29 เมษายน 2553

เหนื่อยรอบโลก โดย หนูดี วนิษา เรซ


เหนื่อยรอบโลก โดย หนูดี วนิษา เรซ

เราเพิ่งกลับมาทำงานกันหลังวันหยุดยาว หลายคนอาจจะคิดถึงและกระหายวันหยุดอีกครั้ง เพราะตอนพักผ่อนนั้นมันสบายใจดีเหลือเกิน

แต่พอกลับมาทำงานก็เหมือนต้องกลับเข้ามาสู่โลกแห่งความวุ่นวายอีกครั้งหนึ่ง

คนไทยคงไม่ได้เป็นคนชาติเดียวในโลกที่รู้สึกว่า โลกช่วงนี้ทำไมช่างร้อนและวุ่นวายนัก แถมงานการก็ดูหนักกว่าที่เคย มามองออกไปข้างนอกกันไหมคะว่า ที่อื่นในโลกเขาเป็นแบบเราบ้างหรือเปล่า

ในสหรัฐอเมริกา หนูดีคิดว่า คงเผชิญศึกเศรษฐกิจไม่น้อยกว่าเรา ในแบบสอบถามของบอสตันดอทคอม ได้ถามคนอเมริกันวัยทำงานกว่า 1000 คน ว่า รู้สึกว่า ชีวิตเขาวุ่นวายเกินไปกว่าที่จะรวบรวมสมาธิในการทำงานให้มีคุณภาพไหม

น่าตกใจว่า 62.8 %ตอบว่า ชีวิตเขาวุ่นเกินไปจริงๆ ทำหลายอย่างพร้อมกัน พอจะต้องลงมือทำงานที่มีความสำคัญจริงก็เลยไม่ค่อยมีสมาธิเท่าที่ควร ส่วนอีก 23.0 % ตอบว่า เป็นบ้างแค่บางครั้ง และมีอีกแค่ 14.2 %ที่ตอบว่า ทุกอย่างเป็นปกติดี เขาไม่มีปัญหาอะไรเลย

ส่วนที่นิวยอร์กองค์กรเพื่อครอบครัวและการทำงาน (Families and Work Institute) ได้ออกมารายงานผลการตรวจสอบว่า หนึ่งในสามของพนักงานรู้สึกเหมือนทำงานมากเกินไป และ 54 % รู้สึกกดดันจากภาวะงานในหนึ่งเดือนที่ผ่านมาของการสอบถาม ฟังแล้วน่าเป็นห่วงนะคะ

ทำไมคนอเมริกันถึงได้เกิดความรู้สึก “หนักหนาสาหัส” กันในช่วงนี้ คุณเอลเลน เกลินสกี้ ประธานขององค์กรเพื่อครอบครัวฯ สรุปไว้เห็นภาพทีเดียวว่า “การถูกรบกวน ขัดจังหวะในระหว่างการทำงานที่บริษัท และการที่ต้องเอางานกลับมาทำในเวลาที่ควรพัก เช่น ตอนอยู่บ้านหรือช่วงพักร้อน ทำให้พนักงานรู้สึกเหมือนงานหนักจนจะทนไม่ได้”

หันมามองที่อังกฤษดูบ้างค่ะ หนังสือ Evening Standard ได้ถามผู้หญิงลอนดอนวัยทำงานว่า อะไรคือปัจจัยหลักที่ทำให้คุณเครียด คำตอบที่ชนะเลิศอันดับหนึ่งคือ “ข้อมูลล้นเกิน” โดยสาวๆ เหล่านี้ถึง 59 %บอกว่า เขาเครียดจาก ข้อความที่ส่งไม่หยุดหย่อนทางโทรศัพท์มือถือ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ วอยซ์เมล และเมื่อถูกถามเกี่ยวกับการจัดสมดุลระหว่างการทำงานและการพักผ่อน มีถึง 67 %ทีเดียวที่บอกว่า เขาไม่สามารถ “สับสวิตช์” ให้สมองพักในเวลาที่ควรพักได้ เพราะเรื่องงานยังคงตามเข้ามารบกวนตลอด แม้ในเวลาที่ต้องพักแล้วก็ตาม

เวลาหนูดีอ่านข้อมูลพวกนี้แล้วชอบเอามานึกเปรียบเทียบกับพฤติกรรมตัวเองดูว่า เรามีนิสัยแบบไหนที่จะทำให้เครียดเยอะขึ้นเหมือนคนที่ตอบแบบสอบถามหรือเปล่า นิสัยติดโทรศัพท์มือถือ ติดข่าวสาร เปิดเช็คอีเมลตลอดเวลา รวมถึงการเอางานไปสะสางในวันหยุดนั้นบางครั้งเราเองก็ทำ แล้วจะมารู้ตัวเช้าอีกวันค่ะ ว่าทำไมวันนี้ตื่นขึ้นมาไม่สดใสเอาเสียเลย ต้องคอยมองย้อนทวนกลับไปที่สิ่งที่ทำเมื่อวาน แล้วก็มักได้คำตอบอยู่ตรงนั้นเอง

คนทำงานเก่งมักชอบทำงานหลายอย่าง และเมื่อทำงานได้น้อยก็โทษตัวเองและรู้สึกไม่ดี แต่การทำงานหลายอย่างโดยไม่ดูข้อจำกัดของร่างกายและสมองเป็นตัวการของความเครียดขั้นรุนแรงเสมอ คนเมืองหลายคนถึงเป็น “ไมเกรน” กันบ่อย หนูดีเองก็เพิ่งเป็นกับเขาด้วยเหมือนกันตั้งแต่กลับมาอยู่กรุงเทพฯ เมื่อ 2-3 ปีก่อนนี่เอง

ดร.เอ็ดเวิร์ด ฮอลโลเวล คุณหมอจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เปรียบเทียบชีวิตคนเมืองอย่างพวกเราไว้เหมือนกับนักโยนลูกบอลกลางอากาศ เขาเล่าให้ฟังถึงครั้งหนึ่งที่เขาคุยกับนักโยนลูกบอลคนหนึ่ง ที่โยนลูกบอลได้ถึง 6 ลูกในเวลาเดียวกัน ทั้งที่คนธรรมดาโยนแค่ 3 ลูกยังยากเลย

พอถามนักโยนบอลคนนี้ว่า จะฝึกโยนให้ได้ถึง 7 ลูกไหม คำตอบที่ได้รับก็คือ “ไม่” ค่ะ ด้วยเหตุผลว่า หากจะโยนให้ได้ 7 ลูก เขาต้องฝึกช่วงเย็นอย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมง เป็นเวลาอย่างน้อยหกเดือน ซึ่งเขาบอกว่า เขาเสียดายเวลาที่จะเอาไปนั่งพัก เอาไปนั่งเล่นกับภรรยา หรือเอาไปอ่านนิทานและสอนการบ้านลูก ที่สำคัญ แค่โยนได้ 6 ลูกเท่านี้ก็โชว์ได้หลายแบบแล้ว บางแบบทำเอาคนนั่งอ้าปากค้างยังมีเลย ดังนั้น เขาคิดว่า ราคาของการโยนลูกบอลให้ได้อีกลูกนั้น แพงไป

หนูดีว่า งานที่เราทำก็เหมือนลูกบอลค่ะ เราโยนไว้กลางอากาศได้จำนวนจำกัด ก่อนที่เราจะเริ่มเครียดและลูกบอลจะเริ่มหล่นลงพื้น ในฐานะคนทำงาน เราคงต้องตัดสินใจให้ดีว่า ลูกบอลงานของเราจะมีกี่ลูกกันแน่ เพราะเรายังต้องแบ่งเนื้อที่มาโยนลูกบอลในชีวิตส่วนตัวด้วย ทั้งเรื่องสุขภาพเราเอง เวลาให้พ่อแม่ และหากเรามีลูก พวกเขาก็ยังต้องการเราด้วย

จริงๆ เราจะโยนมากแค่ไหนก็ได้ แต่ลูกบอลทุกลูกมีราคา...แพงมาก คงต้องเลือกหยิบให้ดี ไม่มากไม่น้อยเกินไป จะได้ไม่รู้สึกเครียดจากงานล้นเกิน หรือ โหวงเหวงเพราะทำน้อยกว่าความสามารถตัวเองค่ะ

from http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/health/20100429/111647/เหนื่อยรอบโลก.html


26 เมษายน 2553

เปิดตัวเลขค่าเหนื่อย 'ผู้บริหาร' บจ. ประจำปี 2552

เปิดตัวเลขค่าเหนื่อย 'ผู้บริหาร' บจ. ประจำปี 2552

เปิดตัวเลขค่าเหนื่อย'ผู้บริหาร'บจ.สูงสุด ปี 52 "ประชัย เลี่ยวไพรัตน์" นำโด่ง 2.8 ล. "เศรษฐา ทวีสิน" 2.5 ล. "ชาติศิริ โสภณพนิช" 2.2 ล./เดือน ค่าเหนื่อย "ผู้บริหาร" บจ. ประจำปี 2552

1.ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ TPIPL เฉลี่ย 2,849,540 บาท/เดือน

2.เศรษฐา ทวีสิน SIRI เฉลี่ย 2,470,833 บาท/เดือน

3.ชาติศิริ โสภณพนิช BBL เฉลี่ย 2,224,537 บาท/เดือน

4.ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ CPALL เฉลี่ย 2,029,074 บาท/เดือน

5.มนตรี ศรไพศาล KEST เฉลี่ย 1,790,694 บาท/เดือน

6.วิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค MINT เฉลี่ย 1,692,000 บาท/เดือน

7.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ASP เฉลี่ย 1,631,665 บาท/เดือน

8.กานต์ ตระกูลฮุน SCC เฉลี่ย 1,411,154 บาท/เดือน

9.บัณฑูร ล่ำซำ KBANK เฉลี่ย 1,317,999 บาท/เดือน

10.ประทีป ตั้งมติธรรม SPALI เฉลี่ย 1,316,441 บาท/เดือน

11.ชนินท์ ว่องกุศลกิจ BANPU เฉลี่ย 1,156,220 บาท/เดือน

12.สมประสงค์ บุญยะชัย SHIN เฉลี่ย 985,694 บาท/เดือน

13.ศุภชัย เจียรวนนท์ TRUE เฉลี่ย 938,426 บาท/เดือน

14.ทอเร่ จอห์นเซ่น DTAC เฉลี่ย 906,207 บาท/เดือน

15.อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ KTB เฉลี่ย 893,375 บาท/เดือน

16.ประเสริฐ บุญสัมพันธ์ PTT เฉลี่ย 835,475 บาท/เดือน

-------------------------------------------

ค่าเหนื่อย 'ผู้บริหาร' ในตลาดหลักทรัพย์ ประจำปี 2552

บริษัท ผู้บริหาร ค่าตอบแทนรวม เฉลี่ยต่อปี เฉลี่ยต่อเดือนปี 2552 เฉลี่ยต่อเดือนปี 2551 เฉลี่ยต่อเดือนปี 2550
(ราย) (ล้านบาท) (บาท/คน/ปี) (บาท/คน/เดือน) (บาท/คน/เดือน) (บาท/คน/เดือน)


ทีพีไอ โพลีน 5 170,972,400 34,194,480 2,849,540 2,813,550 2,666,580


แสนสิริ 6 177,900,000 29,650,000 2,470,833 723,000 511,667

ธนาคารกรุงเทพ 9 240,250,000 26,694,444 2,224,537 2,044,537 1,605,521

ซีพี ออลล์ 9 219,140,000 24,348,889 2,029,074 1,832,593 956,481

บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) 6 128,930,000 21,488,333 1,790,694 2,041,944 1,424,722

ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล 5 101,520,000 20,304,000 1,692,000 1,229,048 542,631

บล.เอเซีย พลัส 6 117,479,893 19,579,982 1,631,665 699,757 876,958

ปูนซิเมนต์ไทย 8 135,470,800 16,933,850 1,411,154 1,070,021 552,646

ธนาคารกสิกรไทย 10 158,159,974 15,815,997 1,317,999 1,259,352 1,191,777

ศุภาลัย 6 94,783,754 15,797,292 1,316,441 869,210 888,018

ปูนซีเมนต์นครหลวง 7 98,515,000 14,073,571 1,172,797 1,343,042 1,194,167

บ้านปู 6 83,247,920 13,874,653 1,156,220 933,556 855,941

เอสโซ่ (ประเทศไทย) 13 161,700,000 12,438,462 1,036,538 673,333 n.a.

ชิน คอร์ปอเรชั่น 6 70,970,000 11,828,333 985,694 1,861,875 1,498,571

ทรู คอร์ปอเรชั่น 9 101,350,000 11,261,111 938,426 1,110,417 1,069,375

แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ 5 55,630,000 11,126,000 927,166 970,500 1,283,380

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 18 196,521,495 10,917,861 909,821 998,395 843,586

โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น 8 86,995,915 10,874,489 906,207 1,041,667 1,011,960

พรีเชียส ชิพปิ้ง 13 140,510,000 10,808,462 900,705 761,987 662,115

ธนาคารกรุงไทย 14 150,087,000 10,720,500 893,375 720,212 994,195

บล.ภัทร 12 128,492,100 10,707,675 892,306 542,145 751,939

ธนาคารไทยพาณิชย์ 44 465,640,000 10,582,727 881,894 1,390,682 1,369,167

เจริญโภคภัณฑ์อาหาร 17 176,000,000 10,352,941 862,745 1,136,364 1,066,667

จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ 9 92,440,000 10,271,111 855,926 852,333 755,833

สยามแม็คโคร 8 80,400,000 10,050,000 837,500 1,119,524 887,500
ปตท. 8 80,205,650 10,025,706 835,475 883,124 885,576

ไออาร์พีซี 6 59,263,552 9,877,259 823,105 647,460 741,667

บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ 13 127,074,517 9,774,963 814,580 949,101 934,077

ช.การช่าง 6 57,454,540 9,575,757 797,980 452,495 393,569

ธนาคารนครหลวงไทย 4 37,329,776 9,332,444 777,703 489,353 531,993

ล่ำสูง (ประเทศไทย) 9 82,084,464 9,120,496 760,041 751,785 621,911

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ 10 88,270,000 8,827,000 735,583 623,167 1,268,241

ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ 5 43,251,270 8,650,254 720,854 574,435 573,871

บล.ซีมิโก้ 5 43,240,288 8,648,058 720,671 462,484 459,233

บางจากปิโตรเลียม 6 50,559,156 8,426,526 702,210 469,557 443,714

บล.บีฟิท 12 100,695,351 8,391,279 699,273 2,003,648 1,000,495

กรุงเทพดุสิตเวชการ 5 41,140,000 8,228,000 685,666 430,714 377,833

แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส 9 72,010,000 8,001,111 666,759 994,048 1,064,028

ควอลิตี้เฮ้าส์ 7 55,600,000 7,942,857 661,904 639,286 595,833

เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ 8 62,580,000 7,822,500 651,875 617,593 618,958

ผาแดงอินดัสทรี 7 54,661,300 7,808,757 650,729 709,119 595,602

ไทยน๊อคซ์ สเตนเลส 10 75,568,125 7,556,813 629,734 662,352 574,881

เสริมสุข 10 75,298,261 7,529,826 627,485 652,164 721,023

แลนด์แอนด์เฮ้าส์ 7 52,140,000 7,448,571 620,714 665,833 634,167

บัตรกรุงไทย 17 124,642,043 7,331,885 610,990 635,125 534,724

ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม 17 122,206,264 7,188,604 599,050 660,246 611,647

ไทยคม 5 35,906,497 7,181,299 598,441 574,472 493,512

ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า 5 35,270,000 7,054,000 587,833 532,778 479,762

บล.บัวหลวง 8 55,251,513 6,906,439 575,536 512,507 510,298

ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป 35 240,969,734 6,884,850 573,737 543,558 1,334,287

ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ 12 81,000,000 6,750,000 562,500 607,143 607,143

เซ็นทรัลพัฒนา 9 60,504,178 6,722,686 560,223 454,610 443,094

อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ 5 33,228,600 6,645,720 553,810 398,296 376,227

ซาบีน่า 5 32,656,000 6,531,200 544,266 571,667 n.a.

อลูคอน 9 58,738,000 6,526,444 543,870 543,333 492,963

พฤกษา เรียลเอสเตท 8 52,135,813 6,516,977 543,081 471,069 411,922

วีนิไทย 8 51,915,433 6,489,429 540,785 574,061 531,488

บางกอก เชน ฮอสปิทอล 8 51,490,000 6,436,250 536,354 446,146 348,519

เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น 6 37,350,000 6,225,000 518,750 414,762 313,810

ธนาคารเกียรตินาคิน 9 54,480,000 6,053,333 504,444 647,222 578,125

โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ 6 35,140,000 5,856,667 488,055 887,778 602,014

เหมราชพัฒนาที่ดิน 19 107,970,000 5,682,632 473,552 562,664 544,821

แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ 8 44,891,596 5,611,450 467,620 391,203 325,335

บลจ.เอ็มเอฟซี 7 39,000,000 5,571,429 464,285 464,286 351,263
ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น 9 49,725,776 5,525,086 460,423 447,933 532,806

จี สตีล 6 32,750,000 5,458,333 454,861 704,028 484,524

โมเดอร์นฟอร์มกรุ๊ป 10 52,949,000 5,294,900 441,241 525,241 494,741

บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ 10 52,716,538 5,271,654 439,304 459,336 370,402

กรุงเทพประกันภัย 14 73,116,000 5,222,571 435,214 363,690 356,833

เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ 12 62,500,000 5,208,333 434,027 495,238 390,476

โกลว์ พลังงาน 30 151,986,205 5,066,207 422,184 385,812 385,811

ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง 10 50,552,000 5,055,200 421,266 471,042 438,990

ไทยออยล์ 27 135,150,000 5,005,556 417,129 648,413 747,059
ธนาคารทหารไทย 46 227,240,000 4,940,000 411,666 375,208 416,952

อาร์ ซี แอล 12 59,229,357 4,935,780 411,315 517,321 574,739

ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน 10 49,306,654 4,930,665 410,888 367,477 392,073

ทุนธนชาต 7 34,411,056 4,915,865 409,655 428,856 389,985

ทีมพรีซิชั่น 9 43,570,072 4,841,119 403,426 480,243 553,617

โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ 5 23,953,920 4,790,784 399,232 335,562 397,562

ทาทา สตีล (ประเทศไทย) 12 56,720,000 4,726,667 393,889 373,056 n.a.

โตโย-ไทย คอร์ปอเรชั่น 12 56,654,750 4,721,229 393,435 409,550 n.a.

กรุงเทพประกันชีวิต 6 27,734,720 4,622,453 385,204 471,795 464,644

โออิชิ กรุ๊ป 8 36,407,680 4,550,960 379,246 331,288 320,062

น้ำมันพืชไทย 15 67,200,000 4,480,000 373,333 365,769 377,738

ไทยยูเนียน โฟรเซ่น โปรดักส์ 14 60,900,000 4,350,000 362,500 360,533 369,697

โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ 12 50,300,000 4,191,667 349,305 313,889 288,194

กระเบื้องหลังคาตราเพชร 6 25,000,000 4,166,667 347,222 299,305 301,667
ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย 8 33,262,126 4,157,766 346,480 516,639 516,416

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) 18 74,600,195 4,144,455 345,371 494,568 501,778


อาร์เอส 8 32,860,000 4,107,500 342,291 507,738 469,286

ปตท.เคมิคอล 12 47,748,523 3,979,044 331,587 462,500 517,053

โอเอชทีแอล 10 39,409,463 3,940,946 328,412 331,436 319,762
เอ็ม บี เค 8 30,231,660 3,778,958 314,913 305,938 324,524

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค 10 36,400,000 3,640,000 303,333 329,917 325,185

สามารถคอร์ปอเรชั่น 6 21,830,306 3,638,384 303,198 369,745 365,837

ผลิตไฟฟ้า 6 21,658,577 3,609,763 300,813 336,428 501,448

----------
หมายเหตุ : 1.ตัวเลขดังกล่าวเป็น "ค่าเฉลี่ย" ไม่ใช่รายได้จริงของผู้บริหารซึ่งมีผลตอบแทนไม่เท่ากัน
2.ตัวเลขดังกล่าวประกอบด้วย "เงินเดือน+โบนัส" และผลตอบแทนอย่างอื่น ตามที่บริษัทระบุไว้ในรายงานประจำปี
3.ข้อมูลดังกล่าวเป็นเพียงการ "สุ่มตรวจสอบ" จากบริษัทจดทะเบียนเพียงบางส่วนเท่านั้น
4.ตัวเลขปี 2550 ปี 2551 และ ปี 2552 อาจแตกต่างกันมาก เนื่องจาก "ตัวหาร" (จำนวนผู้บริหาร) บางปีไม่เท่ากัน


25 เมษายน 2553

Amazon Kindle เครื่องอ่าน Ebook

Amazon Kindle เครื่องอ่าน Ebook


บนหน้าปกและเรื่องจากปกของหนังสือพิมพ์ Newsweek ได้เผยให้เห็นถึงการสนับสนุนข้อมูลอย่างเป็นทางการว่า Amazon เตรียมพร้อมเปิดตัวเครื่องอ่าน eBook ที่ชื่อ Amazon Kindle


บทสัมภาษณ์ Jeff Bezos ซีอีโอของ Amazon เปิดเผยว่าเครื่องดังกล่าวมีราคาขายที่ 399 ดอลลาร์สหรัฐ ด้วยหน้าจอ e-ink ขนาด 6 นิ้ว ไม่มีแบ็คไลท์ สามารถเชื่อมต่อเครือข่าย EV-DO "Whispernet" ของ Sprint เพื่อให้สามารถซื้อหนังสือผ่านสัญญาณสื่อสารไร้สาย โดยจำหน่ายหนังสือดิจิตอลในราคา 9.99 ดอลลาร์ต่อเล่ม ผู้ใช้ยังสามารถสมัครสมาชิกหนังสือพิมพ์ และบล็อกได้โดยเสียค่าบริการเป็นรายเดือน

เครื่อง Kindle นี้สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 30 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และใช้เวลาในการชาร์ตแบตเตอรี่เพียง 2 ชั่วโมง

สำหรับข้อมูลเบื้องต้นของผู้ได้ทดสอบการใช้งาน Kindle ก็มีอธิบายดังนี้ครับ

1. รองรับ SD แต่ไม่ใช่ SDHC ที่ความจุสูง
2. ใช้ ไฟล์ Format ของตัวเอง Kindle ที่คล้ายๆ HTML แต่ก็ยังรองรับไฟล์ Word / PDF /HTML/ Plain text และ ไฟล์รูปภาพ
3. รองรับ Audible
4. ใช้แบตเตอรี่ขนาด 1530 mAh












from http://hitech.sanook.com/trendy/trendy_08529.php


24 เมษายน 2553

คนสำราญ งานสำเร็จ แก่นสร้างสุขสไตล์ซันกรุ๊ป


คนสำราญ งานสำเร็จ แก่นสร้างสุขสไตล์ซันกรุ๊ป

"คน" เป็นทรัพยากรสำคัญทำให้องค์กรก้าวหน้า การเป็นผู้บริหารระดับสูง จึงต้องบริหารคนเก่ง เพื่อให้คนสร้างงานคติ "คนสำราญ งานสำเร็จ" จึงทำให้ "ซันกรุ๊ป" ใส่ใจทุกรายละเอียดของพนักงาน ตั้งแต่ครอบครัว ความสุข สุขภาพ

ด้วยหลักปรัญชาบริหารคน และ องค์กรนี้ จึงทำให้องค์กรแห่งนี้ทำให้กลายเป็นหนึ่งใน "ต้นแบบ" องค์กรแห่งความสุขที่ใครๆ ก็ยกนิ้วให้

และ เป็น 1 ใน 100 กรณีศึกษา องค์การหลากสุข ที่ถูก "โหวต" ให้เป็นองค์กรสุขๆ ที่คณะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ร่วมกันถอดรหัส

ด้วยปรัชญา แนวคิดการบริหาร "ครอบครัวเดียวกัน" ของผู้บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง ทำให้องค์กรแห่งนี้เหมือนครอบครัวใหญ่

..ยามดีเราใช้ ยามไข้เรารักษา

แต่ตลอด 10 ปีเศษของการก่อตั้งองค์กร ปรัชญาครอบครัวเดียวกันไม่เด่นชัด

กระทั่งเกิดวิกฤติ "ไข้หวัดนก" ออเดอร์ที่เคยมีหมด โรงเชือดไก่แทบทิ้งร้าง คนงานไร้งาน เพราะไม่สามารถส่งออกไก่สดได้เลย

แต่ในวิกฤติก็มีโอกาส

ขณะที่โรงงานอื่นต้องเลย์ออฟพนักงาน แต่ซันกรุ๊ป กลับใช้โอกาสนี้พิสูจน์ว่า ปรัชญาการบริหารไม่ได้สวยหรูอยู่บนกระดาษแผ่นเดียว แต่พิสูจน์ได้จากการปฏิบัติจริง

"ตอนนั้นเราไม่ปลดใครออกเลย เพราะเราประเมินว่าอีก 4-6 เดือน สถานการณ์จะดีขึ้น" พรชัย ชาญมณี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซันกรุ๊ป บอก

พนักงานประมาณ 2,800 คน ที่ในยามเศรษฐกิจองค์กรดี เคยสร้างผลกำไรให้บริษัททุกปี เมื่อวิกฤติบริษัทพร้อมที่จะฝ่าอุปสรรคข้างหน้าไปพร้อมกัน

พรชัย เล่าว่า เมื่องานในโรงงานไม่มีก็จำต้องหางานที่อื่นเพื่อเข้ามาใช้-จ่ายในองค์กร ในรูปแบบต่างๆ ทั้งการนำแรงงานไปขายให้โรงงานต่างถิ่น แลกกับค่าแรงที่ถูกกว่า รวมทั้งขอความช่วยเหลือจาก บริษัท สหพัฒน์ เพื่อนต่างอุตสาหกรรม เพื่อนำสินค้ามาขาย

"เราไม่มีประสบการณ์การขาย ทำให้ขาดทุน ส่วนที่ไปรับจ้างแรงงานก็ได้ 138 บาทต่อวัน แต่เราจ่ายค่าแรงให้คนของเราปกติที่ 156 บาทต่อวัน แต่คิดว่าขาดทุนก็ดีกว่าไม่มีงานทำ ส่วนคนที่ไม่สะดวกเราก็ส่งคนออกพัฒนาชุมชน เพื่อให้ทุกคนมีงานทำ"

พรชัย ถือคติว่า ในการบริหารฟาร์มไก่แห่งนี้เพียง 2 ข้อ

ข้อแรก ทำธุรกิจการเกษตรแบบอุตสาหกรรม

ข้อสอง ผู้จัดการฟาร์ม มีหน้าที่ดูแลคน เพื่อให้คนดูแลไก่

"เรื่องอุตสาหกรรมเราคิดว่าถ้าทำธุรกิจการเกษตร ต้องคิดแบบนักอุตสาหกรรม Input ต้องควบคุมได้ Process ต้องคุมได้ Product ต้องควบคุมได้ เราจะทำธุรกิจการเกษตรแบบพึ่งฟ้าพึ่งฝนไม่ได้ แต่ต้องเอาชนะธรรมชาติให้ได้

ขณะที่เรื่องคนผมยึดหลักของอ.สัญญา ธรรมศักดิ์ ว่า ผู้บริหารยิ่งสูงต้องใส่ใจในเรื่องคน เพื่อให้คนทำงาน ฉะนั้นผู้จัดการต้องรู้ว่าคนเป็นอะไร อุปกรณ์มีพอสำหรับทำงานไม๊ เวลาพอหรือเปล่า มีปัญหาครอบครัวอะไร เพราะผมถือว่าเครื่องจักรเรายังต้องดูแล แล้วทำไมจะไม่ดูแลคนล่ะ"

นักบริหารหัวขบถรายนี้ มองว่า ยิ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงยิ่งต้องใส่ใจดูแลคนให้มาก งานเป็นรอง ซึ่งทุกวันนี้เขาดูแลคนมากกว่าดูแลงาน เพราะถือว่าคนเป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่เพียงแค่ทำให้องค์กรแห่งนี้ฝ่าวิกฤติมาได้ แต่ยังปรับตัวแตกไลน์จากอุตสาหกรรมไก่สด เป็นผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมปรุงและพร้อมรับประทาน ภายใต้แบรนด์กินซัน (KINSUN) และไก่เบิ้มแบรนด์โกซัน (GOSUN) ที่จำหน่ายไก่ตอนให้ร้านแก่ร้านข้าวมันไก่

พรชัย บอกหลักการบริหารคนต้องใช้หลัก PIES นั่นคือ

P - Physical สิ่งที่จับต้องได้ เป็นความจำเป็น เช่น อาหารการกิน เงิน

I - Intelligence คนต้องมีสติปัญญา จึงจะพัฒนาได้

E - Emotional อารมณ์ต้องดี สังคมต้องเอื้ออาทรจึงจะมีแรงบันดาลใจ

S - Spiritual รู้ผิดชอบชั่วดี

เขา บอกว่า ต้องดูแลให้ครบทั้ง 4 ด้าน แต่ต้องกลับด้าน โดยให้ความสำคัญจาก S E I P

"คนต้องมีทัศนคติที่ดีจึงจะทำสิ่งที่ถูก ให้สังคม จากนั้นถึงจะมีเงิน"

หลักบริหารคนแบบ PIES ทำให้โรงงานแห่งนี้ คัดแต่ คนดี ซื่อตรง เสียสละ ละเว้นอบายมุข

"บริษัทจะโตได้เริ่มต้นต้องได้คนดี และคนเก่ง หลักก็คือ อยู่กันอย่างมีความสุข แล้วคนจะทำดี"

พรชัย บอกว่า หลักการบริหารนี้ทำให้คนของซันกรุ๊ป พร้อมที่จะปรับตัว และพร้อมเรียนรู้ ซึ่งนับตั้งแต่วิกฤติไข้หวัดนกเป็นต้นมา คนซันกรุ๊ปเติบโต กล้าแกร่งขึ้น เมนูสินค้าใหม่ๆ ก็ล้วนแต่มาจากมันสมองของลูกหม้อ โดยไม่ต้องซื้อตัวคนนอก

"ทุกคนชอบการเรียนรู้หากปัจจัยเอื้อ ซึ่งเราสร้างบรรยากาศให้เกิดการเรียนรู้ ไม่มีบรรยากาศเจ้าขุนมูลนาย ประธานกรรมการสามารถพูดคุยกัน แซวกันได้ เราถือว่าการผิดพลาดเป็นครู หากทำดีเราก็ชมเชย"

เขา ยกตัวอย่างกิจกรรมอิ่มอร่อย ได้งาน คือ การจับกลุ่มพนักงานเข้ามากินอาหารในห้างฯ เลือกกินร้านอาหารตามใจชอบ จะญี่ปุ่น เกาหลี ฝรั่ง ได้หมด พร้อมงบกินฟรี

แต่ให้กลับไปพร้อมเมนูไก่ เมนูใหม่ ลองทำให้เข้ากับอาหารกินฟรี

"เป็นการเปิดโอกาสให้เค้าคิด มาทำแล้วพรีเซนท์ สร้างความภาคภูมิใจให้เค้า แต่อย่าตำหนิ ให้สร้างบรรยากาศการเรียนรู้

สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องไม่ซับซ้อน เริ่มจากคิดเห็นว่าเค้าเป็นมนุษย์เท่ากับเรา ให้เขา แล้วเขาจะให้เกียรติเรา ทุกอย่างเริ่มต้นที่ใจ"

เมื่อคนสำราญ งานก็สำเร็จ เหมือนอย่างที่ พรชัย มักพูดให้พนักงานฟัง

"ทุกวันนี้เราพึ่งตลาดต่างประเทศน้อยลง เรามีความรู้ผิดสินค้ามากขึ้น เรามีสโลแกนว่าเราเป็น "แสงสว่างแห่งความอุดมสมบูรณ์ และความสุข" เป็นความสุขของผู้ผลิต ความสุขของผู้บริโภค ซึ่งความสุขต้องตั้งต้นจากคนทำ"

ผลผลิตจากความสุขทำให้รายได้บริษัทปีที่ผ่านมามียอดขายประมาณ 5 พันล้านบาท และปีนี้น่าจะเติบโตไม่น้อยกว่า 10% แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายหลัก

"เราไม่ได้โฟกัสยอดขาย แต่จะดูการประกอบการเป็นเช่นไร ซึ่งเรามีข้อตกลงกับพนักงานว่า 15% ของกำไรคือโบนัสของพวกเขา"

นอกจากโบนัสตัวเงินแล้ว พรชัย ยังให้โบนัสสุขภาพแก่พนักงานทุกคน ซึ่งโครงสร้างโบนัสจะถูกแบ่งออกเป็น 50% จากผลกำไรของบริษัท 25% จากผลงานของแผนก และ 25% สุดท้ายผลงานแต่ละคน ที่ได้มาจาก การให้ข้อเสนอแนะแก่องค์กร และการออกกำลังกายของตัวเอง โดยแปลงค่าออกกำลังกายเป็นเคพีไอผลงานส่วนบุคคล

เป็นกุศโลบายเนียนๆ ให้คนสนใจสุขภาพตัวเองอย่างยาวๆ เพราะเขาถือว่า สุขภาพซื้อหาไม่ได้ ต้องทำด้วยตัวเอง

ทุกวันนี้พื้นที่ว่างหน้าฟาร์มเลี้ยงไก่ หลังโรงงาน ยังมีพื้นที่ให้พนักงานได้ทำการเกษตรเล็กๆ ใครใคร่ปลูกพืชไร่ปลูก ใครใคร่ทำแปรงเกษตรทำ ที่เหลือกินก็แจกจ่ายเพื่อนร่วมงาน เหลือกว่านั้นยังขายให้โรงครัวของบริษัททำขายให้เพื่อนพนักงานได้กิน

ทั้งอิ่มท้อง อิ่มใจ สบายกระเป๋า

แต่การเดินถึงจุดนี้ได้ พรชัย บอกว่า ต้องเริ่มจากความใส่ใจของผู้บริหาร เล็กๆ น้อยๆ เพราะเชื่อว่า "คนสำราญ งานสำเร็จ"

จึงไม่น่าแปลกที่องค์กรแห่งนี้จะเป็น 1 ใน 100 องค์กรหลากสุข ที่ใครๆ พร้อมใจ "โหวต" ให้

from http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/bizweek/20100422/110041/คนสำราญ-งานสำเร็จ-แก่นสร้างสุข-สไตล์-ซันกรุ๊ป.html


หุ้นในกลุ่มของเครือสหพัฒน์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

หุ้นในกลุ่มของเครือสหพัฒน์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

กลุ่มแฟชั่น
1. BNC : บริษัท บางกอกไนล่อน จำกัด (มหาชน)
2. BTNC : บริษัท บูติคนิวซิตี้ จำกัด (มหาชน)
3. ICC : บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)
4. NC : บริษัท นิวซิตี้ (กรุงเทพฯ) จำกัด (มหาชน)
5. NPK : บริษัท นิวพลัสนิตติ้ง จำกัด (มหาชน)
6. PAF : บริษัท แพนเอเซียฟุตแวร์ จำกัด (มหาชน)
7. PG : บริษัท ประชาอาภรณ์ จำกัด (มหาชน)
8. TNL : บริษัท ธนูลักษณ์ จำกัด (มหาชน)
9. TPCORP : บริษัท เท็กซ์ไทล์เพรสทีจ จำกัด (มหาชน)
10. WACOAL : บริษัท ไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน)

กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม
11. PB : บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน)
12. PR : บริษัท เพรซิเดนท์ไรซ์โปรดักส์ จำกัด (มหาชน)
13. TF : บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน)

กลุ่มของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์
14. OCC : บริษัท โอ ซี ซี จำกัด (มหาชน)
15. S & J : บ.เอส แอนด์ เจ อินเตอร์เนชั่นแนล เอนเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน)

กลุ่มพาณิชย์
16. SPC : บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน)
17. SPI : บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)

กลุ่มพลังงาน
18. SCG : บริษัท สหโคเจน (ชลบุรี) จำกัด (มหาชน)

กลุ่มสินค้าอุปโภคและบริโภค
19. IFEC : บริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ วิศวการ จำกัด (มหาชน)

กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์
20. FE : บริษัท ฟาร์อีสท์ ดีดีบี จำกัด (มหาชน)

from http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9118127/I9118127.html


22 เมษายน 2553

7 Things You Should Say In An Interview

7 Things You Should Say In An Interview

Today's job market is as competitive as ever. You need to be able to effectively communicate you skill set so that you will give yourself the best competitive advantage to secure employment. During the interview process, you want to highlight as many of your strengths as possible. An easy way to do this is by slipping a few simple phrases into your next job interview. Here are seven things you should say in an interview. (For related reading, check out Taking The Lead In The Interview Dance.)

In Pictures: 7 Interview Don'ts

1. I am very familiar with what your company does.
Letting a prospective employer know that you are familiar with what a company does shows that you have a legitimate interest in the business and are not just wasting their time. Do your homework before arriving for an interview. Check out the company website for information about products and services. Search for the latest transactions and pertinent business news. (Want to get work on Wall Street? Check out Top Things To Know For An Investment Banking Interview.)

Be sure to let the interviewer know that you are familiar with the newest company acquisition or the latest product that was just developed. Explain how your skills and experience are a perfect fit for the employer.

2. I am flexible.
Work environments are always changing. Prospective employers are looking for candidates that are open to change and can adapt at a moment's notice. In today's fast paced business world, employees must have the ability to multi-task.

Stating that you are adaptable lets an employer know that you are willing to do whatever is necessary to get the job done. This may mean working additional hours or taking on additional job duties in a crunch. Show your potential employer that you are equipped to deal with any crisis situation that may arise. (It is possible to work too hard. See Top 10 Ways To Avoid Burnout In Corporate Finance for more.)

3. I am energetic and have a positive attitude.
Employers are looking for candidates with optimism and a "can-do" attitude. Attitudes are contagious and have a direct affect on company morale. Let the optimist in you shine during the interview process.

Be sure to always speak positively about past employers. Negative comments and sarcastic statements about past employers and co-workers will make you look petty. If you bad mouth your past company, employers are liable to believe that you will do the same thing to them.

4. I have a great deal of experience.
This is your chance to shine. Highlight any previous job duties that relate directly to your new job. If it is a management position, state every time that you were responsible for the supervision, training and development of other employees. Discuss your motivational techniques and specific examples of how you increased productivity. Feel free to list any training classes or seminars that you have attended.

5. I am a team player.
Do you remember when you were young and your teacher wanted to know if you could work well with others? Well the job market is no different! Companies are looking for employees that are cooperative and get along well with other employees. Mentioning that you are a team player lets your prospective employer know that you can flourish in group situations. Employers are looking for workers that can be productive with limited supervision and have the ability to work well with others. (Learn more about keeping peace in the office. Check out Dealing With 10 Coworker Personality Conflicts.)

6. I am seeking to become an expert in my field.
Employers love applicants that are increasing their knowledge base to make themselves the best employees possible. Stating that you are aiming to become an expert causes employers to view you as an asset and not a liability. You are a resource that other employees can learn from.

This is also a subtle way of illustrating that you have an attitude of excellence. You are aiming to be the best at what you do! This will let employers know that you are not just a fly-by-night employee, but in it for the long run.

7. I am highly motivated.
A motivated employee is a productive employee. Talk about how your high level of motivation has led you to accomplish many things. If you are a meticulous worker, discuss your organizational skills and attention to detail. Companies are always looking for dependable employees that they can count upon.

The Bottom Line
Remember that a job interview is an opportunity to sell yourself to a prospective employer. Be sure to slip in the right phrases to give you the best chance possible of securing that cushy corner office on the ninth floor.

from http://financialedge.investopedia.com/financial-edge/0410/7-Things-You-Should-Say-In-An-Interview.aspx?partner=ntu4


21 เมษายน 2553

หุ่่นโมเดลกระดาษ warcraft 3 dot a

หุ่่นโมเดลกระดาษ warcraft 3 dot a


โหลดฟรีได้ที่นี่ http://dota.hobikitkertas.com/products.htm










หุ่นโมเดล warcraft 3 dot a


หุ่นโมเดล warcraft 3 dot a

ใครสนใจซื้อสะสม หุ่นโมเดล warcraft 3 dot a ตามลิ้งข้างล่างได้เลยครับ

http://www.hobikitkertas.com/index.php?option=com_content&view=category&layout=blog&id=28&Itemid=91






 







“ออมก่อนใช้” ด้วยการสร้างระบบการออมอัตโนมัติ

“ออมก่อนใช้” ด้วยการสร้างระบบการออมอัตโนมัติ

ในตอนก่อนหน้านี้ ได้แนะนำไปแล้วว่า เราจำเป็นต้องเริ่มออมเสียแต่วันนี้ เพื่อให้เกษียณอย่างสบาย และได้แนะนำให้ปรับแนวคิดในการออมเสียใหม่ ให้ “ออมก่อนใช้” ไม่ใช่ “ใช้แล้วเหลือจึงออม” เพราะโดยธรรมชาติของคนเรานั้นมักจะขาดวินัยในการออม แม้ตั้งใจจะใช้จ่ายอย่างประหยัดเพื่อจะออมให้ได้ ก็มักทำไม่สำเร็จ หลักการก็คือว่า สร้างระบบการออมที่หักเงินไปออมทันที่เงินเดือนออก ในตอนนี้ผมขอขยายความการสร้างระบบการออมอัตโนมัติ เพื่อให้เราสามารถ“ออมก่อนใช้” ได้สำเร็จ

เพื่อให้เข้าใจง่าย สมมติว่าท่านมีเงินเดือน 20,000 บาท และตั้งใจจะออมให้ได้เดือนละ 5,000 บาท เรามาดูกันว่าจะมีช่องทางสร้างระบบการออมอัตโนมัติได้อย่างไรบ้าง

1. ระบบออมภาคบังคับ ได้เล่าไปในตอนก่อนแล้วว่า การออมภาคบังคับเป็นการสร้างวินัยการออมที่ดีที่สุด เพราะเรากำลังถูกบังคับให้ออมเงินด้วยการหักจากเงินเดือนโดยอัตโนมัติ ดังนั้น ระบบการออมภาคบังคับจึงจัดเป็น “การออมอัตโนมัติ” ที่มีอยู่แล้ว ท่านไม่ต้องสร้างขึ้นมาใหม่ แต่ขอให้ออมผ่านระบบนี้อย่างเต็มที่

ระบบการออมภาคบังคับที่สำคัญของไทยคือ กองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพ ซึ่งท่านที่ทำงานในภาคเอกชนและเป็นผู้ประกันตนซึ่งมีจำนวนกว่า 9.2 ล้านคนทั่วประเทศในขณะนี้ ได้ออมอยู่แล้วทุกเดือนในอัตราร้อยละ 3 ของรายได้ นายจ้างช่วยสมทบอีกร้อยละ 3 ของรายได้ มีเพดานรายได้ไม่เกิน 15,000 บาท เงินที่ท่านออมเหล่านี้จะได้รับกลับคืนไปในรูปของ “บำเหน็จ” หรือ“บำนาญ”เมื่อเกษียณ ท่านจึงได้ออมเงินกับกองทุนประกันสังคมอยู่แล้วทุกเดือน

เนื่องจากเราสมมติว่าท่านมีเงินเดือน 20,000 บาท แต่กองทุนจัดเก็บเงินสมทบโดยมีเพดานรายได้ 15,000 บาท ท่านจึงออมกับกองทุนประกันสังคมในอัตราร้อยละ 3 ของเพดานรายได้ 15,000 บาท คิดเป็นเงินออมเดือนละ 450 บาท นายจ้างสมทบอีก 450 บาท รวมเป็นเงินออมเดือนละ 900 บาท

จะเห็นได้ว่า ในแต่ละเดือน ท่านออมกับกองทุนประกันสังคมเป็นจำนวนไม่มากนัก เช่น ท่านที่มีรายได้ 20,000 บาทต่อเดือน ท่านออมเพียง 450 บาท การออมกับกองทุนประกันสังคมจึงไม่ได้สร้างภาระทางการเงินแต่ประการใด แต่เป็นระบบการออมแบบอัตโนมัติให้กับตัวท่านเอง เพื่อให้มีบำเหน็จหรือบำนาญใช้หลังเกษียณ
นอกจากกองทุนประกันสังคมแล้ว ท่านที่เป็นข้าราชการและเป็นสมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ก็จัดว่าอยู่ในระบบการออมภาคบังคับ โดยมีอัตราการออมเงิน 3% + 3% ของรายได้เช่นเดียวกัน ท่านจึงมีระบบการออมอัตโนมัติผ่าน กบข. เป็นประจำทุกเดือน
ในส่วนของ กบข. ไม่มีเพดานรายได้ ดังนั้นท่านที่เป็นสมาชิก กบข. และมีเงินเดือน 20,000 บาท จึงได้ออมกับ กบข. เดือนละ 600 บาท รัฐบาล (ในฐานะนายจ้างของข้าราชการ) สมทบให้อีก 600 บาท รวมเป็นเงินออมเดือนละ 1,200 บาท

ในปัจจุบัน กบข. ได้เปิดโครงการออมเพิ่มเพื่อให้สมาชิกสามารถสะสมเงินเข้ากองทุนได้สูงสุดถึงร้อยละ 15 ของเงินเดือน นับเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ออมเพิ่ม

ทั้งนี้ ขอย้ำอีกครั้งว่า การออมภาคบังคับกับกองทุนประกันสังคมและกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการมีข้อดีอย่างน้อย 2 ประการ คือ (1) เงินทุกบาทที่ท่านออมมีนายจ้างสมทบด้วยอีกหนึ่งเท่า (2) เงินทุกบาทที่ท่านออมสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ด้วย

2. ระบบการออมภาคสมัครใจ มีไว้เพื่อรองรับผู้ที่ยังไม่มีสวัสดิการออมเงินเพื่อวัยเกษียณภาคบังคับ แรงงานนอกระบบ (Informal Sector) หรือมีสวัสดิการดังกล่าว แต่ต้องการออมเพิ่มเติม

ระบบการออมภาคสมัครใจที่สำคัญ คือ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งครอบคลุมสมาชิกที่เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจและลูกจ้างในภาคเอกชนจำนวนประมาณ 2 ล้านคน ปัจจุบันมีเงินสะสมประมาณ 514,500 ล้านบาท โดยลูกจ้างสมัครใจให้หัก"เงินสะสม" และนายจ้างจ่ายเงินเข้าอีกส่วนหนึ่งเรียกว่า"เงินสมทบ" เมื่อเกษียณจะได้รับ “บำเหน็จ” เป็นเงินก้อน เท่ากับเงินสะสมและเงินสมทบข้างต้น บวกดอกผลจากการลงทุน

ดังนั้น หากหน่วยงานหรือบริษัทของท่านมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ขอแนะนำให้ออมอย่างเต็มที่ เพราะการหักเงินเดือนของท่านสะสมเข้ากองทุนทุกเดือน เป็นการสร้างระบบการออมอัตโนมัติให้กับตัวท่านเอง

สมมติว่าท่านมีเงินเดือน 20,000 บาท ทำงานบริษัทเอกชนที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งมีอัตราเงินสะสมของลูกจ้างร้อยละ 10 และมีอัตราเงินสมทบ ของนายจ้างอีกร้อยละ 10 ท่านจึงได้ออมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเดือนละ 2,000 บาท นายจ้างสมทบให้อีก 2,000 บาท รวมเป็นเงินออมเดือนละ 4,000 บาท เมื่อรวมกับเงินสมทบกองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพเดือนละ 900 บาท ท่านมีเงินออมรวม 4,000 + 900 = 4,900 บาทต่อเดือน

3. ระบบการออมอัตโนมัติที่สร้างขึ้นเอง ในกรณีที่ไม่ได้อยู่ในระบบการออมภาคบังคับ หรือไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือมีระบบการออมข้างต้นแล้วแต่ต้องการออมเพิ่ม เราก็สามารถสร้างระบบการออมภาคบังคับได้ด้วยตนเอง ซึ่งมีทางเลือกหลากหลาย เช่น

3.1 ฝากเงินกับสหกรณ์ออมทรัพย์ หากที่ทำงานของท่านมีสหกรณ์ออมทรัพย์ การหักเงินเดือนเพื่อฝากเงินกับสหกรณ์เป็นประจำทุกเดือนก็เป็นการสร้างระบบการออมแบบอัตโนมัติที่ดีอย่างหนึ่ง โดยทั่วไป การฝากกับสหกรณ์ออมทรัพย์มักจะให้ดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากธนาคาร และให้สิทธิกู้เงินในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าธนาคารด้วย

3.2 กู้เงินซื้อบ้าน เมื่อท่านเริ่มมีฐานะการเงินที่มั่นคงและมีกำลังพอที่จะผ่อนไหว การกู้ซื้อบ้านนับเป็นทางเลือกหนึ่งในการสร้างระบบการออมอัตโนมัติ เพราะการชำระค่างวดเป็นประจำทุกเดือนเป็นการออมเงินเพื่อไปสู่เป้าหมายคือการมีบ้านเป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ใช้ประโยชน์ได้และเป็นทรัพย์สินที่มูลค่ามักจะปรับเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา โปรดสังเกตนะครับว่าไม่ได้สนับสนุนให้กู้เงินซื้อรถ เพราะเป็นทรัพย์สินที่มูลค่าปรับลดลงตามกาลเวลา และไม่ได้สนับสนุนให้กู้เงินจากบัตรเครดิตหรือเงินกู้ส่วนบุคคล เพราะการกู้อย่างหลังนี้ถือเป็นการนำเงินในอนาคตมาใช้ในปัจจุบัน ขัดกับหลักการออมอย่างสิ้นเชิงครับ

3.3เปิดบัญชีเงินฝากปลอดภาษี ปกติเวลาเอาเงินไปฝากธนาคาร เราจะรู้จักแต่ “เงินฝากออมทรัพย์” และ “เงินฝากประจำ” แต่เดี๋ยวนี้มีบัญชีเงินฝากแบบพิเศษที่ส่งเสริมให้เกิดการออมเงิน ซึ่งบังคับให้ฝากเป็นประจำทุกเดือน ขั้นต่ำเดือนละ 1,000 บาท แต่ไม่เกินเดือนละ 25,000 บาท ติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 24 เดือน เมื่อครบกำหนด จะได้รับดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากประจำ และไม่ต้องเสียภาษีจากดอกเบี้ยที่ได้รับด้วย

ทั้งนี้ เข้าใจว่าธนาคารแทบทุกแห่งมีบัญชีแบบนี้ไว้บริการ แต่อาจจะเรียกชื่อต่างกัน เช่น ธ. กรุงเทพ เรียกว่า “เงินฝากสินมัธยะทรัพย์ทวี” ธ. กสิกรไทย เรียกว่า “เงินฝากทวีทรัพย์” เป็นต้น ส่วน ธ. อาคารสงเคราะห์ มีเงินฝากที่เรียกว่า “สินเคหะ” ซึ่งเมื่อครบกำหนดนอกจากจะได้ดอกเบี้ยสูงและไม่ต้องเสียภาษีแล้ว ยังได้สิทธิกู้เงินซื้อบ้านด้วยดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราปกติด้วย

3.4 เปิดบัญชีซื้อกองทุนแบบอัตโนมัติ ในปัจจุบันนี้บริษัทจัดการกองทุนส่วนใหญ่มีบริหารสำหรับลูกค้าที่ต้องการออมเป็นประจำทุกเดือน ด้วยการหักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติเพื่อหักเงินจากบัญชีเงินฝากของเราไปซื้อหน่วยลงทุน หลายแห่งเริ่มต้นที่ 500 บาทต่อเดือนเท่านั้น ปัจจุบันมีกองทุนให้เลือกลงทุนหลากหลาย ตั้งแต่เสี่ยงน้อยไปถึงเสี่ยงมาก อาทิเช่น

กองทุนตราสารภาครัฐระยะสั้น (Money Market Fund) กองทุนประเภทนี้รวบรวมเงินออมของท่านและผู้ลงทุนคนอื่นๆ ไปลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐอายุไม่เกิน 1 ปี เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาลและพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ตราสารเหล่านี้ออกโดยรัฐบาลจึงมีความเสี่ยงต่ำมาก แต่เนื่องเป็นตราสารที่เน้นขายเฉพาะนักลงทุนสถาบัน ประชาชนจึงสามารถลงทุนได้ทางอ้อมผ่านกองทุนรวม การลงทุนในกองทุนประเภทนี้มีความเสี่ยงต่ำมาก และมีสภาพคล่องสูงเกือบเท่าเงินฝากออมทรัพย์ (เมื่อขายคืนหน่วยลงทุนจะได้รับเงินคืนในวันทำการถัดไป) แต่โดยส่วนใหญ่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์

กองทุน LTF และ RMF สำหรับท่านที่มีภาระภาษี ขอแนะนำให้พิจารณาลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund หรือ LTF) หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund หรือ RMF) โดยใช้วิธีหักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติเพื่อซื้อหน่วยลงทุนเป็นประจำทุกเดือน วิธีนี้จะเป็นการสร้างวินัยการออมที่ดีมาก ทำให้ท่านทยอยซื้อกองทุนตลอดทั้งปี ช่วยเฉลี่ยต้นทุนแบบ Dollar Cost Averaging เพราะหากไปรอซื้อตอนปลายปีอาจจะได้ซื้อที่ราคาแพง

3.5 ซื้อประกันชีวิตแบบทยอยชำระเบี้ย การซื้อประกันชีวิตจัดเป็นส่วนผสมระหว่างการออมภาคสมัครใจและการคุ้มครองกรณีเสียชีวิต โดยผู้ซื้อประกันออมเงินด้วยการชำระเบี้ยประกัน และจะได้รับเงินคืนตามสัญญาหากเสียชีวิตหรือเมื่อสัญญาครบกำหนด เท่าที่เคยคำนวณคร่าวๆ การซื้อประกันชีวิตจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 2 – 4% ต่อปี ทั้งนี้ แทนที่จะชำระเบี้ยเป็นเงินก้อนใหญ่ปีละครั้ง บริษัทประกันชีวิตหลายแห่งมีทางเลือกให้ลูกค้าทยอยชำระเบี้ยเป็นราย 3 เดือนหรือรายเดือน นับเป็นการสร้างระบบการออมอัตโนมัติอย่างหนึ่ง อย่างไรก็ดี การทยอยชำระเบี้ยอาจทำให้ท่านจ่ายเบี้ยมากกว่าการชำระเพียงครั้งเดียว ขอแนะนำให้ศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ

นอกจากนี้แล้ว ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จากตัวเลขที่เรากำหนดเป้าหมายออมเงินแบบอัตโนมัติเดือนละ 5,000 บาท สมมติว่าเริ่มออมเมื่ออายุ 30 ปี ทำต่อเนื่องเป็นประจำทุกเดือนจนอายุครบ 60 ปี โดยเงินที่ออมนำไปลงทุนได้ผลตอบแทนเฉลี่ยร้อยละ 5.00 ต่อปี เมื่ออายุครบ 60 ปี ท่านจะมีเงินออมสะสมประมาณ 4,000,000 บาท
หากเอาเงินก้อนจำนวน 4,000,000 บาทเป็นตัวตั้ง สมมติว่าท่านจะอายุยืนไปถึง 80 ปี นำเงินก้อนนี้ไปลงทุนได้ผลตอบแทนเฉลี่ยร้อยละ 5.00 ต่อปี แล้วทยอยถอน “ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย” ออกมาใช้เป็นประจำทุกเดือน ท่านจะมีเงินใช้หลังเกษียณประมาณเดือนละ 26,000 บาทครับ

หากเกรงว่าการออมเดือนละ 5,000 บาทจะเกินกำลัง ท่านสามารถกำหนดเป้าหมายที่ต่ำกว่าได้ เช่น หากกำหนดเป้าหมายออมเดือนละ 2,000 บาท เริ่มต้นออมเมื่ออายุ 30 ปีเหมือนกันและใช้สมมติฐานเดียวกัน เมื่อเกษียณ ท่านจะมีเงินออมประมาณ 1,600,000 บาท และมีเงินใช้หลังเกษียณประมาณเดือนละ 10,000 บาทครับ
ซึ่งหวังว่าแนวทางการออมต่างๆ ข้างต้นจะเป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่าน และเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจให้ท่านเลือกแนวทางการสร้างระบบการออมให้กับตนเอง ขอย้ำอีกครั้งว่า การสร้างระบบการออมเพื่อเกษียณเป็นการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับตัวท่านเองและครอบครัวในระยะยาวครับ

ท่านสามารถตรวจสอบข้อมูลสิทธิประโยชน์กองทุนประกันสังคมเพิ่มเติมได้ที่ www.sso.go.th หากท่านมี ข้อสงสัยเกี่ยวกับการออมเงินกับกองทุนประกันสังคมเพื่อให้ได้รับบำเหน็จหรือบำนาญชราภาพหลังเกษียณ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานประกันสังคม เขตพื้นที่/จังหวัด/สาขาทั่วประเทศ หรือที่สายด่วนประกันสังคม 1506 ติดต่อระบบโทรศัพท์ตอบรับอัตโนมัติ ให้บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อเจ้าหน้าที่โดยตรง ให้บริการทุกวันไม่เว้นวันหยุด ตั้งแต่เวลา 07.00 – 19.00 น.

ข้อมูล : วิน พรหมแพทย์ สำนักบริหารการลงทุน สำนักงานประกันสังคม

from http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9530000053738


19 เมษายน 2553

java swingworker multithread programming tutorial

java swingworker multithread programming tutorial

SwingWorker is one of the most handiest utility classes provided in Swing. Most of the interviews on Swing have a question or two on this class. Let’s make sure you know all about it’s need and usage. Step by Step.
A (Quick) look at the problem with the “Event Dispatch” thread:

The “Event Dispatch” Thread(EDT) is a special thread in Swing where all graphical events are processed. One such event is painting the screen. Also, all the listeners attached to swing components are executed in the EDT(BTW, make it an habit to call it the “EDT”, it looks cool on interviews).

So, get this clear, the code that paints the screen and your code that executes inside a listener, both runs on the EDT. Now, by the laws of nature, within a “single” thread operations cannot execute parallely. So when your listener code is executing, the code that paints the screen cannot execute. clear? If not read the above line again.

Now, If your listener code takes a long time to execute(for eg., fetching large data from the network), till it’s completion the screen wouldn’t get painted. This makes the application look as if it’s hung. (You should have definitely seen this in almost all Java IDES.

If you’ve not paid attention, Wait for the time when you JAVA IDE seems to be hung,

then change the window and then come back to the IDE window. you won’t see anything on the screen, just the blank form. that’s what I am talking about)
Ok, how do I un-hang my Swing Application

Simple. Don’t let the code in your listener execute for a long time. But what if you have to write code that takes long time to execute? For eg., what if you need to fetch large data from a db table and display it to the user when the user presses a button? Again, Simple. Execute the time consuming task in a separate thread. The paint method executing in the EDT can execute parallely when your new thread is happily waiting for the data to get fetched from the DB(yes, the laws of nature allow this). Simple, right?
But wait, it’s not that simple. What would you do after you fetch the data. You cannot display the value directly from the new thread that you just created! As I told you all graphical operations must execute in the EDT. So you need to come back to the even dispatch thread to display the fetched values…How do you do that? I will come to that in a second. but let’s make sure you have the steps clearly defined.
So here are the steps,

-The action listener(of the button press) gets executed in the EDT

-You make a background thread to load the data [or does any other time consuming task for that matter]

-the background task calls code in the EDT to display the newly fetched data.
From the background thread you can use methods like SwingUtilties.invokeLater() to run code in the EDT.. But….
Wouldn’t it be dreamy if …(yes, this title was picked up those head first books)
Wouldn’t it be dreamy you could write just two methods, one method (m1) where you put the code to load data and the other method (m2) where you write the code to update the UI? Wouldn’t it be great, if automatically m1(loading the data) is called first and then when that completes,m2 is automatically called? Wouldn’t it be magical, if somehow m1 could be automatically get called in a background thread and m2 in the EDT?

Well, lucky you, there’s a simple utility class ships with Java 6 that let’s you do this. and that class is… well, no surprise here.. The SwingWorker Class.

So SwingWorker is this..
A class having two main methods,
-method “doInBackground()” which always get executed in the background thread. This is the m1 method we were discussing in the last paragraph. Here you can put code that executes for as much time as you like!

-method “done()” which always gets executed in the EDT, and always get executed after the doInBackground() method gets finished. Same as the m2 method in the previous paragraph. So here’s where you put the code that displays the data after the data gets loaded.



An Example
SwingWorker worker = new SwingWorker() {
//This method automatically gets executed in a background thread

public List doInBackground() {

//fetch the big list from the

List list = getBigListAfterExecutingForLongTime();

return intDoc;

}
//This methods automatically gets executed in the EDT

public void done() {

//Get method retuns the exect, same thing

//that the doInBackground() method returned

List list = get();
//Now do all UI Operations here..

updateTheUIWithThisBigList(list);

}

};
//Code that executes when the button is pressed

public void actionPerformed(ActionEvent ae){

worker.execute();

}

from http://www.indijava.in/community/tutorial/Using-SwingWorker-A-Step-by-Step-tutorial



06 เมษายน 2553

เศรษฐีผู้รวยด้วยหนูตายตัวเดียว

เศรษฐีผู้รวยด้วยหนูตายตัวเดียว

อ่านแล้วชอบมาก เห็นว่าเข้าท่าดีเลยนำมาเผยแพร่
แล้วตั้งชื่อเสริมไอเดียว่านิทานธุรกิจ ลองมาอ่านกันเลยครับ

เมื่อเกือบสองพันปีมาแล้ว เมืองพาราณสีเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจ คับคั่งไปด้วยผู้คนทุกระดับชั้น ตั้งแต่ยาจก

คนเข็ญใจ ผู้ใช้แรงงาน นักคิด และพ่อค้าผู้มั่งคั่ง ในบรรดาพ่อค้าเหล่านั้น มีเรื่องของพ่อค้าผู้หนึ่งที่น่าสนใจมาก

เพราะเขาได้ใช้ความเฉลียวฉลาดพาตนเองให้พ้นจากความยากจน กระทั่งในที่สุด ได้รับตำแหน่ง “เศรษฐีแห่งพระนคร”

การจะได้ตำแหน่งเศรษฐีประจำพระนครนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ใครๆ ก็อาจจะเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยได้ แต่การที่จะมั่งคั่ง

ขนาดที่ได้รับแต่งตั้งจากพระราชาให้เป็นเศรษฐี จำเป็นต้องรวยอย่างแท้จริง รวยจนพระราชาต้องยอมรับ

คฤหาสน์ของเศรษฐีผู้นี้กว้างขวางใหญ่โต มีสวนผลไม้ขนาดใหญ่ มีบริวารนับร้อย มีโรงทานที่ให้ทานทุกวันสำหรับผู้ยากไร้ ฯลฯ


คราวนี้เรามาดูกันว่าเศรษฐีผู้นี้สร้างความมั่งคั่งให้กับตนเองอย่างไร ทั้งๆ ที่ไม่มีทุนแม้แต่น้อย

เศรษฐีผู้นี้เดิมชื่อว่าอะไรนั้น ดูเหมือนผู้คนจะลืมไปเสียแล้ว คนทั่วไปเรียกเขาด้วยฉายาว่า

มุสิกเศรษฐี

“มุสิกเศรษฐี” นี้เป็นกำพร้า พ่อแม่ตายตั้งแต่เด็ก เหลือเพียงตัวคนเดียว สมัยยังหนุ่มเลี้ยงชีพด้วยการรับจ้าง

ทำงานเล็กๆ น้อยๆ ตามแต่จะมีคนจ้าง ยากจนมาก และไม่รู้ว่าจะประกอบการงานใดให้รุ่งเรืองขึ้นมาได้

จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่กำลังเก็บกวาดใบไม้อยู่บริเวณถนนหลวงหน้าบ้านท่านจุลลกเศรษฐี ท่านเศรษฐีกำลัง

จะไปธุระนอกบ้าน แลเห็นหนูตายตัวหนึ่งอยู่กลางถนน ซึ่งยังไม่มีใครเก็บกวาดไปทิ้ง ท่าเศรษฐีได้กล่าวลอยๆ

ขึ้นมาว่า….


คนมีปัญญาย่อมใช้หนูตัวนี้ให้เป็นประโยชน์ เลี้ยงลูกเมียและประกอบการงานได้

……………………………………………………………

มุสิกเศรษฐีซึ่งขณะนั้นเป็นเพียงคนกวาดถนนยืนอยู่ตรงนั้น ย่อมได้ยินคำพูดของเศรษฐี ก็เข้าใจว่าท่านเศรษฐี

คงตั้งใจพูดให้ตนเองได้ยิน และคงมองเห็นว่าหนูจะกลายเป็นเงินเป็นทองได้ มุสิกเศรษฐีจึงคิดขึ้นมาว่า

ตนเองเห็นหนูตายมาหลายครั้งแล้ว ก็รอแต่ว่าให้เจ้าพนักงานหรือผู้มีหน้าที่มาเก็บไปทิ้ง เมื่อท่านเศรษฐี

พูดเช่นนั้นท่านคงมองเห็นวิธีทำเงินให้งอกเงยขึ้นมาจากหนูตัวนั้น แม้จะยังไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป

เราซึ่งเป็นคนยากจนก็ควรจะเชื่อท่านไว้ก่อน



คิดได้ดังนั้น จึงหาใบไม้สะอาดๆ มาใบหนึ่ง เก็บหนูตัวนั้นวางบนใบไม้แล้วนำไปที่ตลาด ตั้งใจว่าจะลอง

ไปนั่งขายที่ตลาดดู เพราะคิดว่าไม่เสียหายอะไรที่จะเสียเวลาไปตลาด เนื่องจากตนเองก็มีเวลามากมายที่

ไม่รู้จะทำอะไรอยู่แล้ว



ทางเดินไปตลาดต้องผ่านบ้านของพราหมณ์ครอบครัวหนึ่ง พอคนใช้ในบ้านพราหมณ์เห็นคนถือหนูตาย

เดินผ่านมาก็ร้องบอกให้หยุดก่อน แล้วเข้าไปแจ้งนายของตนเอง พราหมณ์ผู้เป็นนายกำลังต้องการหาอาหาร

ให้แมวที่เลี้ยงเอาไว้ แมวชอบหนูอยู่แล้ว อีกทั้งซื้อหนูตายก็ถูกกว่าจะไปหาซื้อเนื้ออย่างอื่นมาเป็นอาหารแมว

หนูตายตัวนั้นจึงขายได้ตั้งแต่ยังไปไม่ถึงตลาด มุสิกเศรษฐีได้เงินมากากณึกหนึ่ง (น้อยมากๆ จนไม่น่าสนใจ)


คงจะเริ่มสงสัยกันแล้วนะว่าเงินเพียงหนึ่งกากณึกจะทำให้มุสิกเศรษฐีรวยขึ้นมาได้อย่างไร

เห็นไหมว่าหนูตายตัวหนึ่งที่เคยแต่ต้องเสียเงินจ้างคนมาเก็บไปทิ้ง ยังสามารถสร้างเงินขึ้นมาได้ แต่ปัญหาอยู่

ที่ว่าจากนั้นมุสิกเศรษฐีจะทำอะไรต่อไป เพราะคงไม่สามารถหาหนูตายไปขายได้ทุกวัน หรือถึงจะหาได้ คนซื้อ

หนูตายก็อาจจะไม่มีทุกวัน มุสิกเศรษฐีได้แต่นึกถึงคำของท่านเศรษฐีจุลลกะที่ว่า

คนมีปัญญาย่อมใช้หนูตัวนี้ให้เป็นประโยชน์ เลี้ยงลูกเมียและประกอบการงานได้

แต่ขณะนั้นมุสิกเศรษฐียังไม่มีลูกเมีย จึงได้แต่มุ่งว่าจะทำอย่างไรที่จะทำให้เงินที่ได้มาจากหนูตายทำให้ตนเอง

ประกอบการงานได้ หัวใจอยู่ที่ว่า

ต้องใช้ปัญญา

แล้วมุสิกเศรษฐีใช้ปัญญาอย่างไร
……………………………………………….

หลังจากที่มุสิกเศรษฐีเที่ยวเก็บหนูตาย และเศษสิ่งของต่างๆ เพื่อนำไปขายใน

ตลาดหาเงินมาเพิ่มเติมนั้น ก็พบว่ากิจการเช่นนี้ไม่ยั่งยืน เพราะของมีวันหมด

และยากที่จะเลี้ยงชีพหรือประกอบการงานด้วยการเก็บเศษขยะได้ตลอดไป

และแล้ววันหนึ่ง หลังจากเที่ยวเสาะหาเศษสิ่งของที่จะมาเป็นรายได้จนเหนื่อย

อ่อน มุสิกเศรษฐีก็นั่งพักเหนื่อยอยู่ที่ใกล้ประตูเมือง พร้อมกับตั้งคำถามกับตัว

เองว่า ควรจะทำอย่างไรต่อไป ปัญญาจะมาจากไหนที่จะสร้างเงินให้

ตัวเองได้
………………………………………………………..

วันนั้นเอง มุสิกเศรษฐีก็สังเกตเห็นสิ่งที่ผ่านตาตัวเองไปจนชิน โดยที่ไม่เคยได้สังเกตมาก่อน

มุสิกเศรษฐีเริ่มจะ

See the wood from the trees

แบบใน Wink and Grow Rich แล้วล่ะ

……………………………………………………………
เนื่องจากเมืองพาราณสีนี้มีการบูชาเทพต่างๆ เป็นเรื่องประจำ และราชสำนักก็ใช้ดอกไม้จำนวนมากทุกวัน

ทุกๆ วันจะมีคนเก็บดอกไม้ทูนดอกไม้ที่ไปเก็บมาจากนอกเมือง เดินกลับเข้าเมืองมาอย่างเร่งรีบเพื่อจะนำไปขาย

คนเก็บดอกไม้จำนวนมากเหล่านี้จะต้องออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ก่อนตะวันขึ้น และกลับมาพร้อมดอกไม้ด้วยอาการ

อิดโรยและเหนื่อยล้า เพราะอากาศเริ่มร้อน ความคิดหนึ่งวาบเข้ามาในหัวมุสิกเศรษฐี ทำให้เห็นลู่ทางที่จะ

จะทำเงินหนึ่งกากณึกให้เป็นเงินกหาปณะได้ ( 1 กหาปณะ = 20 มาสก = 4 บาท)

แม้จะไม่มั่นใจนักแต่ก็จะลองดู

มุสิกเศรษฐีนำเงินที่มีเพียงเล็กน้อยนั้นไปซื้ออ้อยมา แล้วหาหม้อใบหนึ่งตักน้ำไปตั้งที่ทางเข้าประตูเมือง

ในเวลาสายตอนที่คนเก็บดอกไม้จะกลับมาจากป่า เมื่อคนเก็บดอกไม้เดินผ่านมา ก็เสนอให้ชิ้นอ้อยคนละ

หน่อยแล้วให้ดื่มน้ำหนึ่งซองมือ คนเก็บดอกไม้แต่ละคนไม่ใช่คนมั่งคั่งที่จะมีเงินซื้อน้ำดื่ม แต่พวกเขาก็

พอใจที่ได้บริการจากมุสิกเศรษฐี เพราะพวกเขาก็หิวน้ำ แต่ละคนก็แบ่งดอกไม้ให้คนละกำมือ เมื่อได้ดอกไม้

มาแล้ว มุสิกเศรษฐีก็นำดอกไม้นั้นไปนั่งขายอยู่ที่หน้าเทวาลัยเช่นเดียวกับพ่อค้าดอกไม้คนอื่น
…………………………………………………………………………………..

แต่แล้วมุสิกเศรษฐีก็คิดได้ว่า ตนเองคงไม่สามารถยึดเอาการบริการน้ำเพียงแค่นี้เป็นการอาชีพได้

เพราะเมื่อผู้อื่นเห็นตนเองทำแล้ว ใครๆ ก็คงจะทำเป็น

……………………………………………………………………………….

เอ………เมื่อไหร่จะเป็นเศรษฐีเสียทีน้อ…………..

“คนมีปัญญาเฉลียวฉลาดย่อมตั้งตนได้ด้วยต้นทุนแม้น้อย ดุจคนก่อกองไฟน้อยๆ ให้เป็นกองใหญ่ฉะนั้น”

คิดได้ดังนั้น มุสิกเศรษฐีจึงเปลี่ยนวิธีการ เลิกเป็นพ่อค้าขายดอกไม้ที่ได้รับมาเป็นค่าตอบแทนจากน้ำอ้อย

แต่กลายเป็นพ่อค้าส่งดอกไม้แทน เพื่อไม่ต้องเสียเวลานั่งขายดอกไม้ มุสิกเศรษฐีเริ่มตื่นแต่เช้าตรู่ไม่แพ้คนเก็บ

ดอกไม้ ขณะที่คนเก็บดอกไม้ไปเก็บดอกไม้ มุสิกเศรษฐีก็ไปซื้ออ้อย และแบกน้ำตามไป นำไปบริการจนถึง

สวนดอกไม้ ไม่ต้องรอให้ลูกค้ามาหาเหมือนเดิม คนเก็บดอกไม้ไปหาดอกไม้เหมือนเคย แต่พวกเขาเก็บ

ดอกไม้ได้นานขึ้น เพราะมีคนยอมหนักแบกน้ำออกไปบริการ เช่นนี้มุสิกเศรษฐีจึงได้ค่าอ้อยและน้ำเป็นดอกไม้

มากกว่าที่จะได้เมื่อบริการที่ประตูเมือง ขาไปเขาแบกของหนักไปคือน้ำ ขากลับเขาแบกของเบากลับมาคือ

ดอกไม้ แต่ว่าของเบานั้นทำเงินให้เขามากกว่าของหนักที่ไม่มีราคาในตัวของมันเอง แต่ว่าเป็นช่องทางให้

ได้ของเบาคือดอกไม้กลับมา
……………………………………………………………

เป็นอันว่ามุสิกเศรษฐีไม่ได้เป็นคนเก็บดอกไม้ แต่กลับมีดอกไม้มากกว่าคนเก็บดอกไม้เสียอีก เขาได้สินค้ามาด้วย

การแลกเปลี่ยนกับบริการของเขา ถ้าเราเลือกบริการที่ถูกต้อง คือถูกสถานที่และเวลา ถูกความต้องการของผู้ซื้อ

เราย่อมค้าขายได้กำไร แต่บางคนอาจจะแย้งว่า ถ้าขายของไม่เป็นจะทำอย่างไร
………………………………………………………………….

ไม่มีใครทำอะไรเป็นตั้งแต่เกิด มุสิกเศรษฐีก็เช่นกัน ไม่เคยขายของ และขายของไม่เป็นจนกระทั่งวันที่เขานำหนู

ตายไปขาย เขารู้แต่ว่าเขาไม่ได้ต้องการดอกไม้ไปบูชา หรือเอาไปร้อยเล่นเป็นเครื่องประดับ แต่เขาก็ไม่ปฎิเสธ

ที่จะรับดอกไม้มาแทนเงิน เขาต้องใช้ความพยายามอีกส่วนหนึ่งที่จะหาวิธีแปลงสิ่งที่ได้มาให้เป็นสินค้าให้ได้

ถ้ามันยังเป็นสิ่งของอยู่ในใจเขามันก็ไม่เป็นเงิน เหมือนหนูตาย ถ้ามันยังเป็นสิ่งปฎิกูล มันก็ไม่เป็นเงิน เมื่อเริ่มตั้ง

ในใจว่านั่นเป็นสินค้าเมื่อใด เมื่อนั้นสิ่งนั้นจะนำเงินมาให้ มุสิกเศรษฐีทำการบริการช่างดอกไม้อยู่หลายเดือน

รวบรวมเงินได้ 8 กหาปณะ
……………………………………………….

เดากันได้ไหมครับว่าเหตุการณ์เป็นเช่นไรต่อไป

ที่ไหนๆ ก็เช่นเดียวกัน พอเห็นคนมีรายได้ ก็ต้องมีคนทำตาม และก็คงมีคนเก็บดอกไม้บางคนเริ่มได้คิด

แล้วนำน้ำติดตัวออกไปเอง ก็จะมีดอกไม้เหลือมากขึ้น เพราะไม่ต้องแบ่งให้คนขายน้ำ

การคิดริเริ่มบางอย่าง

ก็ไปกระตุ้นความคิดให้ผู้อื่นหาทางแก้ปัญหาในทางอื่นๆ ได้ด้วย

…………………………………………………………………………..

วันหนึ่งโชคก็มาถึงโดยไม่ได้คาดคิด วันนั้นเป็นวันหนึ่งตอนต้นฤดูฝน เกิดมีพายุ ฝนตกหนักและลมแรง

กิ่งไม้แห้ง กิ่งไม้อ่อนและใบไม้ในพระราชอุทยานถูกลมพัดตกลงมาเกลื่อนกลาด และมีกิ่งไม้ใหญ่หักลงมาด้วย

คนเฝ้าสวนไม่รู้จะทำอย่างไรที่จะนำกิ่งไม้เหล่านั้นไปทิ้งให้ได้ในเวลารวดเร็ว เขาเป็นกังวลมากว่าจะจัดการ

อย่างไร พระราชอุทยานจึงจะเรียบร้อยเพื่อรอรับเสด็จ มุสิกเศรษฐีผ่านไปพบพอดี จึงถามคนเฝ้าสวนว่า

“เหตุใดท่านจึงมายืนอยู่ริมถนน มีท่าทางเป็นกังวลเช่นนี้ เราสิน่าจะกังวลเพราะฝนตกแต่เช้าตรู่ คนเก็บดอกไม้ไม่

ได้ออกไปทำงาน เราจะไม่มีรายได้” คนเฝ้าสวนจึงเล่าให้ฟังว่ามีกิ่งไม้ตกลงมาในอุทยานเป็นจำนวนมาก

และเขาคิดไม่ตกว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรดี
…………………………….

ธรรมดาแล้ว สิ่งใดที่มีคนต้องการ สิ่งนั้นจะมีค่า ถ้าเราต้องการฟืน เราก็ต้องซื้อหามาด้วยเงินทอง แต่ถ้าเราไม่ต้อง

การเศษไม้ เศษไม้ก็ไม่มีค่า อาจจะต้องจ่ายค่าจ้างให้คนกำจัดไป ดังเช่นที่คนเฝ้าสวนกำลังประสบอยู่

ดังนั้นในเวลานั้น แรงงานมีค่า แต่ฟืนไม่มีราคาสำหรับเขา เพราะเป็นสิ่งที่เขาต้องการกำจัดไป ถ้ามุสิกเศรษฐี

ไปถามซื้อฟืนจากคนเฝ้าสวน แน่นอนว่าเขาจะเริ่มเล่นตัวและโก่งราคา หรืออาจจะขายไม่ได้ เพราะไม้อยู่

ในเขตอุทยาน แต่ถ้ารอให้เขาจ้าง มุสิกเศรษฐีก็คงไม่ได้ค่าแรง เพราะรู้อยู่ว่าคนเฝ้าสวนไม่มีเงินจะจ่ายเป็นค่าจ้าง
……………………………….

หลังจากไตร่ตรองดูแล้ว มุสิกเศรษฐีคิดว่ามีทางได้เงินและได้บุญคุณไปด้วยพร้อมกัน จึงรับอาสาคนเฝ้าสวนว่า

จะนำกิ่งไม้เหล่านี้ออกไปให้โดยไม่คิดค่าจ้าง แต่ขอว่าของที่เก็บเหล่านี้ต้องเป็นของเขา คนเฝ้าสวนก็รับคำ

ว่าเอาไปเถอะ พร้อมกับท่าทางโล่งใจมากที่มีผู้มาช่วย

มุสิกเศรษฐีจึงเดินไปหากลุ่มเด็กรุ่นๆ ที่มักเล่นกันอยู่ประจำที่สนามเด็กเล่นท้ายพระราชวัง พร้อมกับชักชวนว่า

“ไปช่วยเราตัดกิ่งไม้กันเถอะ เรามีน้ำและอ้อยเป็นรางวัล แล้วยังได้ไปเที่ยวเล่นในอุทยาน อันเป็นสถานที่

ต้องห้ามด้วยนะ”

เด็กเหล่านั้นนึกสนุกต่างก็แย่งกันขันอาสาที่จะไปช่วยกันเก็บกิ่งไม้ เห็นมั้ยครับว่านี่เกิดจากปัญญาของมุสิกเศรษฐี

โดยแท้ ที่ทำให้งานอันต้องใช้เงินจ้าง กลายเป็นของสนุกที่มีเด็กขันอาสามาช่วยกันทำ

ด้วยกุศโลบายของมุสิกเศรษฐี ไม่นานนัก กิ่งไม้ทั้งน้อยและใหญ่ก็ถูกขนมากองไว้ที่หน้าประตูพระราชอุทยาน
…………………………..

ขณะที่กำลังคิดว่าจะไปหาพาหนะใดมาช่วยขนไม้ฟืนไปขาย หรือว่าควรจะไปบอกขายของแล้ว

นำผู้ซื้อมารับไปเองดีกว่ากัน ก็พอดีมีช่างหม้อหลวงเดินมา เขากำลังเที่ยวหาฟืนอยู่เพื่อเผาภาชนะดินของหลวง

เมื่อเห็นมุสิกเศรษฐียืนอยู่กับฟืนกองโตเช่นนั้น จึงถามขอซื้อทันที วันนั้นมุสิกเศรษฐีได้ทรัพย์ 16 กหาปณะ

และภาชนะฝีมือประณีต 5 อย่างที่ช่างหลวงสัญญาว่าจะจ่ายเป็นค่าที่เขาไม่ต้องเสียเวลาไปหาฟืน
……………………………..
เป็นอันว่ามุสิกเศรษฐีได้เงินจากพระราชาด้วยไม้ของพระราชานั่นเอง

มุสิกเศรษฐีนั้นคิดว่าเมื่อมีเงินแล้วก็ต้องรู้จักใช้เงิน และการใช้เงินทางหนึ่งก็คือแบ่งปันให้กับผู้อื่นบ้าง

แม้เมื่อยังมีเงินน้อยอยู่ ก็สามารถทำได้ มุสิกเศรษฐีคิดว่าตนเองเคยกระหายน้ำมาก่อน และหาน้ำดื่มไม่ได้

เวลาที่กระหาย จึงเริ่มตั้งตุ่มน้ำไว้บริการคนหาบหญ้า 500 คนด้วยน้ำดื่ม แม้เงินที่ได้จากช่างหม้อจะไม่มาก

มายนัก แต่การให้น้ำก็ไม่ได้ต้องการเงินมากมายอะไร เพียงแต่คอยดูแลให้มีน้ำอยู่เสมอทุกวัน
……………………………..

คนหาบหญ้าก็รู้สึกขอบใจมุสิกเศรษฐี และหวังตอบแทนน้ำใจเขา แต่เขาไม่ได้หวังอะไรตอบแทน

เขาเพียงแต่บอกคนหาบหญ้าว่า เมื่อใดต้องการความช่วยเหลือแล้วจะบอก เขาก็ไม่รู้ว่าเมื่อใดจึงจะ

ต้องการความช่วยเหลือ แต่ก็เป็นความรู้สึกที่ดีสำหรับคนไร้ญาติมิตรอย่างเขา ที่จะมีมิตรอยู่ทั่วไป

โดยอาศัยความเอื้อเฟื้อเป็นผู้นำทาง
………………………

ต่อมาเมื่อมุสิกเศรษฐีมีเวลาและมีเงินมากขึ้น และเห็นว่าสิ่งที่ตนให้นั้นเป็นประโยชน์ เขาก็ได้ตั้ง

ตุ่มน้ำไว้ให้คนเรือด้วย คือตั้งไว้ในทางที่คนเรือต้องสัญจรผ่าน เขาจึงสามารปลูกไมตรีไปทั่ว

ด้วยประการดังนี้
…………………………………

แล้ววันหนึ่งก็เป็นวันที่ไมตรีผลิผลโดยที่มุสิกเศรษฐีไม่ได้เรียกร้อง วันนั้นคนทำหญ้าคุยกันว่า

วันรุ่งขึ้นจักมีพ่อค้าพาม้ามา 500 ตัว และคนทำหญ้าก็เล่าให้มุสิกเศรษฐีฟังด้วย เป็นไมตรีที่ผู้หยิบ

ยื่นก็ไม่รู้ว่า กำลังยื่นทองคำมาให้เขา เพราะพวกเขาคุยกันเฉยๆ และก็คุยให้มุสิกเศรษฐีฟัง

มุสิกเศรษฐีจึงว่า “แน่ะท่าน ท่านเคยถามว่าข้าพเจ้าต้องการอะไรตอบแทนที่ข้าพเจ้านำน้ำมาเลี้ยง

พวกท่านทุกวัน ข้าพเจ้าจะขอท่านล่ะ พรุ่งนี้ข้าพเจ้าขอหญ้าจากท่านคนละกำ และถ้าข้าพเจ้ายัง

ไม่ได้ขายหญ้า ขอท่านอย่าขายจะได้หรือไม่”

คนทำหญ้าต่างก็รับปากกันอย่างแข็งขัน พากันกล่าวว่า “ขอเพียงแค่นี้ทำไมจะไม่ได้”
……………………………..

วันรุ่งขึ้น คนหาบหญ้าก็ให้หญ้าแก่มุสิกเศรษฐีคนละกำ 500 คนก็ 500 กำ นำมาไว้ให้ถึง

ประตูบ้านเลยทีเดียว ตกบ่ายวันนั้น พ่อค้าก็เดินทางมาถึงพาราณสี แต่ก็ต้องประหลาดใจมาก

ที่หาซื้อหญ้าไม่ได้ แม้จะตระเวนไปทั่วพระนครแล้วก็ตาม คนทำหญ้าไม่รู้หายไปไหนหมด

เขาเห็นหญ้ากองอยู่หน้าบ้านมุสิกเศรษฐี จึงมาอ้อนวอนขอซื้อ จะราคาเท่าใดก็ได้ เพราะ

ม้าต้องกินหญ้า จะปล่อยให้ม้าอดอยากผอมโซก็คงขายไม่ได้ราคา และเขายังต้องอยู่ในเมือง
อีกหลายวัน

มุสิกเศรษฐีจึงขายหญ้าให้พ่อค้าแต่เพียงผู้เดียวในวันนั้น วันต่อๆ มา คนทำหญ้าก็เป็นผู้ขาย

หญ้าตามปกติ มุสิกเศรษฐีขอให้พวกเขาขายทีหลัง พวกเขาก็ไม่ได้เดือดร้อน

เพราะการที่ม้าเข้ามาในเมืองเป็นจำนวนมาก เป็นเรื่องของความต้องการที่เกินกว่าปกติ

และเกินต่อมาอีกหลายวัน ต่างคนต่างก็ได้เงินจากการขายหญ้าจำนวนมากด้วยกันทั้งหมด
…………………………………….

แต่มุสิกเศรษฐีได้ทรัพย์มาจากการขายหญ้าเพียงวันเดียวนั้นถึง 1,000 กหาปณะ

จากหญ้าจากปกติที่ไม่เคยมีราคาค่างวดเท่าใด กลับขายได้ถึงกำละ 2 กหาปณะ

เพราะ

ของที่หายาก ย่อมมีราคาเสมอ

………………………………….

หลังจากที่หาเงินได้ถึง 1,000 กหาปณะแล้ว มุสิกเศรษฐีจึงหาลู่ทางทำมาหากินอย่าง

เป็นเรื่องเป็นราว เขาตั้งร้านค้าเล็กๆ และเก็บเงินส่วนหนึ่งเป็นทรัพย์สินเงินทอง

ของมีค่า แต่จุดหักเหในชีวิตของเขายังมีอีก
………………………….

วันหนึ่ง มีเรือสินค้าเข้ามา เรือลำนี้เป็นเรือใหญ่มาจากแดนใต้ ในเวลานั้นคน

กำลังรอสินค้าหลายอย่าง ด้วยเพิ่งพ้นฤดูมรสุม เรือลำนี้บรรทุกสินค้า

หลายชนิดซึ่งเป็นที่ต้องการ คนที่ทำงานทางน้ำได้รับรับข่าวส่งต่อๆ กันมา

และเล่าให้มุสิกเศรษฐีฟัง เขาจึงเห็นลู่ทางที่จะทำเงินได้จากการรู้ข่าวล่วง

หน้าก่อนคนอื่น มุสิกเศรษฐีใช้เงิน 8 กหาปณะเช่ารถคันหนึ่ง

ออกไปยังท่าเรือพร้อมบริวารก่อนเรือจะเทียบท่าเสียอีก ก่อนที่พ่อค้าคนอื่น

จะได้ข่าวหรือเตรียมตัวทัน เขาแต่งกายและตระเตรียมเครื่องใช้

อันจำเป็น เพื่อให้มีมาดของผู้มียศ แล้วตั้งวงม่านกั้นแดดกั้นลม

เพื่อสร้างอาณาบริเวณที่จะกันมิให้ผู้อื่นเข้าถึงตัวเขาได้ง่าย

อันเป็นวิสัยของผู้มียศ และเป็น

วิธีสร้างโอกาสในการต่อรองราคาสินค้า

……………………………………

มุสิกเศรษฐีได้พบกับนายเรือที่เดินทางล่วงหน้ามาด้วยเรือลำเล็กเข้ามาก่อน

และสอบถามเรื่องสินค้าที่บรรทุกมา พร้อมทั้งต่อรองราคาจนเป็นที่พอใจ

ทั้งสองฝ่าย แล้วจึงมอบแหวนวงหนึ่งเป็นค่ามัดจำสินค้า

……………………
หลังจากเจรจาการค้าเรียบร้อยแล้ว มุสิกเศรษฐีก็พำนักรอในวงม่าน

และสั่งบริวารว่า ถ้ามีใครมาขอพบให้อิดออดอยู่ 3 ครั้งก่อน

พวกพ่อค้า 100 คนในเมืองพาราณสี เมื่อได้ทราบว่าเรือเข้าเทียบท่า

จึงพากันออกไปเลือกซื้อสินค้า แต่ต่างก็ต้องผิดหวัง เพราะนายเรือแจ้งว่าได้

ตกลงขายสินค้าทั้งลำเรือให้แก่พ่อค้าคนที่พำนักอยู่ในวงม่านนั้นหมดแล้ว

พวกพ่อค้าทั้งหลายต่างก็ทราบดีว่าสินค้าในเรือนั้นเป็นสินค้าคุณภาพดี

เป็นที่ต้องการของชาวเมือง แม้แต่พระราชาก็ยังต้องการ พวกเขาจำเป็น

ต้องมีสินค้าขาย จึงพากันมาพบมุสิกเศรษฐี เพื่อขอซื้อสินค้า
………………………

บริวารของมุสิกเศรษฐีก็ทำตามคำสั่ง คือประวิงเวลาไว้ จนพ่อค้าแต่ละราย

กระวนกระวายร้อนใจ จึงเปิดทางให้พบ พวกพ่อค้าเหล่านั้นสรุปการตกลงทาง

การค้าได้ว่า พวกเขายินดีเข้าหุ้นกับมุสิกเศรษฐี ทำให้มุสิกเศรษฐี

ได้เงินมา 100,000 กหาปณะ เพื่อให้พวกพ่อค้าเป็นหุ้นส่วนในสินค้าทั้งลำเรือ
……………………………………………….
เมื่อพวกพ่อค้าคิดกันต่อไปว่า จะจัดแบ่งสินค้ากันอย่างไรระหว่าง

มุสิกเศรษฐีกับพวกพ่อค้า เพราะเมื่อแบ่งสินค้ากันแล้ว มุสิกเศรษฐีก็

จะเป็นผู้ที่มีสินค้าในมือมากที่สุด คือถึงกึ่งหนึ่งของที่พวกพ่อค้ามี

พวกพ่อค้าจึงได้ข้อเสนอใหม่ว่า พ่อค้าแต่ละคนต่างก็ตกลงจ่ายเงิน

ให้มุสิกเศรษฐีอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อให้เขาปล่อยหุ้น พ่อค้าแต่ละคน

ก็จะได้เหมาสินค้าส่วนที่ตนต้องการไปเป็นของร้านค้าตนทั้งหมด

เท่ากับว่ามุสิกเศรษฐีได้ทรัพย์จากการขายสินค้าครั้งนี้ 200,000 กหาปณะ

จากแหวนเพียงหนึ่งวงที่ใช้มัดจำค่าสินค้า เหลือเชื่อไหมครับ…..

………………………………

มุสิกเศรษฐีได้ทรัพย์ครั้งนี้มาด้วยปัญญาโดยแท้

เขาได้ข่าวสารก่อนผู้อื่น………. แล้วข่าวสารนี้เขาได้มาอย่างไร…….

ได้มาจากความมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้คนทั่วไป ผู้ที่ให้ข่าวสารก็ไม่ได้ตั้งใจ

อยู่ที่ปัญญาของผู้รับฟังที่จะถอดรหัสข่าวสารออกมาเป็นวิธีการที่จะสร้างกำไร


………………………

อาจมีผู้สงสัยว่า เหตุใดมุสิกเศรษฐีไม่เป็นผู้ขายสินค้านั้นเองบ้าง

แทนที่จะขายให้พ่อค้าอื่นไปจนหมด ก็จะได้กำไรเพิ่มขึ้นอีก

สิ่งที่มุสิกเศรษฐีคิดก็คือ เขาต้องรู้จักประมาณตนเอง และรู้ว่าเมื่อใด

ควรจะจบเรื่อง เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ ในชีวิต เขารู้ว่าต้องมีเงินบ้างจึง

จะเจรจาจนกระทั่งทำให้นายเรือเชื่อถือและรับมัดจำไว้ แต่เขาก็ไม่ได้

มีเงินมากมายพอที่จะซื้อสินค้ามาไว้ในมือจำนวนมากได้ เขาเพียง

แต่กะเก็งความต้องการของพ่อค้าอื่นๆ และฉวยโอกาสเท่าที่โอกาส

เปิดให้เท่านั้น อีกประการหนึ่ง เขาไม่ต้องการแข่งขันกับพ่อค้าอื่นๆ

ที่เขาขายสินค้านั้นๆ อยู่แล้ว จะเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็น

ตราบเท่าที่เขายังมีปัญญา เขาต้องหาทางก่อร่างสร้างตัวด้วยกิจการอื่น

ที่ได้ประโยชน์ต่อผู้อื่น และไม่เบียดเบียนผู้ที่ทำกิจการอยู่แล้ว
…………………

มุสิกเศรษฐีได้เงินมา 200,000 กหาปณะ ซึ่งมากมายล้นเหลือใน

ชีวิตของเขา ถ้าเป็นเรา เราจะนำเงินนั้นไปทำอะไร ลองคิดกันดูนะครับ
……………………….

นี่เป็นวิธีใช้เงินของมุสิกเศรษฐี

เมื่อเขาได้เงินมานั้น ก็มาคิดได้ว่าที่เขามีทรัพย์ได้ถึงเพียงนี้

ก็เพราะท่านจุลลกะ เป็นผู้ชี้เรื่องหนูตาย ทำให้เขาได้ความคิด

เขาควรมีกตัญญู เขาจึงไปขอพบท่านจุลลกเศรษฐี แล้วแบ่งทรัพย์ให้ท่ากึ่งหนึ่ง

ในชั้นต้น ท่านเศรษฐีสงสัยว่า เขาแบ่งทรัพย์ให้ท่านทำไม

เขาจึงเล่าเรื่องนับแต่ได้หนูตายให้ฟัง ท่านเศรษฐีได้รับฟังแล้วจึงพอใจ

ในความมีกตัญญูและรู้จักหาทรัพย์ของเขา จึงได้ยกธิดาให้เป็นภริยาของเขา

ทั้งสองสามีภรรยาก็ได้ทำงานมีกิจการของตนเอง เมื่อจุลลกเศรษฐีถึงแก่กรรม

พระราชาจึงแต่งตั้งให้มุสิกเศรษฐีเป็นเศรษฐีแห่งพาราณสีสืบมา

from http://www.richdadthai.com/rdtboard/viewtopic.php?t=4857&sid=edac858ff0f6c0ac8e5daea9fd7571b9


วิเคราะห์ จุดแข็ง จุดอ่อน ของคนทั้ง 12 ราศี


วิเคราะห์ จุดแข็ง จุดอ่อน ของคนทั้ง 12 ราศี


ราศีมังกร ( 22 ธันวาคม – 19 มกราคม)

จุดแข็ง
1. อ่านคนเก่ง มีลางสังหรณ์แม่นยำ
2. วางตัวดี ยากที่ใครอ่านออก
3. มีอารมณ์ขัน มีวาทศิลป์
4. มีความนอบน้อมถ่อมเคารพผู้อาวุโส
5. มีความซื่อตรงและยุติธรรม
6. รอบคอบ ละเอียดอ่อน
7. ใจบุญสุนทาน มีความรอบรู้ รักพ่อแม่พี่น้องมาก
8. เข้มแข็งแกร่งกล้า แม้จะเป็นคนอ่อนไหวง่าย

จุดอ่อน
1. เจ็บปวดง่าย ยากจะลืมเลือนหรือให้อภัยคนที่ทำร้ายตน
2. ชอบผูกมิตรกับคนแต่ไม่ชอบคบใครจริงจัง
3. ชอบแสดงความสดใสร่าเริง ทั้งที่ในใจรู้สึกโดดเดี่ยว
4. ทนไม่ ได้กับการวิพากษ์วิจารณ์หรือการดูถูก
5. ยึดมั่นในหน้าที่ จนไม่มีเวลาใช้ชีวิตแบบที่ปารถนา
6. ใช้จ่ายเงินเก่ง
7. เชื่อว่าตนเองถูกเสมอ


ราศีกุมภ์ ( 20 มกราคม – 18 กุมภาพันธ์)

จุดแข็ง
1. มีความเป็นเพื่อนให้ทุกคนอย่างไม่เลือก
2. ตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจน มีจุดยืนที่มั่นคง
3. ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ไม่เคยดับมอด
4. เด็ดเดี่ยว ไม่ท้อแท้
5. กล้าได้กล้าเสีย แก้ปัญหาเก่ง ไม่ตื่นตกใจง่าย
6. รู้จักกาลเทศะ
7. สร้างจุดสนใจได้ดีเสมอ สร้างความประทับใจให้กับทุกคน
8. สุขุมเยือกเย็น ไม่เคยทำอะไรสะเพร่า

จุดอ่อน
1. ต่อต้านกฎเกณฑ์อย่างจริงจัง จนบางครั้งก้าวร้าว
2. ไม่ลงให้ใครง่ายๆ
3. ไม่แสดงความคิดเห็นของตน แต่เก็บเกี่ยวความคิดของผู้อื่น
4. ชอบเสี่ยง ทั้งที่ไม่มีความมั่นใจเลย
5. ไม่ทนกับคนที่ตนคิดว่าไรสาระ
6. ไม่ชอบแสดงออกทางอารมณ์ แม้แต่จะทำสิ่งที่ดีๆให้กับคนที่ตนรัก
7. คาดหวังสูงกับความเป็นคนมีเสน่ห์และเป็นที่ยอมรับของคนรอบข้าง
8. ชอบคิด ชอบวางแผน แต่ไม่ชอบลงมือทำ


ราศีมีน ( 19 กุมภาพันธ์ – 20 มีนาคม)

จุดแข็ง
1. สามารถดึงเอาความเพ้อฝันมาใช้สร้างสรรค์ได้
2. ปรับตัวได้ดี รู้จักรอมชอม แม้จะฝืนใจตนเองบ้าง
3. วางตัวดี รู้จักพูดจา เป็นผู้ฟังที่ดี
4. ยินดีให้ความร่วมมือกับผู้อื่นแม้จะไม่เห็นชอบด้วยก็ตาม
5. ไม่เรียกร้องความโดดเด่น ไม่ยึดติดว่าตนต้องเป็นผู้นำ
6. มีความอดทน มีศักยภาพที่ไขว้คว้าความสำเร็จ
7. ฉลาดและรู้จักใช้โอกาส

จุดอ่อน
1. อารมณ์เปราะบาง
2. สับสนและเครียดได้สูงเพียงเพราะอารมณ์อ่อนไหวของตน
3. ไม่กล้าทำในสิ่งที่ลึกๆปรารถนา
4. ชอบหลอกตัวเองไม่ยอมรับความจริง
5. พอใจที่จะอยู่ในโลกแห่งจินตนาการมากกว่าโลกแห่งความจริง
6. ชอบหนีปัญหาของตนเอง ทั้งที่สามารถให้คำแนะนำในการ แก้ปัญหาของผู้อื่นได้
7. ไม่ชอบงานหนักหรือภาวะที่บังคับให้ต้องรับผิดชอบสูง
8. ขาดมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังกับชีวิต


ราศีเมษ ( 21 มีนาคม – 19 เมษายน)

จุดแข็ง
1. มีกำลังใจเข้มแข็ง ไม่ท้อถอยง่ายๆ
2. มีน้ำใจไมตรีต่อคนรอบข้าง
3. รู้จักสร้างความสดชื่นรื่นรมย์อยู่เสมอ
4. เป็นผู้นำ ที่ดี มีความยุติธรรมและซื่อตรงสูง
5. มีความคิดริเริ่มรักอิสระ
6. วางจุดหมายของตัวเองไว้ทุกระยะ
7. สนใจใฝ่รู้ มุ่งไปที่ความสำเร็จมากกว่าเงิน
8. กล้าสู้ปัญหา ยอมรับความกดดันได้ดี

จุดอ่อน
1. เชื่อแต่ความคิดและมุมมองของตนเอง
2. หลงตนเองต้องการเป็นหนึ่งเสมอ
3. อยากควบคุมความคิดคนอื่น เผด็จการพอตัว
4. บางครั้งก้าวร้าวและไม่ใคร่ตรองให้ลึกซึ้ง
5. อ่านคนไม่เก่ง แต่ชอบแข่งขันและชอบเอาชนะ
6. กลังคนไม่ยอมรับ
7. เก็บเงินไม่เก่ง
8. ไม่ค่อยอดทน ไม่ชอบอยู่กับความซ้ำซากเป็นเวลานาน


ราศีพฤษภ ( 20 เมษายน – 20 พฤษภาคม)

จุดแข็ง
1. มีความบากบั่นสูง ยากที่จะยอมแพ้หรือเปลี่ยนแปลงจุดยืนของตนเอง
2. เป็นคนมีจิตใจดี ให้เกียรติให้ความสำคัญแก่คนอื่นเสมอ
3. เป็นคนจริงใจ รักมั่นคง รักครอบครัวรักเพื่อน อย่างแท้จริง
4. สามารถเก็บความรู้สึกเกรี้ยวกราดไว้ได้ ยากที่จะแสดงออกว่าไม่พอใจใคร
5. สามาร! ถจัดการชีวิตให้มีระเบียบวินัยอย่างพอเหมาะ
6. เป็นคนมีเหตุผล พูดจริง ทำจริง และไม่ไข่คว้าในสิ่งที่เกินตัว
7. มักไตร่ตรองให้รอบครอบอยู่เสมอ
8. เป็นคนสุภาพนอบน้อม ไม่ใจร้อนวู่วาม

จุดอ่อน
1. คิดและทำอะไรช้า
2. อยากทำตามความคิดตนมากกว่าจะเปลี่ยนแปลงเพราะฟังคนอื่น
3. โกธรได้ง่าย แต่หายยาก
4. ยอมทุ่มเทเงินทองให้กับสิ่งที่ชอบ
5. เจ้าระเบียบ ไม่ชอบให้ใครยุ่งกับคนของตน
6. ไม่ชอบที่จะให้เพื่อนพ้อง พี่น้องชื่นชมใครไปกว่าตน


ราศีเมถุน ( 21 พฤษภาคม – 20 มิถุนายน)

จุดแข็ง
1. มีความสดใสร่าเริง และมีอารมณ์ขันเสมอ
2. ช่างคิด ช่างสังเกต
3. ฉลาดคิดเร็วตัดสินใจเร็ว และ ไม่ชอบหยุดนิ่ง
4. ไหวพริบดีสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง
5. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มีความสามารถในการวางแผน
6. รักการเรียนรู้ สนุกที่จะหาประสบการณ์ ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง
7. สามารถให้ความช่วยเหลือ คำปรึกษา คำแนะนำแก่คนรอบข้างได้
8. เก็บความรู้สึกดี มักไม่แสดงความรู้สึกโกธรออกมา

จุดอ่อน
1. ขาดความมุ่งมั่นและไม่อดทนไม่มีความหนักแน่น
2. ไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของตน
3. เป็นคนเบื่อง่าย ขาดความจริงจังทั้งที่เป็นคนมีความทะยาน
4. แม้จะเป็นคนคิดการณ์ไกล แต่ไม่ชอบที่จะทำ มักวางมือเสียง่ายๆ
5. กล้าคิด กล้าทำแต่จริงๆแล้วขาดความรอบครอบ
6. ไม่ตรงต่อเวลานัก ไม่ต้องการความรับผิดชอบสูง
7. ขาดพลังในการควบคุมตน


ราศีกรกฎ ( 21 มิถุนายน – 22 กรกฎาคม)

จุดแข็ง
1. เป็นคนมีจิตใจดี ไม่เคยคิดเบียดเบียนทำร้ายใคร
2. สนใจเรื่องแสวงหาความมั่นคงในชีวิตความสำเร็จและความก้าวหน้ามากกว่าปล่อยชีวิตไปเรื่อยๆ
3. รักบ้าน รักครอบครัว รักเพื่อน
4. มีความจำดี มีความรับผิดชอบสูง
5. ขยันขันแข็ง ไม่เหลวไหล
6. ยอมรับระบบระเบียบและกฎเกณฑ์ที่ถูกต้อง
7. ยืดหยัดตามลำพังได้ด้วยตัวของตัวเองหากต้องเผชิญกับปัญหา
8. มีความละเมียดละไม ใฝ่หาความสุนทรีในชีวิต

จุดอ่อน
1. อ่อนไหวเกินไป เจ็บปวดง่าย เจ้าอารมณ์
2. ขาดเหตุผลเข้มงวดกับคนใกล้ตัวเกินไป
3. ช่างหวาดระแวงและวิตกกังวลเกินควร
4. บางครั้งก้าวร้าวเพราะยึดมั่นในความคิดของตนเกินไป
5. ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ทั้งที่ไ ม่คิดจะทำร้ายใครเลย
6. ไม่มีความกล้าได้กล้าเสี่ยงเท่าใด
7. มักมองโลกในแง่ร้ายและตัดสินใจเรื่องราวในแง่ลบเสมอ


ราศีสิงห์ ( 23 กรกฎาคม – 22 สิงหาคม)

จุดแข็ง
1. เป็นคนใจกว้างและมีน้ำใจ
2. ไม่ดึงตัวเองลงไปในความเครียด รู้จักสร้างความรื่นรมย์ให้ตนเองและคนรอบข้าง
3. เป็นคนที่มีระเบียบในการใช้ชีวิต
4. มีความทะเยอทะยานมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน
5. มีความมั่นอกมั่นใจและเป็นตัวเองสูง
6. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ กล้าพูดกล้าทำ กล้าเสี่ยง
7. ไม่หวาดกลัว ต่อการเปลี่ยนแปลง
8. ไม่ยอมล้มเหลวหรือพ่ายแพ้

จุดอ่อน
1. บางครั้งทระนงจนไม่ยอมขอโทษ ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายผิด
2. ชอบให้ทุกคนยกย่อง เอาอกเอาใจ ต้องการการยอมรับมากไป
3. ให้ความสำคัญกับการเที่ยวเตร่มากกว่าการมุ่งมั่นเอาจริงเอาจัง
4. การเลือกคบคมมากเกินไปจนดูเหมือนดูถูกคนที่ต้อยต่ำกว่า
5. ชอบโอ้อวดและหน้าใหญ่ในบางครั้ง
6. วู่วาม ใจร้อนไร้เหตุผล
7. มักเห็นแก่ความต้องการของตนเป็นใหญ่เสมอ
8. กล้าคิดกล้าตัดสินใจแต่ขาดความรอบครอบ


ราศีกันย์ ( 23 สิงหาคม – 22 กันยายน)

จุดแข็ง
1. ซื่อสัตย์ภัคดี มีความตั้งใจจริงไม่เอาเปรียบใคร
2. มีความรับผิดชอบสูง ความตั้งใจสูง
3. ยินดีช่วยเหลือผู้อื่น รู้จักออมเงิน
4. เก่งกาจในการติดต่อสื่อสาร การคิด การวิเคราะห์และการเก็บรายละเอียด
5. สามารถปรับตัวได้ไม่เบื่อหน่ายมีความอดทนสูง
6. เก่งด้านการจัดการ มีมาตรฐานในชีวิต
7. มีความทะเยอทะยานมีเป้าหมายในชีวิตชัดเจน

จุดอ่อน
1. ไม่เชื่อถือและไม่วางใจใครเหมือนกับที่คนอื่นวางใจตน
2. เข้มงวด เจ้าระเบียบ จุกจิกจู้จี้
3. มีความบากบั่นสูง! แต่บางครั้งก็ดันทุรังโดยไร้เหตุผล
4. ด้วยความสามารถในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ ทำให้บ่อยครั้งช่างตำหนิติเตียนผู้คน
5. มักมีลับลมคมนัยเก็บความรู้สึกและความคิดที่แท้จริงของตนไว้ไม่แสดงออกมา
6. มักหวังสิ่งตอบแทนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
7. เป็นคนเอาใจยาก


ราศีตุลย์ ( 23 กันยายน – 22 ตุลาคม)

จุดแข็ง
1. มีมาตรฐานในการใช้ชีวิตของตนเอง รู้จักวางเป้าหมายและวางแผนอยุ่เสมอ
2. ดูแลชีวิตตนเองให้มีความสุขเสมอ
3. มีวาทศิลป์ มีคารมคมคาย รู้จักการเจรจาต่อรองได้เยี่ยม
4. ไม่ทำตัวขวางโลก
5. มีความเป็นผู้นำ
6. อ่อนโยน แคร์ความรู้สึกของผู้อื่น
7. มนุษย์พันธ์ดีเยี่ยม ค่อนข้างซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกตนเอง

จุดอ่อน
1. การตัดสิ นใจไม่เด็ดขาดเพราะมักเกิดการโลเล ไม่มั่นใจในตนเอง
2. ปรารถนาความเป็นหนึ่งมากจนเกินไป บางครั้งอาจผิดหวังและอิจฉาผู้อื่นได้
3. บางครั้งสุขุมเกินไปจนดูเหมือนเป็นคนเฉื่อยช้า
4. ยึด ถือความถูกต้องเป็นใหญ่จนไม่ประนีประนอมให้เกิดความยืดหยุ่นบ้าง
5. มีความอ่อนไหวน้อยใจมากพอๆกับความยโส


ราศีพิจิก ( 23 ตุลาคม – 21 พฤษจิกายน)

จุดแข็ง
1. เป็นคนมีระเบียบวินัยและวางมาตรฐานให้กับชีวิตของตนอย่างเคร่งครัด
2. ไม่ชอบให้ใครเข้ามาในโลกส่วนตัวของตนเอง
3. มีความทรงจำเยี่ยม มีสมาธิดี มีความรับผิดชอบ
4. มีน้ำใจไมตรี ยินดีช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ชอบการประจบ
5. เป็นคมมีไหวพริบ
6. รู้จักใช้เวลาอย่างเป็นประโยชน์ที่สุด
7. มีจุดยืนและเป้าหมายเด่นชัด

จุดอ่อน
1. ค่อนข้างเข้มงวดกับตนเองและคนอื่นมากไป
2. บางครั้งดูหมิ่นผู้อื่นอยู่ในใจและยากที่จะไว้ใจใคร
3. โมโหร้าย หวาดระแวง ยากที่จะประนีประนอม
4. แม้จะไม่ทำร้ายใครก่อน แต่ก็มักจะตอบโต้ด้วยการใช้เล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงอย่างจริงจัง
5. สามารถที่จะลืมความอ่อนโยนกลายเป็นคนก้าวร้าวได้ถ้าไม่พอใจ


ราศีธนู ( 22 พฤศจิกายน – 21 ธันวาคม)

จุดแข็ง
1. มีแนวคิดที่ชัดเจน มีหลักปรัชญาในการดูแลชีวิต
2. มีอารมณ์ขันเสมอ ไม่เครียดง่าย
3. ปรับตัวได้ดีมองการณ์ไกล
4. กล้าเผชิญกับสิ่งแปลกใหม่เสมอ
5. เข้าใจและเห็นใจผู้อื่น
6. ตรงไปตรงมาไม่มีเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิง

จุดอ่อน
1. เก่งหลายอย่างแต่ไม่มุ่งมั่นซะอย่าง
2. มักเปรียบเทียบตนกับผู้อื่นจนท้อ
3. ตัดสินใจไม่เด็ดขาด ไม่เก่งเรื่อ งวางแผน
4. เก็บเงินไม่เก่ง
5. ทนไม่ได้หากถูกมองว่าไม่ชื้อ จะก้าวร้าวถ้าไม่ได้ดั่งใจ
6. บางครั้งใจแคบ ไม่รู้จักกาลเทศะ
7. ไว้ใจคนง่าย ชอบโต้คารม ชอบอวดความคิดตน
8. แม้ปัญญาดีแต่ขาดไหวพริบ

from http://www.richdadthai.com/rdtboard/viewtopic.php?t=4891&sid=edac858ff0f6c0ac8e5daea9fd7571b9


บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (All Time)