01 มีนาคม 2553

เลือกซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) กองไหนดี

LTF คืออะไร

กองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ Longterm Equity Fund (LTF) คือ กองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมให้คนไทยมีวินัยในการลงทุน โดย บลจ ที่ออก LTF จะนำเงินไปลงทุนในหุ้นภายในประเทศ (กฎหมายกำหนดไว้ที่ 65% ขึ้นไป) เพื่อส่งเสริมตลาดทุนในประเทศ และเงิน 35% ส่วนที่เหลือ อาจจะมีการลงทุนในตราสารหนี้, หุ้นกู้, เงินฝากธนาคาร, หุ้นต่างประเทศ หรือ หุ้นในประเทศ ก็ได้ ขึ้นอยู่กับนโยบายการลงทุนของ บลจ และผู้ที่ซื้อ LTF จะได้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษี



ข้อดีของการซื้อ LTF
  1. ได้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษี ตามฐานภาษีของแต่ละคน
  2. ซื้อได้สูงสุด 15% ของรายได้ทั้งปีที่ต้องเสียภาษี แต่ห้ามเกิน 500,000 บาท เช่น
    • ตัวอย่างที่ 1 นาย ก มีรายได้เดือนละ 30,000 บาท และสิ้นปีได้โบนัสอีก 40,000 บาท รายได้ทั้งปีของนาย ก คือ (12 x 30,000) + 40,000 = 400,000 บาท ดังนั้น นาย ก ซื้อ LTF ได้สูงสุด 400,000 x 15 / 100 = 60,000 บาท
    • ตัวอย่างที่ 2 นาย ข มีรายได้เดือนละ 1 ล้านบาท ไม่มีโบนัส รายได้ทั้งปีคือ 12 ล้าน  15%ของ 12 ล้าน คือ 1.8 ล้าน ซึ่งเกินเพดาน 500,000 บาท  ดังนั้น นาย ข สามารถซื้อ LTF ได้ 500,000 บาท
  3. มีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการเพิ่มขึ้นของเงินลงทุน(capital gain) ในกรณีที่หุ้นขึ้น แต่ในทางกลับกันก็มีโอกาสขาดทุนเช่นกัน ในกรณีที่หุ้นลง
  4. บางกองทุน มีการจ่ายปันผลให้กับผู้ลงทุน (ดูนโยบายการจ่ายปันผลได้จากหนังสือชี้ชวน) ทำให้มีรายได้จากเงินปันผลทุกปีแม้ไม่ได้ขายกองทุน
  5. เป็นการลงทุนที่ใช้เงินลงทุนไม่สูง (หลักพันบาท)


ข้อกำหนดของ LTF

ผู้ที่ซื้อ LTF จะต้องถือ LTF ไว้อย่างน้อย 7 ปีปฏิทิน เช่น ถ้าซื้อ ปี 2559 จะสามารถขายได้ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป (ไม่ระบุเดือน เดือนไหนก็ได้) เช่น

  • ซื้อ ธันวาคม 2559 ขาย มกราคม 2565 ได้ (ระยะเวลาถือจริง ประมาณ 5 ปี)




กองทุน LTF สามารถจำแนกตามลักษณะความเสี่ยงได้ 3 ประเภทคือ
  1. เสี่ยงสูงมาก คือ กองทุนจะลงทุนหุ้นไทย 70 - 80% และส่วนที่เหลือจะลงทุนในหุ้นต่างประเทศ กองทุนชนิดนี้จะมีความผันผวนสูงมาก และมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินด้วย ตัวอย่างกองทุนประเภทนี้เช่น กองทุน LT4 ของ บลจ ไทยพาณิชย์ 
  2. เสี่ยงสูง คือ กองทุนจะเน้นลงทุนหุ้นไทย 100% กองทุนชนิดนี้จะมีความผันผวนสูง ตัวอย่างกองทุนประเภทนี้เช่น กองทุน LT2, LT3, LTT ของ บลจ ไทยพาณิชย์
  3. เสี่ยงปานกลาง คือ กองทุนจะลงทุนในหุ้นประมาณ 70% และที่เหลือจะลงทุนในตราสารหนี้ หุ้นกู้ เงินฝาก กองทุนชนิดนี้จะมีความผันผวนปานกลาง ตัวอย่างกองทุนประเภทนี้เช่น กองทุน LT1 ของ บลจ ไทยพาณิชย์
  4. เสี่ยงต่ำ คือ กองทุนจะมีการลงทุนในตราสารอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยง เสมือนว่ากองทุนนั้นๆ ลงทุนในหุ้นเพียงแค่ประมาณ 0-20 % กองทุนชนิดนี้จะมีความผันผวนต่ำ หรือ แทบจะคงที่ถ้ากองทุนนั้นลงทุนในตราสารอนุพันธ์เต็มจำนวน (ขึ้นอยู่กับนโยบายการลงทุน) ตัวอย่างกองทนประเภทนี้ เช่น กองทุน LTS ของ บลจ ไทยพาณิชย์ (ปัจจุบัน กฏหมายไม่อนุญาตให้ใช้ตราสารอนุพันธ์ กับกองทุน LTF แล้ว ดังนั้น กองทุนประเภทนี้ จะไม่มีแล้ว)
ดังนั้นผู้ที่จะซื้อกองทุน LTF ควรที่จะซื้อตามระดับความเสี่ยงที่ตนเองสามารถรับได้ เช่น ถ้ากลัวความเสี่ยงมาก ควรลงทุนประเภท 3



เทคนิคเบื้องต้นในการเลือกซื้อกองทุน LTF
  1. ควรซื้อแบบถัวเฉลี่ยทุกเดือน (Dollar Cost Averaging) มากกว่าซื้อครั้งเดียวปลายปี เพราะจะได้ราคาระดับเฉลี่ยที่ไม่เสี่ยงจนเกินไป ถ้าไปซื้อปลายปีครั้งเดียวอาจจะได้ราคาที่ยอดดอย (รายละเอียดหลักการ Dollar Cost Average: http://piggyman007.blogspot.com/2011/05/dollar-cost-averaging.html)
  2. ควรเปรียบเทียบหลายๆ บลจ โดยดูนโยบายการลงทุนว่าตรงตามที่เราต้องการไหม ดูค่าบริหารจัดการว่าแพงไปไหม ดูว่ามีปันผลให้ไหม(สำหรับคนชอบปันผล)
  3. กองทุนที่จ่ายเงินปันผลให้เรา เงินนั้นจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% เช่น 
    • กองทุน A จ่ายปันผล 10,000 บาท เราจะได้รับเงินจริงๆ 9,000 บาท (โดนหักภาษี 10%) เสมือน เราเสียเงินฟรีๆ 1,000 บาท ดังนั้น ถ้าไม่ต้องการโดนหักภาษี ควรเลือกกองทุนที่ไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล
  4. บาง บลจ อนุญาตให้เราสามารถสลับกองทุนภายใน บลจ เดียวกันได้ เช่น ถ้าเรามีกอง LTS แล้วคิดว่าหุ้นน่าจะขึ้น เราสามารถสลับไปเป็นกอง LT2 ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดใด ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีสำหรับคนซื้อ


การค้นหา LTF ผ่านทางเว็บไซต์ morningstarthailand

กองทุน LTF ในประเทศไทยมีหลากหลายกองมาก และแต่ละกองก็มีผลการดำเนินงานที่แตกต่างกัน ดังนั้นการเลือกลงทุนใน LTF ก็ควรจะมีเครื่องมือช่วยในการตัดสินใจ เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเลือกกองทุนที่มีคุณภาพได้ ซึ่งเว็บไซต์ morningstarthailand ก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือในการคัดกรองกองทุนที่สนใจและใช้งานได้ไม่ยาก ซึ่งมีวิธีการใช้งานพื้นฐานดังนี้

  1. เข้าไปที่เว็บไซต์ http://tools.morningstarthailand.com/th/fundquickrank/default.aspx?Site=th&LanguageId=th-TH
  2. เลือก "กองทุนประหยัดภาษี" เป็น LTF แล้วกดปุ่ม "ค้นหา" ดังรูปที่ 2 ด้านล่าง
  3. คลิก "Morningstar Rating Overall" เพื่อเรียงลำดับกองทุนผ่านทาง rating ดังรูป 3 หลังจากนั้นผู้ลงทุนก็สามารถเลือกดูรายละเอียดของกองทุนที่ rating สูงๆ ได้ 
คำเตือน 
  • rating เป็นการวัดผลการดำเนินงานในอดีตเทียบกับ benchmark ของกองทุนนั้นๆ ซึ่งไม่การันตีผลการดำเนินงานในอนาคต 
  • กองทุนที่ rating ดีกว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องมีผลการดำเนินงานในอนาคตดีกว่า
  • rating เป็นเพียงตัวช่วยในการตัดสินใจเท่านั้น ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ผู้ลงทนต้องทำการบ้านด้วยตัวเอง เช่น นโยบายการจ่ายปันผล ค่าบริหารจัดการ นโยบายการลงทุน
รูป 2 เลือก LTF แล้วคลิกปุ่ม "ค้นหา"



รูป 3 เรียงตาม "Morningstar Rating Overall"



กองทุนรวม LTF ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยมากกว่า 10% ต่อปี (ย้อนหลัง 10 ปี)

อัพเดท: กุมภาพันธ์ 2016



5 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ18 กรกฎาคม, 2553 09:45

    ถามหน่อยครับ ถ้าผมซื้อวันนี้ 18/7/53 ตามกฏหมาย ผมขายได้ 1/1/57 ถึงไม่เสียประโยชน์ทางภาษี

    แล้วถ้าผมซื้อวันนี้ก้อนนึง แล้วไปซื้ออีกที 2/2/54 ในกองเดียวกัน

    การซื้อครั้งที่สองของผม ทำให้ผมต้องเลื่อนไปขายปี 58 ไหม?

    ตอบลบ
  2. สมมติซื้อกองทุน A ครั้งแรกหนึ่งหมื่นบาท ปี 2009
    ซื้อกอง A อีกสองหมื่นบาทปี 2010
    ณ ปี 2014 จะสามารถขายส่วนของที่ซื้อปี 2009 ได้ครับ
    ณ ปี 2015 ก็สามารถขายส่วนสองหมื่นที่ซื้อปี 2010 ได้

    บลจ เขาจะมีการแทร็ก statement ได้ครับ เช่น ณ ปี 2014 nav มีค่า 33,000 บาท แบ่งได้เป็น ณ ซื้อครั้งแรก 11,000 ซื้อครั้งที่สอง 22,000

    เวลาอยากขาย ตอนปี 2014 ก็บอกทาง บลจ ครับ เขาจะดูให้ว่าเราสามารถขายได้กี่บาทครับ

    ตอบลบ
  3. ไม่แน่ใจว่า ตอบตรงคำถามหรือเปล่าครับ

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ12 พฤศจิกายน, 2553 01:15

    ขอบคุณมากนะคะ ตอบได้เข้าใจง่ายดีแล้วค่ะ

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ24 พฤศจิกายน, 2554 15:31

    ผมเข้าใจว่าเราสามารถขายของกอง 2009 ได้ในปี 2013 นะครับ ส่วนกองของ 2010 ก็สามารถขายได้ในปีถัดมา

    ตอบลบ

บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (All Time)