23 ธันวาคม 2556

หมอดูขอเล่า "คนรวย" มี 40 อย่างที่เหมือนกัน

ผมทำงานเป็น Creative Design และทำอาชีพเสริมคือ Tarot Reader หรือหมอดูนั่นเเหละครับ ตลอดเวลา 7 ปีที่เป็นหมอดู ได้ดูดวงให้คนเยอะมากๆ ผมไม่เคยเชื่อเรื่องชะตากรรม ดังนั้นในการดูไพ่ ผมจึงใช้โอกาสนี้ในการเรียนรู้จากลูกค้าที่ประสบความสำเร็จในชีวิตด้วย (นี่หลักฐานwww.vittarot.com)

ลูกค้าของผมมีหลายแบบ วันนี้ผมจะนำความลับของลูกค้ามาเปิดเผย โดยเลือกเฉพาะลูกค้าที่ร่ำรวยความสุข มีความมั่นคง สนุกกับการทำงาน และชีวิตไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเงินอีกต่อไป มาเล่าให้ฟัง เพื่อนๆที่รักจะได้เห็นบางสิ่งบางอย่าง (นิสัย) ที่เหมือนกันของบุคคลเหล่านี้ ว่าเขามีความคิดอย่างไร เขาถึงมีความสุขกับชีวิต มีรายได้มากกว่ารายจ่ายหลายเท่า ทำไมเขาถึงร่ำรวยตั้งแต่อายุยังน้อยในขณะที่หลายคนไล่ล่าทั้งชีวิตยังไม่เจอ รวบรวมจากประสบการณ์การเป็นหมอดู 7 ปีของผม

เชิญอ่านได้เลยครับ

1. อย่าอายที่จะพูดเรื่องเงิน
2. เลือกวิธีที่สนุกในการหารายได้
3. มีเงินเข้ากระเป๋าไม่ต่ำกว่าสองทางขึ้นไป
4. ไม่มีข้ออ้างสำหรับการเรียนรู้
5. ไม่เคยพูดคำว่า มีเงินแต่ไม่มีความสุข จะมีไปทำไม
6. ลงทุนในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
7. เป้าหมายเรื่องรายได้ ชัดเจน
8. คิดเรื่องการเติบโตตลอดเวลา
9. ให้รางวัลตัวเองทุกครั้งที่ทำสำเร็จ
10. ไม่ได้ใช้เวลาทั้งหมดเพื่อการทำงาน
11. ไม่ได้เป็นคนที่เก่งหมดทุกอย่าง
12. ใช้คนเป็น เลือกคนเก่งมาเคียงข้างโดยไม่สนเรื่องค่าใช้จ่าย
13. กล้าทุ่มเทเงินให้กับสิ่งที่คุ้มค่า
14. หาแนวคิดและเหตุผลที่สนับสนุนความเชื่อตัวเอง
15. รักครอบครัว
16. ทุ่มเทความสะดวกสบายให้พ่อแม่
17. พ่อแม่อยากได้อะไรที่ไม่ผิดหาให้หมด
18. เอาแต่ใจ ดื้อเงียบ
19. ฟังมากกว่าพูด
20. ชื่นชมคนที่รวยกว่าด้วยลำแข้งตัวเอง
21. อ่อนน้อมถ่อมตน
22. คิดใหญ่กว่าคนธรรมดา
23. วิ่งเข้าหาความเป็นไปไม่ได้
24. ค้นหาโอกาส แสดงตัวทุกครั้งที่โอกาสมาถึง
25. ไม่เคยรอคำว่าพร้อม
26. เลือกคบหาคนที่มองโลกในแง่ดี
27. เข้าใจความเสี่ยง
28. กล้าพูดถึงความดีของตัวเอง
29. ทำบุญแบบถึงไหนถึงกัน
30. ลงเงิน ลงแรงช่วยเหลือคนอื่น
31. ชอบให้ความรู้เด็กรุ่นใหม่
32. ไม่ขี้บ่น ไม่เคยโทษคนอื่น
33. เจอปัญหา เขากลับบอกว่านี่ไม่ใช่ปัญหา นี่คือโจทย์
34. พัฒนาตัวเองตลอดเวลา
35. เป็นนักอ่านชั้นยอด
36. เห็นคุณค่าของเวลา
37. มองเห็นอนาคตทางการงานของตัวเอง
38. บอกได้ว่าตัวเองต้องการอะไร
39. แบ่งเวลาทำงานหนัก และให้รางวัลตัวเองอย่างหนัก
40. ชอบพูดคำว่า "พี่ยังมีอะไรต้องเรียนรู้อีกเยอะ" เป็นประจำ

from http://goo.gl/fxOsl2

20 ธันวาคม 2556

8 นิสัยช่วยให้เป็นเศรษฐีเงินล้าน

"พฤติกรรม" และ "นิสัย" เป็นส่วนผสมที่ทำให้คุณเป็น"เศรษฐี"ได้ ในเวลาเดียวกันพฤติกรรมและนิสัยบางอย่าง ก็บันดาล "ความยากจน" ให้กับคุณได้เหมือนกัน

หากคุณลองหมั่นสังเกตนิสัยของบรรดาเศรษฐีทั้งที่อยู่รอบตัวเราและที่อยู่ห่างตัวหน่อย ก็จะเห็นว่าพวกเขามีลักษณะนิสัยที่คล้ายๆ กัน อาจจะมีรายละเอียดบางอย่างที่แตกต่างกันบ้าง แต่โดยรวมจะค่อนไปในทางละม้ายคล้ายกัน

ในทางตรงกันข้ามพวกที่ไม่เคยถูกเรียกว่าเศรษฐี ก็มักจะมีนิสัยที่ถอดแบบกันมาเช่นกันทั้ง ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ เกินตัว

ถ้าอย่างนั้นมีนิสัยอะไรบ้าง ที่ช่วยเนรมิตความเป็นเศรษฐีให้คุณ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ 8 นิสัยที่ช่วยให้คุณเป็นเศรษฐีเงินล้าน

ไม่ใช่นิสัยหรือพฤติกรรมทุกอย่างของคนเรา ที่จะหนุนนำให้ทุกคนขึ้นบัลลังก์ของเศรษฐีได้ เวบไซต์เอ็มเอ็มแฮบบิทส์ดอทคอม ได้นำเสนอบทความเกี่ยวกับ "8 นิสัยที่จะช่วยให้คุณเป็นเศรษฐีเงินล้าน" ลองสำรวจตัวเองดู บางทีคุณอาจจะมีนิสัยเหล่านี้ซ่อนอยู่ในตัวอยู่แล้วก็ได้

บางคนอาจจะไม่มีเลย แต่ไม่เป็นไร นิสัยเหล่านี้สร้างและบ่มเพาะกันได้ หรือบางคนอาจจะแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนิดหน่อย แล้วนำนิสัยเหล่านี้มาประยุกต์ใช้อย่างไม่ยากเย็น

ลักษณะนิสัยทั้ง 8 ข้อจากนี้ไป เป็นเหมือนกฎขั้นพื้นฐานที่เศรษฐีเงินล้านส่วนใหญ่ทั่วโลกยึดถือและปฏิบัติ เพื่อสร้างรายได้ให้กับตัวเอง ซึ่งคนไทยทั่วไปสามารถนำไปใช้เป็นแบบอย่าง ช่วยให้ตัวเองเป็นเศรษฐีเงินล้านได้ ด้วยหนึ่งสมองและสองมือสองขาของเรานี่เอง


1. หาเงินไว้ลงทุน..ไม่ใช่เพื่อใช้จ่าย

ใครก็ตามที่มุ่งมั่นและตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะร่ำรวยเงินทอง เพราะคนที่หาเงินได้มาก ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นเจ้าของคำว่า "เศรษฐี"

เพราะบางคนหาได้เงินมากก็ใช้จ่ายมาก บางคนทำมาหากินแทบตาย แต่ต้องเอามาใช้หนี้สินที่ติดตัวอยู่

แต่สำหรับคนที่เป็นเศรษฐี จะมีนิสัยที่ค่อนข้างชัดเจนคือ เมื่อได้เงินมาก็จะนำไปต่อยอดการลงทุน เข้าตำราหาเงินไว้เพื่อลงทุน ไม่ใช่เพื่อใช้จ่าย

"คนส่วนใหญ่ทำงานหนัก เพื่อชำระหนี้บัตรเครดิต และบำเรอความสุขให้กับชีวิตตัวเอง แต่กลุ่มคนมีเงินตระหนักว่า ถ้านำเงินก้อนที่มีอยู่ไปต่อยอดให้ออกดอกออกผลเพิ่มความมั่งคั่งให้กับตัวเองน่าจะดีกว่า" เวบไซต์เอ็มเอ็มแฮบบิทส์ให้ทัศนะ

"วิเชฐ ตันติวานิช" กรรมการผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ MAI เห็นด้วยกับนิสัยนี้ เพราะมีคนจำนวนมากที่มีรายได้เยอะ แต่เมื่อมีมากใช้มากก็ไม่มีทางที่จะเป็นเศรษฐีได้ แต่คนที่เป็นเศรษฐีก็มักจะมีนิสัยที่ต่างออกไป เมื่อมีรายได้เข้ามา แทนที่จะโหมใช้จ่าย พวกเขาจะนำเงินไปต่อยอดลงทุนเพื่อให้เงินออกดอกออกผล


2. มีแผนและทำตามแผน

เศรษฐีเงินล้านที่รวยได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง ไม่ได้ร่ำรวยเพราะความบังเอิญ ส่วนหนึ่งนั่นเพราะพวกเขามีนิสัยที่มีแผนและลงมือปฏิบัติตามแผน ซึ่งนั่นเป็นแรงผลักดันที่ช่วยพวกเขาให้เดินสู่ความรวย

"การวางแผนและทำตามแผนนำพวกเขาสู่จุดหมาย นั่นคือการลงทุนและสั่งสมความมั่งคั่งไว้ตลอดชีวิต" เวบไซต์เอ็มเอ็มแฮบบิทส์ให้ทัศนะ

"ดารบุษป์ ปภาพจน์" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจและการตลาด 2 บลจ.กรุงไทย มองว่า เรื่องสำคัญอย่างหนึ่งซึ่งมือใหม่หัดลงทุนมักจะละเลยไป คือการทำตามแผนที่วางไว้โดยเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลยุทธ์ ?ออมเงินก่อน? หรือ Pay Yourself First โดยการหักเงินออมออกจากบัญชีเงินเดือนทันทีที่เงินเดือนออก ก่อนที่จะนำเงินไปใช้จ่ายอย่างอื่น เพราะแผนที่วางไว้อย่างสวยหรูนั้น จะไม่มีประโยชน์เลย หากไม่มีการนำมาปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง

การมีวินัยในแผนลงทุนนั้นยังรวมถึง ผู้ลงทุนที่เลือกการลงทุน โดยใช้กลยุทธ์เฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Averaging) ด้วยการลงทุนเป็นประจำด้วยจำนวนเงินที่เท่ากัน ผู้ลงทุนควรมีวินัย ไม่หวั่นไหวไปกับการขึ้นลงของภาวะตลาด โดยอาจใช้ร่วมกับแผนการลงทุนอัตโนมัติที่บริษัทจัดการต่างๆ มีไว้บริการ ซึ่งช่วยประหยัดทั้งเวลา และลดความวุ่นวายใจไปได้มากทีเดียว

วิเชฐเห็นด้วยกับข้อนี้ ทุกคนคิดและวางแผนการเงินการลงทุนได้ว่าจะทำโน่นนี่นั่น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่วางแผนแล้วจะปฏิบัติหรือลงมือทำตามแผน ฉะนั้น ใครก็ตามที่วางแผนทางการเงินให้ตัวเอง แล้วเดินตามแผนก็มักจะมีแววที่จะเป็นเศรษฐี


3. ทำงานหาเงินให้มากขึ้น

ความหมายข้อนี้ดูเหมือนชัดเจน เพราะกลุ่มคนมั่งคั่งมักจะพากันแสวงหาหนทาง ที่จะสร้างหรือหารายได้ให้ไหลมาเทมาอย่างต่อเนื่องอย่างไม่มีวันหยุด ด้วยการเพิ่มจำนวนเงิน ให้ทำงานออกดอกออกผลให้พวกเขาได้มากขึ้น
นี่คือนิสัยประจำตัวของบรรดาเศรษฐี จะสังเกตเห็นได้ว่า ยิ่งร่ำรวยอยู่แล้ว ยิ่งไม่หยุดทำงาน ยิ่งมั่งคั่งอยู่แล้ว ยิ่งหาทางต่อยอดการลงทุนให้มั่งคั่งยิ่งขึ้น
เรื่องนี้วิเชฐตั้งข้อสังเกตว่า คนที่มีเงินทองหรือร่ำรวยในระดับหนึ่งแล้ว พวกเขามักไม่เก็บเงินเอาไว้อย่างเดียว แต่หาช่องทางเพื่อขยับขยายความรวย ซึ่งเมื่อถึงจุดนี้เขามักจะให้เงินทำงานช่วยอีกแรง เรียกว่าทำเงินได้ 2 เด้ง


4. เข้าใจฐานะการเงินของตัวเอง

กลุ่มคนที่มีความมั่งคั่งต่างตื่นตัวกับการรับรู้รายได้ในบัญชีส่วนตัว และรู้ว่าการไหลเวียนของเงินที่ไหลเข้าออกในบัญชีมีเท่าไร ตรงนี้จะเห็นได้ชัดว่าต่างจากคนที่ยังไม่ได้เป็นเศรษฐี ที่มักจะไม่ค่อยสนใจและใส่ใจในฐานะการเงินของตัวเองซักเท่าไร

บางคนยิ่งไปกว่านั้น เพราะปล่อยให้หนี้ท่วม นอกจากไม่ได้จัดระเบียบหนี้แล้ว ที่ร้ายกว่านั้นคือแทบไม่รู้เลยว่าหนี้ของตัวเองเบ็ดเสร็จแล้วมีเท่าไร

เรื่องนี้ดารบุษป์บอกว่าก่อนที่จะทำสิ่งใดให้ประสบความสำเร็จ เราจะต้องมีการวางแผนรู้เขา รู้เรา ซึ่งการวางแผนการลงทุนก็ไม่ต่างกัน การเข้าใจฐานะการเงินของตนเองให้ถ่องแท้ เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะมิเช่นนั้นแล้ว ก็จะเหมือนการขับรถทางไกลโดยไม่เตรียมความพร้อม ไม่ได้เช็คเครื่อง หม้อน้ำ ปริมาณน้ำมัน ไม่รู้ว่ากำลังเครื่องยนต์ของรถนั้นมีมากน้อยเพียงใด สามารถขึ้นเขา ลุยโคลนได้หรือไม่

ซึ่งการละเลยไม่เข้าใจตนเองเช่นนี้ ก็มีแต่จะจะทำให้เราประสบปัญหาและอุปสรรคระหว่างทาง ต้องเสียเวลามากกว่าที่ควรเพื่อจะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ หรือบางทีก็อาจหมดกำลังใจไปก่อนที่จะถึงเป้าหมาย

"ก่อนจะเริ่มต้นวางแผนการเงินนั้น เราจะต้องรู้ว่ารายรับของเรานั้นมีความสม่ำเสมอแค่ไหน มีส่วนเกินกว่ารายจ่ายหรือไม่ รวมถึงมีการกันเงินเผื่อสำหรับค่าใช้จ่ายฉุกเฉินเพียงพอที่จะทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งเงินที่ตั้งใจเก็บไว้เพื่อการลงทุนระยะยาว ซึ่งหากเราละเลยขั้นตอนนี้ไป ก็ยากที่จะถึงเป้าหมายได้ "

วิเชฐเสริมว่า คนที่เป็นเศรษฐีมักจะมีนิสัยใส่ใจในเรื่องเงินทองอยู่แล้ว ทั้งรายรับรายจ่ายทำใส่เอ็กเซลชีทเอาไว้ ส่วนคนที่ยังไม่ได้เป็นเศรษฐี ควรจะทำอย่างยิ่ง นี่เป็นบันไดก้าวหนึ่งที่จะนำคุณไปเป็นเศรษฐีได้


5. กล้ารับความเสี่ยงอย่างเหมาะสม

เวบไซต์เอ็มเอ็มแฮบบิทส์ดอทคอมบอกไว้ว่า การเป็นผู้กล้ารับความเสี่ยง เป็นสิ่งต้องทำเพื่อเพิ่มความรวยให้ตัวเอง หากไม่เข้าไปฉวยโอกาสบางครั้ง เงินที่มีอยู่จะไม่มีโอกาสงอกเงย แต่เหนืออื่นใด ต้องเป็นความเสี่ยงที่คุณรับได้ และต้องมีการวางกลยุทธ์อย่างดีเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงที่เกิดจากภาวะตลาดตกต่ำหรือช่วงขาลง

ข้อนี้ วิเชฐมองว่า คนที่จะเป็นเศรษฐีได้ พวกเขามักรู้ว่าความเสี่ยงคืออะไร ประเมินได้ว่าความเสี่ยงมันใหญ่ขนาดไหน และตัวเขาเองสามารถรับความเสี่ยงได้แค่ไหน

"เพราะความเสี่ยงในระดับสูง ไม่ใช่ว่าเราไปยุ่งกับมันไม่ได้ คนที่เป็นเศรษฐีได้เขาจะประเมินพละกำลังของตัวเองก่อนว่า ความเสี่ยงแค่นี้ เรารับมือไหวมั้ย เพราะถึงจะเสี่ยงสูง แต่ถ้าเรารับความเสี่ยงไหว เราจัดการกับความเสี่ยงนั้นได้ โอกาสที่จะได้ผลตอบแทนสูงก็มี "


6. มีความอดทน&สติซ่อนอยู่ในการลงทุน

สังเกตมั้ยว่าพวกเศรษฐีเงินล้านที่ร่ำรวยจากสองมือสองขากับหนึ่งสมองของตัวเอง ไม่ได้กลายเป็นเศรษฐีเพียงชั่วข้ามคืน แต่เศรษฐีเหล่านี้เข้าใจถึงพลังแห่งดอกเบี้ยทบต้น และความพยายามลงทุนอย่างต่อเนื่องไม่หยุด เพื่อให้ได้ความร่ำรวยเป็นรางวัลตอบแทน

ดารบุษป์เปรียบเปรยให้ฟังว่ามีคนเคยเปรียบการลงทุนว่าเหมือนการไต่เทือกเขาสูง ยิ่งเป้าหมายสูงเพียงใด นอกจากต้องเตรียมความพร้อมของอุปกรณ์แล้ว ต้องอาศัยจิตใจที่แข็งแกร่งจึงจะก้าวผ่านหุบเหวที่เป็นอุปสรรคไปได้ การลงทุนก็เช่นกัน ความผันผวนของตลาดหุ้นนั้นเกิดขึ้นมาทุกยุคทุกสมัย มากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป ดังนั้น เมื่อนักลงทุนได้แสวงหาเส้นทางการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายของตนเองแล้ว ก็ควรเตรียมใจที่จะพบอุปสรรคที่จะเข้ามา

หากอุปสรรคนั้นเป็นอุปสรรคที่ประเมินไว้ล่วงหน้าแล้ว เช่น เมื่อตัดสินใจลงทุนในหุ้นของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่างจีน อินเดีย หรือรัสเซีย ซึ่งมีโอกาสรับผลตอบแทนสูง ก็ต้องเผื่อใจสำหรับโอกาสที่จะขาดทุนอย่างมากในบางช่วงเวลาด้วยเช่นกัน

วิเชฐเสริมว่าอดทนอย่างเดียวไม่พอ สำคัญที่สุดคนที่จะเป็นเศรษฐีได้ต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา เพราะคนที่มีสติจะทำให้ตัดสินใจได้ว่าในสถานการณ์นั้นๆ เขาควรตัดสินใจอย่างไร เช่นถ้าภาวะตลาดหุ้นไม่ดี คนที่มีสติก็อาจจะประเมินและตัดสินใจได้ว่า สถานการณ์ย่ำแย่แบบนี้เขาควรจะถอนตัวออกหรืออยู่ต่อเพื่อรอ หรือหาจังหวะเข้าลงทุน


7. ได้ทีมที่ยอดเยี่ยม

กลุ่มคนร่ำรวยยังคงความมั่งคั่งของตัวเองไว้ได้ ด้วยผู้คนแวดล้อมซึ่งเป็นที่ปรึกษาการเงินและกฎหมาย ซึ่งล้วนมีฝีมือเป็นเลิศในแวดวงอาชีพนั้นๆ นั่นเป็นประเด็นที่เราเห็นได้ว่าบรรดาเศรษฐีเงินล้านมักไม่เดินหน้าสร้างความร่ำรวยโดยลำพัง

"ลองสังเกตดูสิ คนที่เป็นเศรษฐีไม่ใช่ว่าทุกคนเกิดมาท่ามกลางคนที่มีความรู้เรื่องการลงทุน แต่คนเหล่านี้จะพาตัวเองเข้าไปอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่มีความรู้เรื่องการลงทุน นั่นทำให้เขามีโอกาสได้เรียนรู้แง่มุมและช่องทางต่างๆ ของการลงทุน ว่าอะไรที่จะทำให้เงินทองของเขางอกเงยขึ้น หรือมีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้เงินออกดอกออกผล" วิเชฐให้ทัศนะ


8. รับฟัง..กลั่นกรอง...นำไปใช้

นิสัยอีกอย่างหนึ่งที่จะทำให้คุณเป็นเศรษฐีเงินล้านได้ด้วยความสามารถของตัวเอง คือการแสวงหาคำแนะนำจากที่ปรึกษาเชื่อถือไว้ใจได้ เศรษฐีเหล่านี้รับฟังด้วยความมุ่งมั่นมีใจจดจ่อ จากนั้นพวกเขาก็สามารถนำไปปฏิบัติและตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง เพื่อพยายามสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเอง

ดารบุษป์บอกว่าการวางแผนการลงทุนนั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนชีวิต ซึ่งต้องการความมีเหตุผลสูงกว่าการเลือกซื้อข้าวของเครื่องใช้ทั่วไป การฟังเขามาแต่เพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอที่จะแน่ใจได้ว่าการลงทุนที่เหมาะกับคนอื่นนั้นจะเหมาะกับตัวเราด้วย เช่น เมื่อฟังเพื่อนๆ พูดถึงผลตอบแทนที่ได้รับ ก็ต้องนำมากลั่นกรองว่าการลงทุนนั้นมีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด ผลตอบแทนที่ว่าสูงนั้นๆ คุ้มค่ากับความเสี่ยงหรือไม่ และตัวเรานั้นมีความพร้อมที่จะรับความเสี่ยงที่ว่านั้นแค่ไหน หรือมีวิธีที่จะลดหรือกระจายความเสี่ยงอย่างไรได้บ้าง โดยอาจต้องศึกษาจากข้อมูลการลงทุนในหนังสือชี้ชวน สอบถามผู้รู้ ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน

วิเชฐเองก็เห็นด้วยว่าคนจะเป็นเศรษฐีได้ เบื้องต้นต้องหัดรับฟังข้อมูล หาข้อมูลการลงทุนให้เยอะเข้าไว้ จากนั้นก็นำมากลั่นกรอง เพราะเมื่อได้ข้อมูลเยอะเราต้องกรอง จากนั้นค่อยนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการตัดสินใจลงทุน
"ผมว่านิสัยเหล่านี้เศรษฐีมีทุกคน บางคนข้อมูลเยอะ กลั่นกรองแล้ว แต่ไม่กล้าตัดสินใจที่จะลงทุน คุณก็เป็นได้แค่นักวิเคราะห์ แต่เป็นเศรษฐีไม่ได้" วิเชฐให้ความเห็นทิ้งท้าย

ใน 8 นิสัยเหล่านี้ ลองถามไถ่ตัวเองดูซิว่ามีกี่ข้อ ถ้ามีครบ 8 เตรียมสะกดคำว่าเศรษฐีรอไว้ได้เลย แต่ถ้าไม่มีสักข้อ ก็ยังไม่สายเกินไปค่อยๆ บ่มเพาะนิสัยเหล่านี้กันใหม่ได้


from http://goo.gl/Q55U7w

13 ธันวาคม 2556

20 ข้อ ที่ควรรู้และปฏิบัติก่อนอายุ 40

1. ไม่ต้องตั้งใจเรียนมากไป เอาแค่พอใช้ได้ก็พอ
เพราะโลกแห่งความเป็นจริง วัดกันที่ผลงาน ไม่ใช่ที่เกรด

2. การทำกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยนั้นสำคัญมาก
พอๆ กับการคร่ำเคร่งหน้าตำราเรียน

3. เลือกงานที่เราชอบนั้นใช่ แต่อย่าลืมด้วยว่า อาชีพนั้น..
สามารถเลี้ยงดูตัวเราได้จริงหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ก็อย่าหลอกตัวเอง

4. เมื่อถึงวัยทำงาน ใครเก็บเงินก่อน รวยเร็วกว่าและสิ่งสำคัญ
ที่ต้องจำไว้ คือ “ชีวิตที่ไม่มีหนี้ คือชีวิตที่ประเสริฐที่สุด”

5. หาเป้าหมายในชีวิตให้เจอโดยเร็วที่สุด เพราะมัน
จะเป็นเครื่องนำทางของคุณ ในชาตินี้ตลอดไป

6. ซื้อบ้านก่อน ที่จะซื้อรถ เพราะบ้านมีแต่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น
รถมีแต่มูลค่าลดลง ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า รถ=ลด

7. ดอกเบี้ยบ้านนั้นมหาโหดมาก รีบใช้ให้หมด
โดยเร็วพลัน ก่อนที่จะแก่ แล้วผ่อนไม่ไหว

8. การเก็บเงินเป็นแค่บันไดขั้นแรก
สู่ความร่ำรวย แต่ขั้นต่อมา คือ ต้องรู้จักลงทุน

9. อย่าเป็นศัตรูกับใครก็ตามบนโลกใบนี้ เพราะคุณจะไม่มีทาง
รู้ว่าวันหนึ่งเขาอาจจะยิ่งใหญ่มาก จนกลับมาทำร้ายคุณก็เป็นได้

10. คอนเน็คชั่นหรือสายสัมพันธ์เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ
ต่อให้เก่งแค่ไหน ก็สู้การมีเพื่อนเยอะไม่ได้

11. ควรมีงานทำมากกว่า 1 งาน
เพราะความมั่นคง ไม่เคยมีบนโลกใบนี้

12. อย่าคิดว่าตัวเองทำอะไรได้แค่อย่างเดียว
เพราะความสามารถของคนเรา มีมากกว่า 1 เสมอ

13. เมื่อมีโอกาสใดก็ตามเข้ามา
จงอย่าปฏิเสธ ถึงจะล้มเหลว แต่มันก็คือ ประสบการณ์

14. สร้างเนื้อ สร้างตัว
ให้ได้เร็วที่สุด ในขณะที่คุณยังมีกำลัง ยังเป็นหนุ่ม-สาว
เพราะการฝ่าฟันอุปสรรคในช่วงอายุมาก ไม่ใช่เรื่องสนุก

15. ออกเดินทางท่องเที่ยวตั้งแต่ยังหนุ่มสาว
เพราะเมื่อมีครอบครัว การเดินทางจะเป็นเรื่องยุ่งยากกว่าเดิม

16. เลือกคู่ชีวิต จงคิดให้ดีๆ อย่าดูแต่ข้อดีของเขา
แต่ต้องดูด้วยว่าเราสามารถรับข้อเสียของเขาได้มากแค่ไหน

17. การมีแฟน หรือสามีภรรยา ยังเลิกกันได้ แต่ความเป็น
พ่อแม่ลูก นั้นเลิกกันไม่ได้ เพราะฉะนั้น ควรดูแลพวกเขาให้ดีๆ

18. ความสำเร็จที่มากมายแค่ไหน ก็ไม่สามารถ
ทดแทนความล้มเหลวของครอบครัวได้

19. ลองหาเวลาอยู่ว่างๆ ไม่ต้องทำอะไรเลยดูบ้าง อย่าแบก
โลกทั้งใบไว้คนเดียว และอีกอย่างงานก็ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต

20. สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญอันหนึ่ง โปรดถนอม
ตัวเองให้มาก เมื่อยังเป็นวัยรุ่น อย่าใช้ชีวิตให้หนักเกินไป



from http://goo.gl/vs9ZsI

12 ธันวาคม 2556

แบบทดสอบนักชอปปิง

เมื่อราคาสินค้าลดลง ความต้องการซื้อย่อมเพิ่มขึ้น หากจะว่าไปแล้ว การลดราคาอาจได้ผลลัพธ์ที่เกินกว่าที่หลักเศรษฐศาสตร์บอกไว้เสียด้วยซ้ำ เพราะดูเหมือนผู้บริโภคจะมีปฏิกิริยาต่อสินค้าลดราคาที่ค่อนข้างรุนแรง (โดยเฉพาะคุณผู้หญิง) ผู้บริโภคบางคนไม่ได้ซื้อสินค้าเพราะว่าอยากได้ตัวสินค้าแต่ซื้อเพราะว่า ราคามันถูกมาก ข่าวคนเหยียบกันตายเพราะแย่งกันซื้อสินค้าลดราคานั้น เป็นอะไรที่มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ ราวกับว่าการได้ซื้อของลดราคามีค่ามากกว่าชีวิตของพวกเขาเองเสียอีก
แม้การลดราคาจะเป็นกลยุทธ์การตลาดที่ทรงพลัง แต่บริษัทก็มีต้นทุนสูงมากในการลดราคาสินค้าเพื่อกระตุ้นยอดขาย ยังไงเสีย สิ่งที่บริษัทต้องการอย่างแท้จริงนั้นไม่ใช่ยอดขาย แต่เป็นกำไร ยิ่งบริษัทลดราคามากเท่าไร แม้ว่าจะขายสินค้าได้มากขึ้น แต่กำไรก็ยิ่งลดลง ดังนั้น การลดราคาสินค้าจึงเป็นโปรโมชั่นทางการตลาดที่ได้ผลดี แต่ว่ามีต้นทุนที่สูงมาก
ด้วยเหตุนี้ บริษัทส่วนใหญ่จึงมักไม่ค่อยลดราคากันแบบตรงไปตรงมา แต่จะต้องหาวิธีการลดราคาที่ดูสลับซับซ้อนเพื่อลวงผู้บริโภคให้รู้สึกว่าสินค้ามีราคาถูกลงมากกว่าราคาที่ลดลงจริงๆ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ส่วนลดทุกบาททุกสตางค์ที่บริษัทยอมให้แก่ลูกค้าได้ผลลัพธ์ในการกระตุ้นยอดขายที่มากที่สุด
ทางด้านผู้บริโภคเองก็ไม่น้อยหน้าเหมือนกัน คนที่ชอปปิงเก่งจริงๆ นั้นดูจะมีประสบการณ์สูงในการมองทะลุผ่านโปรโมชั่นอันสลับซับซ้อนของบริษัท และแยกแยะโปรโมชั่นที่คุ้มจริงๆ ออกจากโปรโมชั่นที่หลอก การหาวิธีซื้อสินค้าให้ได้คุ้มราคาที่สุดนั้นดูเหมือนจะเป็น Passion สำหรับยอดนักชอปปิงหลายคนเสียด้วย บริษัททั้งหลายจึงต้องพยายามหานวัตกรรมใหม่ๆ ในการลวงผู้บริโภคให้รู้สึกว่าโปรโมชั่นของบริษัทนั้นคุ้มค่าจริงๆ
สำนักงานเพื่อการค้าที่เป็นธรรม (Office of Fair Trading) ในประเทศอังกฤษได้ทำการทดลองที่น่าสนใจอันหนึ่งเพื่อทดสอบความสามารถของนักชอปปิงในการแยกแยะโปรโมชั่นที่ดูสลับซับซ้อนทั้งหลาย โดยโปรโมชั่นที่ใช้ในการทดสอบได้แก่ โปรโมชั่นที่เป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วไป 5 วิธี ได้แก่ หนึ่ง “อ่อยเหยื่อ” หรือการแจ้งราคาเพียงแค่บางส่วนเพื่อล่อให้ลูกค้ารู้สึกสนใจก่อน เมื่อเหยื่อติดเบ็ดแล้วจึงค่อยบวกราคาจิปาถะเพิ่มเติมเข้าไป (ถ้านึกไม่ออกลองนึกถึงพวกสายการบินต่างๆ) สอง “ลดกระหน่ำ” หรือการตั้งราคาปกติเอาไว้สูงๆ แล้วค่อยลดราคาลงมาเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้ส่วนลดราคามากๆ (ลองนึกถึง “สองพันบาทเราไม่ขาย แต่เราขายแค่เพียงแปดร้อยบาท” เป็นต้น) สาม “ราคาซับซ้อน” หรือการบอกราคาในแบบที่ผู้บริโภคจะต้องคิดเลขก่อนเสมอ ถึงจะรู้ราคาต่อหน่วยที่แท้จริงได้ เช่น สามอันร้อย เป็นต้น สี่ “Loss Leader” หรือขายถูกมากจริงๆ แต่มีจำนวนจำกัด และห้า “ด่วน” หรือขายถูกมากจริงๆ แต่หมดเขตภายในวันนี้เท่านั้น
ในการทดสอบครั้งนั้น กลุ่มตัวอย่างต้องใช้เงินที่มีอยู่จำนวนจำกัดซื้อสินค้าให้คุ้มที่สุดเท่าที่จะทำได้จากร้านค้าจำลองจำนวนมากที่พยายามใช้โปรโมชั่นต่างๆ ที่กล่าวมาเพื่อดึงดูดเงินจากกลุ่มตัวอย่างไปให้ได้มากที่สุด
และเพื่อให้สมจริงมากขึ้น ในการสอบถามราคาจากร้านค้าแต่ละครั้ง กลุ่มตัวอย่างจะต้องถูกหักเงินออกจำนวนหนึ่งเป็นต้นทุนในการหาข้อมูลด้วย เพราะในความเป็นจริง การสอบถามราคาจากหลายๆ แหล่งมีต้นทุนด้วยเหมือนกัน และในกรณีที่กลุ่มตัวอย่างซื้อสินค้าอย่างเดิมซ้ำๆ กันหลายๆ ชิ้นก็จะต้องถูกหักคะแนนลงส่วนหนึ่ง เนื่องจากตามหลักเศรษฐศาสตร์โดยธรรมชาติแล้ว คนเราย่อมเห็นค่าของสินค้าชนิดเดียวกันน้อยลงเมื่อเราเลือกบริโภคสินค้านั้นมากขึ้น ดังนั้นกลุ่มตัวอย่างที่เลือกซื้อแต่สินค้าตัวเดิม เพื่อทำคะแนนให้ได้มากๆ จะต้องถูกหักคะแนนส่วนหนึ่ง
ผลปรากฏว่า โดยเฉลี่ย กลุ่มตัวอย่างจำนวน 155 คน มีความสามารถในการเลือกซื้อสินค้าได้อย่างถูกต้องเมื่อร้านค้าแจ้งราคาแบบตรงไปตรงมากถึง 4 ใน 5 ครั้ง แต่ความสามารถจะลดลงเมื่อโดนลวงด้วยโปรโมชั่นต่างๆ โดยกลุ่มตัวอย่างจะตัดสินใจได้แย่ที่สุดเมื่อถูกลวงด้วย อ่อยเหยื่อ รองลงมาคือ “ด่วน” “Loss Leader” “ลดกระหน่ำ” และ “ราคาซับซ้อน” ตามลำดับ
โดยรวมแล้วถือว่ากลุ่มตัวอย่างมีความสามารถในการแยกแยะโปรโมชั่นได้เก่งทีเดียว และยังมีแนวโน้มที่จะทำผลงานได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ในการทดลองช่วงหลังๆ ด้วย นี่แสดงให้เห็นว่า นักชอปปิงส่วนใหญ่มีความสามารถในการปรับตัวสูงหรือพูดง่ายๆ ก็คือเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว การทดลองนี้จึงอาจชี้ให้เห็นด้วยว่า วิธีคุ้มครองผู้บริโภคที่ดีที่สุดคือการให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภคให้มากที่สุด แล้วปล่อยให้ลูกค้าตัดสินใจเอง แทนที่จะพยายามปกป้องผู้บริโภคด้วยการออกมาตรการบังคับผู้ขายสินค้าในรูปแบบต่างๆ เพราะผู้บริโภคนั้นมีความสามารถในการช็อปปิ้งที่เก่งกันอยู่แล้ว เพียงแต่พวกเขาต้องได้รับข้อมูลที่มากเพียงพอเท่านั้น

from http://goo.gl/7oJDYN

บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (All Time)