31 ธันวาคม 2553

บันได 9 ขั้น ของการเป็นเศรษฐียามเกษียณ

บันได 9 ขั้น ของการเป็นเศรษฐียามเกษียณ การเกษียณอายุโดยได้ใช้ชีวิตอย่างเศรษฐีเป็นความฝันของคนหลายๆ คน แต่การจะมีชีวิตอย่างสุขสบายเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความพยายามอย่างจริงจัง เพราะการเป็นเศรษฐียามเกษียณไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้สำเร็จได้โดยง่าย บันได 9 ขั้นที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในการเกษียณแบบเศรษฐี

ขั้นที่ 1 ต้องกำหนดเป้าหมาย ในขณะที่ไม่มีใครอยากจะวางแผนแล้วล้มเหลว แต่คนจำนวนมากกลับล้มเหลว เพราะไม่ยอมวางแผนหรือไม่กำหนดเป้าหมาย แนวคิดในการวางแผนอาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องล้าสมัยแต่มันก็ช่วยให้หลายคนประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬา นักธุรกิจ และคนสำคัญต่างๆ

ขั้นที่ 2 ต้องเริ่มต้นการออม การเริ่มต้นด้วยการออมจะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายได้ คนจำนวนมากเริ่มต้นด้วยการออมฝากเงินไว้ที่ธนาคาร ในขณะที่หลายคนเริ่มการออมด้วยการเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัท ซึ่งจะทำให้คุณมีโอกาสที่จะเพิ่มการออมรวมทั้งได้ลดภาษีทันที และถ้านายจ้างของคุณสามารถให้เงินสมทบในอัตราสูงสุดเท่าที่ให้ได้ เท่ากับคุณจะได้รับประโยชน์เต็มที่เหมือนกับได้รับประกันผลตอบแทนจากการลงทุน ดังนั้น คุณควรจะหาโอกาสที่จะทำให้เงินของคุณงอกเงยแม้ว่าจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเมื่อตอนที่คุณยังหนุ่มสาว อย่าปล่อยให้ความกลัวอย่างไม่มีการเข้าใจที่ถ่องแท้ทำให้คุณพลาดโอกาสที่จะเพิ่มความร่ำรวย

ขั้นที่ 3 ต้องกล้าลงทุน มีการศึกษาจำนวนมาก ได้แสดงให้เห็นว่าผลตอบแทนส่วนใหญ่มาจากการลงทุนที่เกิดจากการตัดสินใจจัดสรรทรัพย์สินได้อย่างเหมาะสม การลงทุนในตราสารหนี้หรือฝากเงินเพียงอย่างเดียวคงไม่สามารถช่วยให้ประสบความสำเร็จได้ถ้าคุณต้องการที่จะเพิ่มความมั่งคั่งอย่างรวดเร็ว เนื่องจากได้ผลตอบแทนต่ำ และอาจจะต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อด้วยซ้ำไป คุณควรเลือกที่จะลงทุนในหุ้น แม้ว่าเป็นหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น แต่การลงทุนในหุ้นจะเป็นส่วนสำคัญที่ให้ผลตอบแทนที่ดี และสำหรับคนกลุ่มหนึ่งที่เชื่อว่าการลงทุนในหุ้นคือความเสี่ยงที่ยอมรับได้ถ้าต้องการความมั่งคั่ง ดังนั้น คุณควรใช้กลยุทธ์ในการจัดสรรทรัพย์สินไปลงทุนในหุ้น และอื่นๆ ให้เหมาะสม และเรียนรู้วิธีการที่จะเลือกสิ่งที่ถูกต้อง

ขั้นที่ 4 ต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่แย่ ส่วนหนึ่งของการวางแผนระยะยาวคือการยอมรับแนวความคิดเกี่ยวกับช่วงเวลาของการเสื่อมถอยที่จะเกิดขึ้นได้กับเศรษฐกิจและการลงทุน เมื่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือไม่ดี และคุณไม่ได้เตรียมตัวรับมือไว้ล่วงหน้า ภาวะนั้นจะผลักดันให้คุณต้องหยุดแผนการออมได้ แม้ว่าคุณจะไม่สามารถหลีกหนีสัจธรรมของความรุ่งเรืองและการเสื่อมถอย แต่คุณก็สามารถเตรียมการรับมือล่วงหน้าไว้ก่อน เพื่อลดความเสียหายที่เกิดขึ้นให้น้อยลงได้

ขั้นที่ 5. ต้องเพิ่มการออม รายได้ที่เพิ่มขึ้นจะช่วยลดเวลาในการออม ถ้าคุณต้องการจะเพิ่มรายได้ คุณอาจใช้วิธีเปลี่ยนงาน หรือทำงานพิเศษเพิ่มขึ้น และในกรณีที่คุณสมรส รายได้จากคู่สมรสของคุณจะทำให้ครอบครัวมีรายได้สองทาง แต่อย่าลืมว่าตลอดเวลาที่มีรายได้เพิ่มเข้ามา คุณจะต้องเพิ่มจำนวนเงินที่คุณออมด้วยเช่นกัน ดังนั้น กุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณบรรลุถึงเป้าหมายของคุณอย่างเร็วที่สุดก็คือ ออมให้มากที่สุด เท่าที่คุณสามารถทำได้

ขั้นที่ 6 ดูแลการใช้จ่ายของคุณ ค่าใช้จ่ายในการการพักผ่อน การซื้อรถ ค่าใช้จ่ายของลูกๆ รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งหมดของชีวิต เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เงินออมของคุณให้ลดน้อยลง ดังนั้น คุณต้องลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงเพื่อเพิ่มการออมเงินให้ได้มากที่สุด เช่น ถ้าคุณต้องการซื้อบ้าน คุณก็สามารถเลือกซื้อและอาศัยอยู่ในบ้านที่พอเหมาะพอสมกับกำลังของคุณโดยไม่ควรไปทำเกินตัว นอกจากนั้น คุณควรต้องจัดทำงบประมาณเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายของคุณ ถ้าคุณต้องการเพิ่มการออม

ขั้นที่ 7 อย่าลืมปรับพอร์ตการลงทุน คุณไม่จำเป็นต้องติดตามความเคลื่อนไหวของเงินลงทุนทุกขณะ แต่นอกจากจะตรวจสอบการลงทุนของคุณอย่าง
น้อย 6 เดือนครั้งแล้ว คุณก็ควรพิจารณาการปรับพอร์ตการลงทุนของคุณด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะสามารถไปถึงเป้าหมายตามแผนการลงทุนที่กำหนดไว้

ขั้นที่ 8 สร้างประโยชน์สูงสุดจากตัวเลือกของคุณ คุณต้องใช้ประโยชน์จากทุกๆ โอกาสในการออมทุกอย่างที่เข้ามาในวิถีชีวิตของคุณ เพื่อทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดในส่วนภาษีสำหรับแผนการออม และเปิดโอกาสที่จะได้ประโยชน์ทางด้านภาษี เช่นลงทุนเพิ่มเติมในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ซึ่งรัฐสนับสนุนโดยการให้สิทธิลดหย่อนภาษี อย่าปล่อยให้โอกาสที่จะเพิ่มการออมผ่านไป

ขั้นที่ 9 มีความอดทน การที่จะบรรลุเป้าหมายเป็นเศรษฐีได้อย่างรวดเร็วด้วยพลังของดอกเบี้ยทบต้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา คุณต้องเริ่มต้นลงทุนเร็ว และลงทุนให้บ่อยครั้ง ลงทุนโดยจัดสรรเงินไปในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ให้เหมาะสมกับโอกาสและความเสี่ยงที่ตัวคุณเองรับได้ ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าเส้นทางไปสู่ความร่ำรวย เป็นเรื่องที่ใช้ระยะยาวนานกว่าจะบรรลุเป้าหมาย ดังนั้น คุณควรจะเริ่มต้นลงทุนโดยเร็วที่สุด เพื่อให้คุณประสบความสำเร็จบรรลุเป้าหมาย

from http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I10081567/I10081567.html


28 ธันวาคม 2553

ความสุขแท้...แก้ที่ใจ

พวกเราตั้ง "ปุจฉา"กับชีวิตไว้จนฟุ้ง เกิดมาทำไม ความสุขอยู่หนใด ต่อจากนี้เราจะได้ "วิสัจนา" กับพระอาจารย์สุมโน ภิกขุ

พวกเราตั้ง "ปุจฉา" กับชีวิตไว้จนฟุ้ง บ้างถามเกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน ความสุขอยู่หนใด ...ณ เวลานี้ เราจะได้ "วิสัจนา" กับพระอาจารย์ฝรั่งวัย 74 พรรษา ผู้มีใบหน้าเปี่ยมล้นด้วยเมตตาพร้อมไขปริศนาธรรม...

นับตั้งแต่พระฝรั่งท่านนี้ เริ่มเผยแพร่แนวทางธรรมผ่านตัวอักษร เอ บี ซี มาตลอดระยะเวลากว่าสองทศวรรษ พระอาจารย์สุมโน ภิกขุ หนึ่งในศิษย์ของหลวงพ่อชา สุภทฺโท ได้รับการกล่าวขานว่ามีลูกศิษย์ลูกหาชาวไทย คอยติดตามไปทุกหนแห่งเพื่อหวังจะได้ฟังข้อคิดหลักธรรมอยู่เนื่องๆ

บุคลิกของท่าน มักไม่ค่อยชอบเผยตัวสักเท่าไร นานๆ ครั้ง ท่านจะสละความสันโดษ และสงบเงียบที่ถ้ำสองตา สถานที่พำนักประจำในเขตพื้นที่เขาใหญ่ ทางแถบตะวันออกเฉียงเหนือออกมาบรรยายธรรมและพูดคุยวิถีการเจริญสติ เพื่อจะเป็นแนวทางบำบัดฟื้นฟูจิตใจ ให้เกิดความรื่นรมย์ และผ่องแผ้วรับปีกระต่ายเริงร่า

โอกาสดีๆ ส่งท้ายปีเสือเช่นนี้ บรรดาผู้มีจิตศรัทธาต่างก็พูดว่า อย่าปล่อยให้คำว่า "ธรรมะเป็นเรื่องของพระ" แต่ให้เปิดประตูใจใช้ธรรมนำหนทางไปสู่ความดับทุกข์ปุถุชน เพื่อก้าวสู่ปี 2554 อย่างเปี่ยมสุข

"การเข้าถึงธรรมไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่พวกเราจะจริงจังตั้งใจกับมันแค่ไหนเท่านั้น อย่างอาตมาเอง หลังจบการศึกษาด้านกฎหมายและออกมาประกอบกิจการส่วนตัวด้านการค้าขายอสังหาริมทรัพย์ เคยใช้ชีวิตที่สุขสบาย เป็นเศรษฐีชิคาโก มีทุกสิ่ง ได้ทุกอย่าง แต่วันหนึ่ง นั่งเฉยๆ แล้วคิดว่าทำไมไม่มีความสุขเลย จะเรียกว่า อกหักกับชีวิตก็ได้นะ (หัวเราะ) นั่นแหละจุดเริ่มต้นการเดินทางเส้นใหม่ของอาตมา"

ก่อนที่ท่านจะสละทิ้งวัตถุแห่งกิเลสทั้งหลายในวัยหนุ่ม (35 ปี) แล้วเลือกศึกษาวิถีพุทธในประเทศอังกฤษในช่วงแรกนั้น ท่านเคยเป็นฆราวาสที่โปรดปรานหนังสือเกี่ยวกับภาวะทางจิต สมาธิ และการปรับปรุงตัวเองอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถตอบคำถามที่ค้างคาใจมาตลอดได้ว่า "ทำอย่างไรจึงจะมีความสุขที่แท้จริง?"

ครั้นพอได้แสวงหาคำตอบจากหลายๆ นิกาย ลองมาใช้ชีวิตผู้ปฏิบัติธรรมเคร่งครัด และถูกบททดสอบอันหนักหน่วงจากครูอุปัชฌาย์อาจารย์

จากความไม่เชื่อ แต่สนใจใคร่รู้ จนได้ลองรักษาศีลแล้วเห็นว่ามีประโยชน์จริง ที่สุดแล้ว ธรรมะ นั่นเองที่เป็นคำตอบของชีวิต และความสุขที่แท้จริงนั้นมาจากการปล่อยวาง ท่านจึงทำให้มันเป็น "เข็มทิศนำทาง" แล้วยึดถือไว้กว่า 30 ปีแล้ว

จากนั้นได้ตกลงปลงใจเดินทางมาบวชที่วัดหนองป่าพง อ. วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี เพื่อหันเหสู่เส้นทางจิตวิญญาณ หวังจะศึกษาธรรมใต้ร่มกาสาวพัตร์ให้แตกฉานและขั้นสูงขึ้นไปอีก

ภารกิจระหว่างเดินทางเพื่อไปสู่จุดสูงสุดนั้น พระอาจารย์สุมโน ภิกขุ บอกว่า จะเดินขึ้นเขา เราต้องรดน้ำต้นไม้ข้างๆ ทางให้งดงามด้วย นั่นแปลว่าต้องเผยแพร่สิ่งที่รู้ ไปสู่สาธารณชนคนที่ใจยังมืดบอดอยู่

ผลงานหนังสือของท่านมีทั้งที่เขียนขึ้นเอง อย่าง Questions from the city, Answer from the Forest ; Monk in the Mountain ซึ่งได้รับการแปลเป็นไทยในชื่อ ธรรมะจากพระภูเขา หรือ The Brightened Mind มีชื่อไทยว่า จิตที่สว่างไสว กับผลงานแปลจากเทศนาธรรมของพระอาจารย์ธุดงค์ผู้ยิ่งใหญ่ อย่าง พระอาจารย์ชา พระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี และพระอาจารย์พุธ ฐานิโย เป็นต้น

ล่าสุด กับหนังสือ พบลิงที่ครึ่งทาง ( Meeting The Monkey Halfway) ซึ่งเน้นวิธีการพัฒนาจิตด้วยตนเอง พร้อมจะนำจิตวิญญาณไปสู่อิสรภาพเหนือการพึ่งพาสิ่งอื่นใด

ทำ "ใจ" ไม่ให้ "สุดโต่ง"
คำสอนอันงดงามและมีคุณค่าให้สังคม ย่อมเหมาะกับช่วงเวลาที่ทุกคนกำลังค้นหาคำตอบให้กับชีวิตในขณะนี้ แต่คำสอนที่ว่านั้น ต้องทะลุเข้าไปในใจ และตอบคำถามได้ตรงจุด ด้วยภาษาที่เรียบง่าย คมคาย แต่ลึกซึ้ง

พระที่เคร่งในพระวินัยอย่างแรงกล้า เล่าถึงเหตุผลที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมาว่า ได้ตระหนักถึงกลไกการทำงานอันร้ายกาจของจิตที่ซนเหมือนลิง มีลักษณะไม่อยู่นิ่ง ไม่เชื่อฟัง ผันแปร และเปลี่ยนแปลงได้ง่าย เป็นความสับสนวุ่นวายในจิตใจ ที่คอยแต่จะสร้างความสับสนวุ่นวายให้กับชีวิตทุกครั้งที่มีโอกาส มันจะจู่โจมเราโดยไม่รู้ตัว

ครั้นจะคุมตัวเข้ากรงขังไว้เสีย หรือปล่อยให้มันเป็นไปตามยถากรรมเช่นนั้น ก็ใช่ว่าจะแก้ปัญหาได้ รังแต่จะเพิ่มความรุนแรงขึ้นกว่าเดิม ฉะนั้นเราต้องทำให้มันอยู่บนทางสายกลาง หรือครึ่งทาง แล้วนำมาเป็นอุบายอันชาญฉลาดในการบริหารจิต ที่ไม่ตึง แข็งกระด้าง หรือหย่อนยานจนเกินไป ตั้งอยู่บนหลักการของความสมดุลเป็นกลาง

ทั้งนี้ เราจะเห็นหัวใจของเรา และพบทางที่อยู่ตรงกลางได้ ก็ต่อเมื่อเรามีความอุตสาหะที่จะบรรลุเป้าหมายในการทำจิต ซึ่งเป็นสิ่งที่สงบได้ยาก ให้เกิดความตั้งมั่นและเป็นกลาง และด้วยความพยายามมุ่งมั่น ประกอบกับความพากเพียร ซื่อตรงและปัญญา ก็จะทำให้เข้าถึงการเจริญในธรรมที่นำไปสู่หนทางอันถูกต้อง

หลังจากรู้หลักการและที่มาของปัญหานานาในโลกใบนี้ว่า ทุกปัญหาล้วนเกิดจาก "จิตฟุ้งซ่าน" ของมนุษย์

ขณะเดียวกันเหล่าสัตว์ประเสริฐทั้งหลายกลับไม่รู้จักการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่เคยพอใจสิ่งใดๆ ไม่เคยเติมเต็มตัวเองสักที แล้วก็หาความสุขจากภายนอก วนเวียนอยู่ในความยึดมั่นสรรพสิ่งทั้งปวง หรือ ขันธ์ 5 (รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์) และการรับรู้และตอบสนอง หรือ อาตยนะ 6 ทั้งภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ และภายนอก ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ ธัมมารมณ์

"วงจรชีวิตเดินตามครรลองของมันอยู่แล้ว แต่บางคนพยายามหาความสุขที่มากกว่าทั่วไป บ้างเที่ยว หรือทำงานเพื่อเอาเงินมาซื้อความสุขทางวัตถุอื่นๆ มันเป็นภาพลวงตาของความสุข เพราะเราจะตั้งความหวังใหม่ไปเรื่อยๆ" พระอาจารย์ยกตัวอย่าง และอธิบายในอีกมุมหนึ่งว่า

หรือบางคนก็รู้หลักหลุดพ้นจากการยึดมั่นและรับรู้ แต่เลือกวิธีปฏิบัติสุดโต่ง ฝืนธรรมชาติของชีวิต เราจึงไม่พ้นทางดับทุกข์ ไม่สามารถควานหาความสุขที่จริงแท้ได้สักที และที่สำคัญที่สุดคือ พวกเราไม่เคยวกกลับตามหาความสุขที่อยู่ในใจเลยสักครั้ง

ค้นพบแล้ว สละทิ้ง
พระอาจารย์สุมโน ภิกขุ จึงเผยแนวทางการปฏิบัติเริ่มแรกให้ใช้วิธี "B-ME" ทั้งที่แปลว่า จงเป็นตัวของตัวเอง และเป็นตัวย่อของให้เข้าใจถึงความเป็นจริงของทุกสรรพสิ่ง คือ Begin (มีจุดเริ่มต้น) , Middle (ดำเนินมาได้ครึ่งทาง) และ End (แล้วเดี๋ยวก็จบ) ว่ามันจะหมุนเวียนกันไปอย่างนี้ไม่มีสิ้นสุด

ท่านยังเพิ่มเติมข้อธรรมหลากหลายอันงดงาม และมีคุณค่าเปี่ยมด้วยพลังแห่งการให้กำเนิดชีวิตใหม่ เพื่อให้เราหันกลับมาดูตัวเอง แก้ไขตัวตนให้สมบูรณ์ และเมื่อเราเป็นสัตว์สังคม เราก็จำเป็นต้องปฏิบัติต่อผู้อื่นให้ถูกต้อง อย่างการให้อภัย ซึ่งเป็นปัญญาธรรมว่าด้วยความรัก เมตตา ซึ่งพวกเราหลงลืมและละเลยไปแล้วในยุคสมัยนี้

ส่วนอีกหลักธรรมคำสอนที่ถือว่าเป็นจุดไคลแมกซ์ นั่นคือ วิธีการเจริญภาวนาที่พระอาจารย์เรียกว่า การคลายออก ซึ่งตรงข้ามกับการสั่งสม เป็นการปล่อยวาง อันจะนำไปสู่ความสุขสงบที่มนุษย์เราต่างแสวงหามาตลอดชีวิต

พระอาจารย์สุมโน ภิกขุ อธิบายต่อว่า เราต้องมีศีลเป็นพื้นฐานเพื่อให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบเสียก่อน แล้วใช้สมาธิเพื่อทำให้เกิดพลัง จากนั้นให้มองความสุขที่แท้จากการมองไปรอบๆ จะเห็นความงามของดอกไม้เป็นสิ่งชั่วคราว ประเดี๋ยวก็จะเห็นความเสื่อม แล้วจะพบว่าที่ใจเราทุกข์เพราะเรายึดติดกับกาย ความจริงแล้วธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้นของมันอยู่แล้ว

"เราต่างหากที่ประดิษฐ์จิต สมมุติมันขึ้นมา เราต้องมีสติ สนใจปัจจุบัน และรู้ว่าทุกสิ่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วจะผ่านไป เราต้องมองความเป็นจริง ว่าทุกอย่างมักเป็นอย่างนี้ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"

พระอาจารย์นักเขียน สรุปให้ฟังว่า ฝึกการเจริญภาวนานั้นให้เจริญสติเสมอว่า เดี๋ยวก็ดับไป ระลึกไว้ทุกขณะ อาจเริ่มทำเช้า-เย็นก่อนก็ได้ หรือระหว่างเดินจงกลม ไม่นานเราก็จะไม่ยึดติด

การนำเสนอทัศนคติตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงมีต่อโลกนี้ เป็นการสอนวิธีเยียวยาจิตในลักษณะเดียวกับการบำบัดรักษาความเจ็บป่วยและทุพพลภาพของร่างกาย มันจึงเป็นหนทางเพื่อการเจริญเติบโตแห่งจิตวิญญาณ และเป็นเครื่องมือฟื้นฟูจิตใจให้เกิดความรื่นรมย์ ผ่องแผ้ว ส่องประกายด้วยความสงบสุข เป็นสภาวะที่จิตใจได้กลับคืนสู่บ้านที่แท้จริง

ท่านทิ้งท้ายสำหรับผู้มีกิเลสหนา กลัวว่าจะทำไม่สำเร็จไว้ว่า แค่คิดว่าอยากจะพ้นทุกข์ ยิ่งมากขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งเกิดพลังมากขึ้นเท่านั้น คุณภาพชีวิตคนเราอยู่ที่ปัญญาของเรา ต้องเจริญในทางปัญญา ซึ่งจำเป็นต้องฝึกฝน เพราะการสร้างปฏิบัติธรรมก็เหมือนการปลูกต้นไม้ สภาวะเกิดปัญญาได้รวดเร็วต้องมีปัจจัยที่ดี และต้องโน้มน้าวจิตเราไปในทางธรรมเสมอ

แล้วแสงสว่างแห่งความสุขก็จะเปล่งประกายออกมา รับชีวิตใหม่ที่พ้นห้วงทุกข์อย่างแท้จริง

from http://bit.ly/efdrNy


การสร้าง ER Diagram ด้วยโปรแกรม Power Designer ต่อกับฐานข้อมูล MySQL

http://blog.buu.ac.th/blog/sutspy/18
http://blog.buu.ac.th/file/sukanya/createERD_PowerDesigner_MySQL.pdf


27 ธันวาคม 2553

ลงทุนในตลาดฟองสบู่

เวลานี้ได้ยินคำถามบ่อยว่า ตลาดหุ้นฟองสบู่หรือยัง ควรขายทิ้งหรือไม่

เรื่องนี้ก็แล้วใครจะมอง แต่โดยส่วนตัว ผมมองว่าตลาดหุ้นตอนนี้มีโอกาสที่จะเป็นฟองสบู่แล้วสูงมาก

เพราะอัตราดอกเบี้ยถูกเซ็ตให้ต่ำผิดปกติมาเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว ต่อให้เวลานี้ยังไม่ใช่ฟองสบู่ แต่ถ้าดอกเบี้ยยังเป็นแบบนี้ต่อไป ตลาดหุ้นก็จะเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ในที่สุด เพราะต้นทุนของเงินถูกบิดเบือนให้ต่ำกว่าความเป็นจริงไปมาก

หุ้นสองตัวที่มีกระแสเงินสดที่คาดการณ์ในอนาคตเหมือนกันทุกประการ ถ้าดอกเบี้ยในตลาดต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง มูลค่าที่เหมาะสมของมันจะเพิ่มขึ้นได้มากกว่าเท่าตัว ทั้งที่ตัวธุรกิจเหมือนเดิมทุกอย่าง พรีเมี่ยมที่เกิดขึ้นนี้มาจากการที่ต้นทุนเงินในตลาดต่ำลงอย่างเดียว ไม่เกีี่ยวอะไรกับบริษัทเลย

บอกคนบอกว่าถ้าตลาดหุ้นเป็นฟองสบู่แล้วก็ควรล้างพอร์ตทิ้งเลย แต่การที่ตลาดเป็นฟองสบู่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะต้องแตกเสมอไป มัน อาจแตกวันพรุ่งนี้เลย หรือมันอาจขึ้นไปอีกสามเท่าตัวแล้วค่อยแตกในอีกแปดปีต่อมาก็เป็นไปได้ ฟองสบู่ปี 40 หรือฟองสบู่แนสเด็กนั้นกว่าจะแตกก็ต้องใช้เวลา 6-7 ปี นั่นคือความยากของการทำนายว่าเมื่อไรฟองสบู่จะแตก หรือใครจะรู้ว่าอัตราดอกเบี้ยที่เราว่าต่ำเกินไปนั้น อาจกำลังกลายมาเป็นระดับที่ปกติของโลกในยุคต่อไปก็ได้ ถ้าคิดว่าหุ้นแพงเมื่อไรก็ขายหุ้น แล้วหุ้นมันดันไม่ถูกลงอีกเลยนานนับสิบปี ทำให้เราเสียเวลาในการลงทุนไปเป็นสิบปี ก็ถือว่าเป็นความสูญเสียอีกรูปแบบหนึ่งเหมือนกัน

ในเมื่อเราไม่ได้เก่งขนาดที่จะทายได้ว่าฟองสบู่จะแตกเมื่อไร หรือรู้ล่วงหน้าว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในช่วงสิบปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ผมจึงไม่เห็นด้วยที่จะล้างพอร์ตในเวลานี้ต่อให้คิดว่าตลาดหุ้นเป็นฟองสบู่ แล้วก็ตามครับ

มีคนอีกด้านหนึ่งเหมือนกันที่คิดไปถึงขนาดที่ว่าดอลล่าร์จะล่มสลาย แล้วทองคำ น้ำมัน รวมทั้งเงินเอเชียจะพุ่งทะยานยิ่งกว่านี้อีก และเอเชียจะก้าวขึ้นมายิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นต้องลงทุนให้เต็มอัตราศึก แต่ผมก็ไม่ได้มั่นใจถึงขนาดนั้นด้วยเช่นกัน ผมว่าปรากฏการณ์ความไม่สมดุลของโลกในเวลานี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมา ก่อน ตัวแปรที่เกี่ยวข้องก็เยอะมาก ไม่มีใครที่รู้จริงขนาดที่จะฟันธงได้ว่าจะต้องเกิดอย่างนั้นอย่างนี้ในที่ สุด

ในภาวะแบบนี้ผมเลือกที่จะยังอยู่ในตลาดหุ้นต่อไป เพราะไม่อยากเสียโอกาสในการลงทุน แต่ในเวลาเดียวกันก็ตระหนักว่าหุ้นก็ไม่ได้ถูกแล้วและโอกาสที่ฟองสบู่จะแตก ก็มีได้ด้วย จึงจำเป็นต้องมีวิธีคิดบางอย่างที่ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายที่ รุนแรงได้ด้วย

อย่างแรกก็คือ ผมมองว่าเงินของเราที่อยู่ในตลาดหุ้นอยู่แล้วเวลานี้ เรากำไรมาแล้วพอสมควร ตลาดหุ้นในช่วงสองปีที่ผ่านมาขึ้นมาไม่ใช่น่้อยๆ ดังนั้น ถ้าหากเงินจำนวนนี้จะอยู่ในตลาดต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการถือตัวเดิม หรือเปลี่ยนตัวก็ตาม แล้วฟองสบู่แตกจริงๆ เราก็ไม่ได้เสียหายมากนัก เพราะเงินจำนวนนี้เป็นส่วนของกำไรอยู่ไม่ใช่น้อย แต่ถ้าหากเราขายหุ้นส่วนนี้ออกมาถือเป็นเงินสดแทน แล้วตลาดหุ้นเกิดทะยานต่ออย่างมากมายแบบที่มีบางคนเขาทายไว้อย่างนั้นได้ จริง เราก็จะพลาดกำไรไปไม่น้อยเลย ฉะนั้นเงินส่วนนี้จึงมี upside สูง แต่ downside ต่ำ ถือเป็นโอกาสของเราที่จะ bet ต่อ จะถือตัวเดิมต่อ หรือมองหาตัวใหม่ก็ได้ไม่ต่างกัน หมุนไปหมุนมาอยู่ในหุ้นเหมือนเดิม

แต่ถ้าหากเป็นเงินก้อนใหม่ที่จะใส่เพิ่มเข้าไปอีกเพื่อเพิ่ม exposure ของเราในตลาดหุ้น อันนี้ผมจะคิดหนักหน่อย ถ้าไม่แน่ใจจริงๆ ว่าราคาที่เข้าซื้อไม่แพง ก็ถือว่าเสี่ยง คนที่เจ๊งในตลาดฟองสบู่ส่วนมากจะเจ๊งกันก็เพราะแบบนี้ เช่น ตอนแรกลงทุนไปแสนบาท ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นไปเท่าตัวกลายเป็นสองแสนบาทดีใจใหญ่ คิดว่าตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนที่ดีเหลือเกิน ก็เลยเอาเงินใส่เข้าไปเพิ่มอีก ห้าแสน กลายเป็นต้นทุนหกแสน มีกำไรอยู่ข้างในแค่แสนเดียว พอตลาดขึ้นต่ออีก 50% ดีใจใหญ่เลยหาเงินใหม่มาใส่เพิ่มอีกหนึ่งล้าน กลายเป็นว่ายิ่งต้นทุนสูงเรายิ่งมีน้ำหนักหุ้นมาก ซึ่งที่ถูกต้องควรจะเป็นตรงกันข้าม แบบนี้พอฟองสบู่แตกจะเสียหายหนักมาก แบบที่ร้ายที่สุดคือ ตอนฟองสบู่แตกแล้วคิดว่าหุ้นถูกลง (แต่ลืมไปว่าราคาเดิมคือราคาที่แพงมาก) ก็เลยทุ่มเงินใหม่ใส่เข้าไปอีกหลายเท่าตัว แทนที่จะเสียหายแค่นิดเดียวเลยกลายเป็นแทบหมดตัว เรื่องการคิดถึงน้ำหนักของแต่ละต้นทุนที่มีอยู่นี้เป็นสิ่งที่นักลงทุนหลาย คนไม่เคยมองในมุมนี้มาก่อนเลย ทำให้พลาดเอาง่ายๆ ได้

อย่างไรก็ตาม บางคนอาจโชคไม่ดีตรงที่ตอนที่หุ้นถูกๆ ไม่ได้ถือหุ้นไว้มาก แบบนี้ก็อดใจได้ยากเหมือนกัน ที่จะไม่เพิ่มน้ำหนักหุ้นเข้าไปอีก ถ้าใครอยากเติมเงินเข้าไปในตลาดหุ้นอีก จริงๆ ก็ทำได้ครับ (ถ้าเป็นนักลงทุนที่เคร่งครัดจริงๆ คงไม่ทำเด็ดขาดถ้าเห็นว่าหุ้นแพงแล้ว แต่ผมว่า การอนุรักษ์นิยมมากเกินไปบางทีก็เป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งเหมือนกัน คือเราก็อาจเสียโอกาสที่จะให้เงินทำงานด้วย เอาเป็นว่า คำแนะนำของผมเป็นแบบที่อยู่ตรงกลางๆ ไม่ใช่นักลงทุนแบบเคร่งครัดสุดโต่งนะครับ) แต่จะต้องเอาเทคนิคในการลดความเสี่ยงของพวกเทรดเดอร์มาใช้ นั่นคือ เราอาจตั้งกฏเอาไว้ว่า เงินก้อนนี้หาลงไปแล้ว ตลาดหุ้น crash เราจะยอมขาดทุนแค่ไม่เกิน x% เกินเมื่อไรเราจะยอมขายขาดทุนเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะขาดทุนมากๆ แบบนี้ถ้าตลาดหุ้นไปต่อเราก็ไม่เสียโอกาส แต่ถ้าฟองสบู่แตกเราก็ขาดทุนแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ต้องอาศัยวินัยการลงทุนที่เคร่งครัดด้วยนะครับ เพราะถ้าถึงเวลาจริงๆ กลับไม่กล้าขายขาดทุนออกมาตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้ เพราะทำใจไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์ ลดความเสี่ยงไม่ได้เลย

เอาเป็นว่าทั้งหมดนี้เป็นเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่จะนำไปประยุกต์ใช้กันได้กับการลงทุนในตลาดหุ้นที่ช่วงเวลาที่เราคิดว่า มันอาจเป็นฟองสบู่

มีนักลงทุนบางท่านอยากให้ผมสรุปให้ฟังว่าเราจะสังเกตวิกฤตได้อย่างไรบ้าง จะได้คาดการณ์วิกฤตล่วงหน้าได้ทัน แต่ผมอยากบอกว่านั่นไม่ใช่วิธีลงทุนที่ดีนัก เพราะการทายว่าจะมีวิกฤตไม่ใช่เรื่องกล้วยๆ วิธีการที่น่าจะดีกว่าสำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่คือการคิดว่า ถ้าออกหัวควรจะทำอย่างไร ถ้าออกก้อยควรจะทำอย่างไร เรามีแผนการรับมือทุกสถานการณ์ไว้แล้วย่อมทำให้ตัวเองหลีกพ้นจากหายนะได้ ดีกว่าพยายามทายให้ได้ว่าจะอนาคตจะเป็นไง แล้วจัดพอร์ตไปทางเดียว แล้วพอมันไม่ได้เป็นแบบนั้นปุ๊บ ก็ไปต่อไม่ถูก ขาดทุนบักโกรก

from http://portal.settrade.com/blog/1001ii/2010/12/24/966


26 ธันวาคม 2553

Merry X Mas & Happy New Year 2011

Christmas is a time for love and fun,
A time to reshape souls and roots and skies,
A time to give your heart to everyone
Freely, like a rich and lavish sun,
Like a burning star to those whose lonely sighs
Show need of such a time for love and fun.
For children first, whose pain is never done,
Whose bright white fire of anguish never dies,
It's time to give your heart to every one,
That not one angel fall, to hatred won
For lack of ears to listen to her cries,
Or arms to carry him towards love and fun,
Or friends to care what happens on the run
To adult life, where joy or sadness lies.
It's time to give your heart to everyone,
For God loves all, and turns His back on none,
Good or twisted, ignorant or wise.
Christmas is a time for love and fun,

from forward mail


สงคราม E-Books ในไทย สุดท้าย...ใครชนะ!! (1)

หลังจากที่ Barnes & Noble (BN) ร้านหนังสือออนไลน์ที่เคยพลาดท่าเสียทีต่ออเมซอน ผมนั่งอ่านข่าวสงคราม E-Book ในตลาดโลกด้วยความสนใจครับ


ครับ- ผมนั่งอ่านข่าวสงคราม E-Book ในตลาดโลกด้วยความสนใจครับ เพราะหลังจากที่ Barnes & Noble (BN) ร้านหนังสือออนไลน์ที่เคยพลาดท่าเสียทีต่อร้านหนังสือ Amazon .com เมื่อครั้งทำศึกชิงความเร็วในการเปิดเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเพื่อให้บริการลูกค้าช้ากว่าค่ายอเมซอน

ล่าสุดค่าย BN ก็ออกตัวช้าอีกแล้ว...ออกมาไล่ตาม Amazon อีกครั้งด้วยการเปิดร้านจำหน่ายอีบุ๊คทั้งที่ทางบริษัท BN อ้างน้ำลายแตกฟองว่า ตัวเองใหญ่ที่สุดในโลก เพราะมีอีบุ๊คเตรียมไว้ให้บริการมากกว่าถึง 700,000 ไตเติล

ยิ่งไปกว่านั้นค่าย BN ยังดอดไปเซ็นต์สัญญาจับมือกับ ค่าย Plastic Logic บริษัทผู้ผลิตเครื่องอ่านอีบุ๊ค เพื่อชนกับเครื่องยี่ห้อ Kindle ของค่าย Amazon อีกด้วย

รายงานข่าวต่างประเทศเขาระบุเอาไว้ว่า ผู้บริหารของ BN ออกมากล่าวว่า ข้อมูลอีบุ๊คที่จำหน่ายในร้านนั้นจะมีความสามารถสูงในการนำไปเข้ากับเครื่องอ่านอีบุ๊คในท้องตลาดที่กำลังได้รับความนิยมหลายรุ่นรวมถึงเครื่อง iPhone และ iPod Touch สมาร์ทโฟน Blackberry และคอมพิวเตอร์ที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows และ Mac OS อีกด้วย
และอย่างที่บอกว่า เขามีข้อมูลอีบุ๊คที่ให้บริการในร้านจะมีมากกว่า 700,000 ไตเติล -ขณะที่ทางค่าย Amazon มีประมาณ 300,000 ไตเติลเท่านั้น ซึ่งข้อมูลที่มีนั้นจะเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดหลายร้อยรายการที่จำหน่ายในราคาเพียงไตเติลละ 9.99 ดอลลาร์ (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 360 บาท) เท่านั้น

ผู้บริหารของNB ยังโม้ขี้ฟันฟุ้งแถมยังคุยอีกด้วยว่า ในปีหน้า 2011 ทางค่ายเขาจะมีจำนวนไตเติลของอีบุ๊คในร้านเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 1,000,000 ไตเติลอย่างแน่นอน เรียกว่าการให้บริการของเขาจะครอบคลุมอีบุ๊คจากทุกสำนักพิมพ์หนังสือเล่มที่มีอยู่ และทุกไตเติลที่มีต้นฉบับเป็นอีบุ๊คอยู่แล้ว

นอกจากนี้ สำหรับอีบุ๊คที่อยู่ในสต็อกนั้น ปรากฏว่ามีอยู่มากกว่า 500,000 ไตเติลจะเป็นหนังสือที่เผยแพร่ได้ในลักษณะที่เป็นสาธารณสมบัติจาก Google ซึ่งสามารถดาวน์โหลดไปอ่านได้ฟรี โดยทางค่าย BN จะได้ใช้แอพพลิเคชั่น eReader เวอร์ชันอัพเกรดที่พัฒนาโดยบริษัท Fictionwise ที่ซื้อมาเมื่อต้นปี 2010 โดยแอพฯดังกล่าวจะมีเวอร์ชั่นบน iPhone และ Blackberry เช่นเดียวกับเวอร์ชั่นที่สามารถรันบนคอมพิวเตอร์ที่ใช้โอเอสเป็น Windows และ Mac

ซึ่งผู้ที่ใช้เครื่อง eReader ในครั้งแรกจะสามารถดาวน์โหลดอีบุ๊คฟรี โดยรวมถึงไตเติลอย่าง Pocket Dictionary ของ Merriam-Webster, Sense and Sensibility, Little Woman, Last of Mohicans, Pride and Prejudice และ Dracula

เนื้อข่าวยังบอกเอาไว้อีกว่า นอกจากในส่วนของร้านจำหน่ายอีบุ๊ค และแอพพลิเคชั่น eReader แล้วค่ายผู้บริหารของค่าย BN ยังได้แนะนำเครื่องอ่านอีบุ๊คที่จะใช้ต่อกรกลับ Kindle ของ Amazon ด้วย

โดยทางบริษัทจะทำให้หน้าร้านอีบุ๊คทำงานเข้ากันได้เป็นอย่างดีกับ eReader เครื่องอ่านอีบุ๊คของ Plastic Logic รายเดียวเท่านั้น ซึ่งคาดว่าจะวางตลาดเครื่องอ่านได้ในต้นปี 2010 ตามเนื้อข่าวนั้นระบุเอาไว้ว่า
จุดเด่นของ eReader ที่เป็นฮาร์ดแวร์ก็คือ มันมีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ถึง 8.5 x 11 นิ้ว บางเพียงแค่ 0.27 นิ้ว และเบามาก

อีกทั้งหน้าจอยังทำงานในระบบสัมผัสอีกด้วย ส่วนเทคโนโลยีที่ใช้ในการแสดงผลยังคงเป็นอีอิงค์เช่นเดียวกับเครื่องของKindle แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังไม่มีการเปิดเผยเรื่องของราคาเครื่องอ่านออกมาแต่อย่างใด
ผมอ่านข่าวสงคราม E-Book ระดับโลกแล้วกลับมานั่งจิบกาแฟดำริมหน้าต่าง...คิดกลับไปกลับมา มองข้อดีข้อเสียของพัฒนาไปอีกขั้นของการอ่านหนังสือของชาวโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษเห็นภาพชัดครับ

รวมไปถึงคนไทยเราด้วยในอนาคต...เพราะอะไรใหม่-เทคโนโลยีแบบไหนล้ำ นำเทรนด์....คนไทยเราไม่พลาด รวมไปถึงเกี่ยวกับการอ่านหนังสือด้วย บางคนมีเงินซื้อ (แต่ไม่ชอบอ่านหนังสือเล่ม) พอมีเครื่องอ่าน E-Book เข้ามา ไม่มีรอช้า เพราะว่าถอยเครื่องมาเดินถือ...นั่งเล่นในร้านกาแฟหรูก็ดูทันสมัยแล้ว แต่อย่างไรก็แล้วแต่ ผมถือว่า ขอให้คนรักการอ่านเถิดจะอ่านแบบไหนไม่สำคัญ

เพราะการอ่านไม่เคยทำลายใคร....???

ผมมานั่งคิดสะระตะแล้วสำหรับระดับโลกนั้น รู้สึกว่ามันมีประโยชน์ไม่น้อยครับ ทั้งทางตรงและทางอ้อม

อย่างแรกสุดคือ ผมเชื่อว่า ทำให้การอ่านหนังสือจะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น เพราะหากมีเครื่องอ่าน e-Book เพียงเครื่องเดียวก็เหมือนกับมีหนังสือเป็นพัน ๆ เล่ม พกพาไปไหนมาไหนได้สบายมาก เรียกว่าคุณมีห้องสมุดเคลื่อนที่เลยทีเดียว
นอกจากนี้การอ่านหนังสือในยุคใหม่ จะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป เพราะเครื่องอ่าน e-Book รุ่นใหม่ๆ มีความสามารถที่จะแสดงผลด้วยภาพ ข้อความ เสียง และมีภาพเคลื่อนไหวได้ด้วย แต่จะแสดงเป็นสีหรือขาวดำนั้นก็ขึ้นอยู่กับชนิดของเครื่องอ่าน e-Book Reader เช่น Kindle ของ Amazon แสดงเป็นขาว-ดำ ส่วนเครื่องของ iPad แสดงหน้าจอเป็นสี

ประโยชน์ในประการต่อมาก็คือ ผู้อ่านทั้งหลายสามารถย้อนกลับไปอ่านหน้าที่ผ่านมาแล้วได้สะดวกและง่าย เพราะบางทีการอ่านหนังสือที่เป็นกระดาษที่เป็นเล่มหนา ๆ การจะกลับไปค้นหาคำบางคำเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก และนอกจากนี้ยังมีความสามารถในการเชื่อมโยงกับข้อความต่าง ๆ ภายในตัวหนังสือ หรือภายนอกเว็บไซต์อื่น ๆ จากอินเทอร์เน็ต ทำให้สามารถได้รับความสารที่รวดเร็วและถูกต้องมากขึ้นตลอดเวลา

และผมเข้าใจว่ามันจะทำให้ การกระจายข่าวสารต่างๆ ทำได้อย่างรวดเร็ว และกว้างขวางกว่าสื่อที่อยู่ในรูปสิ่งพิมพ์ เพราะการส่ง content จำนวนพัน ๆ หน้าสามารถทำได้เร็วกว่าที่จะต้องไปถ่ายเอกสารหนังสือทั้งเล่ม ซึ่งบางทีก็ข้อความไม่ชัด และเสียเวลา

อีกอย่างหนึ่งคือ บางครั้งความต้องการในอ่านหนังสือเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน ความสามารถในอ่านพร้อม ๆ กันได้หลาย ๆ คน โดยไม่ต้องรอยืม หรือคืนเหมือนหนังสือที่เป็นกระดาษในห้องสมุด ทำให้เกิดความสะดวกมากขึ้นและอย่างที่บอกว่า เราสามารถอ่านได้หลาย ๆ ครั้ง เพราะไม่ยับและไม่เสียหายเหมือนกระดาษ เพราะหลายครั้ง การอ่านหนังสือที่เป็นกระดาษ การเกิดการขาดยับได้ง่าย

ครับ-นอกจากนี้เครื่อง e-Book แทบทุกรุ่นทุกเครื่องจะมีเสียงประกอบหรืออ่านออกมาเป็นเสียงได้ เพื่อผู้พิการทางสายตาหรือผู้ที่ต้องการพักสายตา และสามารถเลือกได้ว่าจะเป็นเสียงผู้หญิงหรือเสียงผู้ชายและเนื่องจากเครื่องแบบนี้ไม่ต้องใช้กระดาษในการผลิต มันจึงช่วยด้านสิ่งแวดล้อม เพราะไม่ต้องมีการตัดต้นไม้มาทำเป็นกระดาษก่อน และไม่ต้องมีการพิมพ์หมึกลงไปบนกระดาษ ทำให้ไม่เปลืองหมึกพิมพ์ นอกจากนี้มันยังลดขั้นตอนการจัดส่ง ก็จะทำให้ต้นทุนในการผลิตลดลงได้ ทำให้สามารถจำหน่ายในราคาได้ในราคาที่ถูกกว่าหนังสือที่เป็นกระดาษ

ที่สำคัญคือนักเขียนสามารถขายผลงานของตนเองได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านโรงพิมพ์หรือสำนักพิมพ์ใดๆ ทำให้ราคาถูกลง และน่าจะเป็นโอกาสที่ทำให้เกิดนักเขียนใหม่ ๆ ขึ้นมาได้ง่ายมากขึ้นทำสำเนาได้ง่าย และ สามารถ update ได้รวดเร็ว ไม่มีความตายตัว,ตัวเครื่องมีความทนทาน สะดวกต่อการเก็บรักษา ลดปัญหาการจัดเก็บ (CD 1 แผ่นสามารถเก็บ e-Book ได้ประมาณ 500 เล่ม) ในอนาคตผู้คนจะมีความสะดวกสบายมากขึ้น ไม่ต้องเดินทางไปร้านหนังสือเพื่อซื้อหนังสือ เพราะว่าอยู่ที่ไหนก็สามารถทำได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีสัญญาณ Wi-Fi เพราะหนังสือบางเล่มในร้านก็ไม่มีขายแล้วด้วยซ้ำไป

สงคราม e-Book ในโลกอนาคตอันไม่ไกลข้างหน้านี้ จะมีการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านทั้งหลาย ที่สำคัญสำนักพิมพ์ทั้งหลายก็อาจจะไม่ต้องเสียเงินและเสียเวลาทำ Art work จัดทำรูปเล่มกันอีกต่อไป
แต่นั้นคือ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในต่างประเทศ....และในกลุ่มคนไทยที่อ่านภาษาอังกฤษแตก....

แล้วคนไทยที่อ่านภาษาไทยล่ะ....สงคราม E-Book thai ใกล้จะมาถึงแล้วหรือยัง....สัปดาห์หน้า...มาว่ากันต่อครับ!!

from http://bit.ly/g0PLje


21 ธันวาคม 2553

PHP for Android เขียน PHP บนมือถือแอนดรอยด์

สำหรับใครที่มีโทรศัพท์ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์อยู่ในครอบครอง และคุณก็ยังเป็นโปรแกรมเมอร์ที่พัฒนาภาษา PHP เป็นหลักผมว่าคุณควรมี  นี้ติดตั้งไว้ในมือถือของคุณ ถึงมันจะทำอะไรไม่ได้มากเท่า  แต่ผมว่าก็สามารถแก้ไขอะไรง่ายๆ ได้เหมือนกัน โดย  นี้มีชื่อว่า PHP for คุณสมบัติของมันก็คือทำให้เราสามารถเขียนภาษา PHP บนเครื่องโทรศัพท์มือถือของเราได้ โดยแอปฯ จะทำหน้าที่เป็น ให้เรา ซึ่งผมไปเจอแอปฯนี้มาโดยบังเอิญขนาดกำลัง R&D Zend Framework อยู่ก็เลยไปเจอเข้า หากใครสนใจก็ลองไปที่เว็บไซต์ phpforandroid.net ดูครับวิธีใช้งานและติดตั้งไม่ยากมาก ถ้าว่างๆจะลองเล่นดูเหมือนกันครั

from http://www.krapalm.com/2010/07/php-for-android/


19 ธันวาคม 2553

สอบถามเกี่ยวกับการยื่นแบบ ภงด. 90 ของเงินปันผลจากกองทุนรวมทุกประเภท เช่น LTF, FIF, กองทุนอสังหา และกองทุนทั่วๆไป

ถาม
เงินปันผลจากกองทุนรวมทุกประเภท เช่น LTF, FIF, กองทุนอสังหา และกองทุนทั่วๆไป
1. ถ้า ให้หัก ภาษี ณ ที่จ่าย 10% ไว้แล้ว แต่ปรากฏว่ามีเงินได้ในปีนั้นไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่อัตรา 10% ในการยื่นแบบ ภงด. 90 จะต้องนำเงินปันผลที่ได้รับไปคำนวณเป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (4) ข้อย่อย 2. หรือ มาตรา 40 (8) ข้อย่อย 2. กันแน่ครับ เพื่อเป็นการขอภาษีที่ถูกหักไว้คืน ?
2. ในกรณีเดียวกับข้อ 1. แต่เป็น ไม่ให้หัก ภาษี ณ ที่จ่าย 10% ในการยื่นแบบ ภงด. 90 จะต้องนำเงินปันผลที่ได้รับไปคำนวณเป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (4) ข้อย่อย 2. หรือมาตรา 40(8) ข้อย่อย 2. เพื่อแจ้งเป็นเงินได้ ?
หมายเหตุ
1. มาตรา 40 (4) ข้อย่อย 2 คือ เงินปันผลจากกองทุนรวม (เฉพาะที่ไม่เลือกเสียภาษีในอัตราร้อยละ 10)
2. มาตรา 40 (8) ข้อย่อย 2 คือ เงินส่วนแบ่งกำไรจากกองทุนรวมตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ (กรณีไม่ยอมให้ผู้จ่ายเงินได้หักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 10.0 แต่ขอคืนหรือขอเครดิตภาษีที่ถูกหักไว้นั้น)
ท้ายนี้ต้องขอขอบคุณที่ให้การบริการด้วยดีโดยเสมอมา


ตอบ
รายได้ในรูปของเงินปันผล จากกองทุนรวม สามารถเลือกนำมารวมเป็นเงินได้ (ยื่นแบบ ภงด. 90) ได้ ไม่ว่าให้ บลจ. หักภาษี ณ ที่จ่ายหรือไม่ โดยกรณีที่จะยื่นเป็นเงินได้ตาม ม.40(4) คือเมื่อได้รับเงินปันผลจากกองทุนรวมที่จัดตั้งก่อน ปี 2535 (ไม่เข้าข่ายตาม พรบ. หลักทรัพย์ฯ ปี 2535) สำหรับเงินได้ตาม ม. 40(8) คือเมื่อได้รับเงินปันผลจากกองทุนรวมที่จัดตั้งหลังปี 2535 (เข้าข่ายตาม พรบ. หลักทรัพย์ฯ ปี 2535) ค่ะ

ทั้งนี้ ควรสอบถาม กองทุนรวมของ บลจ. ที่ได้รับเงินปันผลอีกครั้งด้วยนะคะ ว่ากองทุนฯที่ท่านได้รับเงินปันผล จัดตั้งก่อน หรือ หลัง ปี 2535 ซึ่งจะมีผลต่อการยื่นแบบ ภงด. ค่ะ

อนึ่ง หากเป็นกองทุนฯ จาก บลจ. กสิกรไทย จะเข้าข่ายใน ม.40(8) ทั้งหมด เนื่องจาก กองทุนฯ จาก บลจ. กสิกรไทย เข้าข่ายตาม พรบ. หลักทรัพย์ฯ ปี 2535 (จัดตั้งหลังปี 2535) ทั้งหมดค่ะ

from https://www.k-weplan.com/WebboardDetail.aspx?mid=76&qid=2811


กำไรจากเงินปันผล...ยื่นแบบยังไง

โดย : เสกสรร โตวิวัฒน์ : บลจ.บัวหลวง

ดิฉันเคยฟังผ่านๆ เรื่องกำไรจากเงินปันผล แต่ขอชัดๆ อีกซักเที่ยวได้มั้ยคะ พอดีปีนี้ได้ปันผลจากการลงทุนในกองทุน LTF 4 หมื่นกว่าบาทเลยอยากทราบค่ะ ว่าเวลายื่นแบบต้องกรอกยังไงคะ

ความเห็น บลจ.บัวหลวง
เงินปันผลจากกองทุนรวม ไม่ว่าจะเป็นกองทุน LTF หรือกองทุนทั่วไปนั้น ถือเป็นเงินได้ที่ผู้ได้รับต้องนำไปเสียภาษีครับ แต่มีสิทธิเลือกว่าจะให้กองทุนดำเนินการหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% ไว้ก่อนหรือไม่

1) ถ้าให้หัก ณ ที่จ่าย 10% ไว้แล้ว ผู้ถือหน่วยมีสิทธิเลือกว่าจะนำเงินปันผลที่ได้รับไปคำนวณเป็นเงินได้ ตาม 40 (8) ใน ภงด. 90 หรือไม่
a. ถ้าผู้ถือหน่วยมีเงินได้ในปีนั้นไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่อัตรา 10% การนำไปคำนวณเป็นรายได้ก็จะได้เงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายกลับคืนบางส่วนหรือทั้งหมดได้ เพราะถูกหัก ณ ที่จ่ายล่วงหน้าไปแล้ว 10% มากกว่าภาษีที่ต้องเสีย กรณีนี้การนำไปรวมเป็นเงินได้จะได้ประโยชน์มากกว่า
b. แต่ถ้าเป็นผู้มีเงินได้เสียภาษีในอัตราภาษีบุคคลธรรมดา 10% ขึ้นไป การนำไปคำนวณรวมเป็นเงินได้ใน 40 (8) อย่างน้อยจะทำให้เงินได้ส่วนนี้ต้องเสียภาษี 10% เท่าที่หัก ณ ที่จ่ายไป หรืออาจต้องเสียเพิ่มขึ้นถ้ารวมคำนวณแล้วฐานภาษีขึ้นสูงเกิน 10% ซึ่งกรณีนี้ไม่ควรนำเงินปันผลที่ได้รับไปรวมคำนวณใน ภงด. 90
2) ถ้ากองทุนนั้นจ่ายปันผล โดยที่ไม่ได้หัก ณ ที่จ่าย 10% ไว้ ผู้ถือหน่วยมีหน้าที่ต้องนำเงินปันผลไปรวมเป็นเงินได้เพื่อยื่นเสียภาษีใน ภงด. 90 ครับ
3) เงินปันผลกองทุนรวม ไม่สามารถนำไปขอเครดิตภาษีได้
4) ทั้งนี้การหักภาษี ณ ที่จ่ายของรายได้เงินปันผลกองทุนรวม กรมสรรพากรระบุว่าต้องหัก ณ ที่จ่ายจากเงินปันผลที่ได้รับทั้งหมดในปี จึงจะมีสิทธิไม่ต้องนำไปคำนวณเป็นรายได้ตาม 40 (8) เช่น ในปีนี้ถ้าได้รับเงินปันผลจากกองทุนทั้งสิ้น 6 ครั้งจาก 5 กองทุน ก็ต้องให้หัก ณ ที่จ่ายไว้ 10% ทั้ง 6 ครั้งที่ได้รับ ถ้าหากมีครั้งใดที่ได้รับเงินปันผลมาโดยไม่ได้หัก ณ ที่จ่าย แม้เพียง 1 ครั้ง ผู้ถือหน่วยมีหน้าที่ต้องนำเงินปันผลที่ได้รับทั้งหมด 6 ครั้งไปรวมเป็นเงินได้ 40 (8) เพื่อเสียภาษีใน ภงด. 90
5) จากข้อมูลทั้งหมดหากผู้ลงทุนไม่แน่ใจว่ามีเงินได้ที่จะได้รับในแต่ละปีจะถึงเกณฑ์เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขั้นต่ำ 10% หรือไม่ แนะนำว่าควรแจ้งให้กองทุนหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้เสมอครับ
“บทความนี้ เป็นคำแนะนำตามหลักการลงทุนทั่วไป และอ้างอิงตามข้อมูลเท่าที่ได้รับเท่านั้น ผลตอบแทนจากการลงทุนในสัดส่วนดังกล่าวอาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง และผู้ลงทุนควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนการเงินโดยละเอียดอีกครั้งก่อนการลงทุนจริง”


from http://bit.ly/d3dvZG


18 ธันวาคม 2553

IT GOVERNANCE

IT GOVERNANCE

ปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การแข่งขันทางธุรกิจ และปัจจัยด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เป็นตัวผลักดันที่สำคัญ ที่ทำให้องค์กรหรือหน่วยงานต้องมีการปรับตัวอย่างมาก ไม่ใช่เพียงเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น แต่สิ่งที่ผู้บริหารทุกคนต้องการ คือการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนและมีภูมิคุ้มกันขององค์กรเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวขององค์กร ผู้บริหารจำเป็นจะต้องมีความรู้และความเข้าใจในการพัฒนาคุณภาพ การบริหารความเสี่ยง การวางแผนกลยุทธ์ แผนธุรกิจ และแผนการปฏิบัติงาน ตลอดจนการติดตามประเมินผล แต่เมื่อไปศึกษาถึงเบื้องหลังขององค์กรระดับโลกที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาคุณภาพ และเป็นรูปแบบของความเป็นเลิศเหล่านี้ ( Best Practices ) จะพบว่าปัจจัยที่แตกต่างกันระหว่างองค์กรที่ประสบความสำเร็จ กับองค์กรที่ไม่ประสบความสำเร็จก็คือ ระบบสารสนเทศ โดยองค์กรที่ประสบความสำเร็จจะมีโครงสร้างพื้นฐานของระบบสารสนเทศที่มีความยืดหยุ่น และสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ( Agile and Responsive IT Infrastructure System ) และมีการนำเอาสารสนเทศไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพในทุกส่วนขององค์กร มีการสังเคราะห์คิดค้นความรู้ใหม่ๆ เพื่อนำไปสร้างโอกาสทางธุรกิจ การค้นหาความต้องการใหม่ๆของลูกค้า การพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้า สร้างความประทับใจในสินค้าและบริการ ลดความผิดพลาด การติดตามประเมินความพึงพอใจของลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการ และเป็นแนวทางในการลดต้นทุนได้อย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพ

จะเห็นได้ว่าด้วยศักยภาพที่เพิ่มขึ้นของเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้การใช้ระบบสารสนเทศขององค์กร ได้ยกระดับจากการใช้ในระดับปฏิบัติงาน มาเป็นการใช้ในระดับกลยุทธ์ มีผลกระทบถึงความสามารถในการแข่งขัน การอยู่รอด และการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กร ซึ่งทำให้แนวคิดในการบริหารจัดการระบบสารสนเทศ ( IT Management ) อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันในหลายองค์กรซึ่งเน้นที่การปฏิบัติงาน ไม่เพียงพอที่จะตอบโจทย์ขององค์กรในระดับกลยุทธ์ได้ เทคโนโลยีสารสนเทศกลายมาเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าอย่างยิ่งขององค์กร เป็นกลไกหลักในการสนับสนุน ( Enabler ) ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขององค์กรในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนระบบและกระบวนการทำงานให้มีความกระชับมากขึ้น ลดขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อนและสับสน เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน กำกับควบคุม และการตรวจสอบติดตามประเมินผล เกิดการกระจายอำนาจ ( Empowerment ) และปรับโครงสร้างองค์กรให้เป็นแนวราบมากขึ้น ( Flat Organization ) เพิ่มศักยภาพการทำงานข้ามสายงาน ( Cross Functional Operation ) มีผลกระทบให้เกิดการพัฒนาและปรับเปลี่ยนโครงสร้างการทำงานในองค์กรแบบก้าวกระโดด ( Business Transformation )


การเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่เกิดอย่างรวดเร็วและรุนแรง รวมถึงการที่ผู้บริหารและหน่วยงานในองค์กรให้ความสำคัญ คาดหวังและเรียกร้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศมากขึ้น ทำให้องค์กรจำเป็นต้องมีกลไกในการบริหารและควบคุมระบบสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพ มีระบบบริหารความเสี่ยง ( IT Risk Management ) ซึ่งมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีให้ดียิ่งขึ้น ทำให้ธรรมาภิบาลทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ( IT Governance ) กลายมาเป็นส่วนสำคัญ มีบทบาทและผลกระทบอย่างมากในการกำกับดูแลกิจการที่ดีขององค์กร ( Corporate Governance )


ด้วยเหตุที่เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและมีความซับซ้อนมากขึ้น บวกกับการแข่งขันทางธุรกิจที่รุนแรง ไร้พรมแดน ( Globalization ) ถ้าไม่มีการบริหารจัดการที่ดี จะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างความต้องการทางธุรกิจ และความสามารถในการตอบสนองของระบบสารสนเทศ มากขึ้นเรื่อยๆ และปัญหานี้ก็จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น จนส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดขององค์กร ดังนั้นองค์กรจำเป็นที่จะต้องมีการออกแบบ วางแผน ตรวจสอบควบคุมคุณภาพและมาตรฐานในการบริหารจัดการระบบสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงมีมาตรการควบคุมความเสี่ยง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการลงทุนในระบบสารสนเทศ จะตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจ เพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ ( Business-IT Alignment ) และสามารถให้ผลตอบแทนในการลงทุน ( Return On Investment ) ได้สูงกว่าคู่แข่งขัน


IT Governance เป็นกรอบกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดการที่ดีทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นความรับผิดชอบของผู้บริหารระดับสูง และเป็นองค์ประกอบของกระบวนการบริหารในการปฏิบัติตามแผนกลยุทธ์ เพื่อสร้างศักยภาพ และการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กร ควบคู่กันไปกับหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี รวมถึงกระบวนการบริหารความเสี่ยง การเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยีสารสนเทศสร้างความเสี่ยงใหม่ๆให้กับองค์กร การสูญเสียโอกาสที่มีผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินการ การปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับของทางราชการ ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือขององค์กร ดังนั้นการผสมผสานความสามารถด้านต่างๆขององค์กรกับศักยภาพของระบบงาน และการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศที่ดี จึงเป็นทั้งหน้าที่และความรับผิดชอบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ของคณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูงของทุกองค์กรในปัจจุบัน


IT Governance ทำให้เกิดบูรณาการในการบริหารจัดการระบบสารสนเทศที่เป็นระบบ มีการกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ รวมทั้งขั้นตอนการทำงานที่ชัดเจน ลดความซ้ำซ้อน ลดความเสี่ยง และเพิ่มศักยภาพในการทำงานขององค์กร ทำให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล มีการใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม ลดต้นทุนในการดำเนินงาน และเพิ่มศักยภาพขององค์กร


ภาพรวมของธรรมาภิบาลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
ธรรมาภิบาลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศคือ การนำกรอบวิธีการปฏิบัติและวิธีการปฏิบัติที่ดีที่สุดจากมาตรฐานต่างๆ มาปรับใช้ในองค์กร เพื่อช่วยในการตรวจสอบติดตาม และปรับปรุงกระบวนการปฏิบัติงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีความสำคัญต่อองค์กร เพื่อเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจและเป็นการลดความเสี่ยงด้านธุรกิจที่องค์กรต้องเผชิญไปด้วยในตัว และให้สามารถแน่ใจได้ว่าเทคโนโลยีสารสนเทศขององค์กร ได้สนับสนุนวัตถุประสงค์ของธุรกิจ เพื่อที่จะทำให้องค์กรสามารถได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ จากข้อมูลของธรรมาภิบาลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ


ธรรมาภิบาลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้องค์กรสามารถแน่ใจได้ว่า เทคโนโลยีที่องค์กรนำมาใช้จะสามารถสนับสนุนเป้าหมายทางธุรกิจ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดทางด้านธุรกิจให้กับการลงทุนทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และช่วยให้องค์กรมีวิธีที่ใช้ในการจัดการกับความเสี่ยงอย่างเหมาะสม การที่มีความเข้าใจที่ดีในเรื่องของ สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ความเสี่ยงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง กลยุทธ์ทางด้านธุรกิจขององค์กร โครงสร้างในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศขององค์กร ความรู้ในเรื่องของเทคโนโลยีสารสนเทศที่สำคัญต่อองค์กร และแนวโน้มในการใช้งานของเทคโนโลยีสารสนเทศ จะเป็นส่วนสำคัญของการประสบความสำเร็จในการนำธรรมาภิบาลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในองค์กร ซึ่งหน้าที่ในการดูแลและรับผิดชอบในเรื่องของธรรมาภิบาลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศนั้น ถือเป็นอีกหน้าที่หลักของผู้บริหารระดับสูงและคณะกรรมการผู้จัดการ (Broad of Directors) ในการผลักดันให้องค์กรก้าวเข้าสู่หลักธรรมาภิบาลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่ดี



ความสำคัญของธรรมาภิบาลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
ธรรมาภิบาลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้องค์กรมีการบริหารงานที่เป็นระบบ ระเบียบ มีขั้นตอนที่แน่นอน ลดความซ้ำซ้อน และลดความเสี่ยง ทำให้องค์กรสามารใช้สารสนเทศได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ยังผลให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่องค์กร


ช่วยป้องกันการทุจริตของผู้บริหารหรือผู้ปฏิบัติงานได้ เนื่องจากมีการบริหารงานที่โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้


ช่วยให้การลงทุนทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศประสบความสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด คือ ได้ผลประโยชน์สูงสุดกับองค์กรโดยที่ใช้ต้นทุนที่ต่ำที่สุด


ช่วยสร้างและส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร ทำให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กร (เช่น ผู้ถือหุ้น องค์กรที่ทำธุรกิจร่วมกัน และลูกค้าขององค์กร) เกิดความเชื่อมั่นและความไว้วางใจในองค์กรมากยิ่งขึ้น


ความต้องการในเรื่องธรรมาภิบาลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
ในองค์กรมีผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องหลายคนที่จำเป็นจะต้องให้ความสนใจกับเรื่องของธรรมาภิบาลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อที่จะสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ผู้บริหารระดับสูงและคณะกรรมการผู้จัดการ (Executive and Broad of Director) ต้องการที่จะทราบว่าจะสามารถกำหนดเป้าหมายทางธุรกิจอย่างไรให้สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้โดยก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่องค์กร และจะนำแนวทางปฏิบัติของธรรมาภิบาลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้กับองค์กรให้เหมาะสมได้อย่างไร เพื่อให้สามารถแน่ใจได้ว่าความเสี่ยงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสารสนเทศที่มีความสำคัญต่อองค์กรจะได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม


ผู้บริหารด้านธุรกิจ (Business Manager) ต้องการที่จะทราบว่าฝ่ายบริหารจะสามารถกำหนดความต้องการทางด้านธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธรรมาภิบาลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศได้อย่างไร เพื่อให้สามารถมั่นใจได้ว่าโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจะถูกทำให้ลดน้อยลง


ผู้บริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Manager) ต้องการที่จะทราบว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้การให้บริการทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศสามารถตอบสนองได้ตรงตามความต้องการของธุรกิจอยู่ตลอดเวลา


ผู้ตรวจสอบด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Auditor) ต้องการที่จะทราบว่าจะต้องทำอย่างไรในการที่จะนำเนื้อหาต่างๆ ของโคบิตมาปรับใช้ในกระบวนการตรวจสอบด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้สามารถแน่ใจได้ว่ากระบวนการตรวจสอบจะมีประสิทธิภาพและมีความเป็นอิสระจากฝ่ายงานอื่น


ความเสี่ยง และพนักงานทั่วไป (compliance officer) ต้องการที่จะทราบว่าผู้จัดการด้านความเสี่ยง (risk manager) และ พนักงานทั่วไป จะสามารถนำมาตรฐานมาใช้ในเรื่องที่เกี่ยวกับกิจกรรมด้านความเสี่ยงและการปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับได้อย่างไร เพื่อให้สามารถแน่ใจได้ว่าความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศใหม่ๆ จะถูกค้นพบได้อย่างรวดเร็ว และ พนักงานที่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎ (IT complies) มีการปฏิบัติตามนโยบาย ระเบียบข้อบังคับ และกฎหมายหรือไม่



ตัวอย่างโคบิตกับธรรมาภิบาลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
โคบิตมีเนื้อหาหลายหัวข้อที่มีความเกี่ยวเนื่องกับเรื่องของธรรมาภิบาลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อต้องการที่จะให้องค์กรที่นำโคบิตไปใช้ ได้เป็นองค์กรที่มีธรรมาภิบาลที่ดี โดยเรื่องที่โคบิตกล่าวถึงเกี่ยวกับธรรมาภิบาลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศมีดังนี้

1.วัตถุประสงค์ของโคบิตในเรื่องของธรรมาภิบาลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
2.IT Governance Focus Areas


วัตถุประสงค์ของโคบิตในเรื่องของธรรมาภิบาลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
โคบิตสนับสนุนในเรื่องของธรรมาภิบาลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศโดยมีการจัดเตรียมกรอบวิธีปฏิบัติต่างๆ เพื่อต้องการให้แน่ใจว่า :


เทคโนโลยีสารสนเทศที่นำมาใช้จะเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับธุรกิจขององค์กร


เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถที่จะสนับสนุนความต้องทางด้านธุรกิจได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ


ทรัพยากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศถูกใช้อย่างเหมาะสม


สามารถจัดการความเสี่ยงทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศได้อย่างเหมาะสม


IT Governance Focus Areas
โคบิตนำเสนอเนื้อหาที่เกี่ยวกับการจัดการในส่วนของธรรมาภิบาลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศโดยแบ่งออกเป็น 5 ส่วนหลัก ซึ่งมีเนื้อหาที่ครอบคลุมในเรื่องของธรรมาภิบาลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศทั้งหมด ดังข้อมูลด้านล่างนี้


1.การจัดวางกลยุทธ์ (IT strategic alignment) มีเนื้อหาในการเน้นที่เรื่องของการเชื่อมโยงให้เกิดความสอดคล้องกันระหว่างแผนทางธุรกิจกับแผนทางเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยจะครอบคลุมไปถึงการกำหนดและการวางแผน การดูแลรักษา และการตรวจสอบความถูกต้องของเทคโนโลยีสารสนเทศ และรวมไปถึงการทำให้กระบวนการปฏิบัติงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ดำเนินไปในทิศทางเดี่ยวกับกระบานการปฏิบัติงานขององค์กร


2.การนำเสนอคุณค่า (Value delivery) มีเนื้อหาในการเน้นที่เรื่องของการนำเสนอคุณค่าตลอดจนวงจรของการนำส่ง หลักการพื้นฐานของการสร้างคุณค่าด้านเทคโนโลยีสารสนเทศคือ การส่งมอบให้ตรงเวลา อยู่ในงบประมาณที่กำหนด ผลประโยชน์ที่ได้รับจะต้องสามารถระบุได้และเป็นไปตามที่ได้กำหนดไว้ เพื่อทำให้มั่นใจได้ว่าเทคโนโลยีสารสนเทศสามารถสร้างประโยชน์ได้ตามที่กำหนดไว้ในกลยุทธ์ขององค์กร


3.การจัดการกับทรัพยากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT resources management) มีเนื้อหาในการเน้นที่เรื่องของการบริหารจัดการทรัพยากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งครอบคลุมในส่วนของการลงทุนอย่างไรเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนสูงสุด และเรื่องการบริหารจัดการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีความสำคัญต่อองค์กร (ได้แก่ ระบบงานประยุกต์ สารสนเทศ โครงสร้างพื้นฐาน และบุคลากร) อย่างเหมาะสม ซึ่งประเด็นของเรื่องนี้จะอยู่ที่การนำความรู้และโครงสร้างพื้นฐานที่องค์กรมีอยู่มาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด


4.การจัดการความเสี่ยง (Risk management) มีเนื้อหาในการเน้นที่เรื่องของการจัดการความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนในเรื่องของความเสี่ยงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานขององค์กร และสามารถตระหนักถึงความเสี่ยงที่มีความสำคัญต่อองค์กร เพื่อเป็นการปลูกฝังในเรื่องของหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆ ในองค์กร


5.การวัดประสิทธิภาพ (Performance measurement) มีเนื้อหาในการเน้นที่เรื่องของกลยุทธ์และวิธีที่ใช้ในการตรวจสอบและติดตามในด้านของ การทำให้เป็นผล (implementation) ความครบถ้วนสมบูรณ์ของโครงการ (project completion) การใช้งานทรัพยากร (resource usage) ประสิทธิภาพของกระบวนการ (process performance) และ การส่งมอบการให้บริการ (service delivery) ซึ่งการวัดประสิทธิภาพถือเป็นส่วนที่มีความสำคัญมากที่สุดในเรื่องของธรรมาภิบาลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพราะจะทำให้องค์กรทราบได้ว่าหลักการที่องค์กรได้นำมาใช้นั้นประสบผลสำเร็จมากน้อยแค่ไหน และควรที่จะปรับปรุงไปในทิศทางไหน


เอกสารอ้างอิง


- http://www.itsmf.org.sg


- http://www.ibm.com/developerworks/rational/library/dec07/mueller_phillipson/index.html


- IT Governance & Risk Management โดย เมธา สุวรรณสาร


- http://www.drkanchit.com

from http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=dimiasyou&date=13-03-2009&group=4&gblog=3


17 ธันวาคม 2553

Javascript Closures

http://jibbering.com/faq/notes/closures/#clExCon


Understanding and Solving Internet Explorer Leak Patterns

http://msdn.microsoft.com/en-us/library/bb250448(VS.85).aspx


JavaScript Closures for Dummies

http://blog.morrisjohns.com/javascript_closures_for_dummies.html


เจ้ามือป๊อกเด้ง

โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร


เมื่อผมเข้ามาอยู่ในแวดวงของการลงทุนเต็มตัว บ่อยครั้งผมคิดถึงประสบการณ์เก่าๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเล่น เกม "พนัน"

ที่ผมเคยทำมา ส่วนใหญ่แล้ว เกม "พนัน" ที่ว่า มักจะเป็นเกมเดิมพันของ "ชีวิต" มากกว่าจะเป็นเรื่องของเงินทอง

ในบางครั้งผมก็เล่น "พนัน" เป็นเงินบ้าง และทุกครั้งก็เป็นการเล่นเพื่อความสนุกสนาน หนึ่งในการเล่นพนันที่ผมเคยทำ ก็คือ การเป็น "เจ้ามือป๊อกเด้ง" และต่อไปนี้ คือ ประสบการณ์ที่ผมคิดว่ามีประโยชน์สำหรับการลงทุนโดยเฉพาะในหุ้น

ในการเป็นเจ้ามือป๊อกเด้งนั้น สิ่งที่ผมพบ ก็คือ ผมอาจจะได้เปรียบลูกมือเล็กน้อยในแง่ที่ผมสามารถเลือกที่จะ "จับ" หรือเปิดไพ่ของลูกมือก่อนโดยเฉพาะคนที่ "จั่ว" ไพ่ไปหลายใบและมีโอกาส "ตาย" ซึ่งจะทำให้ผมชนะหรือ "กิน" คนนั้นก่อน

นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า ผมมักจะเล่นได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ในช่วงเวลาหนึ่งติดต่อกันจนเงินบนหน้าตักผมกองท่วม อาจจะเป็นเพราะผมมีฝีมือ หรือที่น่าจะเป็นมากกว่า ก็คือ "ดวง" กำลังขึ้น แต่หลังจากนั้น "ดวง" ผมก็มักจะเริ่มตก ผมเริ่มแพ้หรือเสียเงินมากขึ้นและมากขึ้น จนเงินกองโตนั้นลดลงไปเรื่อยๆ จนแทบหมดซึ่งถ้าเวลายังเหลือ

ผมก็จะต้อง "ควักเค้า" หรือเอาเงินจากกระเป๋าออกมาเพิ่ม และแล้วโชคก็มักจะกลับมา ผมเริ่มได้กำไรและพอร์ต...อุ๊บ... กองเงินบนหน้าตักก็เติบโตขึ้นมาใหม่ ซึ่งก็จะลดลงไปอีกในเวลาต่อมา เป็นวงจรหมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเวลาประมาณตีสอง ซึ่งได้เวลานอนและเป็นเวลาที่ต้องเลิกเล่น นั่นก็จะเป็นเวลาตัดสินว่าผมจะได้หรือจะเสียเงินจากการเล่นพนันในครั้งนั้น

การเล่นหุ้นหรือการลงทุน โดยเฉพาะคนที่ทุ่มเท เอาจริงเอาจัง มุ่งมั่น และ "กล้าได้กล้าเสีย" บางทีผมก็คิดว่าอาจจะมีอะไรคล้ายๆ กับการเล่นเป็นเจ้ามือป๊อกเด้งอยู่เหมือนกันในแง่ของผลตอบแทน หรือเม็ดเงินที่ได้หรือเสีย ลองมาดูตัวอย่างของนักลงทุนชื่อดังระดับโลกหลายๆ คน

คนแรก ก็คือ Jesse Livermore "นักเก็งกำไรบันลือโลก" ลิเวอร์มอร์นั้น เป็นนักเก็งกำไรโดยเฉพาะในสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ โดยการใช้มาร์จิน หรือเงินกู้มาเก็งกำไรมหาศาล วิธีการลงทุนนั้น แน่นอน คงเป็น การ "ซื้อนำ" ไล่ราคา รวมถึงการปล่อยข่าวต่างๆ

ในแนวนี้ก็คงคล้ายๆ กับการทำตัวเป็น "เจ้ามือ" ป๊อกเด้ง ซึ่งมีความได้เปรียบคน ที่ "ซื้อตาม" หรือลูกมืออยู่ไม่น้อย ผลการเล่นหุ้นหรือเก็งกำไรของลิเวอร์มอร์นั้น คล้ายคลึงกับเจ้ามือป๊อกเด้งมากนั่น ก็คือ เขารวยขึ้นมหาศาลจนกลายเป็น "เซเลบ" ที่คนรู้จักกล่าวขวัญกันไปทั่ว และต่อมาเขาก็เจ๊งจนล้มละลาย แต่ด้วยการที่ยัง มี "เครดิต" หรือ ยัง "เหลือเค้า" อยู่บ้าง เขาจึงสามารถทำกำไรกลับมาได้อีก แต่แล้วเขาก็เจ๊งอีก นับได้ถึงสามครั้งที่เขาล้มละลายและกลับมาใหม่เหมือนเจ้ามือป๊อกเด้งเหมือนกัน โชคไม่ดีที่ครั้งสุดท้ายตอนที่เขาเลิกเพราะฆ่าตัวตาย พอร์ตของเขาเหลือศูนย์ดอลลาร์

คนที่สอง ผมยกให้ Julian Robertson ตำนานผู้จัดการเฮดจ์ฟันด์ อดีตผู้บริหารกองทุน Tiger Fund กองทุนเฮดจ์ฟันด์กองแรกๆ ของโลกที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ด้วยเทคนิคการลงทุนที่มาใน แนว "VI" อยู่เหมือนกันแม้ว่าหลายคนอาจจะบอกว่าไม่ใช่

ผลตอบแทนที่โดดเด่นทำให้พอร์ตของเขาเติบโตมหาศาล จากปีเริ่มต้นในปี 1980 ที่พอร์ตแค่ 8 ล้านดอลลาร์กลายเป็น 7.2 พันล้านในปี 1996 และกลายเป็นเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกด้วยกองทุนถึงกว่า 22 พันล้านดอลลาร์ ในปี 1998

แต่พอถึงปี 2000 "โชค" ก็ไม่เข้าข้างเขา กองทุน Tiger มีผลงานย่ำแย่มาก ผลงานพ่ายแพ้ดัชนี S&P ย่อยยับและผู้ถือหน่วยลงทุนพากันถอนทุนทำให้เขาต้องประกาศปิดกองทุน สาเหตุหนึ่งก็คือการที่กองทุนไม่ได้ถือหุ้นไฮเทคที่กำลังร้อนแรง และราคาวิ่งกันมายาวนานเลย

ที่สำคัญยิ่งกว่า ก็คือ การที่ Tiger Fund ถือหุ้นบริษัท US Airway อยู่ในพอร์ตมหาศาล ซึ่งราคาหุ้นตกลงมาอย่างหนักและเขาปฏิเสธที่จะขายมัน ในที่สุด US Airway ก็ล้มละลายทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเสียหายยับเยิน

ยังดีที่ Robertson ยังเหลือเงินส่วนตัวอยู่บ้าง ต่อมาเขาก็ใช้เงินนั้นช่วยเป็น "เงินเริ่มต้น" เพื่อก่อตั้งเฮดจ์ฟันด์ใหม่ๆ อีกหลายสิบกอง

นอกจากนั้น ลูกน้องหลายคนที่เคยทำงานใน Tiger Fund ก็ออกไปตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ใหม่ๆ อีกหลายกองที่เรียกกันว่า Tiger Cubs หรือกองทุน "ลูกเสือ" ส่วนตัวจูเลียนเองก็คงจะแก่เกินที่จะเล่นเองแล้วเขาจึงหันมาทำเรื่องการกุศลแทน

คนสุดท้ายที่ผมจะพูดถึง ก็คือ Bill Miller ผู้บริหารกองทุน Legg Mason Value Trust บิล มิลเลอร์ เคยเป็นสุดยอดนักบริหารกองทุนรวม ที่สร้างผลตอบแทนสูงสุด ในระยะเวลาที่ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ นั่นคือ ในระยะเวลา 15 ปี จากปี 1991-2005 กองทุนของเขาทำผลตอบแทนชนะดัชนี S&P ได้ทุกปีติดต่อกัน กองทุนเติบโตขึ้นจาก 750 ล้านดอลลาร์ในปี 1990 เป็น 20 พันล้านดอลลาร์ในปี 2006

เขาบอกว่าตนเองเป็น Value Investor ทั้งๆ ที่พอร์ตลงทุนของเขาเล่นหุ้นไฮเทคจำนวนมาก ที่มีราคา หรือค่า PE สูงลิ่ว ในตอนนั้นเขาเป็น "ซูเปอร์สตาร์" แต่แล้ว "โชค" ก็ไม่เข้าข้างเขา ตั้งแต่ปี 2006 ผลตอบแทนของเขาก็ตกต่ำลง และต่ำกว่าดัชนี S&P ในปี 2008 จากต้นปีถึงเดือน มิ.ย. พอร์ตเขาขาดทุนถึง 28%

ในขณะที่ดัชนีลบแค่สิบกว่าเปอร์เซ็นต์ ถ้านับย้อนหลังไปสิบปี สถิติของเขาต่ำกว่าดัชนี S&P และแม้ว่าจะดูย้อนหลังไปตั้งแต่ตั้งกองทุน ผลตอบแทนที่เคยยอดเยี่ยมนั้น ก็กลายเป็นธรรมดา คือ ดีกว่าดัชนี S&P เพียงนิดเดียว เทียบกับ เจ้ามือป๊อกเด้ง นี่ก็คือ ช่วงที่เงินบนหน้าตักกองโตลดฮวบลงไปเกือบหมด เราคงต้องดูกันต่อไปว่าเงิน "บนหน้าตัก" จะโตขึ้นอีกไหมสำหรับ บิล มิลเลอร์

อาการแบบเจ้ามือป๊อกเด้ง หรือจะเรียกให้เท่ว่า "ป๊อกเด้งซินโดรม" นี้ ผมคิดว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้ไม่น้อยถ้าเวลาของการเล่น หรือการลงทุนยาวพอ มันเกิดขึ้นได้กับนักลงทุนธรรมดาเช่นเดียวกับ "เซียน" มันเกิดขึ้นได้กับคนที่เป็นนักเก็งกำไรเช่นเดียวกับคนที่เรียกตัวเองว่า Value Investor

ดังนั้น เราต้องไม่ประมาทและมีความมั่นใจในตัวเองสูงเกินไป สถานการณ์ตลาดหุ้นที่เป็นกระทิงที่ยาวนาน อาจทำให้เราฮึกเหิมและโลภเกินไปจนลืมไปว่า "หายนะ" นั้น มีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่าที่เราคิด เหนือสิ่งอื่นใด ก็คือ ถ้าเราไม่แน่ใจ การ "เก็บเงินเข้ากระเป๋าบ้างในยามที่เงินกำลังกองเต็มหน้าตัก" ก็อาจเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เลวนัก

from http://bit.ly/gOUHcU


เศรษฐกิจนอกระบบ

โดย : นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์

ทุกวันนี้ ถ้าถามผมว่าอยากเห็นรัฐบาลช่วยพัฒนาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือที่เรียกว่าเอสเอ็มอีในรูปแบบใดมากที่สุด

ผมจะตอบว่าอยากเห็นรัฐบาลช่วยผลักดันเอสเอ็มอีให้เข้ามาอยู่ในระบบกันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้


มาตรการนี้อาจฟังดูแล้วเหมือนไม่น่าจะเป็นการช่วยเหลือเอสเอ็มอี แต่ที่จริงแล้ว มันส่งผลต่อการพัฒนาเอสเอ็มอีอย่างมากครับ


ทุกวันนี้ เอสเอ็มอียังเป็นหน่วยเศรษฐกิจที่อยู่นอกระบบในสัดส่วนที่สูงมาก คำว่า นอกระบบ ก็อย่างเช่น การเสียภาษีที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง การใช้แรงงานนอกระบบ การพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบ การขายสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์ต่างๆ การใช้ของปลอม รวมไปถึงการใช้ที่สาธารณะเป็นสถานประกอบการด้วย


บางคนอ้างว่า เอสเอ็มอีเป็นธุรกิจของคนตัวเล็ก ซึ่งทุกวันนี้ เสียเปรียบทุนขนาดใหญ่ในทุกๆ ด้าน ดังนั้น ถ้าจะปล่อยให้คนตัวเล็กทำอะไรไม่ถูกต้องบ้างก็หรี่ตาไปข้างหนึ่งเถอะ อย่างน้อยมันก็ช่วยให้เขามีอะไรที่พอจะสู้กับคนตัวใหญ่ได้


แต่สิ่งที่เรามองข้ามไป คือ การทำอย่างนั้นจะส่งผลร้ายอย่างยิ่งกับคนที่เป็นเอสเอ็มอีด้วยกันเอง ในเมื่อทุกคนสามารถแข่งขันกันนอกระบบหรือในระบบก็ได้ คนที่ทำตามระบบทุกอย่างจะเสียเปรียบมากจนทำให้อยู่ไม่ได้ สุดท้ายแล้วทุกคนก็จำต้องลุกขึ้นมาสู้กันนอกระบบเพื่อความอยู่รอด กลไกตลาดที่จะช่วยก่อให้เกิดการพัฒนาตามระบบจะกลายเป็นอัมพาต


ตัวอย่างเช่น การเสียภาษี เวลาที่แต่ละบริษัทเสียภาษีไม่เท่ากันมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ใครจะลักไก่ได้มากแค่ไหน ภาษีก็จะกลายมาเป็นข้อได้เปรียบเรื่องต้นทุนทางธุรกิจที่มีนัยสำคัญขึ้นมาทันที ภายใต้สภาวะแวดล้อมการแข่งขันในตลาดที่เหมือนกัน บริษัทที่หลบภาษีได้มากกว่าอาจมีต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่งได้มากถึง 20-30% หรือมากกว่านั้นอีก ในขณะที่บริษัทที่พยายามแข่งขันด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานด้วยการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ หรือพยายามพัฒนาสินค้าและบริการของตนให้มีจุดแตกต่างจากคู่แข่งนั้น อาจสร้างความได้เปรียบให้เหนือคู่แข่งได้เพียงแค่ 2-5% เท่านั้น


แล้วอย่างนี้จะดิ้นรนนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ หรือพยายามพัฒนาสินค้าให้เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคมากขึ้นทำไม ในเมื่อจุดชี้เป็นชี้ตายของการแข่งขันมันอยู่ที่เรื่องนอกระบบ


อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ เรื่องซอฟต์แวร์ ผมฟันธงเลยว่า บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ของบ้านเราไม่มีวันเกิดได้ เพราะต่อให้พัฒนาซอฟต์แวร์ได้ยอดเยี่ยมกว่าของต่างประเทศมากแค่ไหน แต่ถ้าซอฟต์แวร์ในประเทศไทยเป็นสิ่งที่ขายไม่ได้ เพราะไม่มีใครยอมจ่ายเงินซื้อซอฟต์แวร์ใช้ ก็เป็นไปไม่ได้เลย ที่บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์จะอยู่ในประเทศนี้ได้


ในสหรัฐบริษัทด้านเทคโนโลยีล้วนกอบโกยเงินจนกลายเป็นบริษัทที่มั่งคั่งที่สุดในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นไมโครซอฟท์ กูเกิล แอ๊ปเปิ้ล แต่ทำไมบริษัทด้านเทคโนโลยีของบ้านเรากลับกลายเป็นพวกที่อยู่อย่างลุ่มๆ ดอนๆ ขาดทุนแล้วขาดทุนอีก ต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐตลอดเวลา บางคนบอกว่าเป็นเพราะสหรัฐ มีพวก Private Equity ที่คอยให้ทุนสนับสนุนธุรกิจด้านเทคโนโลยีอยู่ อันนั้นก็อาจจะถูกส่วนหนึ่ง แต่ลองคิดว่า บริษัทพวกนี้ขายของไม่ได้ เพราะทุกคนลักลอบใช้ซอฟต์แวร์ฟรีกันหมด ต่อให้มีคนให้เงินทุนมากแค่ไหน ก็อยู่ไม่ได้อยู่ดี เพราะถ้าขายของไม่ได้ ธุรกิจจะอยู่ได้อย่างไร


บางคนชอบอ้างว่า เอสเอ็มอีประเทศไหนเขาก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น แต่ จากการสำรวจโดยมหาวิทยาลัยลินซ์ ประเทศออสเตรีย พบว่า ประเทศไทยนั้นมีขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบต่อจีดีพีสูงมากเป็นอันดับที่เจ็ดของโลก (ประมาณ 57% ของจีดีพี) นั่นย่อมเป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งชี้ว่าปัญหาเรื่องนี้ของเราถือว่าไม่ธรรมดาแล้ว บางครั้งผมก็อดคิดไม่ได้ว่าเป็นเพราะสังคมไทยเป็นสังคมที่มีความอดทนและอะลุ้มอล่วยต่อคนที่ทำผิดมากกว่าประเทศอื่นรึเปล่า ที่เป็นต้นเหตุของปัญหาอะไรหลายๆ อย่างเกิดขึ้นในสังคมไทยทุกวันนี้


บางคนบอกว่า เรื่องอย่างนี้แก้ยังไงก็แก้ไม่ได้หรอก มันขึ้นอยู่กับจิตสำนึก แต่ถ้าถามว่า แล้วสหรัฐประสบความสำเร็จในการทำให้ธุรกิจส่วนใหญ่อยู่ในระบบด้วยการปลูกฝังจิตสำนึกหรือไม่ คำตอบก็คงไม่ใช่ เราเห็นแต่การบังคับใช้กฎหมายของเขาที่เด็ดขาด เราได้ยินข่าวเศรษฐีในประเทศที่พัฒนาแล้วถึงขั้นต้องติดคุก เพราะโกงภาษีอยู่บ่อยๆ หรือสรรพากรของสหรัฐก็มีอำนาจมากถึงขนาดเข้าไปอายัดเงินในบัญชีของคนที่สงสัยว่าจะโกงภาษีได้เลย แล้วเราจะจริงจังและจริงใจกับการจับคนที่ทำผิดได้บ้างแล้วหรือยัง


ผมว่าเอสเอ็มอีบ้านเรามีศักยภาพในการพัฒนาตนเองสูงมากอยู่แล้ว แต่ขึ้นอยู่กับว่าสภาพแวดล้อมจะเอื้อให้เขาอยากพัฒนาตัวเองมากน้อยแค่ไหน

from http://bit.ly/f57q6N


12 ธันวาคม 2553

กูเกิลเปิดร้านอีบุ๊กใหญ่ที่สุดในโลก

กูเกิล (Google) ผงาดเปิดร้านดาวน์โหลดอีบุ๊กขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ประกาศมีหนังสือให้เลือกมากกว่า 3 ล้านเรื่องซึ่งถือว่ามากกว่าร้านหนังสือยักษ์ใหญ่ดั้งเดิมในสหรัฐฯ เช่น บาร์นส์แอนด์โนเบิล (Barnes and Noble) หรือบอร์เดอร์ส (Borders) นักวิเคราะห์หวั่นธุรกิจร้านหนังสือดั้งเดิมถึงคราวเคราะห์เพราะหนอนหนังสือมีทางเลือกที่ทำให้ต้นทุนการอ่านราคาต่ำกว่า แถมยังสามารถอ่านได้ทุกที่ทุกเวลาโดยไม่ต้องเมื่อยแขน

กูเกิลให้ชื่อบริการร้านอีบุ๊กของตัวเองว่า Google eBookstore เปลี่ยนจากชื่อ Google Editions ที่ตกเป็นข่าวลือมานานหลายเดือน โดยระบุว่าหนังสือมากกว่า 2.8 ล้านเรื่องนั้นเปิดให้ชาวออนไลน์ดาวน์โหลดไปอ่านได้ฟรี ขณะที่หนังสือ"หลายแสนเล่ม" นั้นจะวางจำหน่ายให้ผู้ที่ต้องการดาวน์โหลดไปอ่าน โดยไมเคิล เคิร์กแลนด์ (Michael Kirkland) โฆษกกูเกิลให้ข้อมูลว่า ไฟล์อีบุ๊กที่วางจำหน่ายใน Google eBookstore นั้นเป็นหนังสือในเครือสำนักพิมพ์ชั้นนำ 6 รายในสหรัฐฯ

หากคำนวณจำนวนไฟล์อีบุ๊กรวม บริการ Google eBookstore จะมีปริมาณหนังสือมากกว่าอเมซอน แต่หากคำนวณในกลุ่มที่วางจำหน่าย จำนวนไฟล์ของอเมซอนจะมีมากกว่า โดยข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า อเมซอนมีอีบุ๊กเพื่อจำหน่ายราว 750,000 เรื่อง และเปิดให้ดาวน์โหลดฟรี 1.8 ล้านเรื่อง

การลงมาร่วมวงในตลาดอีบุ๊กของกูเกิลนั้นถูกมองว่าเป็นเพราะตลาดอีบุ๊กหรือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์นับวันจะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับกระแสอิทธิพลของอุปกรณ์แท็บเล็ตที่ขยายวงกว้างอย่างก้าวกระโดด จุดนี้กูเกิลให้สัมภาษณ์ว่าจุดประสงค์หลักของ Google eBookstore คือการเปิดกว้างให้ผู้ใช้ได้เข้ามาดาวน์โหลดหนังสือฟรี จึงทำให้กูเกิลพัฒนาระบบให้รองรับการอ่านบนอุปกรณ์หลากหลายแพลตฟอร์ม

รายงานย้ำว่า Google eBookstore จะสนับสนุนทั้งอุปกรณ์ที่เป็นระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) และไอโอเอส (iOS) ของแอปเปิล โดยผู้ใช้สามารถย้ายไฟล์อีบุ๊กไปอ่านบนเครื่องอ่านอีบุ๊กรีดเดอร์ทั้งนุก (Nook) และโซนี่รีดเดอร์ (Sony Reader) ได้ ซึ่งการสนับสนุนหลายแพลตฟอร์มลักษณะนี้จะอำนวยความสะดวกในกรณีที่หนอนหนังสืออ่านเรื่องใดค้างไว้ ก็จะสามารถดึงไฟล์มาอ่านต่อในอุปกรณ์อื่นได้แบบไม่สะดุด

กลุ่มหนังสือที่เก็บค่าบริการใน Google eBookstore จะจำกัดวงให้บริการเฉพาะในสหรัฐฯ เท่านั้นในขณะนี้ โดยผู้ซื้อสามารถเลือกหนังสือและอ่านได้ทั้งจากบนหน้าเว็บเพจและอุปกรณ์พกพา ไฟล์ทั้งหมดจะถูกจัดเก็บในระบบคลาวด์เพื่อให้การเรียกอ่านจากหลายอุปกรณ์ในช่วงหลากเวลาทำได้อย่างลื่นไหล

แต่ที่น่าสนใจคือ Google eBookstore ไม่สามารถใช้งานกับเครื่องอ่านคินเดิล (Kindle) ยอดฮิตของอเมซอนได้ สะท้อนภาพระบบปิดของอเมซอนที่แตกต่างจากระบบเปิดของกูเกิลแบบสุดขั้ว เท่ากับผู้ใช้คินเดิลในขณะนี้จะถูก"กำหนด"ให้ดาวน์โหลดอีบุ๊กจาก Amazon.com ร้านเดียวเท่านั้น

รายงานระบุว่า ส่วนแบ่งรายได้จากการจำหน่ายอีบุ๊กที่กูเกิลหักจากสำนักพิมพ์คือ 30% โดยสำนักพิมพ์จะได้รับรายได้ 70% โดยอัตราค่าบริการหนังสือใหม่ใน Google eBookstore เริ่มต้นที่ 10-15 เหรียญ (300-450 บาท)

from
http://manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9530000172600
http://books.google.com/ebooks


ข้อมูลลงทุนธุรกิจแฟรนไชส์ 7-11

Type B

Type C

- ข้อมูลโดยเฉลี่ยแต่ละสาขาจะมีรายได้อย่างต่ำ 40,000-50,000 บาทต่อวัน

- อัตราคืนเงินลงทุน เฉลี่ยอยู่ที่ 2-3 ปี (แล้วแต่ทำเล)

- อัตราการยกเลิกกิจการของผู้ลงทุนแฟรนไชส์เซเว่นฯ อยู่ที่ประมาณ 10%+

from http://www.manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9530000173310


“เซเว่นฯ” แฟรนไชส์แรงได้อีก เดินเครื่องชูธงร้านเสิร์ฟอิ่มทันใจ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 ธันวาคม 2553 11:14 น.

ยอดแฟรนไชส์ “7-11” โตต่อเนื่อง ปูพรม 5,800 สาขาทั่วประเทศ สัดส่วนแฟรนไชส์กว่า 50% ตั้งเป้าปีหน้าขยายเพิ่ม 500 สาขา ดันสัดส่วนแฟรนไชส์ขึ้น 53% ย้ำกลยุทธ์เปลี่ยนตำแหน่งการตลาดจากร้านสะดวกซื้อสู่บริการร้านอิ่มสะดวก

นางสาวอนิษฐา ธนมิตต์ รองกรรมการผู้จัดการ สำนักแฟรนไชส์ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารแฟรนไชส์ 7-11 (เซเว่น อีเลฟเว่น) เปิดเผยว่า ในปี 2553 นี้ ร้านเซเว่นฯ ทั่วประเทศ มีจำนวนกว่า 5,800 สาขา โดยเป็นสัดส่วนของร้านแฟรนไชส์กว่า 50% หรือประมาณ 2,900 สาขา ขยายตัวประมาณ 3% จากปีที่แล้ว (2552) และเป้าในปีหน้า (2554) คาดว่า สัดส่วนร้านแฟรนไชส์เพิ่มขึ้นเป็น 53% ของสาขาทั้งหมด โดยมีสาขาเพิ่มอีกราว 500 สาขา โดยเป็นสัดส่วนของแฟรนไชส์ ประมาณ 400 สาขา

นางสาวอนิษฐา ธนมิตต์ รองกก.ผจก. สำนักแฟรนไชส์ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)
สำหรับกลยุทธ์หลักในปีหน้า เน้นเปลี่ยนตำแหน่งการตลาดของร้านเซเว่นฯ จากร้านสะดวกซื้อให้เป็นร้านอิ่มสะดวกของคนไทย โดยมุ่งเน้นขายอาหารสดพร้อมรับประทาน ซึ่งในอดีตสัดส่วนรายได้ของร้านเซเว่นฯ จากส่วนอาหารเพียง 20% และสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ 80% แต่ปัจจุบัน สัดส่วนในกลุ่มแรกเพิ่มเป็นกว่า 70% ขณะที่กลุ่มหลังลดเหลือ 30%
“ในปีหน้า เราจะเน้นด้านอาหารสดมากยิ่งขึ้นไปอีก เพื่อเสริมจุดขายนี้ให้ชัดเจน ช่วยให้ไม่ต้องไปแข่งขันกับร้านโชวห่วย หรือมินิมาร์ทรายอื่นๆ โดยบริษัทจะมีระบบสนับสนุนด้านอาหารสดผ่านการจัดอบรมต่างๆ เช่น วิธีบริหารจัดการอาหารสด และมอบนโยบายไปสู่สาขาต่างๆ โดยเฉพาะด้านความสะอาด และคุณภาพมาตรฐาน เพื่อจูงใจให้ลูกค้าอยากเข้ามาหาอาหารกินในร้านเซเว่นฯ” ผู้บริหารเซเว่นฯ เผย
ทั้งนี้ มั่นใจว่า แฟรนไชส์เซเว่นฯ จะเติบโตตามเป้าหมายอย่างแน่นอน เนื่องจากที่ผ่านมา มีอัตราเติบโตปีละ 3% ต่อเนื่องทุกปี สอดคล้องกับอัตราเติบโตของร้านเซเว่นฯ ทั่วโลกที่ขยายต่อเนื่องเช่นกัน รวมถึง ปัจจุบัน ทางบริษัทฯ ได้ร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ กสิกรไทย และนครหลวงไทย จัดโครงการสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ และไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ช่วยให้ผู้สนใจธุรกิจเข้าถึงแหล่งเงินทุนง่ายขึ้น

อีกทั้ง ยังมีปัจจัยเสริมจากทัศนคติของคนรุ่นใหม่ อยากจะเป็นเจ้าของธุรกิจของตัวเองมากขึ้น ซึ่งแบรนด์เซเว่นฯ เป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจของคนจำนวนมากอยู่แล้ว และได้รับความเชื่อถือการันตีความสำเร็จ อีกทั้ง สินค้าในร้าน เป็นประเภทอุปโภคบริโภค ซึ่งจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ปัจจัยลบภายนอกจึงกระทบไม่มากนัก

นางสาวอนิษฐา เผยด้วยว่า ในระยะเวลาหนึ่งปี จะมีผู้สนใจขอเปิดร้านแฟรนไชส์เซเว่นฯ เกือบหนึ่งหมื่นราย แต่จะผ่านการคัดเลือกเพียง 5% เท่านั้น โดยหลักพิจารณาอันดับแรก คือ ต้องเป็นผู้มีใจรักงานบริการ ตามด้วยมีความเหมาะสมอื่นๆ ประกอบ เช่น อายุควรมากกว่า 30 ปีขึ้นไป เคยมีประสบการณ์ทำงานจริงมาก่อน เป็นต้น

ในส่วนการลงทุนนั้น มีให้เลือก TYPE B อยู่ที่ 480,000 บาท รวมค่าค้ำประกันต่างๆ อีก 1,000,000 บาท (ได้รับคืนหลังครบสัญญา) และ TYPE C อยู่ที่ 1,730,000 บาท รวมค่าค้ำประกันต่างๆ 900,000 บาท (ได้รับคืนหลังครบสัญญา) ซึ่งปัจจุบัน การเปิดร้านแฟรนไชส์เซเว่นฯ แทบทั้งหมดกว่า 95% จะเป็นร้านของบริษัทที่ให้ผู้สนใจ เลือกลงทุนไปดำเนินกิจการต่อ ส่วนการเปิดร้านจากทำเลของผู้ลงทุนเอง มีสัดส่วนเพียง 5% เท่านั้น

ด้านผลตอบแทนของแฟรนไชส์ซี่ แบบ TYPE B ผลตอบแทนจาการบริหาร และกำไรส่วนเพิ่ม เป็นต้น แบบ TYPE C จะมาจากยอดขายหักต้นทุน ซึ่งแฟรนไชส์ซี่จะได้ส่วนแบ่งกำไร 54% บริษัทได้ส่วนแบ่งกำไร 46% โดยเฉลี่ยลูกค้าที่เข้าร้านเซเว่นฯ จะใช้จ่ายประมาณ 40-50 บาทต่อคนต่อครั้งที่เข้าร้าน โดยแต่ละสาขาจะมีรายได้เฉลี่ยอย่างต่ำ 40,000-50,000 บาทต่อวัน อัตราคืนเงินลงทุน เฉลี่ยอยู่ที่ 2-3 ปี ขณะที่อัตราการยกเลิกกิจการของผู้ลงทุนแฟรนไชส์เซเว่นฯ อยู่ที่ประมาณ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ ซึ่งสาเหตุใหญ่มักมาจากความไม่พร้อมส่วนตัวของแฟรนไชส์ซี่ เช่น ไม่มีเวลามาดูแล ขาดทายาทสืบต่อธุรกิจ เป็นต้น
รอง กก.ผจก. เผยต่อว่า แผนสนับสนุนแฟรนไชส์ของบริษัทในปีหน้านั้น ยังคงให้ความสำคัญในการจัดอบรมความรู้ที่จำเป็นแก่แฟรนไชส์ซี่ตลอดทั้งปี และมีทีมปฏิบัติลงพื้นที่เข้าไปดูแลสาขาทุกสัปดาห์ ซึ่งจะทำหน้าที่คอยแนะนำ รวมถึง แจ้งข่าวสารนโยบายจากส่วนกลาง โดยเจ้าหน้าที่ทีมปฏิบัติ 1 คนจะดูแลสาขาแฟรนไชส์ 5 แห่ง ช่วยให้ดูแลได้อย่างใกล้ชิด อีกทั้ง ทางบริษัทจะจัดโปรโมชั่นต่างๆ ต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นยอดขายให้แฟรนไชส์ และมีระบบประกันความเสียหายจากภัยต่างๆ เช่น ถูกโจรกรรม หรือภัยน้ำท่วม ซึ่งแฟรนไชส์ซี่จะได้รับความคุ้มครอง 100% ในกรณีเกิดความเสียหาย

นอกจากนั้น บริษัทได้จัดคัดเลือกแฟรนไชส์ซี่ยอดเยี่ยมประจำปีสาขาต่างๆ โดยพิจารณาจากผลการดำเนินงาน 12 เดือนย้อนหลัง ทั้งด้านผลประกอบการ การบริหาร งานบริการ ฯลฯ เพื่อเป็นกำลังใจ เชิดชูเกียรติ และเป็นตัวอย่างแก่แฟรนไชส์ซี่รายอื่นๆ

นายบุญชัย ศรีสุรเมธีกร เจ้าของแฟรนไชส์ที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมด้านบริการ

ด้านนายบุญชัย ศรีสุรเมธีกร เจ้าของแฟรนไชส์เซเว่นฯ สาขางามวงศ์วาน สาขาทรายทอง และสาขาเคหะประชานิเวศน์ ซึ่งได้รับรางวัลยอดเยี่ยมด้านบริการ เผยว่า การทำธุรกิจแฟรนไชส์เซเว่นฯ จะลำบากที่สุดในช่วงเริ่มต้น ซึ่งจำเป็นต้องเรียนรู้ใหม่ทั้งหมด สิ่งสำคัญต้องพยายามเดินตามนโยบายที่ส่วนกลางกำหนดไว้ให้ได้ ซึ่งหากผ่านช่วงนี้ไปได้ ธุรกิจจะค่อนข้างลงตัว และสุดท้ายระบบต่างๆ จะทำให้ร้านขับเคลื่อนไปได้ด้วยตัวเอง

อย่างไรก็ตาม ปัญหาธุรกิจในการเปิดร้านเซเว่นฯ นั้น เขาระบุว่า เหมือนกับธุรกิจอื่นๆ ทั่วไป คือ ปัญหาจากตัวพนักงาน ดังนั้น เจ้าของแต่ละร้านจะต้องมีวิธีจัดการแตกต่างกันไป ให้เหมาะสมต่อร้านตัวเอง ส่วนข้อแนะนำในการเลือกทำเลเปิดร้านเซเว่น อันดับแรกควรอยู่ใกล้ที่พัก เพื่อสะดวกในการเดินทาง สามารถมาดูแลได้อย่างใกล้ชิดตลอดเวลา และควรพิจารณาทำเลจากศักยภาพการเติบโตในอนาคตมากกว่าแค่พิจารณาจากยอดขายในปัจจุบันเท่านั้น

from http://www.manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9530000173300


04 ธันวาคม 2553

หลักในการทำงานตามในหลวง 14 ข้อ



from http://www.pantip.com/cafe/silom/topic/B9985397/B9985397.html


พ่อคือ . . .

ก่อนที่จะถึง “วันพ่อ” ผมขอเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อ 3 เรื่อง ที่ได้มาเป็นคลิป มีทั้งไทย จีน และฝรั่งครับ


ตราบาปของพิกุล

“พิกุล” เป็นคนจังหวัดเชียงราย แม่หนีตามชายนักท่องเที่ยวไปอยู่กรุงเทพฯ ในช่วงที่พิกุลมีอายุได้เพียงสองขวบ ทิ้งให้สองพ่อลูกอยู่กันตามลำพัง ไม่เคยหวนกลับไปอีกเลย พ่อมีอาชีพรับจ้างทั่วไป เป็นครอบครัวที่ยากจนขัดสน แต่เธอไม่เคยต้องน้อยหน้าใคร เพราะพ่อจะขวนขวายหาทุกอย่างมาให้ ตามประสาคนยาก ไม่เคยให้เธอต้องทำงานลำบากเหนื่อยยาก


ต่อมาเมื่อเธอเรียนจบ ตอนนั้นพ่อก็แก่มากแล้วและสุขภาพก็ไม่ดี ทำงานไม่ค่อยไหว พิกุลบังเอิญเจอเพื่อนที่ได้ไปทำงานที่กรุงเทพฯ จึงชักชวนให้เธอไปทำงานด้วยกัน บอกมีรายได้ดี พิกุลสงสารพ่อ อยากหารายได้มาช่วยจุนเจือ แต่พ่อไม่ให้ไป เพราะกลัวลูกจะถูกหลอกเหมือนแม่ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ สุดท้ายเธอหาทางมาทำงานที่กรุงเทพฯจนได้ แรกๆ ก็ส่งเงินกลับไปให้พ่อบ้าง ต่อมาการติดต่อก็ค่อยๆ ห่าง พิกุลติดใจหลงใหลแสงสีของเมืองกรุงจนลืมตัว


ไม่นานเธอได้พบรักกับชายหนุ่มชาวสวีเดน และย้ายไปอยู่กินกันที่เมืองนอก ด้วยความอับอายในความยากจนและความแก่ชราเงอะงะของพ่อ พิกุลไม่กล้าบอกแฟนหนุ่มว่า ยังมีพ่ออยู่อีกคน จากนั้นไม่นานเพื่อนส่งข่าวมาจากกรุงเทพฯ บอกว่าพ่อของเธอได้เสียชีวิตแล้วหลังจากที่นอนป่วยเป็นอัมพาตมานาน ไม่ว่าจะมีใครไปเยี่ยมสักกี่คน พ่อก็จะร้องไห้ถามหาพิกุล ต้องการจะพบแต่เธอจนสิ้นใจตาย


พิกุลมีความเสียใจโศกเศร้าอย่างที่สุด เธอได้รู้สึกสำนึกในบาปที่เธอได้กระทำลงไป แต่เธอก็หมดโอกาสที่จะแก้ไข


ชายขายเต้าหู้

ตอนเหนือของมณฑลเหลียวหนิง ประเทศจีน มีเมืองขนาดกลางชื่อว่า เทือกเหล็ก ทุกเช้าตรู่บนท้องถนน จะเห็นผู้เฒ่าเข็นรถขายเต้าหู้เคลื่อนไปอย่างช้าๆ ลำโพงที่ต่อกับแบตเตอรี่บนรถ กระจายเสียงใสของหญิงสาว “เต้าหู้มาแล้วจ้า เต้าหู้อร่อยจ้า” เสียงนี้เป็นของฉัน คนขายคือพ่อฉัน พ่อฉันเป็นใบ้


ตอนที่ฉันอายุแค่ 2-3 ขวบ ฉันคิดว่า การมีพ่อเป็นใบ้นั้น น่าอัปยศ ฉันเกลียดชังพ่อตั้งแต่เล็ก เมื่อฉันเห็นเด็กบางคนหยิบเต้าหู้ไปโดยไม่จ่ายเงิน พ่อโก่งคอยาว แต่ไม่อาจตะเบ็งเสียงออกมา ฉันไม่ชังเด็กคนนั้น แต่กลับชังพ่อที่เป็นใบ้


ฉันมุ่งมั่นเรียนหนังสือให้ดี เพื่อเข้ามหาวิทยาลัย ไปให้พ้นจากบ้านเกิดที่ใครๆ ก็รู้ว่า พ่อฉันเป็นใบ้ ในที่สุดฉันก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ฉันไม่สนใจว่าพ่อต้องโม่เต้าหู้ด้วยความยากลำบาก ส่งเสียให้ฉันเรียนจนจบมหาวิทยาลัย เมื่อฉันเรียนจบได้รับบรรจุไปทำงานที่เทือกเหล็ก ระหว่างทางกลับเกิดอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ หมอยืนยันว่าหมดทาง ให้พี่ฉันบอกกับพ่อว่า หนูไม่รอดแน่ จะรักษาก็ต้องใช้เงินมหาศาล ทันใดนั้น พ่อก็คุกเข่าลง แล้วชี้มายังฉันพร้อมกับชูแขนสูง จากนั้นก็ทำท่าโม่เต้าหู้ ขายเต้าหู้ นั่นหมายความว่า ขอร้องเถิด ช่วยชีวิตลูกสาวฉัน เธอมีอนาคตดี เป็นคนเก่ง คุณหมอต้องช่วยเธอ ผมจะหาเงินมาเสียค่ารักษา ผมทำเต้าหู้ได้ ตอนนี้มีเงินอยู่ 4 พันหยวน


เมื่อพ่อเห็นว่า หมอยังทำเฉย พ่อชี้ที่หลังคา ก้มหัวใช้เท้ากระทืบพื้น พนมมือสองข้างไว้ด้านขวาของศีรษะ แล้วหลับตา หมายความว่า ผมมีบ้านขายได้ ผมนอนบนพื้นดินก็ได้ แม้จะหมดเนื้อหมดตัว ผมก็ขอให้ลูกสาวอยู่รอด พี่ฉันแปลภาษามือของพ่อให้หมอฟัง พลางร้องไห้ไป หมอซึ่งเห็นเรื่องเกิดแก่เจ็บตายจนชินชา บัดนี้ก็อดกลั้นน้ำตาไม่อยู่


ระหว่างนั้น พ่อเดินสายไปทุกหมู่บ้านที่เคยไปขายเต้าหู้ ระดมค่ารักษา ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตตลอดชีวิตที่ผ่านมา ชาวบ้านต่างออกเงินช่วยเหลือ คุณจัง 20 หยวน คุณลี่ 100 หยวน อาซ้อหวัง 65 หยวน ฯลฯ จนในที่สุดฉันก็รอดชีวิตมาได้


เรื่องราวในอดีตที่ฉันเหยียดหยามพ่อ ท่านมิได้จดจำจองเวรไว้เลยแม้แต่น้อย


นั่นตัวอะไร ???

ที่สวนหย่อมหลังบ้านในบรรยากาศเช้าตรู่ มีเสียงร้องของนกนานาชนิด ไพเราะเพาะพริ้ง พ่อชรานั่งเหม่อลอย อยู่ที่ม้านั่งข้างๆ ลูกชายวัยหนุ่มใหญ่เขากางหนังสือพิมพ์อ่านอยู่ สักครู่ พ่อถามว่า นั่นตัวอะไร ลูกชายตอบทันทีว่า นกกระจอกครับพ่อ ผ่านไปอีกสองนาที พ่อถามว่า นั่นตัวอะไร ลูกชายมองหน้าพ่อพร้อมตอบว่า นกกระจอกครับ ผ่านไปอีกไม่ถึงนาที พ่อถามว่า นั่นตัวอะไร ลูกชายพับหนังสือพิมพ์ที่กางอยู่แล้วตอบด้วยเสียงอันดังขึ้นอย่างช้าๆ ว่า นก-กระ-จอก

ถามว่า นั่นตัวอะไร คราวนี้ ลูกชายโมโหทิ้งหนังสือพิมพ์ใส่พื้นหญ้า พร้อมกับตะโกนใส่หูพ่อว่า อะไรกันนักหนา ผมบอกกี่ทีแล้วว่า นกกระจอก !! คราวนี้ได้ผล พ่อชราได้สติด้วยเสียงตะโกนอันดังของลูกชาย ลุกออกจากม้านั่งเดินกลับเข้าไปในบ้าน สักครู่ก็ออกมาพร้อมกับถือสมุดบันทึกเล่มเก่าๆ ขาดๆ ในมือ กางหน้าหนึ่งออกมาและส่งให้ลูกชายใจร้อนพร้อมบอกให้อ่านเสียงดังๆ หน่อย


“วันนี้ลูกชายสุดที่รักของฉันที่เพิ่งอายุครบสามขวบเมื่อสองวันที่แล้ว นั่งอยู่กับฉันในสวน มีนกกระจอกตัวหนึ่งบินมาเกาะที่กิ่งไม้ข้างๆ เรา ลูกชายของฉันถามฉันถึง 21 ครั้งว่าตัวอะไร ฉันตอบไปทั้ง 21 ครั้งว่า นกกระจอก ฉันดึงเขาเข้ามากอดทุกครั้งที่เขาถามครั้งแล้วครั้งเล่า โดยไม่รู้สึกรำคาญ แต่ฉันกลับรู้สึกรักเจ้าลูกชายตัวน้อยของฉันมากขึ้นเรื่อยๆ”


ทันทีที่อ่านจบ ลูกชายดึงพ่อชราเข้ามากอดพร้อมด้วยน้ำตาอาบแก้ม


คลิป 3 เรื่องที่เล่ามาตั้งแต่ต้น ผมไม่ขอตีความในเนื้อหาอะไรมากมาย เพราะทุกเรื่องที่นำมาฝากกัน บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า “พ่อคือ ผู้ที่เสียสละ เป็นผู้อบรมสั่งสอน เป็นตัวอย่าง เป็นผู้ให้อภัย และเป็นกำลังใจของลูก”

from
http://www.bangkokbiznews.com/home/details/business/ceo-blogs/boonchai/20101203/365880/%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD-...html


“วันพ่อ”กับเรื่องเล่าจากพระพยอม

เคยทำอะไรให้พ่อเสียใจบ้างหรือเปล่า อาตมามีเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง โยมพ่อของอาตมาเป็นคนขี้เหล้า หาเงินมาได้เท่าไหร่ก็กินเหล้าหมด พอเมาก็ดุด่าโยมแม่กับอาตมา อาตมาไม่ชอบพ่อมาก วันหนึ่ง โยมพ่อเมา
กลับบ้านไม่ได้ มีคนให้อาตมาพายเรือไปรับตอนนั้น อาตมายังเป็นวัยรุ่น ทำงานมาทั้งวันก็อยากจะนอน
อยากพักผ่อน อาตมารู้สึกโมโหมาก พอพายเรือกลับบ้าน ก็ทิ้งโยมพ่อไว้ในเรือ แต่โยมพ่อเมามากลุกไม่ไหว
ตะโกนเรียกอาตมา “ไอ้ยอม... ไอ้ยอม... มึงมาอุ้มกูขึ้นบ้านหน่อย กูขึ้นไม่ไหว” ไอ้เราก็ทนรำคาญไม่ไหว เดินกระทืบเท้า ตึง..
ตึง.. ตึง.. กระชากร่างพ่ออุ้ม ในขณะที่อุ้ม ด้วยความรู้สึกเจ็บแค้นที่พ่อทำให้เราลำบาก ชอบด่าว่าเราเจ็บๆ
พออุ้มพ่อขึ้นมาจากเรือถึงหัวสะพาน จับร่างพ่อกระแทกกับหัวสะพาน ก้นพ่อกระแทกกับ พื้นไม้อย่างแรง เสียงดังโครม พ่อแกร้องไห้ แล้วพูด
ว่า “ไอ้ยอมนะ ไอ้ยอม กูอุ้มมึงมาแต่เล็กแต่น้อย กูนอนหลับ แต่มึงไม่ยอมนอน ร้องไห้กวนกูต้องลุกมาอุ้มมึง ร้องเพลงกล่อมให้มึงนอน
จะไปไหนถึงมึงเดินไม่ไหว มึงเหนื่อย กูก็ต้องอุ้มมึง ทั้งที่กูก็เหนื่อย กูอุ้มมึง มึงทั้งขี้ ทั้งเยี่ยว ใส่กู แต่กูไม่เคยทุ่มมึงลงกับพื้นเลย เพราะกู
รักมึง วันนี้มึงอุ้มกู เหล้ากูไม่ได้หกโดนมึงสักนิด มึงทุ่มกูลงพื้นทำไม” พูดจบ น้ำตาไม่รู้มาจากไหน
มันไหลพรูลงมาอาบสองแก้ม อาตมาเจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน ก้มลงกราบพ่อ แล้วพูดว่า “พ่อครับ ต่อจาก
นี้ไป ผมจะอุ้มพ่อตลอดชีวิต โดยไม่บ่นและทุ่มพ่อ ลงพื้นอีกแล้วละครับ” หลังจากนั้น อาตมาทำงานอย่าง
หนักเพื่อมาให้พ่อ หวังให้พ่อสบายขึ้น แต่เมื่อถึงวันนั้น มันก็สายไปแล้ว โยมพ่อได้จากอาตมาไปแล้ว
คิดแล้วมันทรมานใจเหลือเกิน อาตมาทำผิดพลาดไปแล้ว และแก้ไขไม่ได้ จึงอยากเตือนทุกคนเอาไว้
ไม่อยากให้เสียใจไปตลอดชีวิต
แล้วคุณล่ะ เคยทำอะไรให้พ่อแม่เสียใจบ้างหรือเปล่า บางครั้งเราอาจเข้าใจท่านผิดบ้าง ท่านเฉย
เราก็คิดว่าท่านไม่สนใจ แต่พอเราโตเราก็จะรู้เองว่าสิ่งที่ท่านทำกับเรามันเป็นสิ่งที่ท่านหวังดีกับเราเสมอ
ขอให้รู้จักค้นหาหัวใจตัวเองให้ทันเวลาก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไป...


01 ธันวาคม 2553

หุ้นดีดี ที่น่าลงทุน







from http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9948933/I9948933.html


7 มหัศจรรย์แห่งชีวิต และ 7 หลักคิดจาก ว.วชิรเมธี

สำหรับ 7 หลักคิดในเชิงบวก ที่สามารถหยิบมาเป็นยาชูกำลังใจในยามท้อแท้ได้อย่างดีเยี่ยม โดยใน 7 หลักคิด มีข้อคิดดีๆ อีก 7 ข้อ เป็นพลังมหัศจรรย์ของ 7x7 ได้แก่

1. ความคิดดีๆ เป็นที่มาแห่งความสุข แน่นอนว่าเมื่อเรามีความคิดดีๆ โลกก็จะดีตามอย่างที่เราคิด ดังที่ท่านว่าไว้ในหนังสือเล่มนี้ว่า “โลกเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่าเราใส่แว่นตาสีอะไรมองโลก หากมองโลกในแง่ดี ชีวิตมีแต่สิ่งรื่นรมย์ หากมองโลกในแง่ร้าย ชีวิตมีแต่ความวุ่นวายและทุกข์ระทม”

2. ปัญญาดีย่อมมีความสุข คนมีปัญญาย่อมใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาเพื่อให้พ้นทุกข์ ดังนั้น สำหรับคนมีปัญญา วิกฤตอยู่ไหน ปัญญาอยู่นั่น ส่วนคนด้อยปัญญา โอกาสอยู่ไหน วิกฤตอยู่นั่น จงเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา เปลี่ยนอุปสรรคเป็นอุปกรณ์

3. ชีวิตของคนดีคือชีวิตที่มีความสุข ดังท่านว่า ดอกไม้หอมได้บางดอก แต่มนุษย์หอมได้ทุกคน หากเขาเป็นคนดี กลิ่นดอกไม้แม้หอมขนาดไหน ก็หอมได้แต่ตามลมเท่านั้น ส่วนกลิ่นความดีของคนดีนั้น หอมหวนทวนลม ฟุ้งกระจายไปในทิศทั้งสี่ ดอกไม้ผลิบานแล้วไม่นานก็ร่วงโรย แต่ความดีของคนนั้น สถิตเป็นนิรันดร์เหนือกาลเวลา

4. ปฏิสัมพันธ์ดีก็มีความสุข ซึ่งเป็นการเลือกคบมิตร โลกนี้มีมิตรอยู่ 3 ประเภทคือ 1. ปาปมิตร เพื่อนชั่ว จงอย่าคบ 2. กัลยาณมิตร เพื่อนดี จงคบ 3. พันธมิตร เพื่อนที่ผูกพันกันด้วยผลประโยชน์ จงระวัง

5. ทำงานดีก็มีความสุข ท่านว่าไว้ คนจำนวนมากเป็นทุกข์ขณะทำงาน แต่เบิกบานเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ โดยหารู้ไม่ว่า ในหนึ่งสัปดาห์มีเสาร์-อาทิตย์แค่สองวัน จงเป็นสุขขณะทำงาน จงเบิกบานขณะหายใจ

6. มองโลกในแง่ดี ชีวิตมีความสุข ดังผู้รู้ท่านหนึ่งกล่าวว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด ใครทำความเข้าใจคำกล่าวนี้ได้อย่างลึกซึ้ง คนนั้นจะไม่ทุกข์ และเขาจะไม่หวั่นไหว ในความผันแปรของชีวิต สิ่งใดเกิดขึ้นมาเขาจะอุทานอยู่เสมอว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง”
7. ครอบครัวดีทวีความสุข ครอบครัวคือพื้นฐานสำคัญของชีวิต บุตรธิดาคืออนุสาวรีย์ของพ่อแม่ หากลูกเป็นคนดี อนุสาวรีย์ของพ่อแม่ก็งดงาม หากลูกเลวทราม อนุสาวรีย์ของพ่อแม่ก็อัปลักษณ์

from
http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=66b8a00548c05e96&table=/guru/search%3Fq%3D%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2599&clk=wttpcts


28 พฤศจิกายน 2553

กลยุทธ์การตลาด:ซูเปอร์ 10 ของแมคโครได้ทั้งขึ้น ทั้งล่อง

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึง ๆ ในธุรกิจค้าปลีก แม็คโครก็เล็งปัดฝุ่นโครงการ "ซูเปอร์ 10" เพื่อช่วยเหลือบรรดาร้านค้าโชว์ห่วย ซึ่งจะช่วยให้ตัวแม็คโครเองอยู่รอดได้ในระยะยาวด้วยสุชาดา อิทธิจารุกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจศูนย์ค้าส่งระบบค้าส่งและสมาชิก "แม็คโคร" เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมนำโครงการ "ซูเปอร์ 10" ซึ่งเคยเปิดใช้มาก่อนหน้านี้กลับมาใช้อีกครั้ง โดยได้พัฒนาวิธีการทำงานให้สามารถขยายเครือข่ายความร่วมมือกับผู้ค้ารายย่อยได้มากขึ้น จากเดิมที่ค่อนข้างจำกัด เพราะเห็นว่าหากมีจำนวนมากเกินไปจะทำให้แข่งขันกันเอง

ซูเปอร์ 10 จะช่วยค้าปลีกรายย่อยอย่างไร?

ในโครงการนี้ แม็คโครจะคัดเลือกร้านค้าปลีก 10 ร้านค้า ต่อหนึ่งสาขาของแม็คโครต่อเดือนเข้าโครงการ โดยร้านค้าปลีกดังกล่าวจะเป็นผู้เลือกและแนะนำสินค้าตามที่ต้องการ และแม็คโครจะเป็นผู้รวบรวมว่าสินค้าใดจากลูกค้า 10 ราย เป็นที่ต้องการมากที่สุด จากนั้นจะนำไปเจรจากับซัพพลายเออร์ เพื่อต่อรองราคา

แนวคิดการนำซูเปอร์ 10 กลับมาใช้ เนื่องจากเห็นว่าการแข่งขันของธุรกิจค้าปลีกปัจจุบัน ผู้ค้ารายใหญ่ขยายเครือข่ายร้านขนาดเล็กจนสร้างผลกระทบต่อผู้ค้ารายย่อยที่ไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้

โครงการซูเปอร์ 10 นั้นมีขึ้นครั้งแรกในปี 2545

ในปีนั้น แม็คโครเปิดตัวโครงการ "ซูเปอร์ 10" ในช่วงปี 2545 โดยใช้งบประมาณ 20 ล้านบาท หลังปรับตำแหน่งทางการตลาดใหม่มุ่งสู่ความเป็น "ศูนย์ค้าส่งระบบเงินสดและสมาชิก" เต็มตัว

สถานการณ์ในขณะนั้น กลุ่มค้าปลีกดิสเคาท์สโตร์รุกเปิดตลาดอย่างหนัก ทำให้ผู้ประกอบการแต่ละรายจำต้องปรับตัวครั้งใหญ่ มุ่งใน "ธุรกิจหลัก" เจาะตรงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

โครงการซูเปอร์ 10 ของไทยเป็นประเทศนำร่องในภูมิภาคเอเชียที่นำแนวคิดมาจากแม็คโครต่างประเทศ เช่น ละตินอเมริกา แอฟริกา ที่ช่วยเหลือลูกค้าซึ่งเป็นร้านค้าปลีกรายย่อยและประสบความสำเร็จมาแล้ว

ทั้งนี้ซูเปอร์ 10 เป็นแผนการตลาดที่แม็คโครเห็นว่าจะช่วยเพิ่มยอดขายทางอ้อมในระยะยาว ด้วยการช่วยเหลือร้านโชห่วยให้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคา โดยการสนับสนุนทางด้านต้นทุนสินค้าราคาต่ำ และรายการส่งเสริมการขายจากแม็คโครและซัพพลายเออร์

ตามรายละเอียดของโครงการในตอนนั้น สยามแม็คโครจะเข้าไปช่วยจัดกิจกรรมสนับสนุนทางด้านการตลาดให้กับร้านค้าเหล่านี้ ด้วยการจัดพิมพ์ใบปลิวโฆษณาสินค้า ป้ายแสดงราคาสินค้า และถุงใส่ของเพื่อให้ร้านค้านำไปใช้ในการขายที่ร้านของตนเอง

ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการจะได้สิทธิ์เป็นผู้คัดเลือกรายการ สินค้าที่จะนำไปขาย และสามารถกำหนดราคาขายปลีกของตนเองได้ โดยสยามแม็คโครมีเงื่อนไขเพียงว่าร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ไม่ควรจะตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันกันเอง

"เดิมเราเน้นคัดเลือกสินค้าขายดีให้ร้านค้าเลือกแล้วนำไปต่อรองราคากับซัพพลายเออร์ แต่ซูเปอร์ 10 ไม่สามารถขยายโครงการได้มากนักบนถนนสายเดียวกัน ต้องจำกัดผู้ร่วม ไม่เช่นนั้นจะแข่งขันกันเอง แต่วิธีการใหม่จะทำให้โครงการขยายตัวได้มากขึ้นและรองรับผู้ค้ารายย่อยให้เข้าร่วมได้มากกว่าเดิม" สุชาดา กล่าว

แม็คโครนั้นจัดเป็น "โมเดิร์นเทรด" ที่เข้าเมืองไทยมาตั้งแต่ต้น ๆ

บมจ.สยามแม็คโคร (makro) เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่มบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี กับกลุ่มบริษัท SHV Holdings N.V. ของเนเธอร์แลนด์ ผู้ดำเนินธุรกิจค้าส่งชื่อดังของยุโรปเจ้าของชื่อ "แม็คโคร" เข้ามาครั้งแรกเมื่อปลายปี 2532 โดยใช้ชื่อ "แม็คโคร" เป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทในเครือ SHV ที่ทำธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย

แม็คโครเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษ 2530 แต่หลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ และการเข้ามาของบรรดาโมเดิร์นเทรดประเภทดิสเคาท์สโตร์ (อย่างเทสโก้ คาร์ฟูร์ ฯลฯ) ทำให้การแข่งขันรุนแรงมาก ประกอบกับกระแสต้านโมเดิร์นเทรดจากบรรดาโชห่วยและผู้ประกอบการในธุรกิจค้าปลีกไทยที่ได้รับผลกระทบ ทำให้แม็คโครต้องปรับตัวอย่างหนักต้องหันมาโฟกัสในธุรกิจค้าส่งสินค้าอาหารมากขึ้น

เน้นให้ชัดเจนมากที่สุด ว่าตนเองเป็น "ศูนย์ค้าส่งระบบค้าส่งและสมาชิก"
อนาคตของแม็คโครจะเป็นอย่างไร?

โครงการซูเปอร์ 10 จะช่วยโชว์ห่วยได้ขนาดไหน?

ช่วยแม็คโครได้มากน้อยเพียงใด?

บทวิเคราะห์

"จตุรยักษ์โมเดอร์นเทรด" ซึ่งหมายถึงบิ๊กซี แมคโคร โลตัส คาร์ฟูร์ ไม่ได้มียุทธศาสตร์เหมือนกันทุกประการ แม้จะเป็นปลาที่อยู่ในข้องเดียวกันก็ตาม

โลตัสทำตัวเป็นภัยคุกคามโชห่วยมากที่สุด เพราะไม่หยุดเพียงแค่การเปิดห้างขนาดใหญ่ แต่ยังบี้ทุนท้องถิ่นขนาดจิ๋วทั่วไทยด้วยการปูพรมเปิดโลตัสเอ็กซเพลสทั่วไทย

ยุทธศาสตร์การเปิดโลตัสเอ็กซเพลสถูกต่อต้านไม่เพียงในประเทศไทยเท่านั้น กระทั่งในอังกฤษซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของเทสโก้ก็ถูกต่อต้านอย่างหนัก เพราะเป็นการย่ำยีบีทาทุนโชห่วยจนแทบไม่มีที่ยืน

ยุทธศาสตร์นี้ทำให้จตุรยักษ์โมเดอร์นเทรดเดือดร้อนอย่างหนัก เพราะถูกต่อต้านจากทุนท้องถิ่นซึ่งประกอบด้วยพันธมิตรหลายกลุ่มไม่เพียงทุนโชห่วยที่ถูกดันเป็นแนวหน้าเท่านั้น

จริงๆการที่โมเดอร์นเทรดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเทสโก้โลตัสแผ่กิ่งก้านสาขากลางกรุงและกลางเมืองใหญ่ในต่างจังหวัดนั้น ถือว่าหาได้ยากในต่างประเทศ เพราะไม่มีประเทศใดในโลกจะเหมือนประเทศไทยอีกแล้ว คืออยากจะเปิดห้างที่ไหนก็เปิดไปเลย ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่กลางเมืองขนาดไหนก็ตาม ไม่มีใครห้าม ทั้งๆที่ประเทศอื่นๆนั้นห้ามกันอย่างเคร่งครัดทีเดียว

การทำอะไรได้ตามอำเภอใจโดยไม่มีใครคอยขัดนั้นทำให้เกิดความฮึกเหิม

เมื่อพื้นที่กลางเมืองหมด ก็ต้องใช้กลยุทธ์ใหม่ๆในการเจาะตลาด ซึ่งไม่เห็นอะไรจะดีกว่าการใช้โมเดล "โลตัสเอ็กสเพรส" ซึ่งใช้ได้ผลมาแล้วในปั้มน้ำมัน

โลตัสคงเห็นอัรตราการเจริญเติบโตของ 7-11 ซึ่งโตวันโตคืนถึง 3,000 สาขา ก็ไม่เห็นมีใครไปโจมตีอะไรเลย ทั้งๆที่ 7-11 ก็ถือว่าเป็นโมเดอร์นเทรดประเภทหนึ่งเหมือนกัน ก็คงคิดว่าเหล่าโชห่วยตายไปหมดแล้วกระมัง หรือคิดอยากจะทำอะไรได้

ทว่ารุกของโลตัสเอ็กสเพรสนั้นถือว่าเป็นการรุกครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อโชห่วยท้องถิ่นมาก ลำพัง 7-11 ในต่างจังหวัดนั้นไม่เป็นที่นิยมเท่าไหร่นักหรอก เพราะเป็นร้านเล็กๆ ไม่มีของอะไรขายมากนัก แถมของที่ขายนั้นมีราคาสูง ต่างจังหวัดจึงไม่ค่อยมีใครนิยม ทว่าเอ็กสเพรสของโลตัสนั้นเป็นภัยคุกคามต่อโชห่วยและบรรดาธุรกิจท้องถื่นๆ เพราะโลตัสเอ็กสเพรสได้รวมตลาดสด ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านขายยา ฯลฯ เข้าด้วยกัน ด้วยเนื้อที่ที่ใหญ่กว่า และเจตจำนงในการรุกตลาดต่างจังหวัดเต็ม ทำให้โชห่วยซึ่งถูกรุกไล่จนไม่มีที่ยืนแล้วให้รุกขึ้นมาสู้

ถ้าจะว่าก็เหมือน ดร.ทักษิณ ที่คุมอำนาจทุกหัวระแหง และเหิมเกริมมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันตนก็มีจุดอ่อนอยู่มากตั้งแต่ก่อนจะขึ้นเป็นนายกฯแล้ว เมื่อสร้างจุดอ่อนเพิ่มขึ้นอยู่ทุกวัน ก็ยากที่จะอยู่ได้เมื่อเผชิญกองทัพพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งถึงที่สุดก็ล้มรัฐบาลได้

กองทัพโชห่วยและผู้สนับสนุนที่ประท้วงไปทั่วทุกระแหงนั้น ก็เพราะทนการรุกราวพายุบุแคมต่อไปไม่ไหว ต้องลุกขึ้นมาประท้วงกลางแดด ก็เพื่อต้องการสร้างเงื่อนไขให้รัฐบาลออกกฎหมายค้าปลีกจัดการกับโมเดอร์นเทรดให้หมด

เมื่อโลตัสยังแข็งขืนขยายสาขาโลตัสเอ็กซเพลสต่อไปนั้น ก็จะตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับที่ทักษิณ ชินวัตร เผชิญกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพียงแต่ว่าใครจะเป็นหน่วยกล้าชนที่มีพลังเหมือนกลุ่มพันธมิตรฯที่มีคุณสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นหัวหอก

ถ้าไม่มีคนอย่างคุณสนธิในกลุ่มพันธมิตรต้านโลตัสเอ็กซเพลส ก็ยากที่สกัดระบอบโลตัสฯที่กระจายไปถึงรากหญ้าทั่วประเทศไปได้

โมเดอร์นเทรดเองก็หวั่นไหวเหมือนกันว่าหากระบอบอันแข็งแกร่งของตน กดดันทุนท้องถิ่นมากไม่มีที่ยืนนั้นจะเกิด "อารยะขัดขืน" แล้วจะอยู่ลำบาก

อันที่จริงหากโชห่วยสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยแบบสิ้นทรากนั้นก็ไม่เป็นผลดีต่อวงการค้าปลีกโดยรวมแต่อย่างใดเลย เพราะโชห่วยคือหนึ่งในขาหยั่งสำคัญที่สร้างสมดุลย์ให้เกิดขึ้นในวงค้าปลีก กล่าวสำหรับแมคโครนั้น ลูกค้าหลักคือโชห่วยนั่นเอง เพราะอยู่ในธุรกิจค้าส่ง

กลยุทธ์ของแมคโครครั้งนี้ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง ในสถานการณ์ที่โมเดอร์นเทรดกำลังกลายเป็นผู้ร้ายนั้น การออกมาช่วยโชห่วยของแมคโครนั้นทำให้แมคโครฉีกภาพลักษณ์จากโมเดอร์นเทรดอื่นๆได้ทันที

ไม่ต้องพูดถึงว่ายังสามารถต่ออายุโชห่วยไปได้อีกเฮือก แต่ไม่รู้ว่าจะไปได้สักกี่น้ำ เพราะสถานการณ์ของแมคโครเองก็ใช่ว่าจะดีนัก เพราะในบรรดาจตุรยักษ์โมเดอร์นเทรดนั้น แมคโครอ่อนแอที่สุด

from http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=53454


iPad เป็น Game Changer อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ จริงหรือ ?

...ในที่สุด 27 มกราคม 2010 วันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง Apple เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ นาม “iPad”…

“iPad” เป็นอุปกรณ์ที่ Steve Jobs นิยามว่า เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดพกพาที่เข้ามาเติมช่องว่างระหว่าง โทรศัพท์ SmartPhone และ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก คือโจทย์ข้อสำคัญที่ Steve Jobs จะใช้นิยามตลาด ตัว “iPad” เอง Steve Jobs ถึงกับเรียกว่าเป็น “Truly Magical and Revolutionary Product” เลยทีเดียว

จากนิยามของ “ช่องว่าง” ดังกล่าว พบว่า อุปกรณ์ที่เข้าข่ายและมีจำหน่ายอยู่แล้วในตลาด คือ “Netbook”

สิ่งที่ Steve Jobs พยายามบอกก็คือ Netbook นั้น เป็นเพียงคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ราคาถูก ใช้จอภาพที่มีคุณภาพต่ำ ความเร็วในการทำงานของเครื่องช้า จึงไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ของ “ช่องว่าง” ดังกล่าว ได้ดีที่สุด
แต่สิ่งที่ตอบโจทย์ได้ดีที่สุด คือ อุปกรณ์ประเภทที่เรียกว่า “Tablet” หรือบางบริษัทเรียกว่า “Slate” นั่นเอง

ภาพรวมตลาด “Tablet”

“Tablet” หรือ “Slate” จริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับวงการไอที เพราะมีกันมานานแล้ว แต่ไม่ได้รับความนิยมเนื่องจากมีราคาค่อนข้างสูงไม่น้อยไปกว่าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กอีกทั้งตัวเครื่อง รวมถึงระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์ ไม่ได้ออกแบบมาให้เหมาะสมกับการใช้งานแบบพกพาติดตัวมากนัก ตลาด “Tablet” จึงเป็นตลาดที่เงียบเหงา และเหมือนรอคอยเวลาดับสลาย


แต่สิ่งหนึ่งที่เข้ามาจุดประกายให้ตลาด “Tablet” เริ่มมีความหวังอีกครั้ง นั่นคือ การมาของเครื่องอ่าน E-Book “Kindle” ของ Amazon.com

ด้วยยอดขายตั้งแต่รุ่นแรกจนถึงรุ่นปัจจุบันกว่า 1.49 ล้านเครื่อง จนนิตยสาร Fortune นำ Jeff Bezos ขึ้นปก พร้อมยกย่องว่า “Next Revolution” ของ Amazon.com คือการสร้าง Kindle ให้กลายเป็น “iPod of Print”

“Kindle” สร้างปรากฏการณ์ ยึดครองส่วนแบ่งการตลาดกว่า 60% ในตลาดเครื่องอ่าน E-Book

นักวิเคราะห์หลายๆ คนคาดการณ์ว่า “Kindle” รุ่นใหม่นอกจากจะเป็นเครื่องอ่าน E-Book แล้ว จะมีความสามารถมากขึ้น ใกล้เคียงกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กก็เป็นได้

ตลาดเครื่องอ่าน E-Book เริ่มคึกคัก คู่แข่งรายสำคัญอย่าง Barnes & Noble ก็ออกผลิตภัณฑ์ชื่อ “Nook” เข้ามาชน
Sony E-Reader ก็ออกรุ่นใหม่ เพื่อหวังดึงส่วนแบ่งตลาดจาก Kindle พร้อมพัฒนาหน้าร้านขายหนังสือออนไลน์ “E-Book Store” ของตนขึ้นมา

เมื่อเครื่องอ่าน E-Book ขายได้มากขึ้น ย่อมดึงดูดบรรดาธุรกิจสิ่งพิมพ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ทำให้ธุรกิจสิ่งพิมพ์เริ่มขยับทิศทางของตนมาเป็นฟอร์แมตดิจิตัลมากขึ้น สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ อีกทั้งบริษัทต่างๆ แทบไม่มีต้นทุนอะไรเพิ่มขึ้นมาเลย
เมื่อ Distribution Cost เป็นศูนย์ รายได้ที่หักค่าใช้จ่ายแล้ว ก็กลายเป็นกำไรเต็มๆ

อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์และธุรกิจเครื่องอ่าน E-Book เติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ จนใครๆ ก็มองกว่า “Tablet” กำลังจะกลับมา
ก่อนหน้างานเปิดตัว “iPad” ของ “Apple” ไม่กี่วัน ก็มีงานระดับโลกที่สำคัญมากงาน คือ Consumer Electronics Show หรือ “CES2010”

บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของโลก ทั้ง HP, Lenovo, Sony หรือ Dell ก็มาเปิดตัว Tablet รุ่นใหม่ของตนทั้งนั้น
ปี 2010 คือ ปีของ Tablet จริงๆ

แล้ว “iPad” ของ Apple มีดีอย่างไร

ตัว “iPad” นั้น มีรูปร่างภายนอก คล้ายกับ iPhone หรือ iPod Touch แบบที่ขยายส่วนให้ใหญ่ขึ้น

หน้าจอ LED-backlit IPS LCD เป็นจอภาพที่สามารถให้มุมมองให้กว้างกว่าจอ LCD ทั่วไป ที่มักมองชัดในมุมที่แคบ
หน่วยประมวลผล (CPU) ความเร็ว 1GHz ที่ Apple ออกแบบเอง เรียกว่า “A4” ที่สามารถประมวลผลได้รวดเร็วใกล้เคียงกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กและใช้พลังงานต่ำ

การควบคุมอุปกรณ์ใช้เทคโนโลยีแบบ “Multi-touch” แบบที่ใช้ใน iPhone หน้าจอสามารถตั้งตรงและหมุนได้เมื่อจับจอเอียง พร้อม “Virtual Keyboard” ที่ช่วยในการป้อนข้อความต่างๆ

ด้วย Hardware ของ “iPad” ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบสวยงามน่าใช้ มีหน้าจอการแสดงผลที่ดีที่สุด และใช้วิธีการควบคุมเครื่อง ป้อนข้อมูล ที่ง่ายที่สุด

และจุดขายที่แตกต่างที่สำคัญที่สุดของ iPad และเป็นหัวใจของผลิตภัณฑ์ทุกตัวของ Apple ก็คือ “User Experience”
แม้ว่าตัว “iPad” ไม่ได้มี Hardware ที่สมบูรณ์แบบ (ไม่มีช่องใส่หน่วยความจำเพิ่ม, ไม่มีช่องต่อ USB และไม่มีกล้อง) แต่ก็เป็นแบบออกแบบโดยใช้เทคโนโลยี Hardware ที่เรียกได้ว่าดีที่สุดในการนำเสนอ “User Experience” ที่ดีที่สุด สู่ลูกค้า
User Experience ของ Apple ถูกถ่ายทอดออกมาด้วยหน้าจอการใช้งานที่สวยงามและง่ายต่อผู้ใช้ ทำให้ผลิตภัณฑ์ของ Apple มีความ Sexy มีเสน่ห์ ซึ่งเป็นสิ่งที่มักจะขาดหายไป สำหรับอุปกรณ์ไฮเทค ทั่วไป

“Software” หรือ “Application” ที่ใช้บน “iPad” ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญอันหนึ่ง เมื่อสามารถใช้ “Apps” ที่ออกแบบมาสำหรับ iPhone จำนวนกว่า 140,000 ตัวได้เลยทันที


ราคาที่เอื้อมถึง คือปัจจัยของ “Critical Mass”

สิ่งหนึ่งที่สร้างความประหลาดใจที่สุดให้กับทุกคนที่ติดตามข่าวของ Tablet ตัวนี้ก็คือ ราคา จากที่เคยคาดหมายว่าจะอยู่ที่ $999 ขึ้นไป แต่ราคาเริ่มต้นเพียงแค่ $499 เท่านั้น

ถูกกว่าที่คิดครึ่งหนึ่ง! แถมไม่มีการล็อกขายกับผู้ให้บริการโทรศัพท์ เหมือนเช่นในกรณีของ iPhone

เหตุผลที่ Apple ตั้งราคา “iPad” ออกมาต่ำ อย่างแรก ต้องการทลายกำแพงราคาในใจผู้บริโภค เรียกได้ว่า ต้นทุนในการเป็นเจ้าของ “iPad” นั้น ต่ำกว่าที่ทุกคนคาดคิด และลบล้างภาพในอดีต ที่ Tablet เดิมๆ มีราคาสูงออกไปจนหมดสิ้น
เหตุผลที่สอง เพื่อสกัดดาวรุ่งอย่าง “Kindle”

ด้วยราคาเริ่มต้นที่แพงกว่า “Kindle” ของ Amazon.com เพียง $10แต่ได้อุปกรณ์ที่ทรงพลังมากกว่า Spec ดีกว่าทุกอย่าง “Kindle” จะถูกมองว่าเป็นของแพงขึ้นมาทันที

เหตุผลที่สาม คือ ต้องการกวาดฐานลูกค้าขนาดใหญ่ เพื่อสร้างอำนาจต่อรอง

การประหยัดจากขนาด (Economy of Scale) ที่จะเกิดขึ้น เมื่อมีการผลิตจำนวนเยอะๆ แล้ว ยังเกิด “Network Effect” หรือคุณค่าที่เพิ่มสูงขึ้น เมื่อมีผู้ใช้มากขึ้น

คุณค่าที่ว่านี้ คือ การขาย Content ซึ่ง “iPad” ได้เพิ่มศักยภาพในการดูหนัง วิดีโอต่างๆ ให้ดีขึ้น ด้วยเทคโนโลยีการแสดงผลที่ดี และมีระบบหน้าร้านขายหนังและวิดีโอคลิปต่างๆ ที่ยอดเยี่ยมอย่าง “iTunes”

กลายเป็น “Portable Theater” ที่มีจำนวนมหาศาล ทำให้ค่ายหนังต่างๆ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากการขาย Content ของตัวเองได้ และถึงแม้ว่า “iPad” จะไม่ได้เปิดตัวมาเป็นเครื่องอ่าน E-Book แต่วัตถุประสงค์หลักอย่างหนึ่งที่ผู้ใช้จำนวนมากต้องการ คือ “การอ่าน”

แน่นอนว่าอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ สำนักพิมพ์หนังสือต่างๆ จะได้ประโยชน์จากการขาย E-Book ให้กับผู้ใช้ “iPad” เหมือนกับที่ค่ายเพลงและค่ายหนังได้รับจากการขายเพลงและหนัง

ยิ่งฐานลูกค้าใหญ่มากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งดึงดูดใจค่ายเพลง ค่ายหนังและค่ายหนังสือมากเท่านั้น และที่สำคัญ ยังเป็นการเพิ่ม “อำนาจต่อรอง” ของ Apple ให้สูงขึ้น อย่าลืมว่าอำนาจต่อรองเป็นที่มาของ Business Model และเรื่องการสร้างรายได้ นอกเหนือจากการขาย “iPad”

แล้วมันคือ “Game Changer” จริงรึเปล่า

โดยส่วนตัว ผมเชื่อว่า “iPad” จะเป็นสิ่งที่ Apple ใช้เป็นตัวพลิกเกม เพื่อเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรม โดยเฉพาะธุรกิจหนังสือและอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ต่างๆ

ปัจจุบัน มูลค่าของตลาด E-Book ทั้งหมด มีราวๆ 1.3% ของตลาดหนังสือที่เป็นกระดาษ ที่มีมูลค่ากว่า 90,000 ล้านเหรียญ
ตัวเลข 1.2 พันล้านเหรียญ ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ...

หนังสือ ก็เหมือนกับเพลง ที่รูปแบบธุรกิจจะเปลี่ยนแปลงจากการขาย “Physical Product” มาสู่ “Digital Product”
ด้วยการขับเคลื่อน โดยใช้กลไกสำคัญ คือ “ช่องทางการกระจายสินค้าและขาย” ที่ช่วยให้ ต้นทุนการขนส่งและต้นทุนการขายลดลงเหลือเท่ากับศูนย์หรือน้อยมาก เพราะเป็นการทำผ่านอินเทอร์เน็ตและหน้าร้านออนไลน์

Apple มีสิ่งนี้อยู่แล้ว คือ iTunes Store สำหรับเพลงและหนัง, App Store สำหรับ Application และ iBookStore สำหรับ E-Book บน “iPad”

ทั้ง iTunes และ App Store เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล ด้วยยอดขายก้อนใหญ่ รวมไปถึงจำนวนสมาชิก iTunes ที่สามารถซื้อสินค้าได้ กว่า 125 ล้านคน

เมื่อเปรียบเทียบกับ “Kindle” ของ Amazon.com หลายๆ คนอาจจะแย้งว่า “Kindle” นั้นเหมาะกับการอ่านหนังสือมากกว่า
ด้วยเทคโนโลยีแบบ “E-Ink” ที่ช่วยให้ผู้อ่าน สามารถอ่านหนังสือได้อย่างสบายตาและใกล้เคียงกับกระดาษจริงๆ ทำให้จุดขายของเครื่องอ่าน E-Book ทุกรุ่น คือต้องใช้ “E-Ink”


“iPad” ไม่สามารถสู้เครื่องอ่าน E-Book รุ่นอื่นได้ เพราะไม่ได้เป็น “E-Ink” รึเปล่า?

กรอบอันแรกที่ขีดวงเครื่องอ่าน E-Book ไว้ คือ “E-Ink” และกลายเป็นกรอบที่ผู้ผลิตเครื่องอ่าน E-Book ส่วนใหญ่ทำตามกัน ด้วยความเชื่อที่ว่า คนเราต้องการอ่าน E-Book ด้วยความรู้สึกสบายตาและเหมือนอ่านหนังสือที่เป็นกระดาษให้มากที่สุด
เครื่องอ่าน “E-Book” ทุกรุ่นในตลาด มีการแสดงผลแบบขาวดำ (Grayscale) แต่ “iPad” ที่จะตั้งใจจะขาย E-Book เช่นกัน กับมองต่างกันไป

พฤติกรรมการอ่านหนังสือของคนทั่วไป คงอ่านติดต่อกันราวๆ 2-3 ชั่วโมง น้อยคนนักที่จะอ่านหนังสือ 10 ชั่วโมงติดต่อกัน
“iPad” จึงไม่จำเป็นต้องนำเทคโนโลยีที่ออกแบบมาให้คนอ่านหนังสือติดต่อกันได้ 10 ชั่วโมงมาใช้ และรูปแบบของหนังสือที่ผู้อ่านอยากจะอ่านใน 2-3 ชั่วโมง คงจะไม่เหมือนเดิม

E-Book แบบเดิมๆ จะถูกท้าทายด้วย “Interactive E-Book” ที่มาพร้อมภาพประกอบที่มีสีสันสวยงาม มีทั้ง VDO และเสียงครบครัน สามารถคลิกและลิงค์ไปได้ และมีการโต้ตอบกับผู้ใช้ได้

ตัวแทนจาก “New York Times” ได้บอกไว้ว่า หนังสือพิมพ์ฉบับ Digital สำหรับ iPad นั้น “น่าอ่าน” กว่าฉบับที่ทำขายบน Kindle มากจนเทียบกันไม่ติด

ลองจินตนาการถึง “หนังสือพิมพ์ที่มีชีวิต” อย่างในหนัง “Harry Potter” ถ้าทำได้จริง Apple จะกลายเป็นคนที่สามารถทำ Hat-trick ได้

เพราะเป็นคนที่ปฏิวัติอุตสาหกรรมเพลง โทรศัพท์มือถือ และวงการสิ่งพิมพ์ ...


ปัจจัยสำคัญ ที่ผลักดันให้ “iPad” ประสบความสำเร็จ
Factor
User Experience
- ประสบการณ์ที่ผู้ใช้จะได้รับ ผ่านทาง User Interface ที่สวยงาม ตื่นตาตื่นใจ และใช้งานง่าย

- iPad เป็นอุปกรณ์ที่นำอินเทอร์เน็ตมาอยู่ในมือของผู้ใช้ ด้วยการใช้งานที่ดีกว่าการใช้อินเทอร์เน็ตบน PC แต่สามารถควบคุมได้ด้วยปลายนิ้วสัมผัส ซึ่งไม่สามารถทำได้บนหน้าจอ PC

การตั้งราคา
มีความสำคัญทางจิตวิทยาต่อลูกค้า รวมไปถึงเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อ (ถูกว่าโน้ตบุ๊กและราคาต่างกับโทรศัพท์มือถือไม่มาก)

-เพื่อสร้างฐานลูกค้าขนาดใหญ่ เพื่อสร้างอำนาจต่อรองกับผู้ผลิต Content ช่วยให้ Apple สามารถกำหนด Business Model ที่ต้องการได้ง่ายขึ้น

Distribution Channel (iTunes)
- เป็นช่องทางขายที่ประสบความสำเร็จและมีฐานลูกค้าอยู่แล้วมากกว่า 125 ล้านคน เจ้าของ Content ย่อมอยากขายสินค้าของตนผ่านช่องทางนี้

Content และ Application
- การเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ของผู้ใช้ จากการอ่าน E-Book ขาวดำ มาสู่การอ่าน E-Magazine ที่มีสีสันสดใส ภาพประกอบที่สวยงาม รวมไปถึง Animation ต่างๆ ที่นำไปสู่ Experience ที่ดีกว่า E-Book แบบเดิม

- Application ที่สามารถใช้ได้ทันที กว่า 140,000 ตัว ในวันแรกที่เปิดตัว iPad และผู้ที่ซื้อ App สำหรับใช้บน iPhone อยู่แล้ว สามารถใช้กับ iPad ได้โดยไม่ต้องซื้อใหม่อีกรอบ ทำให้เกิด Value of Money หรือ ความคุ้มค่ากับผู้ใช้ เพิ่มขึ้นมาทันที
- จอที่ใหญ่ถึง 9.7” ทำลายข้อจำกัดด้านขนาดหน้าจอของ iPhone ไป ทำให้ Application อย่าง Games ได้ประโยชน์เต็มที่ เกมบน iPad จะออกมาเยอะกว่าเกมบน iPhone และเกมเดิมที่มีอยู่ จะเล่นได้สนุกมากขึ้น

ปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้น จากการเปิดตัวของ iPad
- การเติบโตของอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ ธุรกิจหนังสือ จากเดิมที่มีรายได้หลักจากการขาย “Physical Books” มาเป็นการสร้างยอดขายหลักจาก “Digital Books” เนื่องจากต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นไม่มาก ต้นทุนด้านการขนส่งสินค้า (Distribution Cost) แทบไม่มี เพราะดาวน์โหลดผ่านอินเทอร์เน็ต และเสียเพียงค่าวางจำหน่ายบน “Online Store” เท่านั้น

- รูปแบบการใช้งานอินเทอร์เน็ต Web Browsing , Email และ Social Networking จากเดิมที่ใช้งานบนโทรศัพท์มือถือ หน้าจอเล็ก ใช้งานไม่สะดวก แต่ iPad จะกลายเป็นอุปกรณ์ที่สามารถทำงานดังกล่าวและใช้ทดแทนกันได้ ทำให้การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตจากทุกที่ ทุกเวลา

- เปลี่ยนรูปแบบของการอ่าน E-Book จาก E-Ink ที่มีลักษณะอ่านง่ายสบายตา แต่เป็นสีขาวดำและไม่น่าสนใจ กลายเป็น E-Book ที่มีลักษณะเป็น Interactive E-Book ที่มาพร้อมสีสัน เสียง และภาพเคลื่อนไหว สร้างตลาดใหม่สำหรับ Interactive E-Book ทำให้คู่แข่งขันของตลาดนี้ ไม่ได้มีเพียงสำนักพิมพ์เท่านั้น แต่ยังมีบรรดาเจ้าของเว็บไซต์เพิ่มเข้ามาด้วย

- เกมแบบ Multi-player จะได้รับความนิยมสูง หน้าจอขนาดใหญ่ ผนวกกับความสามารถด้าน Multi-touch ทำให้เกมหนึ่ง อาจจะมีการแบ่งจอเพื่อเล่นหลายคนพร้อมกัน บนiPad เครื่องเดียวกัน หรือหลายเครื่อง ลองนึกภาพการช่วยกันต่อ Jigsaw เกมง่ายๆ อย่าง Photo Hunt หรือเกมยากๆ แนว Action ต่อสู้กัน หรือเกมขับรถแข่ง


from http://www.positioningmag.com/magazine/details.aspx?id=86089


บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (All Time)