ในภาวะที่เสียเปรียบอย่างมากครับ


แต่หากเมื่อเราดูความถนัดต่างๆ แล้ว พบว่าเราไม่มีความถนัดมากพอที่จะลงทุนในหุ้นไม่ว่าจะเป็นแบบเก็งกำไร VS หรือ VI แล้ว ผมคิดว่าเราควรจะอยู่วงนอกศึกษาหาความรู้และความถนัดเสียก่อน ยังไม่ควรเข้ามาลงทุนทันที หรือหากต้องการลงทุนเพื่อศึกษาหาประสบการณ์ ก็ควรจะเริ่มจากจำนวนเงินที่ไม่มากนักก่อน และอาจจะต้องนำเงินออมไปยังการลงทุนอื่นๆ ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าและความถนัดน้อยกว่า เช่น การฝากธนาคาร ซื้อพันธบัตรรัฐบาลหรือกองทุนตราสารหนี้ เป็นต้นครับ และเมื่อเราศึกษามากพอและเห็นความถนัดของตนเองแล้วจึงค่อยเริ่มลงทุนในหุ้น ครับ


ดังนั้น การเป็นนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนประเภทใด ทั้ง VI VS หรือนักลงทุนแบบเก็งกำไร ควรจะเล่นในเกมที่เราถนัดให้มากที่สุด และหลีกเลี่ยงการถูกบีบให้เล่นในเกมที่เราไม่ถนัดครับ


บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (All Time)