30 มิถุนายน 2553

เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉน


เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉน

ทุกคนต้องการ "ความสุข" กันทั้งนั้น แต่น้อยคนนักจะประสบความสมหวัง

คนสมัยใหม่จำนวนมากในสังคมยุคอุตสาหกรรม มักมองตัวเองว่าเก่งกาจเลิศล้ำ ด้วยมีอุปกรณ์เทคโนโลยีอันน่าทึ่ง เช่น คอมพิวเตอร์ จอภาพทีวีมหึมาสามมิติ โทรศัพท์มือถือที่รับส่งข้อมูลกับภาพได้ เป็นต้น ทำให้รู้สึกว่าเป็นเทวดาผู้มีหูตาทิพย์ แต่อนิจจา เป็นได้แค่เทวดาเดินดิน ตราบใดที่ยังขาด "ความสุข" อันแท้จริง


ความสุขคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร

นักจิตวิเคราะห์ อิริค ฟรอม์ม ผู้ได้บวชเรียนในพระพุทธศาสนาในบั้นปลายชีวิต มีคำตอบที่น่าสนใจ ดังนี้

เรามักคิดกันว่า ความสุข คือ ความสนุกสนาน ความเพลิดเพลินใจ หรือความบันเทิงใจ หากจริง เราก็จะมีความสุขแตกต่างกันตามฐานะเศรษฐกิจ การศึกษา และบุคลิกภาพของแต่ละคน ทว่า หาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะสวรรค์ของคนมั่งมี ก็คือ ความใฝ่ฝันและการลอกเลียนแบบของคนมีมั่งไม่มีมั่ง ซึ่งก็สามารถมีความสนุกสนานได้ในราคาที่ต่ำกว่า แต่ก็ไม่จืดชืดกว่าใคร

เมื่อมองจากแง่มุมของ "ความโศกเศร้า" จะเห็นได้ว่า สุขกับเศร้าอยู่คู่กัน เพราะตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่และต้องอยู่ร่วมกับปุถุชนทั้งหลาย เราก็จะยังต้องประสบกับเหตุการณ์โศกเศร้าจากกฎธรรมชาติ เช่น เรามีชีวิตอยู่ได้ไม่นานพอที่จะทำให้ความใฝ่ฝันทั้งหมดสัมฤทธิผล หรือมีความตายคอยเตือนเราอยู่เสมอว่า เราอาจต้องจากโลกนี้ไปก่อนหรือหลังผู้ที่เรารัก เป็นต้น แต่ในขณะเดียวกัน เราก็มีความสุขได้ทุกลมหายใจจากการคิดดีทำดีมีจิตผ่องใส ความโศกเศร้าจึงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเสมอเหมือนความสุข

แต่เมื่อมองจากแง่มุมของ "ความซึมเศร้า" เราจะเห็นได้ว่า ความสุขกับความซึมเศร้าไม่อยู่คู่กัน จิตซึมเศร้าเกิดจากความสิ้นหวังในชีวิต ตกอยู่ในสภาพเหมือนคนที่ตายทั้งเป็น ไม่สามารถรับรู้ความสุขหรือแสดงความโศกเศร้าออกมา ซึ่งหากระบายออกมาได้ ก็จะทำให้รู้สึกโล่งอก ผู้มีจิตซึมเศร้าจะยิ้มหรือหัวเราะไม่เป็นและร้องไห้ไม่ออก นับเป็นภาวะจิตที่ทารุณโหดร้ายมาก คนมีความสุขจะซึมเศร้าไม่เป็น

โดยเนื้อแท้แล้ว "ความสุข" คือ "ประสบการณ์" ที่เต็มอิ่ม ไม่ขาดแคลน ไม่ต้องคอยตวงเติม กล่าวคือ มีความพอเพียงอยู่ในตัว ส่วนความสนุกสนานดังกล่าวนั้น เราต้องคอยเติมเต็มอยู่เรื่อยๆ แต่ข้างในลึกๆ ในใจ ก็ยังมีความซึมเศร้าแอบแฝงอยู่ หรือเราอาจมีรหัสพันธุกรรมของความซึมเศร้าอยู่ในสายเลือด

ความซึมเศร้ามีน้องที่เรียกว่า "ความเบื่อหน่ายในชีวิต" ซึ่งเกาะกินสุขภาพจิตของผู้คนสมัยใหม่อยู่ทั่วไป จากการใช้ชีวิตที่วนเวียนอยู่กับความจำเจ เสมือนเครื่องจักรกลไร้ชีวิตจิตวิญญาณ พลังเสริมสร้างถูกกดเก็บจนเป็นอัมพาตไป เหลืออยู่แต่ความรู้สึกไร้ชีวิตชีวา หมดอาลัยตายอยาก ไม่ว่าจะยากดีมีจนเพียงใด เราจะทำทุกอย่างเพื่อหลีกหนีไปให้ไกลที่สุด จากความเบื่อหน่ายอันแสนทรมานนี้

เรามักหลีกหนีความเบื่อหน่ายด้วยการทำตนให้เป็นคุณต่อสังคม ซึ่งทำให้เราได้รับความสุขทันที หรือเราอาจแสวงหาความสนุกสนานดังกล่าว ในขณะอยู่ลำพังหรือกับคนสนิทชิดชอบ ทว่า การกลบเกลื่อนความเบื่อหน่ายแบบนี้ ไม่ได้กำจัดตัวสาเหตุ เราจึงหลีกหนีความเบื่อหน่ายไม่พ้นสักที

เราต่างมีความขยาดกลัวความเบื่อหน่ายยิ่งกว่าการเจ็บไข้ได้ป่วย หรือการเสียหน้า ซึ่งจะส่งผลให้สูญเสียสถานะภาพทางสังคม เกียรติศักดิ์ ชื่อเสียง บารมี หรือศักดิ์ศรี ถึงขนาดยอมทำทุกอย่างโดยไม่คำนึงถึงศีลธรรมหรือสวัสดิภาพตน เพื่อจะได้พ้นจากความเบื่อหน่ายทั้งปวง

เรามักหลีกหนีความเบื่อหน่ายโดยการปรนเปรอตัวเองด้วยความสนุกสนานดังกล่าว เราจะดีใจที่อีกวันหนึ่งได้ผ่านพ้นไป หรืออีกชั่วโมงหนึ่งได้ถูกเผาผลาญทิ้งไปอย่างสนุกสนาน โดยมิต้องสัมผัสกับความเบื่อหน่ายในชีวิต แทนที่จะดีใจที่จะได้เริ่มวันใหม่สู่ประสบการณ์ที่มี "ความสุข" อีกวันหนึ่ง

นอกจากความเต็มอิ่มแล้ว ความสุข คือ พลังที่พยายามทำความเข้าใจและเป็นหนึ่งเดียวกับเพื่อนมนุษย์ โดยเกิดจาก 1. การใช้ชีวิตในทางที่เสริมสร้างเป็นคุณต่อสังคม ด้วยการมีเมตตาจิตและเหตุผลต่อผู้อื่น 2. การได้สัมผัสกับแก่นแท้ของความเป็นจริง โดยพบว่าตัวเรามีทั้งความเป็นหนึ่งเดียวและความแตกต่างกับผู้อื่น และ 3. การใช้พลังชีวิตในตัวเรา ในลักษณะที่สัมพันธ์กับตัวเราเองและโลกในทางเสริมสร้าง

คนเฉื่อยชา (เช้าชามเย็นชาม) หรือคนป่วยทางจิตจะไม่มีความสุข เพราะมีความรู้สึกว่า พลังชีวิตในตนได้สูญหายตายจากไปแล้ว จนได้กลายเป็นหุ่นให้ผู้อื่นเชิดตามอัธยาศัย และหลุดจากการเป็น "มนุษย์แท้" ผู้ทรงพลังชีวิต สู่ "มนุษย์เทียม" ผู้เป็นเพียงหุ่นยนต์คอยรับคำสั่งจากผู้อุปถัมภ์ ในลักษณะที่ธรรมชาติมิได้สร้างสรรค์มา แต่ถูกเทคโนโลยีแปรพันธุ์ไปแล้ว

ความสุข คือ ความรู้สึกที่เราสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นในใจตน โดยมิต้องพึ่งพาสิ่งบันเทิงใจข้างนอก แต่ทำตนให้เป็นคุณต่อสังคมด้วย "การให้" กับโลก มิใช่ "การรับ" จากโลกเท่านั้น

พระภิกษุสงฆ์ออกเดินบิณฑบาตในยามย่ำรุ่ง เพื่อให้เราได้มีโอกาสนมัสการถวายอาหารแด่ท่าน คือ มีประสบการณ์ของ "การให้" ต่อผู้อื่น เป็นการเสริมสร้างความสุขให้กับตัวเรา นับแต่วินาทีแรกๆ ของวันใหม่

ฟรอม์ม ชี้แนะไว้ว่า ผู้มีสุขภาพจิตเข้มแข็ง คือ ผู้ที่สามารถมีความสุขได้ มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ยอมให้ใครมาเชิดหุ่นชีวิตตน มี "การให้" ผู้อื่นด้วยความบริสุทธิ์ใจ ปราศจากเงื่อนไข และการใช้ชีวิตที่เน้น "การเป็น" ผู้เสริมสร้างต่อผู้อื่นและสังคม

ส่วนผู้มีสุขภาพจิตเปราะบาง จิตไม่เต็มบาท คือ ผู้ที่ไม่สามารถมีความสุข นิยมวิ่งเข้าหาความสนุกสนานดังกล่าว แบบตื้นเขินชั่ววูบเท่านั้น ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง หวังพึ่งพาแต่ "ผู้อุปถัมภ์" ผู้มีเงื่อนไขผูกมัดมือเท้าตนไว้อย่างหนาแน่น มุ่งแต่ "การรับ" จากผู้อื่น ใช้ชีวิตที่เน้น "การมี" (กินกามเกียรติ) ไม่เป็นการเสริมสร้างตนหรือผู้อื่น และมักถูกจิตซึมเศร้าครอบงำอยู่อย่างน่าเวทนา

ธรรมชาติสร้างสรรค์เรามาพร้อมกับศักยภาพที่จะสมหวังใน "ความสุข" มิได้ให้เรามี "ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ" (Gross Domestic Product) อันสูงส่ง ซึ่งได้แต่ผลักดันเราให้ดิ่งลงสู่เหวแห่งความซึมเศร้า และความเบื่อหน่ายอยู่ทุกวัน

ก่อนปฏิรูปประเทศไทย เราจักต้องปฏิรูปตัวเราเองให้เป็นผู้สามารถมี "ความสุข" หรือเป็น "มนุษย์แท้" ให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยคิดสร้างสรรค์ปรับปรุงระบบระเบียบทั้งปวง ซึ่ง "มนุษย์เทียม" หรือ "สัตว์เศรษฐกิจ" ที่ยังมีอยู่มาก จะสามารถใช้เงินทองเป็นสะพานก้าวข้ามไปได้อย่างสะดวกสบายเสมออยู่ดี สังคมเศรษฐกิจและการเมืองก็จะยังเน่าเหมือนเดิม

อย่าเอาเกวียนไปตั้งไว้ข้างหน้าโค จะไปไหนไม่รอด

หมายเหตุ : หัวข้อบทความ จาก "มงคลชีวิต" โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)

from http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/reader-opinion/20100630/340354/เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉน.html


28 มิถุนายน 2553

มี100ล้านไม่ยากอย่างที่คิด สูตรรวย'ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร'

มี100ล้านไม่ยากอย่างที่คิด สูตรรวย'ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร'

เปิดวิธีคิดฉบับ How To..ทำอย่างไร? เคล็ดลับสู่เงิน 'ร้อยล้าน' ไม่ใช่แค่ฝันเฟื่อง 'ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร' แนะวิธีลงทุนเด็ด ๆ โกยกำไรปีละ 20%

"ถ้าคนเราไม่ประหยัด หาเท่าไหร่ก็ไม่พอ (ใช้) นอกจากไปโกงเขามา ไอ้การโกงนี่มันได้มาแบบเงินล้นฟ้า แต่ก็ไม่มีความสุข ถ้าคนเราทำอาชีพสุจริตแต่ไม่ประหยัด ชีวิตนี้ก็ไม่มีทางร่ำรวย" วลีเด็ดของ ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ประธานชมรมคนออมเงิน และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเกี่ยวกับการเงินและภาษี วัย 65 ปี ที่ปัจจุบันมีทรัพย์สินเงินทองนับ "พันล้านบาท" จากนิสัยมัธยัสถ์มาตลอดชีวิต

ครอบครัววลัยเสถียร นับถือคาทอลิก แต่มีความเชื่อว่าโชคดีมาหนเดียว แต่โชคร้ายอาจเกิดขึ้นได้หลายหน ดังนั้นพวกเราต้อง "จ่าย" ให้น้อยกว่า "รับ" เราจึงจะเก็บความมั่งคั่งเอาไว้ได้...เมื่อหาเงินมาได้ 10 บาท ก็จะนำไปใช้ 5 บาท ส่วนที่เหลืออีก 5 บาท ก็เก็บออม อาจารย์สุวรรณทำมาแบบนี้ตลอดหลายสิบปี ด้วยความเชื่อที่ว่า หาได้มากน้อยเท่าไรไม่สำคัญ จ่ายมากน้อยเท่าไรเป็นเรื่องสำคัญกว่า

ดร.สุวรรณ สร้าง "เซอร์ไพรส์" ครั้งแสดงบัญชีทรัพย์สินเมื่อตอนเป็น รมช.พาณิชย์ ช่วงปี 2544 ส่วนตัวมีทรัพย์สินมากถึง 557 ล้านบาท ส่วนภรรยามีทรัพย์สิน 121 ล้านบาท สองคนรวมกันมีทรัพย์สินเกือบ 700 ล้านบาท ปัจจุบันอาจารย์เป็นประธานกรรมการ บมจ.เอสวีไอ ในช่วงเดือนมิถุนายน 2553 ที่ผ่านมา ใครหลายคนอาจเห็นชื่อประธานชมรมคนออมเงิน แอบ "ออมหุ้น" SVI เกือบ 5 ล้านหุ้น มูลค่าเฉียด 12 ล้านบาท มีต้นทุนอยู่ที่หุ้นละ 2.34 บาท ทำเอาหุ้นตัวนี้ "แอบขึ้น" ไปอย่างมากจากเหล่าสาวกที่แห่ซื้อตาม

ตั้งแต่เกษียณจากงานการเมืองก็หันมาเอาดีทางด้านงานเขียนหนังสือประเภท "ฮาวทู" มีผลงานบนแผงหนังสือนับสิบเล่ม เรียกได้ว่าเป็น "กูรู" ด้านการเงินชั้นแนวหน้าคนหนึ่งของเมืองไทย อาทิ พ่อสอนลูกให้รวย, สอนเมียให้รวย, สอนเพื่อนให้รวย, กลยุทธ์การปลดหนี้ และจ่ายภาษีก็รวยได้ เป็นต้น และเป็นวิทยากรบรรยายในงานสัมมนาต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

ดร.สุวรรณ บอกผ่าน กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ว่า ถ้าคุณอยากกอดเงิน "ร้อยล้าน" ไม่ได้อยากอย่างที่คิด หากเริ่มทำตั้งแต่วันนี้ แต่อาจต้องใช้เวลานานถึง 15 ปีขึ้นไป เพราะคงไม่มีใครเก่งมากพอที่จะหาเงินก้อนโตได้ภายในเวลา 3-5 ปีหรอกจริงมั้ย!

หากคุณอยากพบกับ Road to Wealth หรือ หนทางสู่ความมั่งคั่ง ให้ปฏิบัติตัวดังนี้...

ข้อแรก ต้องเป็นคนที่หมั่นศึกษาหาความรู้ตลอดเวลา ไม่ใช่เรียนจบแล้วก็แล้วกัน ความคิดต้องมีความทันสมัย ก้าวทันทุกเหตุการณ์ ที่สำคัญต้องเก่งภาษาอังกฤษ ไม่เช่นนั้นหากินลำบากแน่นอน

ข้อสอง คุณต้องขยัน เป็นคนหนักเอาเบาสู้ ถึงไหนถึงกัน

ข้อสาม ต้องหมั่นดูแลความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้ตัวเองต้องตกอยู่ในความไม่ปลอดภัย

ข้อสุดท้าย คุณต้องรู้จักประหยัด อดออม อย่าโลภเป็นอันขาด เพราะความโลภเป็นหนทางสู่ความไม่มั่นคงในชีวิต ข้อคิดและนิสัยเหล่านี้ถือพื้นฐานของคนที่จะร่ำรวย

“เงินร้อยล้านบาทถ้าอยากมีต้องรีบทำ ควรเริ่มคิดตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปี 2 หรือปี 3 ถ้าช้ากว่านั้นอาจไม่ทันการณ์ แต่ถ้าไม่หวังสูงมากอยากมีเงินสัก 5 ล้านบาท ก่อนอายุ 40 ปี ก็สามารถทำตามวิธีนี้ได้เหมือนกัน”

การลงทุนเรื่องอายุก็สำคัญถ้าหากอายุยังน้อย 20-30 ปี ก็สามารถลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงได้มาก เนื่องจากยังมีเวลาการทำงานเหลืออีกมากเมื่อพลาดพลั้งไปก็ยังหาเงินได้ใหม่ แต่หากอายุเยอะไม่ควรลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เพราะถ้าผิดพลาดไปก็จะไม่มีเวลาแก้ตัว ชีวิตบั้นปลายจะลำบาก นอกจากนี้เรื่องการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลายประเภทก็มีความสำคัญ

ประธานชมรมคนออมเงิน แนะนำว่า สมมติถ้ามีเงิน 100 บาท อาจแบ่งเงินออกมาราวๆ 50-60% เพื่อนำไปลงทุนในตลาดหุ้น ถ้าเป็นช่วงนี้ก็ควรเน้นหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน เนื่องจากกลุ่มนี้จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ และมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง แต่ควรจะเลือกซื้อตัวไหนบ้าง คงต้องขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล คงไม่สามารถบอกเป็นตัวๆ ได้

"ผมไม่ใช่เซียนหุ้น ไม่เชี่ยวชาญขนาดนั้น ที่สำคัญไม่อยากคุยเรื่องหุ้นเท่าไรนัก" อาจารย์ออกตัว

ส่วนหุ้นกลุ่ม Modern Trade (ธุรกิจค้าปลีก) ถือเป็นอีกกลุ่มที่น่าสนใจ โดยเฉพาะสยามแม็คโคร (MAKRO) ซีพี ออลล์ (CPALL) และบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (BIGC) ส่วนตัวชอบ MAKRO มากที่สุด เพราะเมื่อปี 2552 มีกำไรต่อหุ้นสูงถึง 6.36 บาท เมื่อเทียบกับหุ้น BIGC ที่มีกำไรต่อหุ้นเพียง 3.58 บาท ส่วนหุ้น CPALL มองว่าแพงไปหน่อย แต่หากมองในแง่เงินปันผลก็โอเค

มุมมองส่วนตัวของ ดร.สุวรรณ เชื่อว่า ตลาดหุ้นในช่วงที่เหลือของปี 2553 และปี 2554 คงจะปรับตัวดีขึ้นเรื่อยๆ คาดว่าดัชนีสิ้นปี 2553 จะขึ้นจาก 780-790 จุด มายืนแถวๆ 860 จุด หรือบวกมาประมาณ 10% กลุ่มยานยนต์ และอสังหาริมทรัพย์ ก็ชอบ เพราะหุ้นกลุ่มนี้จ่ายเงินปันผลดี ส่วนตัวมองว่ากลุ่มนิคมอุตสาหกรรมกำลังจะฟื้นตัว หลังลงไปสัมผัส “จุดต่ำสุด” ฉะนั้นหากมีเงินก็รีบหาจังหวะเก็บไว้ได้

โดยเฉพาะไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น (TICON) หุ้นตัวนี้เขามีดีตรงเงินปันผล ส่วนอมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) ซื้อเก็บไว้ก็ดีเชื่อว่าราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นหลังสถานการณ์การเมือง และภาวะเศรษฐกิจกำลังจะดีขึ้น

ด้านกลุ่มท่องเที่ยว ถือเป็นอีกกลุ่มที่น่าจับตามอง เพราะตอนนี้กลุ่มนักธุรกิจกลับมาแล้ว และอีกไม่นานกลุ่มท่องเที่ยวจะตามมา ส่วนกลุ่มที่เข้ามาจัดงานประชุม และแสดงสินค้า อาจยังกล้าๆ กลัวๆ คงต้องให้เวลาเขาอีกสักหนึ่งปี

นอกจากการลงทุนในหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีและจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอแล้ว กูรูท่านนี้ยังแนะนำว่า ให้นักลงทุนแบ่งเงินประมาณ 10-15% ไปลงทุนในทองคำ เชื่อว่าสิ้นปีนี้ทองคำอาจขึ้นมายืนระดับ 20,000 บาท ได้ไม่ยาก และอีก 5-10% ให้เก็บเป็นเงินสดไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ส่วนที่เหลือให้นำไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เป็นสิ่งที่ ดร.สุวรรณ แนะนำมานานแล้ว บ้านของอาจารย์ที่ปัจจุบันใช้เป็นสำนักงานด้วย อยู่ในซอยสุขุมวิท 8 (ซอยปรีดา) อาจารย์ซื้อมาเพียง 5 ล้านบาท เมื่อ 20-30 ปีก่อน ปัจจุบันเฉพาะที่ดินก็มีมูลค่าหลายสิบล้านบาทแล้ว ถ้าเทียบกับฝากเงินแบงก์ ใช้ประโยชน์กับบ้านไม่ได้ แต่บ้านทำให้เราอยู่สบาย

"หากคุณลงทุนตามแบบฉบับของผม รับรองได้ว่าจะได้รับกำไรเข้ากระเป๋าปีละ 20% แน่นอน แต่ทั้งหมดต้องทำบนความไม่เสี่ยง ไม่โลภ และหุ้นแต่ละตัวต้องมีการเติบโตที่ดี และมีเงินปันผลสม่ำเสมอ" อาจารย์ย้ำ

ถามเรื่องทิศทางเศรษฐกิจ ดร.สุวรรณ เชื่อว่าทุกอย่างคงไปได้ด้วยดี ดูจากราคาสินค้าเกษตรที่มีทิศทางดีขึ้น ปกติประเทศไทยจะส่งออกแต่วัตถุดิบ แต่วันนี้ส่งเป็นสินค้าสำเร็จรูปมากขึ้น ซึ่งการส่งออกในลักษณะนี้จะมีมาร์จินที่ดีกว่า ยิ่งมองไปในธุรกิจยานยนต์จะเห็นเลยว่า ปีนี้ผลิตรถยนต์ได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนค่าเงินบาทอาจยืนราวๆ 32.2-32.3 บาท คงไม่ลงไปอยู่ 31 บาทแน่นอน สำหรับราคาน้ำมันอาจนิ่งอยู่ระดับ 80-85 เหรียญต่อบาร์เรล

"ผมมองการเมืองไทยคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะเดือนเมษายน ปี 2554 ก็จะมีการเลือกตั้งแล้ว"

สำหรับสถานการณ์ในต่างประเทศ ต้องมองว่า 3 ประเทศใหญ่ อย่างสหรัฐอเมริกา จีน และอินเดีย ก็คงดีขึ้นตามลำดับ แม้จะไม่ดีขึ้นมากมาย แต่ก็ดีกว่าย่ำอยู่ที่เดิม ส่วนตัวมองว่าประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีประชากรราวๆ 100-200 คน จะเป็นประเทศที่น่าจับตามอง เพราะการเมืองเขาดีกว่าเรามาก ฉะนั้นถ้าเขาขยับทำอะไรขึ้นมา คงมีผลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกเหมือนกัน

ถ้าย้อนดูบทสัมภาษณ์เก่าๆ ปรัชญาการใช้ชีวิตของ ดร.สุวรรณ คงหนี้ไม่พ้นบทเรียนเกี่ยวกับ "คุณค่าของเงิน" ความมัธยัสถ์ อดออม และการใช้เงินทำงาน ที่สำคัญชีวิตนี้อย่าไปเป็นหนี้ เรามีเราใช้เท่าที่มี อยากซื้ออะไรมีตังค์ซื้อก็ซื้อ ถ้าไม่มีตังค์ก็อดออมเอาไว้ก่อน วันหลังมีตังค์ก็ไปซื้อดีที่สุด ทั้งหมดคือหลักการใช้ชีวิตที่ต้องมีการวางแผน และไม่ประมาท

from http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/bizweek/20100628/339749/มี100ล้านไม่ยากอย่างที่คิด-สูตรรวยดร.สุวรรณ-วลัยเสถียร.html


27 มิถุนายน 2553

ธรรมะโดยท่าน ว.วชิรเมธี


ธรรมะโดยท่าน ว.วชิรเมธี

1. อย่าเป็นนักจับผิด
คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่า หลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง ' กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก '
คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส ' จิตประภัสสร ' ฉะนั้น จงมองคน มองโลกในแง่ดี ' แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข '


2. อย่ามัวแต่คิดริษยา
' แข่งกันดี ไม่ดีสักคน ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน '
คนเราต้องมีพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า ' เจ้ากรรมนายเวร ' ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น เราต้องถอดถอน
ความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น ' ไฟสุมขอน ' ( ไฟเย็น) เราริษยา 1 คน เราก็มีทุกข์ 1 ก้อน
เราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี ' แผ่เมตตา ' หรือ ซื้อโคมมา แล้วเขียนชื่อคนที่เราริษยา แล้วปล่อยให้ลอยไป


3. อย่าเสียเวลากับความหลัง
90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ ' ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น '
มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบกเครื่องเคราต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วย
ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ ' ย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน '
' อยู่กับปัจจุบันให้เป็น ' ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี ' สติ ' กำกับตลอดเวลา



4. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ
' ตัณหา ' ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อ ธรรมชาติของตัณหา คือ ' ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม '
ทุกอย่างต้องดูคุณค่าที่แท้ ไม่ใช่ คุณค่าเทียม เช่น คุณค่าที่แท้ของนาฬิกา คืออะไร คือ ไว้ดูเวลาไม่ใช่มีไว้ใส่เพื่อความโก้หรู
คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือ คืออะไร คือไว้สื่อสาร แต่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมมาไม่ใช่คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์
เราต้องถามตัวเองว่า ' เิกิดมาทำไม ' ' คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน ' ตามหา ' แก่น ' ของชีวิตให้เจอ
' คำว่า ' พอดี ' คือ ถ้า ' พอ ' แล้วจะ ' ดี ' รู้จัก ' พอ ' จะมีชีวิตอย่างมีความสุข '

from thaivi


ทำอย่างไรดี เมื่อเจอคำเสนอซื้อหุ้น?


ทำอย่างไรดี เมื่อเจอคำเสนอซื้อหุ้น?

ประเด็นหนึ่งที่ผู้ลงทุนมักถามมายัง ก.ล.ต. ก็คือ เมื่อบริษัทที่ลงทุนอยู่ เกิดมีกลุ่มทุนใหม่จะเข้ามาเทคโอเวอร์บริษัทโดยมีการทำคำเสนอซื้อหุ้น (tender offer) จากผู้ถือหุ้นทั่วไป ในฐานะผู้ลงทุน ถ้ายังไม่อยากขายหุ้น ควรจะทำอย่างไร? ไม่ต้องห่วงค่ะ วันนี้ ดิฉันมีคำแนะนำดี ๆ มาฝากกันอีกเช่นเคย

ทำไมต้องมีการทำคำเสนอซื้อ?
ลองนึกถึงหนังจีนที่คุณเคยดูนะคะ ตระกูลพระเอกบริหารบริษัทอยู่ดีๆ วันหนึ่งมีใครก็ไม่รู้ดอดเข้ามาถือหุ้นในบริษัทพระเอกไปเกิน 50% และเตรียมปลดครอบครัวพระเอกออกเพื่อขึ้นบริหารงานแทน ถามว่าในโลกแห่งความเป็นจริง ถ้าคุณเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทพระเอก คุณจะกังวลไหมคะว่าอยู่ดีๆ มีคนแปลกหน้าเข้ามาบริหารบริษัทแทน ซึ่งคุณก็ไม่รู้ว่าเขาเก่ง/ดีพอหรือเปล่า แล้วคุณจะมีทางเลือกอะไรบ้าง ตรงนี้ไม่ต้องห่วงเลยค่ะ เพราะตลาดทุนเรามีเกณฑ์กำหนดว่า เวลาที่ใครจะเข้าไปเทคโอเวอร์กิจการของบริษัทจดทะเบียนใดก็ตาม ผู้ที่จะเข้าไปเทคโอเวอร์นั้น ต้องเปิดช่องให้ผู้ถือหุ้นเดิมมีทางเลือก (fair exit) ว่าจะยังคงอยากถือหุ้นต่อไปแม้เปลี่ยนอำนาจการบริหารแล้ว หรือจะเลือกขายหุ้น เพราะไม่แน่ใจอนาคตบริษัทหลังเปลี่ยนอำนาจบริหาร ดังนั้น ผู้ที่จะเข้าไปเทคโอเวอร์กิจการ ก็จะต้องมีหน้าที่ทำคำเสนอซื้อหุ้น ในส่วนที่เหลือทั้งหมด เมื่อตัวเองได้หุ้นในกิจการเท่ากับหรือมากกว่าระดับที่ 25% 50% และ 75% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการค่ะ

ทั้งนี้สำหรับการทำคำเสนอซื้อในบ้านเราที่ผ่านมาก็พบทั้งในลักษณะของการเปลี่ยนอำนาจบริหารอย่างในหนังจีนที่ยกมา หรือบางทีก็ไม่มีการเปลี่ยนมือผู้บริหารค่ะ แต่ถือหุ้นเพิ่มขึ้นจนแตะเกณฑ์ก็มี รวมถึงการทำคำเสนอซื้อเพื่อเอากิจการออกจากตลาดหลักทรัพย์ (delisted) ก็พบเช่นกันค่ะ

ศึกษาข้อมูลให้ถ้วนถี่
เมื่อเกิดกรณีหุ้นที่คุณถืออยู่มีการทำคำเสนอซื้อ สิ่งแรกที่ควรทำในฐานะผู้ถือหุ้นคุณภาพ คือ ศึกษาข้อมูลจากคำเสนอซื้อค่ะ อาจใช้หลัก Who, What, Why, When, How มาจับก็ได้ว่า ใครเป็นคนทำคำเสนอซื้อ เป็นผู้บริหารกลุ่มเดิม หรือเป็นหน้าใหม่ วัตถุประสงค์ในการทำคำเสนอซื้อคืออะไร ทำไมเขาถึงสนใจอยากเข้ามา เช่น ต้องการอำนาจควบคุมบริษัทเพื่อขยายกิจการ หรือเพื่อเอาบริษัทออกจากตลาดฯ รวมถึงดูเรื่องของเวลาในการรับซื้อหลักทรัพย์ว่าเป็นเมื่อไร ราคาที่เสนอซื้อและเงื่อนไขเป็นอย่างไร (เช่น บอกถึงการยกเลิกคำเสนอซื้อ หรือการชำระค่าหุ้นไว้อย่างไร) นอกจากนั้น อาจศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม เช่น ดูว่าแหล่งเงินที่จะมาจ่ายค่าซื้อหุ้นนั้นมาจากไหน หรือดูงบการเงินของผู้ที่ทำคำเสนอซื้อว่าฐานะเป็นอย่างไร มีแผนอย่างไรในการเข้ามาบริหารกิจการต่อ หรือจะว่าจ้างคนอื่นมาบริหารแทนหลังจากทำคำเสนอซื้อสำเร็จแล้ว ฯลฯ

ความเห็นจาก “ตัวช่วย” ต่างๆ ก็สำคัญ
อีกข้อมูลที่ต้องดูเพื่อประกอบการตัดสินใจว่าจะขายหุ้นในคำเสนอซื้อหรือไม่ คือ ความเห็นจากบริษัทที่คุณถือหุ้นอยู่ และความเห็นจากที่ปรึกษาการเงินอิสระ (หรือ IFA) ทั้งสองส่วนนี้จะศึกษาข้อมูลคำเสนอซื้อและให้ความเห็นต่อผู้ลงทุน อย่างเรื่องหลัก ๆ ก็เช่นดูว่าแผนธุรกิจของผู้ที่ทำคำเสนอซื้อดีกับบริษัทหรือไม่ ราคาที่เสนอซื้อนั้นเหมาะสมไหม พร้อมคำแนะนำว่า ผู้ลงทุนควรตัดสินใจอย่างไร (ขายหรือไม่ขาย)

อย่างไรก็ตาม มุมมองที่ออกมาจาก “ตัวช่วย” ทั้งสองฝั่งนี้ บางกรณีอาจไปแนวทางเดียวกัน บางกรณีอาจมองต่างมุม เช่น ความเห็นบริษัทบอกว่าราคาเหมาะสมแล้ว ผู้ถือหุ้นควรขาย แต่ IFA กลับให้ความเห็นว่า มูลค่าของหุ้นสูงกว่านั้น ราคาที่เสนอซื้อต่ำไป ผู้ถือหุ้นไม่ควรขายก็มีค่ะ ซึ่งในกรณีที่ความเห็นต่างกัน ผู้ลงทุนก็ต้องประมวลข้อมูล เทียบข้อดีข้อเสียว่าท้ายที่สุดจะตัดสินใจอย่างไร

อยากแถมอีกนิดเรื่อง “ราคา” ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้ลงทุนคาใจ (เพราะมักไม่สูงอย่างที่หวัง) ว่าตัวเลขมาจากไหน ตรงนี้ถ้าเป็นคำเสนอซื้อทั่วไป (ที่ไม่ใช่การเอาบริษัทออกจากตลาดฯ) เกณฑ์บอกไว้ว่า หากผู้ทำคำเสนอซื้อเคยได้หุ้นมาราคาเท่าใด (นับย้อนไปถึง 90 วันก่อนทำคำเสนอซื้อ) ราคาในคำเสนอซื้อก็ต้องไม่ต่ำไปกว่านั้นค่ะ แต่หากไม่มีการได้หุ้นมา ราคาก็จะกำหนดด้วยวิธีอื่น เช่น เปรียบเทียบราคาตลาด หรือดูมูลค่าทางบัญชี หรืออีกวิธีหนึ่งคือการประเมินจากมูลค่าทั้งหมดของกิจการโดยดูมูลค่าในอนาคตแล้วประเมินว่ามูลค่าปัจจุบันควรเป็นเท่าไร

ผู้ลงทุนบางท่านอาจเลือกไม่ขายหุ้น หากมั่นใจว่าผู้บริหารทีมใหม่สามารถทำให้ธุรกิจเติบโตก้าวหน้า แต่หากเป็นการทำคำเสนอซื้อเพื่อเอาบริษัทออกจากตลาดฯ นอกจากดูราคาตอนที่ได้หุ้นมาว่าสูงกว่าราคาในคำเสนอซื้อหรือไม่ ผู้ลงทุนยังต้องคำนึงถึงเรื่องสภาพคล่องที่จะหายไปหลังหุ้นออกจากตลาดฯ แล้วด้วยค่ะ

ค่อยๆ ตัดสินใจ ไม่จำเป็นต้องรีบ
สำหรับการตัดสินใจเรื่องนี้ ไม่จำเป็นต้องรีบทำตั้งแต่วันแรกๆ ที่มีคำเสนอซื้อเข้ามา ผู้ลงทุนมีเวลาตามเกณฑ์ในคำเสนอซื้ออย่างน้อย 25 วัน ขณะที่ความเห็นของบริษัทและ IFA จะมาถึงมือผู้ถือหุ้นใน 15 วันทำการหลังจากวันที่มีคำเสนอซื้อ ซึ่งผู้ลงทุนควรรอดูความเห็นจากทั้งสองฝั่งนี้ก่อน อย่างไรก็ดี หากตัดสินใจขายหุ้นไปแล้วและอยากเปลี่ยนใจระหว่างทาง ก็สามารถทำได้นะคะ (แต่มีเงื่อนไขว่า ตอนที่คุณส่งแบบตอบรับคำเสนอซื้อส่งกลับไปที่ตัวแทนผู้ทำคำเสนอซื้อนั้น จะต้องไม่ทำเครื่องหมายในช่อง “ยืนยันไม่ยกเลิกแสดงเจตนา...” และจะต้องยื่นแบบขอยกเลิกการแสดงเจตนาขายไปที่ตัวแทนผู้ทำคำเสนอซื้อภายใน 20 วันทำการแรกนับจากวันเริ่มรับซื้อค่ะ) อย่างไรก็ตาม ถ้าไตร่ตรองดูแล้ว คุณไม่ถูกใจที่จะขายหุ้นให้กับผู้ทำคำเสนอซื้อจริงๆ คุณก็ยังสามารถเลือกที่จะขายหุ้นในตลาดฯ ได้เช่นกันค่ะ

from http://www.bangkokbiznews.com/home/details/business/ceo-blogs/jaruwan/20100624/339358/ทำอย่างไรดี-เมื่อเจอคำเสนอซื้อหุ้น-.html


26 มิถุนายน 2553

CD-R แตกต่างจาก CD-RW อย่างไร?


CD-R แตกต่างจาก CD-RW อย่างไร?

CD-R (ซีดี-อาร์) และ CD-RW (ซีดี-อาร์ดับบลิว) เป็นสื่อที่ใช้ในการจัดเก็บข้อมูลที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบันนี้ เนื่องจากเป็นสื่อที่รองรับการบันทึกข้อมูลได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นไฟล์เอกสารที่บันทึกจากโปรแกรมชุดสำนักงาน เช่น Word, Excel, PowerPoint ไฟล์เสียงเพลง (Audio File) ไฟล์ภาพยนตร์ (Movie File) ไฟล์รูปภาพ และอื่นๆ อีกมากมาย

อุปกรณ์ :: การบันทึกข้อมูลลงบนแผ่น CD-R หรือ CD-RW นี้ คุณจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า "ไดร์ฟซีดี-อาร์ดับบลิว" (CD-RW Drive) หรือที่นิยมเรียกกันว่า ซีดี-ไรท์เตอร์ (CD-Writer) ซึ่งอุปกรณ์ประเภทนี้มีความสามารถทั้งการอ่านข้อมูลที่บรรจุอยู่ในแผ่นซีดี และสามารถบันทึกข้อมูลลงในแผ่น CD-R หรือแผ่น CD-RW --- อุปกรณ์ประเภทนี้มีให้เลือกใช้ 2 แบบ คือ เป็นแบบที่ติดตั้งอยู่ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือ แบบที่แยกออกมาเป็นอุปกรณ์ต่างหาก และเวลาที่ต้องการใช้งานก็จำเป็นต้องต่อสายเคเบิลที่เรียกว่า สาย USB เชื่อมต่อเครื่อง CD-Writer นี้เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์

ความเร็ว :: CD-Writer นี้มีการระบุค่าความเร็วอยู่ 3 ค่าด้วยกัน คือ

ความเร็วในการเขียน (Write)

ความเร็วในการเขียนซ้ำ (Rewrite)

ความเร็วในการอ่าน (Read)
ตัวอย่างของการระบุค่า เช่น 52x32x52x โดยมักจะพิมพ์ติดไว้ที่ด้านหน้าของเครื่อง CD-Writer


ความแตกต่างระหว่าง CD-R และ CD-RW

CD-R (ซีดี-อาร์) เป็นแผ่นซีดีที่สามารถบันทึกได้ แต่ไม่สามารถแก้ไขข้อมูล ลบข้อมูลทิ้ง หรือบันทึกข้อมูลเดิมซ้ำได้ จึงเหมาะสำหรับการจัดเก็บข้อมูลที่ไม่ต้องการแก้ไขแล้ว อย่างไรก็ตาม แผ่น CD-R นี้ ผู้ใช้งานสามารถบันทึกข้อมูลเพิ่มเติมลงไปในแผ่นที่มีข้อมูลอยู่แล้วได้อีกหลายครั้ง จนกว่าพื้นที่ในแผ่นจะเต็ม โดยการบันทึกแต่ละครั้งนี้ จะถูกแยกออกเป็นส่วนๆ ที่เรียกว่า Session ซึ่งในการใช้โปรแกรมเฉพาะสำหรับการบันทึกข้อมูลลงแผ่นซีดี เช่น โปรแกรม Nero ผู้ใช้งานจำเป็นต้องกำหนดการบันทึกให้เป็นแบบ Multi-session คือกำหนดให้แผ่นสามารถบันทึกเพิ่มเติมได้หลายๆ Session จนกว่าแผ่นจะเต็ม --- แต่ในกรณีที่ใช้ฟันก์ชั่นของ Windows XP ในการบันทึกข้อมูลลงแผ่นซีดี การบันทึกด้วยวิธีนี้จะกำหนดให้เป็น Multi-seesion ให้โดยอัตโนมัติ

CD-RW (ซีดี-อาร์ดับบลิว) เป็นแผ่นซีดีที่สามารถบันทึกซ้ำและลบข้อมูลทิ้งได้ โดยที่แผ่นซีดีนี้สามารถแบ่งการบันทึกเป็นหลายๆ Session ได้เช่นเดียวกับแผ่น CD-R แตกต่างกันตรงที่แผ่น CD-RW สามารถบันทึกซ้ำ และลบข้อมูลทิ้งได้ อย่างไรก็ตาม การนำแผ่นที่มีข้อมูลอยู่แล้วมาบันทึกซ้ำ หรือนำแผ่นที่มีข้อมูลเต็มแล้วกลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง คุณจำเป็นต้องลบข้อมูลทั้งแผ่นทิ้งไปก่อน แล้วนำกลับมาใช้เหมือนแผ่นเปล่า --- และด้วยความสามารถที่เหนือว่าแผ่น CD-R จึงทำให้แผ่น CD-RW มีราคาที่สูงกว่าแผ่น CD-R

from http://www.happyoppy.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=525103&Ntype=4


การเปรียบเทียบระบบแฟ้มระหว่าง NTFS และ FAT

การเปรียบเทียบระบบแฟ้มระหว่าง NTFS และ FAT

ระบบแฟ้มคือโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่คอมพิวเตอร์ใช้ในการจัดระเบียบข้อมูลที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์ ถ้าคุณกำลังติดตั้งฮาร์ดดิสก์ใหม่ คุณจำเป็นต้องแบ่งพาร์ติชันและฟอร์แมต ฮาร์ดดิสก์ดังกล่าวโดยใช้ระบบแฟ้มก่อนที่คุณจะเริ่มการจัดเก็บข้อมูลหรือโปรแกรมได้ ใน Windows ตัวเลือกระบบแฟ้มสามชนิดที่คุณต้องเลือกได้แก่ NTFS, FAT32 และ FAT โดย FAT เป็นระบบแฟ้มที่เก่ากว่าและไม่ค่อยมีการใช้กัน (หรือที่รู้จักกันว่า FAT16)

NTFS

NTFS เป็นระบบแฟ้มที่ต้องการสำหรับ Windows รุ่นนี้ NTFS มีข้อดีที่เหนือกว่าระบบแฟ้ม FAT32 รุ่นก่อนหน้าหลายประการ ได้แก่

ความสามารถในการกู้คืนโดยอัตโนมัติจากข้อผิดพลาดบางอย่างที่เกี่ยวกับดิสก์ ในขณะที่ FAT32 ไม่สามารถทำได้

การสนับสนุนที่ได้รับการปรับปรุงสำหรับฮาร์ดดิสก์ที่ใหญ่ขึ้น

ความปลอดภัยมากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากคุณสามารถใช้สิทธิ์และ การเข้ารหัสลับ เพื่อจำกัดการเข้าถึงแฟ้มบางแฟ้มสำหรับผู้ใช้ที่ได้รับการอนุมัติเท่านั้น

FAT32

FAT32 และ FAT ที่ใช้กันน้อยกว่าถูกใช้ในระบบปฏิบัติการของ Windows รุ่นก่อนหน้านี้ รวมถึง Windows 95, Windows 98 และ Windows Millennium Edition FAT32 ไม่มี ความปลอดภัยที่ระบบ NTFS จัดให้ ดังนั้นถ้าคุณมี พาร์ติชัน หรือ ไดรฟ์ข้อมูล ของ FAT32 ในคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้รายใดที่ได้เข้าถึงคอมพิวเตอร์ของคุณจะสามารถอ่านแฟ้มใดๆ ก็ได้บนระบบแฟ้มนี้ FAT32 ยังมีข้อจำกัดด้านขนาด คุณ ไม่สามารถสร้างพาร์ติชันของ FAT32 ที่มากกว่า 32GB ใน Windows รุ่นนี้ได้ และคุณไม่สามารถเก็บแฟ้มที่มีขนาดใหญ่กว่า 4GB บนพาร์ติชันของ FAT32 ได้

เหตุผลสำคัญที่ใช้ FAT32 ก็เนื่องจากคุณมีคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวที่บางครั้งเรียกใช้งาน Windows 95, Windows 98 หรือ Windows Millennium Edition และในช่วงเวลาอื่นได้เรียกใช้งาน Windows รุ่นนี้ ซึ่งเรียกกันว่า การกำหนดค่าแบบ มัลติบูต หากเป็นกรณีเช่นนี้แล้ว คุณจะต้องติดตั้งระบบปฏิบัติการรุ่นก่อนหน้านี้บนพาร์ติชัน FAT32 หรือ FAT และตรวจสอบให้แน่ใจว่าพาร์ติชันดังกล่าวเป็น พาร์ติชันหลัก (ที่สามารถโฮสต์ระบบปฏิบัติการได้) พาร์ติชันเพิ่มเติมที่คุณจะต้องเข้าถึงเมื่อใช้ Windows รุ่นก่อนหน้านี้ก็จะต้องได้รับการฟอร์แมตด้วยระบบแฟ้ม FAT32 ด้วย ทั้งนี้ Windows รุ่นก่อนหน้าเหล่านี้สามารถเข้าถึงพาร์ติชัน NTFS หรือไดรฟ์ข้อมูลผ่านทางเครือข่ายได้ ไม่ใช่บนคอมพิวเตอร์ของคุณ

from http://windows.microsoft.com/th-TH/windows-vista/Comparing-NTFS-and-FAT-file-systems


รีเทล + ดีเทล ผนึกกำลังบิ๊กซี

รีเทล + ดีเทล ผนึกกำลังบิ๊กซี

สถานการณ์กำลังซื้อลดลง คนระมัดระวังการใช้จ่าย ภาวะการแข่งขันที่ยังรุนแรงต่อเนื่องแม้ในบรรยากาศที่ไม่ปกติ

บิ๊กซี ซูเปอร์สโตร์ ธุรกิจที่ใกล้ชิดผู้บริโภค และ ขายสินค้าประจำวัน กำลังซื้อที่มีท่าทีถดถอย ยังมีสินค้าบางตัว และบางกลุ่มขายดีซ่อนอยู่

“เวลาเศรษฐกิจไม่ดี ยังมีสินค้าที่ขายได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ”

วิธีคิดที่ไม่เพียงแต่การขายสินค้า แม้แต่การบริหารจัดการภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ บิ๊กซี ต้องมีนวัตกรรม

การบริหารต้นทุน ค่าใช้จ่าย การบริหารลอจิสติกส์ และซัพพลายเชน เป็นเรื่องที่ธุรกิจต้องมอนิเตอร์ แต่สำหรับธุรกิจค้าปลีกแล้ว ต้นทุนสินค้า และการตั้งราคา เป็นหัวใจของธุรกิจนี้

“เราไม่ได้ปรับเปลี่ยนองค์กร แต่ปรับการใช้เทคโนโลยี”

จริยา จิราธิวัฒน์ รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) สะท้อนถึงการบริหารจัดการภายในของบิ๊กซี ที่เปลี่ยนโฉมการทำงานโดยนำ เทคโนโลยี เข้ามาเสริมประสิทธิภาพการทำงาน

บิ๊กซี นำโปรแกรมการตั้งราคา เข้ามาใช้งานในช่วงกลางปี 2551 โดยทำหน้าที่วิเคราะห์ และกำหนดราคาที่เหมาะสม ระหว่าง ดีมานด์ และซัพพลาย

“ราคาถูก ณ จุดไหนที่สร้างกำไรสูงสุด”

ราคาที่แพง ไม่ใช่จะทำกำไรสูงสุดเสมอไป หากแต่ราคาในระดับที่เหมาะสม จะเกิดผลดีทั้งกับลูกค้า และบิ๊กซี

นอกจากระบบวิเคราะห์ราคา บิ๊กซี ยังมี “Gold” ระบบที่เกี่ยวกับการสั่งซื้อ

ระบบนี้ ทำให้เราทราบว่า ควรสั่งซื้อสินค้าอะไร กลุ่มไหนที่ลูกค้าต้องการ และสร้างกำไรสูงสุด โดยประสิทธิภาพการวิเคราะห์เป็นไปในเชิงลึก อาทิ เลือกวิเคราะห์เป็นรายซัพพลายเออร์ และ รายแบรนด์

ประสิทธิภาพการบริหารที่มีเทคโนโลยีเป็น “ผู้ช่วย” จริยา บอก เป็นการสนับสนุนการทำงานของบิ๊กซี ให้เกิดประสิทธิภาพ และรวมถึงงานด้านบริการด้วย

แม้มีเทคโนโลยีเป็น “ตัวช่วย” แต่ในด้านการทำงานแล้ว จริยา บอก การทำงานต้องปรับตัว

การบริหารงานในช่วง “วิกฤต” กับ “ไม่วิกฤต” แตกต่างกัน

จากที่วิเคราะห์แผน และพิจารณารายงาน เป็นรายเดือน ปรับเปลี่ยนเป็น “รายวัน”

“Monitoring” งานหลักภายใต้สถานการณ์วิกฤต ที่ จริยา ต้องวิเคราะห์

“ทุก ๆ เช้าจะมีรายงาน จากแต่ละหน่วยงานเข้ามา จากสาขา ฝ่ายจัดซื้อ และฝ่ายการตลาด ซึ่งเป็นการรีวิวยอดขาย พฤติกรรมลูกค้า จำนวนลูกค้าเข้าสโตร์ ฯลฯ”

ขณะที่กลไกการแก้ไขปัญหาจะเริ่มทำงานทันทีที่พบ โดยมีเพียง 2 ลำดับบริหาร คือ ผู้บริหาร และระดับปฏิบัติการที่ให้ข้อสรุป เป็นความคล่องตัวในเรื่องบริหารจัดการ และการแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที

จริยา บอก เป็นข้อดีของธุรกิจรีเทล เพราะปัญหาส่วนใหญ่มักเป็นลักษณะ Short term และ ไดนามิค

“เมื่อปัญหาเกิด ก็หาสาเหตุ แล้วดำเนินการแก้ไข หรือ พัฒนาโปรโมชั่นขึ้นมา เมื่อต้องการเพิ่มยอดขาย ”
Retail เป็นเรื่องของ Detail

จริยา สะท้อนการบริหารจัดการในธุรกิจนี้ ซึ่ง บิ๊กซี ก็เข้าถึงในทุกดีเทล

นอกจาก “เพิ่มพลัง” ภายในองค์กรให้แข็งแกร่ง ส่วนการตลาด เป็นอีกหนึ่งสำคัญ ท่ามกลางวิกฤต

จากแนวโน้มธุรกิจค้าปลีกในไทยที่เปลี่ยนเปลง โดยเฉพาะเซ็กเม้นท์ ซูเปอร์สโตร์ ที่เดิมมุ่งเน้น “แย่งตลาด” ทุกคนต่างขยายสาขา เพื่อยึดพื้นที่ให้มากที่สุด สร้างตลาดให้มากที่สุด

ขณะที่ปัจจุบัน การแข่งขันปรับสู่การ “รักษา”ตลาดของตัวเองเอาไว้

การสร้าง Loyalty Program มาใช้เพื่อผลของการภักดีของลูกค้า และเกิดการใช้จ่ายต่อเนื่อง ฐานลูกค้าที่ บิ๊กซี สั่งสม จะเป็น “ขุมทรัพย์” ชั้นดีที่นำไปสู่การต่อยอดกิจกรรมการตลาดและการขาย

“ปัจจุบันเป็นโอกาส และเราจะรุกตลาดมากขึ้น เพื่อเป้าหมายการเป็นที่หนึ่งค้าปลีกในใจผู้บริโภค”

from http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/100_CEO/20090504/38512/รีเทล-+-ดีเทล-ผนึกกำลังบิ๊กซี.html


24 มิถุนายน 2553

พฤติกรรมที่ไม่ควรทำกับเพื่อน

พฤติกรรมที่ไม่ควรทำกับเพื่อน

ขัดขา : แกล้งขัดขาเพื่อนจนหกล้ม คะมำกลางห้องนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ แบบสุด ๆ

- ล้อชื่อคนที่เพื่อนแอบชอบ : บางที่การที่ใจหวั่นไหวไปแอบชอบใครสักคน เขาก้ออยากให้เป็นความลับ

- เอาเบอร์โทรเพื่อนให้ผู้ชายคนอื่น : การเอาเบอร์โทร.เพื่อนไปให้ผู้ชายคนอื่น ทำให้เพื่อนต้องหงุดหงิด จากการที่ได้รับโทรศัพท์จากใครก้อไม่รู้

- เอาสัตว์หรือสิ่งที่เพื่อนเกียจมาโยนใส่ : ถ้ารู้ว่าเพื่อนกลัวอะไร แต่ยังเอาสัตว์ชนิดนั้นมาโยนใส่ ขอบอกว่าเธอใจร้ายมาก

- นินทา : คนที่ชอบนินทา ใส่ร้ายป้ายสีเพื่อนให้คนอื่นเกลียด เพราะเธอแสดงความอ่อนแอ ในใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด แถมยังขี้อิจฉาอีกด้วย

- ล้อปมด้อย : แบบนี้เขาเรียกเพื่อนไม่แท้ เพราะเอาแต่เรื่องไม่ดีมาล้อเพื่อน เหมือนเป็นการตอกย้ำความไม่ดีในตัวเพื่อน

- มองด้วยหางตา : คนที่ชอบมองเพื่อนด้วยสายตากึ่ง ๆ ดูถูก เป็นคนที่แย่มาก ๆ เพราะในความจริง คนที่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เขาต้องรักและให้เกียรติกัน

- พูดจาให้เพื่อนเสียหน้า : มีบางคนที่ชอบพูดจา หรือทำให้เพื่อน เสียหน้ากลางสาธารณชน คนที่ทำแบบนี้ได้ ขอบอกเลยว่าเธอจิตใจแย่เต็มที

ถ้าไม่อยากให้เพื่อนโกรธและคบกันได้นาน ๆ ก็อย่าทำพฤติกรรมเหล่านี้เลย.

from http://variety.teenee.com/foodforbrain/27417.html


23 มิถุนายน 2553

นิทานสีขาว:อย่าตัดสินคุณค่า จากรูปลักษณ์ภายนอก

นิทานสีขาว:อย่าตัดสินคุณค่า จากรูปลักษณ์ภายนอก

มีร้านค้าแห่งหนึ่ง ติดประกาศขายลูกสุนัข 7 ตัว
เมื่อรู้ข่าว ก็มีเด็ก ๆ แวะเวียนเข้ามาเล่น มาชมลูกสุนัขทุกวัน
แต่ก็ยังไม่มีใครตกลงใจซื้อ เพราะเป็นสุนัขพันธุ์ดี มีราคาค่อนข้างแพง

วันหนึ่ง ขณะที่เจ้าของร้านกำลังยุ่งอยู่กับการขายของอื่น ๆ ให้แก่ลูกค้าในร้าน
เด็กชายหน้าตาน่าเอ็นดูคนหนึ่งก็มากระตุกชายเสื้อเขา
เขาก้มลงมอง และถามว่ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่

"เพื่อนของผมบอกว่า ที่ร้านของคุณอามีลูกหมาขาย
ผมอยากเลี้ยงลูกหมาสักตัว พ่อแม่ก็อนุญาตแล้ว
ขอผมดูลูกหมาของคุณอาหน่อยได้ไหมครับ?" เด็กบอกอย่างสุภาพ

"อ๋อ ได้สิหนู พวกมันกำลังนอนเล่นอยู่หลังร้านน่ะ" เจ้าของร้านกล่าวอย่างยินดี
แล้วผิวปากเรียกสุนัขทั้งเจ็ดออกมา
เด็กชายยิ้มร่าเมื่อเห็นลูกสุนัขวิ่งตุ้ยนุ้ยออกมาทีละตัว
เขานับ...แต่ก็มีแค่หกตัวเท่านั้น

"ไหนว่ามีเจ็ดตัว มีคนซื้อไปตัวหนึ่งแล้วหรือครับ?" เด็กชายถาม

เจ้าของร้านตอบว่า "อ๋อ เปล่าหรอกหนู ยังไม่มีใครซื้อไปเลยสักตัว
เพียงแต่ตัวสุดท้ายขาหลังเขาไม่ดี มันก็เลยต้องคลานออกมา
วิ่งมาพร้อมกับพี่ ๆ ของมันไม่ได้"

สิ้นคำเจ้าของร้าน ลูกสุนัขตัวที่เจ็ดก็คลานออกมา
ขาหลังทั้งคู่ของมันลีบเหลือนิดเดียว
มันต้องใช้ขาหน้าลากพาร่างกายออกมาจากหลังร้าน
ลูกสุนัขมองมาทางเด็กชายแล้วครางงี้ด ๆ เห็นได้ชัดว่ามันพยายามคลานมาหาเขา
หางของมันกระดิกดุ๊กดิ๊ก ๆ อยู่ตลอดเวลา มันคลานเข้าไปเลียรองเท้าของเด็กชาย
ท่าทางจะชอบเขามาก เด็กชายหัวเราะแล้วอุ้มมันขึ้นมา
ก่อนจะถามเจ้าของร้านว่า "หมาตัวนี้ราคาเท่าไรครับ?"

"ปกติ อาบอกขายอยู่ตัวละสองพันบาทนะ" เจ้าของร้านตอบ

เด็กชายนิ่งอึ้งไปก่อนจะล้วงกระเป๋าหยิบเงินออกมานับ
เขามีเงินอยู่เพียงสี่ร้อยห้าสิบบาทเท่านั้น
"ผมมีเงินไม่พอซื้อหมาตัวนี้" เด็กชายพึมพำอย่างเศร้าใจ

เจ้าของร้านรีบบอกทันทีว่า "โอ๊ะ!! หนู ถ้าหนูอยากได้หมาตัวนี้ไปก็เอาไปเถอะ
ไม่ต้องจ่ายเงินหรอก อายกให้หนูฟรี ๆ ไปเลย"

เด็กชายฟังเจ้าของร้านแล้วชะงักไป ก่อนจะถามกลับไปอย่างไม่พอใจว่า
"ทำไมครับ ทำไมถึงบอกว่าไม่ต้องจ่ายเงินถ้าจะซื้อหมาตัวนี้"

"ก็อย่างที่หนูเห็นอย่างไรล่ะ ลูกหมาตัวนี้มันติดมาพร้อม ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ของมัน
และอาก็ไม่คิดว่าจะขายมันอยู่แล้ว เพราะมันพิการ วิ่งก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้
ความจริงอาไม่อยากให้หนูได้ของมีตำหนิอย่างนี้ไปนะ ลองดูตัวอื่นดีไหม"

เด็กชายเม้มปากแน่นก่อนจะพูดว่า "คุณอาดูอะไรนี่สิครับ"
ว่า แล้วเขาก็ดึงขากางเกงทั้งสองข้างขึ้น
เจ้าของร้านจึงได้เห็นว่า ขาของเด็กชายคนนี้เล็กลีบเช่นเดียวกับขาหลังของลูกสุนัข
แต่ที่ทำให้เขายืนอยู่ได้ ก็เพราะมีขาเทียมช่วยพยุงเอาไว้

"คุณอาครับ ขาของผมก็ลีบใช้การอะไรไม่ได้เหมือนกัน
ผมเดินช้ากว่าเพื่อนคนอื่น ๆ วิ่งก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้
อย่างนี้ผมก็เป็นคนไร้คุณค่าหรือเปล่าครับ"

เจ้าของร้านนิ่งอึ้งไป ความรู้สึกผิดแล่นปราดเข้าสู่หัวใจของเขา

เด็กชายปล่อยขากางเกงลงแล้วพูดต่อว่า
"ผมจะซื้อสุนัขตัวนี้ในราคาสองพันบาทเท่ากับลูกหมาตัวอื่น ๆ
แต่ว่าผมมีเงินไม่พอ ถ้าผมจะอ้อนวอนคุณอา ขอผ่อนราคาของลูกหมาตัวนี้
เดือนละหนึ่งร้อยบาททุกเดือน จนครบสองพันบาท คุณอาจะว่าอย่างไรครับ"

เจ้าของร้านน้ำตาไหลริน ทรุด ตัวลงตรงหน้าเด็กชาย
และกอดเขาไว้ด้วยความประทับใจ
พลางกล่าวขอโทษขอโพยในสิ่งที่ตนได้ทำผิดพลาดไป

เขาบอกว่าไม่ขัดข้องที่จะให้เด็กชายผ่อนค่าตัวของลูกสุนัขตัวนี้
และกล่าวว่าถ้าสุนัขทุกตัวมีเจ้านายที่จิตใจดีอย่างเด็กชาย
พวกมันก็คงจะมีชีวิตที่เป็นสุขอย่างมาก

...................................................
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : อย่าตัดสินคุณค่า จากรูปลักษณ์ภายนอก

from http://variety.teenee.com/foodforbrain/27388.html


สิบกฎเหล็กการลงทุน 'สุมาอี้'

สิบกฎเหล็กการลงทุน 'สุมาอี้'

"สุมาอี้" คือ นามแฝง นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์ ผู้เขียนหนังสือขายดีหลายเล่ม เช่น วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง, เอาตัวรอดด้วยทฤษฎีเกม, มนุษย์เศรษฐกิจ 2.0 เป็นต้น ดีกรีปริญญาโท MBA ที่ University of Maryland เคยเป็นนักวิเคราะห์การลงทุน บลจ.วรรณ และเป็นคอลัมนิสต์ นสพ.กรุงเทพธุรกิจ นอกเหนือจากนั้นคุณนรินทร์ยังเป็นนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าในตลาดหุ้นอีกด้วย ได้สรุปหลักการลงทุนที่ยึดถือและปฏิบัติไว้สิบข้อซึ่งมีประโยชน์สำหรับนักลงทุนที่สนใจในการลงทุนแบบเน้นคุณค่าไว้ดังนี้

1. ซื้อหุ้นก็ต่อเมื่อได้วิเคราะห์ข้อมูลจนมั่นใจว่ามูลค่าตลาดของหุ้นตัวนั้น "ต่ำกว่า" มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคตที่คาดหวังได้ของบริษัทเท่านั้น ซึ่งถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง ซื้อมาแล้วไม่ต้องขายเลยก็ยังกำไร (กฎข้อนี้สำคัญมากห้ามฝ่าฝืนเด็ดขาด)

2. ทิศทางของราคาหุ้นเป็นสิ่งที่ไม่มีทางทำนายได้ อย่าพยายามทำกำไรด้วยการเทรดหุ้น การซื้อขายหุ้นทุกวันเปรียบเสมือนการกระโจนเข้าใส่เครื่องบดเนื้อ

3. ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์บริษัทและอุตสาหกรรมให้มากที่สุด ไม่ต้องให้ความสำคัญกับการทำนายทิศทางเศรษฐกิจมหภาค เรือทุกลำต้องเผชิญพายุเหมือนกันหมด จงพยายามเลือกเรือลำที่ดีที่สุดแทนที่จะพยายามคาดเดาว่าพายุจะมาเมื่อไร

4. ราคาหุ้นไม่มีความสัมพันธ์กับกำไรในปัจจุบันแต่จะวิ่งไปตามความเชื่อของตลาด ว่าพรุ่งนี้กำไรของบริษัทจะเป็นเท่าไร หุ้นที่ขึ้นไม่ใช่หุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดี แต่หุ้นที่ขึ้นคือหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานไม่ดีในวันนี้แต่กำลังจะดีขึ้นวันหน้าหรือหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดีอยู่แล้วและจะดีขึ้นไปอีก

5. หุ้นบลูชิพที่เติบโตช้า แม้ว่า downside จะต่ำ -20% แต่ upside ก็ต่ำด้วย +20% หุ้นเติบโตสูงจึงน่าลงทุนมากกว่าเพราะแม้ว่า downside ของมันอาจจะมากถึง -100% แต่ upside ของมันไม่มีขีดจำกัด (อาจเป็น 200% 500% 1000% เป็นต้น) พอร์ตที่มีหุ้นเติบโตสูงหลายๆ ตัวแม้จะผันผวนมากกว่าแต่จะวิ่งได้ไกลกว่าพอร์ตที่เต็มไปด้วยหุ้นบลูชิพในระยะยาวๆ

6. อย่าให้ความสำคัญกับเงินปันผลมากนัก เพราะไม่มีกฎว่าบริษัทต้องจ่ายเงินปันผลเท่าเดิมทุกปี จงสนใจว่าบริษัทเอากำไรสะสมไปลงทุนทำอะไรมากกว่า มูลค่าของบริษัทจะเพิ่มขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบริษัทลงทุนในโครงการที่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเท่านั้น

7. หุ้นเป็นหลักทรัพย์ที่มีผลตอบแทนคุ้มค่ากับการเสี่ยงมากที่สุด อย่าเสียเวลาคิดว่าควรแบ่งเงินไปลงตราสารหนี้เท่าไร หุ้นเท่าไร เงินส่วนใหญ่ของคุณควรอยู่ในหุ้นกับเงินสดตลอดเวลา อย่ากลัวตลาดจะพังเพราะในระยะยาวๆ ไม่มีตลาดหุ้นไหนในโลกที่ไม่สามารถกลับมาสูงกว่าจุดสูงสุดเดิมได้ เพราะเศรษฐกิจในระบอบทุนนิยมโตหุ้นต้องขึ้นเรื่อยๆ

8. จงละเลยหุ้นที่มีประวัติเรื่องเอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายย่อย หรือมีพฤติกรรมดูแลราคาหุ้นแม้แต่ครั้งเดียว ราวกับว่าบริษัทเหล่านั้นมิได้ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์

9. โอกาสในตลาดหุ้นไม่ได้มีมากขนาดหาได้ทุกวันมิฉะนั้นผู้คนคงเลิกทำงานประจำ บริษัทคงเลิกนำเงินไปลงทุนนอกตลาด ในบรรดาหุ้น 20 ตัวที่คุณอยากซื้อในหนึ่งปี จงใช้เงินทั้งหมดที่มีอยู่ซื้อแค่ 1-2 ตัวที่คุณคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุดใน 20 ตัวนั้น คุณจะพบว่าคุณจะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการแบ่งเงินออกเป็น 20 ส่วนเพื่อซื้อทั้ง 20 ตัว

10. นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จร้อยทั้งร้อยมีความคิดที่เป็นอิสระ ถ้าคุณจอดรอไฟแดงอยู่ที่สี่แยกที่ไม่มีรถวิ่งอยู่ แต่รถคันหลังรุมกดดันคุณด้วยการบีบแตรไล่ให้คุณวิ่งออกไปเร็วๆ ถ้าคุณไม่สนใจแรงกดดันนั้นและรอจนไฟเขียวจึงค่อยไป คุณมีแนวโน้มที่จะเล่นหุ้นแล้วประสบความสำเร็จ

from http://www.bangkokbiznews.com/home/details/business/ceo-blogs/viboon/20100607/119605/สิบกฎเหล็กการลงทุน-สุมาอี้.html


อ่านสัญญา "พิทักษ์สิทธิ์" ก่อนซื้อบ้าน


อ่านสัญญา "พิทักษ์สิทธิ์" ก่อนซื้อบ้าน

เปิดปมปัญหา ผู้ซื้อบ้าน กับ เจ้าของโครงการระลอกใหม่ แนะอ่านสัญญาก่อนซื้อขายที่อยู่อาศัย รับมือปัญหาอนาคต


ประเด็นปัญหาระหว่าง "ผู้ซื้อบ้าน" กับ "เจ้าของโครงการ" คงไม่ใช่เรื่องใหม่นัก จะเห็นได้ว่า มีกรณีการฟ้องร้องเกิดขึ้นแทบรายวัน หรือหากเปิดเข้าไปตามเว็บไซต์ Social Network ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Prakard หรือ Pantip ล้วนแล้วแต่มีเรื่องราว "หลังการขาย" ที่อยู่อาศัยที่ไม่น่าประทับใจนักทั้งโครงการเล็ก และโครงการใหญ่

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะลูกบ้านมีความคาดหวัง "สูง" ในการซื้อที่อยู่อาศัยว่าจะต้อง "ตรง" กับแผ่นป้ายโฆษณาที่โครงการได้ประกาศไว้ หรือ "ตรง" ตาม "คำบอก" ของพนักงานขายทุกประการ โดยเฉพาะกับการซื้อที่อยู่อาศัย "ราคาแพง" ของผู้ประกอบการรายใหญ่ ลูกบ้านทุกรายต่างมองว่า จะต้องได้รับ "บ้านที่ดี" และ "บริการหลังการขาย" ที่ดีตามไปด้วย

แต่เมื่อถึงเวลาได้อยู่อาศัยจริง แล้วพบว่า ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง ทั้งเรื่องคุณภาพของบ้าน การบริการต่างๆ ของเจ้าหน้าที่โครงการ ไปจนถึง บริการสาธารณะภายในโครงการ ซึ่งหมายรวมถึง "ทรัพย์สินส่วนกลาง" ต่างๆ ทั้งถนนส่วนกลาง พื้นที่สวนสาธารณะ คลับเฮ้าส์ ฯลฯ ที่ไม่เป็นไปตามที่ได้รับข้อมูลทาง "วาจา" จากพนักงานขายก่อนการตัดสินใจซื้อ จึงกลายเป็น "ปมปัญหา" ที่ลูกบ้านหวังให้ "เจ้าของโครงการ" เร่งแก้ไข ซึ่งในบางปัญหาเป็นข้อตกลงทาง “วาจา” ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง อาจเป็นเรื่องยากต่อการแก้ไข เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ระบุอยู่ใน “สัญญา”

การทำความเข้าใจกับ “สัญญาซื้อขาย” อย่างละเอียดและถูกต้อง จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะเกือบทุก “ปัญหา” ที่ไม่ได้รับการแก้ไข ล้วนเกิดจากความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในช่วงก่อนซื้อขาย ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการได้รับข้อมูลยืนยันทาง “วาจา” จากพนักงานขาย แต่ไม่ได้ตรวจสอบว่า ไม่มีระบุในสัญญาซื้อขาย

ล่าสุด กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ได้รับการร้องเรียนจากนางวรวรรณ ลูกบ้านรายหนึ่งในโครงการธนาพัฒน์ เฮ้าส์ พระราม 3 เกี่ยวกับการอยู่อาศัยหลังการซื้อ โดยขอนำเสนอเป็น 3 กรณี ดังนี้

กรณีที่ 1 เรื่องการก่อสร้างโครงการใหม่บริเวณหน้าบ้าน

นางวรวรรณ ได้ระบุว่า ได้เลือกซื้อบ้านในโครงการดังกล่าวบริเวณด้านในสุดของโครงการฯ ด้วยราคา 8.5 ล้านบาทตั้งแต่เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เพราะต้องการความสงบในการอยู่อาศัย ซึ่งบริเวณพื้นที่ตรงข้ามบ้าน เดิมเป็นพื้นที่โล่ง ก่อนตัดสินใจซื้อได้สอบถามพนักงานขายว่าพื้นที่โล่งดังกล่าว ทางโครงการฯ จะใช้เป็นพื้นที่เพื่อกิจกรรมใด ทางพนักงานขายระบุว่าจะจัดทำเป็นสวน แต่ปัจจุบันมีการก่อสร้างเป็นโครงการใหม่ ซึ่งในส่วนของการก่อสร้างโครงการใหม่ ไม่ได้ติดใจ ถือว่าเป็นสิทธิของบริษัทฯ แต่สิ่งที่ได้รับผลกระทบ คือ เรื่องเสียงและฝุ่น จึงสอบถามไปยังโครงการว่า ขอให้ทำงานเฉพาะวันจันทร์ถึงวันศุกร์ได้หรือไม่ ซึ่งทางโครงการฯ ได้ตอบกลับเป็นจดหมายยืนยันจะทำงานในวันจันทร์ ถึง วันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 8.00 น. – 18.00 น. เช่นเดิม

“เสียงในการก่อสร้าง การขุดเจาะ ความสั่นสะเทือน เป็นสิ่งรบกวนการพักผ่อนในช่วงวันหยุดของดิฉัน จึงได้ร้องขอให้ทางโครงการฯ ดำเนินงานก่อสร้างเฉพาะช่วงวันจันทร์ - วันศุกร์” นางวรวรรณ กล่าว

กรณีที่ 2 เรื่องการใช้บริการที่คลับเฮ้าส์

นางวรวรรณ กล่าวว่า ก่อนการตัดสินใจซื้อพนักงานขายได้ชี้แจงว่า ค่าส่วนกลางในแต่ละเดือน ครอบคลุมบริการส่วนของสระว่ายน้ำในคลับเฮ้าส์ สามารถใช้บริการได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ซึ่งช่วง 2 ปีที่ผ่านมาสามารถใช้บริการได้ฟรีตามปกติ แต่ปัจจุบันทางโครงการฯ ได้จัดเก็บค่าใช้จ่ายในส่วนของสระว่ายน้ำต่อการใช้ในแต่ละครั้งเพิ่ม และยังคงจัดเก็บค่าส่วนกลางตามปกติ

นอกจากนี้ ยังมีความกังวลว่า โครงการใหม่ที่อยู่ระหว่างเปิดขายจะมีสิทธิในการใช้คลับเฮ้าส์ ซึ่งตนเองไม่เห็นด้วย เพราะจะทำให้ปริมาณผู้ใช้บริการมีจำนวนมากเกินไป


กรณีที่ 3 เรื่องคุณภาพของอุปกรณ์ภายในบ้าน

นางวรวรรณ ระบุเพิ่มเติมว่า นอกจากปัญหาในด้านการอยู่อาศัยแล้ว ที่ผ่านมายังมีปัญหาเรื่องคุณภาพของอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้าน เช่น ปัญหาไฟช็อต พื้นทรุด ท่อประปาตรงลานจอดรถแตก ทำให้ต้องซ่อมแซมต่อเนื่อง แม้ว่าจะเพิ่งซื้อมาเพียง 2 ปีเท่านั้น

เธอ ยังกล่าวอีกว่า อยากแนะนำให้ผู้ซื้อบ้านทุกรายอ่านสัญญาการซื้อขายอย่างรอบคอบเกี่ยวกับสิทธิต่างๆ ภายในโครงการ เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน และยอมรับในข้อตกลงถึงสิทธิที่จะได้รับหรือไม่ได้รับก่อนที่จะเซ็นสัญญา เพื่อลดปัญหาต่างๆ ในระหว่างการอยู่อาศัย

นอกจากนี้ ก่อนรับโอนบ้าน ในขั้นตอนของการตรวจความเรียบร้อย ควรหาผู้เชี่ยวชาญ เช่น วิศวกร หรือสถาปนิกร่วมตรวจรับบ้าน น่าจะดีกว่าการตรวจรับบ้านด้วยตัวเอง เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญจะมองเห็นจุดสำคัญที่จำเป็นต้องตรวจสอบมากกว่า

จาก 3 กรณีที่กล่าวถึง ทางกรุงเทพธุรกิจออนไลน์ได้ติดต่อผู้บริหารโครงการธนาพัฒน์ เฮ้าส์ พระราม 3 โดยนายดลพิวัฒน์ ปรีดาวิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนาพัฒน์ พร็อพเพอร์ตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้ชี้แจงตามประเด็นต่างๆ ดังนี้

สำหรับกรณีที่ 1 เรื่องการก่อสร้างโครงการใหม่บริเวณตรงข้ามหน้าบ้านของลูกค้า บริษัทฯ มีแผนที่จะลงทุนต่อเนื่องจากโครงการเดิม และไม่มีนโยบายให้พนักงานบอกกับลูกค้าว่าจะไม่มีการลงทุนอีก โดยระหว่างการก่อสร้างนั้นได้ทำประกันความเสียหายให้กับลูกบ้านที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่ก่อสร้าง พร้อมกับติดแสลนตาข่ายกันฝุ่นในพื้นที่โครงการ

ส่วนช่วงเวลาในการก่อสร้าง ปัจจุบันดำเนินการในวันจันทร์ – วันศุกร์ เวลา 8.00 น. – 17.00 น. ส่วนวันเสาร์ เวลา 8.00 น. – 12.00 น. แต่ยอมรับว่าในช่วงการก่อสร้างครั้งแรกมีความผิดพลาดจากการที่รถขนของเข้าพื้นที่ในช่วงเวลา 02.00 น. ซึ่งเป็นเวลาพักผ่อนของลูกบ้าน แต่ได้ดำเนินการชี้แจงความผิดพลาดดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยยืนยันว่ามีเพียงครั้งเดียวที่ถือว่ามีการก่อสร้างเกินเวลา

นายดลพิวัฒน์ กล่าวถึงกรณีที่ 2 เรื่องการใช้บริการคลับเฮ้าส์ ว่า คลับเฮ้าส์ถือว่าเป็นทรัพย์สินส่วนกลางของโครงการฯ ซึ่งในสัญญาได้ระบุไว้ชัดเจนว่า สโมสรคลับเฮ้าส์เป็นสมบัติมีไว้เพื่อการค้า แต่ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการนิติบุคคลว่าจะดำเนินการอย่างไรกับคลับเฮ้าส์ โดยในส่วนของการจัดเก็บค่าส่วนกลางนั้น ครั้งแรกที่มีการซื้อที่อยู่อาศัย ได้เก็บเงินค่าส่วนกลางล่วงหน้าเป็นเวลา 2 ปี เพื่อเข้ากองทุนบริหารจัดการส่วนกลาง ประมาณ 3 แสนบาทต่อหลังต่อปี คิดอัตราค่าใช้จ่ายส่วนกลาง 650 บาทต่อตารางวาต่อปี แบ่งเป็นค่าส่วนกลาง 500 บาทต่อตารางวาต่อปี และค่าสโมสรคลับเฮ้าส์ 150 บาทต่อตารางวาต่อปี

ในปีที่ 3 ของการอยู่อาศัยจะเริ่มจัดเก็บค่าใช้จ่ายส่วนกลางอีกครั้งตามอัตราดังกล่าว โดยขณะนี้ใกล้ถึงกำหนดจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านที่มีตัวแทนลูกบ้านเป็นคณะกรรมการในการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายส่วนกลางทั้งการจัดเก็บและเบิกจ่ายต่างๆ ซึ่งในส่วนของเงินค่าดูแลสโมสรที่จัดเก็บ 150 บาทต่อตารางวาต่อปีนั้น ใช้เป็นค่าใช้จ่ายรวมของสโมสร แต่เพื่อให้คลับเฮ้าส์สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองจำเป็นต้องจัดเก็บค่าใช้บริการสระว่ายน้ำต่อครั้งเพิ่มเติม

“การจัดเก็บลักษณะนี้จะเป็นผลดีกับลูกบ้านที่ไม่ได้ใช้บริการสระว่ายน้ำ ก็ไม่จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในส่วนนี้”

ผู้บริหาร ธนาพัฒน์ฯ กล่าวต่อว่า สำหรับความกังวลในเรื่องการเปิดคลับเฮ้าส์ให้ลูกบ้านโครงการใหม่ของธนาพัฒน์ฯ ใช้บริการนั้น ทางบริษัทฯ ไม่ได้มีนโยบายให้ลูกบ้านใหม่เข้าใช้คลับเฮ้าส์ได้ฟรี เพราะสโมสรคลับเฮ้าส์ไม่ได้เป็นทรัพย์สินของบริษัทฯ แต่เป็นทรัพย์สินส่วนกลางของโครงการธนาพัฒน์ เฮ้าส์ พระราม 3 แต่หากจะมีการเปิดให้ลูกบ้านโครงการใหม่เข้ามาใช้ได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความคิดเห็นของคณะกรรมการนิติบุคคล ซึ่งเป็นตัวแทนจากลูกบ้านตัดสินใจเองว่าจะเปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามาใช้บริการตามอัตราที่กำหนดไว้ได้หรือไม่ ไม่ได้เป็นสิทธิในการตัดสินใจของบริษัทฯ

สำหรับกรณีที่ 3 เรื่องคุณภาพของอุปกรณ์ภายในบ้าน นายดลพิวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทฯ ยืนยันว่าได้ก่อสร้างที่อยู่อาศัยต่างๆ ตามหลักวิศวกร และรับประกันความเสียหายต่างๆ ให้กับลูกค้าเป็นระยะเวลา 1 ปี รับประกันโครงสร้าง 5 ปี หากบ้านหลังใดมีปัญหา สามารถแจ้งกับโครงการได้ ทางโครงการพร้อมดูแล

ทั้งนี้ นายดลพิวัฒน์ ได้ชี้แจ้งว่า ก่อนหน้านี้ลูกบ้านรายดังกล่าว เคยแจ้งว่าจะขอตกแต่งบ้านใหม่ทั้งหมดให้ตรงกับความต้องการของตัวเอง ซึ่งคาดว่าในระหว่างการรื้อถอน เพื่อตกแต่ง อาจเกิดความผิดพลาดจากผู้รับเหมาที่เข้ามาตกแต่งในการรื้อระบบงานภายในต่างๆ ด้วย ทำให้ระบบงานภายในบางส่วนเกิดปัญหาได้ ซึ่งหากทางบริษัทฯ รับทราบก็พร้อมช่วยลูกบ้านแก้ไข

เขา ยังกล่าวอีกว่า เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันระหว่าง “ลูกบ้าน” กับ “เจ้าของโครงการ” ผู้ซื้อหรือลูกบ้านควรอ่านสัญญาให้ชัดเจน เขียนข้อตกลงต่างๆ เป็นลายลักษณ์อักษร หากพนักงานขายแจ้งว่าจะได้รับสิ่งใดบ้าง สิ่งเหล่านั้นจะต้องมีระบุไว้ในสัญญาด้วยเช่นกัน

อย่างที่กล่าวแล้วว่า กรณีลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เกิดขึ้น แต่ปมปัญหาระหว่าง “ลูกบ้าน” และ “เจ้าของโครงการ” เป็น “เรื่องเก่า เล่าใหม่” ที่พบเห็นอย่างบ่อยครั้ง ดังนั้น เพื่อลดโอกาสในการเกิดปัญหาในอนาคต ผู้บริโภคจำเป็นต้องรอบคอบในการซื้อที่อยู่อาศัยในทุกขั้นตอนมากขึ้น โดยเฉพาะการอ่านสัญญาอย่างเข้าใจ เพื่อพิทักษ์สิทธิของตัวเองก่อนตัดสินใจจรดปากกา...เซ็นสัญญา...

from http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/property/property/20100622/338869/อ่านสัญญา-พิทักษ์สิทธิ์-ก่อนซื้อบ้าน.html


20 มิถุนายน 2553

Structs tutorial

http://www.csharp-station.com/Tutorials/Lesson12.aspx


คำคมน่าคิด เพื่อชีวิตทำงานที่ดี


คำคมน่าคิด เพื่อชีวิตทำงานที่ดี

คุณไม่ได้เป็นแค่คนเดียวหรอกที่เคยรู้สึกหมดกำลังใจ ขนาดคนดังของโลกที่ทุกคนยกให้เป็นผู้ประสบความสำเร็จในอาชีพการงานก็ยังเคยท้อแท้ หมดไฟ แต่วิธีคิดแบบไหนล่ะที่ทำให้เขาเหล่านั้นกลับมายืนหยัดและพร้อมลุยต่อไป

1. ซาราห์ เจสสิก้า ปาร์กเกอร์
ดาราสาวและโปรดิวเซอร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นจากซีรี่ส์ดังอย่าง Sexand the City ที่ตบเท้าเข้าวงการบันเทิงตั้งแต่อายุเพียง 8 ขวบ
"เมื่อคนจริงต้องพบกับความล้มเหลว เขามักจะถอยกลับไปก้าวหนึ่งและพร้อมที่จะเริ่มเดินหน้าใหม่อีกครั้ง"


2. วินสตัน เชอร์ชิลล์
อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษที่ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่นี้ถึง 2 สมัย เขาเป็นทั้งนักพูด ผู้นำทางการทหาร นักประวัติศาสตร์ นักเขียนรางวัลโนเบลจากงานเขียนเรื่อง The Second World War และ A Historyof the English-Speaking Peoples
"ความสำเร็จประกอบด้วยความผิดพลั้งหลายๆ ครั้งมารวมกันโดยที่ความกระตือรือร้นที่หวังจะพบกับชัยชนะนั้นยังคงอยู่"


3. เคท แบลนเช็ตต์
ผู้กำกับละครเวทีและนักแสดงผู้คว้ารางวัลออสการ์ในปี 2004 จากภาพยนตร์เรื่องThe Aviator
"ถ้าคุณรู้ว่าตัวเองกำลังจะล้มลงหรือแพ้ ทำยังไงก็ได้ให้ล้มลงอย่างสง่าที่สุด"


4. มาเรีย ชาราโปวา
นักเทนนิสระดับโลกผู้คว้ารางวัลแกรนด์สแลมมาแล้วถึง 3 ครั้ง แถมยังสร้างปรากฏการณ์ให้โลกตะลึง เมื่อเธอสามารถเอาชนะคู่แข่งตัวฉกาจอย่างเซเรนา วิลเลียมส์ ในการแข่งขันวิมเบิลดันรอบสุดท้ายขณะที่มีอายุ 17 ปีเท่านั้น
"ฉันไม่พยายามที่จะทำตัวให้เก่งเหมือนนักเทนนิสคนอื่นๆ ในการแข่งขันฉันฝึกซ้อมตามตารางและพยายามทำในสิ่งที่ฉันทำเป็นปกติ ไม่เคยคิดที่จะแข่งกับใครนอกจากแข่งกับตัวเอง"


5. คาลวิน ไคลน์
ดีไซเนอร์แบรนด์เก๋และหรูจากอเมริกาผู้ได้รับการยกย่องจาก Vogue ให้เป็นผู้นำในเรื่องความมีรสนิยมด้านการออกแบบที่เรียบแต่โก้ในแบบมินิมัล ในปี 1969
"ผมไม่ลุ่มหลงไปกับคำว่า "ชัยชนะ" มากเกินไป บางทีสิ่งนี้นี่เองที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จ"


6. โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี
น้องชายของอดีตประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี เขาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ แถมยังเป็นวุฒิสมาชิกในปี 1965 - 1968 และทำคุณประโยชน์มากมาย จนในที่สุดในปี 1998 จอร์ช ดับเบิลยู. บุช ก็ได้ยกย่องให้เขาเป็นบุคคลสำคัญจากการร่างสิทธิมนุษยชนเพื่อปกป้องคนผิวสี ดังนั้นเราจะสังเกตเห็นรูปหน้าของเขาทางด้านหลังของเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯรุ่นพิเศษเพื่อเป็นการรำลึกถึงคุณความดีที่เขาทำเพื่อประเทศ
"คนที่ไม่หวั่นต่อความผิดหวังคือคนที่จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่"

7. บิล เกตส์
นักธุรกิจที่รวยเป็นอันดับ 3 ของโลกในปี 2008 ก่อนที่จะมาเป็นซีอีโอของบริษัทผลิตโปรแกรมคอมพิวเตอร์ชั้นนำอย่างไมโครซอฟต์ เขาเคยเขียนโปรแกรมเกมโอเอกซ์ใส่ไว้ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ครั้งแรกเมื่ออายุ 13 ปี
"ถ้าคุณไม่สามารถทำอะไรก็ตามให้ดีได้ ก็จงพยายามทำให้มันดูดีที่สุด"

8. คอนราด ฮิลตัน
นักธุรกิจชาวอเมริกันและผู้ก่อตั้งโรงแรมฮิลตันอันลือเลื่อง คุณปู่ของดาราสาวสุดเผ็ดอย่างปารีสและนิกกี้ ฮิลตัน
"ความสำเร็จมักจะมาพร้อมกับคำว่าลงมือทำ คนที่ประสบความสำเร็จมักจะคิดนำผู้อื่นเสมอ พวกเขาอาจเคยทำพลาดบ้าง แต่ไม่เคยถอย"

9. มารายห์ แครีย์
ดิว่าชาวอเมริกันคนแรกที่มีเพลงฮิตติดอันดับหนึ่งในบิลบอร์ดชาร์ตถึง 5 เพลง แต่ถึงแม้ว่าช่วงปี 2000 เธออาจจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนัก ทั้งในการที่เธอหันมาจับงานเพลงแนวฮิปฮ็อป อีกทั้งหนังที่เธอเล่นก็
ล้มไม่เป็นท่า แต่ในที่สุดเธอก็กลับมาผงาดได้อีกครั้งกับอัลบั้มล่าสุดที่ชื่อว่า E=MC2
"อย่ายอมแพ้หรือหมดกำลังใจง่ายๆ เพียงเพราะไปฟังเสียงคนที่คอยวิพากษ์วิจารณ์คุณในแง่ลบให้เสียกำลังใจ"


10. เซอร์ริชาร์ด แบรนสัน
นักธุรกิจชาวอังกฤษที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุแค่ 16 ปีจากการก่อตั้งแมกกาซีนที่ชื่อว่า Student และเป็นเจ้าของแบรนด์ Virgin ที่มีสาขาทั่วโลกกว่า 360 บริษัท
"โอกาสทางธุรกิจก็เหมือนกันกับการรอรถประจำทางนั่นแหละ พลาดคันนี้ก็มีคันหน้า"


11. สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง
นักฟิสิกส์ระดับโลกชาวอังกฤษและยังเป็นอาจารย์คณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ผู้ไม่ย่อท้อต่อโชคชะตาแม้จะป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้อลีบจนกระทั่งเดินไม่ได้ แต่ก็ยังคงเดินหน้า มุ่งมั่นและศึกษาในจักรวาลวิทยา และบทความเรื่องหลุมดำของเขาก็โด่งดังจนได้รับการยอมรับจากคนทั่วโลก
"คุณเองก็ประสบความสำเร็จได้ ถ้าคุณไม่ยอมแพ้ซะก่อน"


12. นิโคล คิดแมน
หนึ่งในดาราสาวที่มีค่าตัวสูงสุดในประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด นอกจากนี้เธอยังเป็นทูตยูนิเซฟ นักร้อง (หลังจากที่ภาพยนตร์เรื่อง Moulin Rouge ออกฉาย)ในปี 2006 เธอได้รับการยกย่องจากรัฐบาลออสเตรเลียโดยได้รับรางวัล Companion of the Order of Australia ในฐานะที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศบ้านเกิด
"ฉันคิดว่าการที่คนเรารู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนกับคนที่เราร่วมงานด้วยเป็นสิ่งที่ดี บางทีเราก็ไม่จำเป็นต้องวางท่าสวย เชิด ตลอดเวลาก็ได้"

from http://variety.teenee.com/foodforbrain/27299.html


19 มิถุนายน 2553

good articles


good articles



















from forward mail


นาฬิกาแฮนด์เมดเพนท์หน้าปัด สร้างจุดขายหนึ่งเดียวไม่ซ้ำใคร


นาฬิกาแฮนด์เมดเพนท์หน้าปัด สร้างจุดขายหนึ่งเดียวไม่ซ้ำใคร


นาฬิกาข้อมือแฟชั่น ที่คุณสาว ๆ ให้ความสนใจไม่แพ้กับเครื่องประดับอื่นๆ และสำหรับคุณสาวๆ ที่ต้องการรูปแบบของนาฬิกาแฟชั่นที่ไม่เหมือนใคร ปัจจุบันมีนาฬิกาแฮนด์เมด ที่คุณมีส่วนช่วยในการออกแบบทั้งการตกแต่งหน้าปัดนาฬิกา และการออกแบบสายถักนาฬิกาด้วยลวดลายและสีสันอย่างที่ตัวเองต้องการ ทำให้เราได้นาฬิกาที่มีเพียงเรือนเดียวแบบไม่ซ้ำใคร




พัสตราภรณ์ (เอิน) สุขันธ์ เจ้าของนาฬิกาแฟชั่นแฮนด์เมด แบรนด์ “Anaya” เล่าว่า สำหรับนาฬิกาแฟชั่นของเราจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ นาฬิกาถักสาย และนาฬิกาเพนท์หน้าปัด โดยจุดเริ่มต้นมาจากพี่สาว คือ “อนันญา สุขันธ์” เจ้าของที่มาของแนวคิดการทำนาฬิกาถักสาย เมื่อ 2 ปีที่แล้ว พี่สาวทำสายนาฬิกาขาด และเกิดความคิดอยากจะลองถักสายนาฬิกาขึ้นมาเอง ซึ่งในตอนนั้น มีสายหนังชามัวอยู่ ก็ลองถักใส่แทนสายนาฬิกาที่ขาด ปรากฎว่า เพื่อนเห็นชื่นชอบให้พี่สาวทำให้บ้าง ในตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะทำขาย แต่หลายคนชอบ จากเดิมที่ทำแจก ก็เปลี่ยนมาทำขายในกลุ่มเพื่อนก่อน


โดยพี่สาวคิดว่าน่าจะทำขายอย่างจริงจัง และตนเองก็ยังไม่มีงานทำหลังจากเรียนจบ จึงได้หันมาช่วยพี่สาวทำงานตรงนี้ ซึ่งเปิดขายที่แรกที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิล์ด ราชประสงค์ ในส่วนของตลาดอินดี้ทาวน์ เป็นโซนที่ทางห้างเปิดให้กับคนรุ่นใหม่ที่ทำงานฝีมือในรูปแบบที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ได้นำสินค้ามาวางขายในช่วง วันเสาร์ - อาทิตย์ กลุ่มลูกค้าที่มาเดินช้อปในส่วนนี้ จะเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่ชื่นชอบงานฝีมือที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร

สำหรับรูปแบบของนาฬิกาที่เลือกมาใช้เป็นตัวเรือน เป็นนาฬิกาแฟชั่นที่ซื้อมาจากตลาดสำเพ็ง คลองถม และนำมาถอดสายออก และใส่สายถักที่เราทำขึ้นมาใส่แทน โดยเชือกที่นำมาถักจะเป็นเชือกหนังชามัว การออกแบบสายนาฬิกาถัก จะดูตัวเรือนเป็นหลัก และเลือกสีให้เข้ากันและไปได้กับตัวเรือน และเพิ่มในส่วนของตัวกระดิ่ง และตัวตุ๊กตาห้อย ลูกค้าสามารถเลือกห้อยตุ๊กตาตามที่ต้องการได้ ในช่วงแรกห้อยลูกปัด เปลี่ยนมาห้อยตุ๊กตา ทำให้ดูดีมีราคามากกว่า ห้อยลูกปัด



นอกจากถักสายนาฬิกา เพิ่มงานอื่นๆ ขึ้นมาอีก เช่น ถักที่ห้อยโทรศัพท์ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า หรือทำตามที่ลูกค้าต้องการ แต่ในระยะหลังมีคนทำเลียนแบบออกมาเยอะมาก ทำให้เราต้องพัฒนาและฉีกรูปแบบใหม่ เพื่อหนีการแข่งขัน โดยได้ไอเดียการเพนท์หน้าปัดนาฬิกา ซึ่งเรามีความรู้ด้านงานเพนท์อยู่บ้าง จึงได้ทดลองทำดู โดยการสั่งนาฬิกา ซึ่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษ เป็นรูปสี่เหลี่ยม และมีพื้นที่ว่างให้เราสามารถออกแบบงานเพนท์เพิ่มเติมเข้าไปได้ ทำให้ได้งานแฮนด์เมดอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ไม่เหมือนใครมานำเสนอลูกค้า

ทั้งนี้ ในส่วนของงานเพนท์ จะแบ่งออกเป็น 2 แบบ แบบแรกมีตัวการ์ตูนที่เป็นสติกเกอร์ติดเข้าไป และเพนท์เพิ่มเติม เข้าไป หรือ ใส่ชื่อตามที่ลูกค้าต้องการ ส่วนอีกแบบหนึ่ง คือ เป็นงานเพนท์หน้าปัดนาฬิกาทั้งเรือน โดยไม่มีการติดสติกเกอร์ ราคาแตกต่างกัน เช่นเดียวกับงานสายนาฬิกาถัก จะคิดตามขนาดสั้นยาว ถ้าเป็นสายนาฬิกาผู้หญิงทั่วไป ราคาเรือนละ 250 บาท สายนาฬิกาผู้ชายสายยาวราคา เรือนละ 350 บาท ส่วนงานเพนท์ ราคาเรือนละ 350 บาท และ 450 บาท ตามรูปแบบความยากง่ายของการเพนท์


“การทำนาฬิกาถักสาย หรือ งานเพนท์หน้าปัดนาฬิกา เป็นการนำงานหัตถกรรมมาช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า จากเดิมนาฬิกาแฟชั่นทั่วไปขายได้เรือนละ 100 บาท แต่พอเพิ่มงานฝีมือเข้าไป สามารถทำราคาได้เพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว และสินค้าไม่เหมือนใคร สร้างความน่าสนใจให้กับลูกค้า โดยเฉพาะในส่วนของนาฬิกาเพนท์หน้าปัด ลูกค้าค่อนข้างให้ความสนใจเพราะจะได้นาฬิกาที่เป็นรูปแบบที่เขาได้ออกแบบเอง และมีชื่อของเขาเองด้วย สร้างจุดขายให้กับตัวสินค้าทีไม่จำเป็นต้องไปแข่งขันกับใคร”


เอิน เล่าว่า ในส่วนของลูกค้าของ Anaya ที่ผ่านมา เกือบ 80% เป็นผู้หญิง วัยรุ่น และวัยทำงาน ดังนั้นรูปแบบของนาฬิกา ที่เราเลือกมาส่วนใหญ่เป็นแบบนาฬิกาที่เหมาะกับผู้หญิง แต่ในระยะหลังมองว่า ผู้ชายให้ความสนใจสินค้าของเราเช่นกัน เราจึงพยายามหารูปแบบนาฬิกาที่เหมาะกับผู้ชาย และออกแบบสายให้เหมาะสม เพื่อเพิ่มลูกค้าในกลุ่มผู้ชาย เพราะปัจจุบันผู้ชาย ก็ให้ความสนใจกับเรื่องของแฟชั่นไม่แพ้ผู้หญิง

ส่วนช่องทางการขาย ในช่วงหลังที่เกิดการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ทำให้ห้างเซ็นทรัลเวิล์ดต้องปิดกิจการ และถูกไฟไหม้ห้างปิดตัวถาวร ทำให้ไม่มีที่ขายอยู่ประมาณ 3 เดือน แต่หลังจากได้พื้นที่ขายที่ทางกรุงเทพฯจัดให้ ยึดเป็นช่องทางขายหลักในปัจจุบัน

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

โทร. 08-0465-4225


from http://manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9530000082481


16 มิถุนายน 2553

อารมณ์ "คืนหนึ่ง" สำหรับการเขียนโปรแกรม


อารมณ์ "คืนหนึ่ง" สำหรับการเขียนโปรแกรม

สำหรับคนที่เริ่มเขียนโปรแกรมใหม่ๆ คงจะมีปัญหาเหมือนๆกันว่า

โจทย์ข้อนี้จะเขียนยังไงดี มันมืด 8 ด้านไปหมด คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก

แต่มันตรงกันข้ามกับบางคนที่เขียนโปรแกรมมานานแล้ว ที่พอเห็นโจทย์ปุ๊บ

algorithm ต่างๆก็ไหลเข้ามาเองโดยแทบจะไม่ต้องหยุดคิด

ทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้น ? ทั้งๆทีคน 2 ประเภทนี้ก็ไม่ได้ฉลาดหรือเก่งไปกว่ากันเลย

จากข้อสังเกตของผมเอง มันอาจจะเป็นเพราะว่า ไอคนที่เห็นโจทย์ปุ๊บ คิดออกทันทีน่ะ

เขาผ่านอารมณ์ "คืนหนึ่ง" ของการเขียนโปรแกรมมาแล้ว



แล้วอะไรมันคือไอ้เจ้าอารมณ์คืนหนึ่งหละ ?

อารมณ์คืนหนึ่งนี้ ก็ตามชื่อแหละครับ คืนหนึ่ง ที่คุณกำลังนั่งเขียนโปรแกรม

คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก คิดจนหัวจะระเบิด . . แต่สุดท้าย คุณก็ทำโจทย์นั้นได้สำเร็จ ด้วยตัวเอง

ย้ำนะครับ ว่า ด้วยตัวเอง ไม่ได้ไปดู code หรือ algorithm ของใครเค้ามา

ไม่ว่าจะใช้เวลานานกี่นาที กี่ชั่วโมง หรือ กี่วันก็ตาม และถึงแม้ว่ามันจะเป็นโจทย์ง่ายแสนง่าย

แต่เชื่อเถอะครับ หลังจากที่คุณผ่านอารมณ์คืนหนึ่งนี้มาแล้ว คุณจะสามารถเขียนโปรแกรมได้ดีขึ้น

อย่างน้อยๆ ถ้าเจอโจทย์แนวเดียวกันนี้ คุณก็สามารถแก้โจทย์ได้เร็วขึ้น เพราะคุณเคยผ่านมันมาแล้ว

คุณเคย ฝึกคิด และ แก้ปัญหาได้ด้วยตัวของคุณเองมาแล้ว



โดยส่วนตัวผมคิดว่า คนที่เขียนโปรแกรมเก่ง ไม่ใช่เพราะเขาอัจฉริยะ ถึงจะมีส่วน แต่ก็เป็นส่วนน้อย

แต่ผมคิดว่า คนที่เขียนโปรแกรมเก่ง เกิดจากการที่เค้าผ่านอารมณ์ "คืนหนึ่ง" มามากมาย นับครั้งไม่ถ้วน

ซึ่งมันแตกต่างจากคนที่ พอเขียนไม่ได้นิดหน่อยก็เลิกทำ หรือไปดูเฉลย มันจึงไม่แปลกเลย

ที่คนเหล่านี้จะเขียนโปรแกรมไม่ได้เก่งขึ้นเลยแม้แต่น้อย . . เพราะเค้าไม่ได้ฝึกแก้ปัญหาด้วยตัวเอง



ที่มาเขียน Blog นี้ก็เพราะว่าเพิ่งผ่านอารมณ์คืนหนึ่งมาสดๆร้อนๆ

code เกินมา 2 ตัวอักษร แต่นั่ง debug อยู่ 2 วัน T^T

แต่สุดท้ายก็ทำเสร็จ ฮ่าๆๆ



สำหรับคนที่กำลังเจอกับอารมณ์ "คืนหนึ่ง" ของการเขียนโปรแกรมอยู่

ก็ขอให้พยายามผ่านมันไปให้ได้ด้วยตัวของคุณเองนะครับ ^^

from http://skblackcat.exteen.com/20090911/entry


15 มิถุนายน 2553

"เอดจ์" ศัตรูร้ายคินเดิล-ไอแพด?


"เอดจ์" ศัตรูร้ายคินเดิล-ไอแพด?


"ไอแพด" ที่ว่าแน่ หรือ "คินเดิล" ที่ว่าเจ๋ง...อาจต้องหยุดหายใจ แล้วเหลียวหลังมองศัตรูตัวใหม่ ที่กำลังวิ่งฝุ่นตลบตามมาติดๆ ในตลาดเครื่องอ่านอีบุ๊ก ราคา 499 เหรียญ ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ แต่ไม่ใช่ไอแพด มีหน้าจออีอิงค์ และหน้าจอแอลซีดี สามารถดาวน์โหลดอีบุ๊กได้ แต่ไม่ใช่คินเดิล แต่จะเป็นอะไร และทำงานได้ดีแค่ไหน ต้องมาพิสูจน์กัน

"เอดจ์" (Edge) จากบริษัทเอนทัวเรท ซิสเต็มส์ (Entourage Systems) ของประเทศสหรัฐอเมริกา ถูกนำมาโชว์ตัวครั้งแรกในงาน CES 2010 มันเป็นอุปกรณ์ลูกผสมระหว่างเน็ตบุ๊ก และอีบุ๊ก ที่กำลังพยายามต่อสู้อยากหนักหน่วงในสงครามเครื่องอ่านอีบุ๊ก ระหว่างไอแพด (iPad) และคินเดิล (Kindle) เพื่อให้ได้เป็นเจ้าตลาดในอนาคต

โฆษกจากบริษัทเอนทัวเรท ซิสเต็มส์ กล่าวว่า เอดจ์เป็นอีบุ๊ก 2 หน้าจอ ที่วางจำหน่ายบนเว็บไซด์ www.entourageedge.com มีขนาดเท่าเน็ตบุ๊ก และเปิดได้เหมือนหนังสือ ภายในมีหน้าจออีอิงค์ขนาด 9.7 นิ้ว ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าหน้าจอของคินเดิลและโซนี่ อีกด้านหนึ่งมีหน้าจอแอลซีดีขนาด 10.1นิ้ว แบบที่สามารถใช้เข้าอินเทอร์เน็ต และดูไฟล์วิดีโอ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถอ่านหนังสือ และไฟล์เอกสารบนจออิเล็กทรอนิกส์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ในขณะที่ตัวเครื่องมีน้ำหนักรวมประมาณ 1.4 กิโลกรัม ซึ่งมีหนักเท่ากับเน็ตบุ๊กในท้องตลาด และหนักเป็น 2 เท่าของไอแพด อีกทั้งยังทำงานด้วยระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) ของกูเกิล ซึ่งถือเป็นระบบปฏิบัติการเปิดที่น่ากลัวที่สุดในตอนนี้

ด้าน Asghar Mostafa ซีอีโอบริษัทเอนทัวเรท ซิสเต็มส์ กล่าวว่า เอดจ์ออกแบบมาเพื่อนักธุรกิจ และนักเรียน นักศึกษา โดยผู้ใช้งานสามารถเขียนข้อความ หรือทำไฮไลท์ข้อความสำคัญลงบนไฟล์เอกสารผ่านปากกาสไตลัสที่ให้มา ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเรียนในห้องเรียน หรือจะจดโน้ตย่อในห้องประชุม อีกทั้งยังสามารถเซฟไฟล์เอกสารที่คุณทำการขีดเขียนลงไป เพื่อนำไปเปิดบนคอมพิวเตอร์ได้ รวมถึงการอัพโหลดไฟล์จากเว็บไซด์ หรืออีเมล์ได้โดยตรง

โดยผู้ใช้งานสามารถเลือกดาวน์โหลดอีบุ๊กได้จากร้านหนังสือออนไลน์ของเอนทัวเรท (Entourage e-bookstore) ตามการจัดลำดับหนังสือขายดี หรือเลือกดาวน์โหลดหนังสือเฉพาะทางจากกูเกิล บุ๊ก ได้

ในส่วนของการเชื่อมต่อนั้น ก็ไม่ยอมน้อยหน้าคู่แข่ง "เอดจ์" มาพร้อมพอร์ตยูเอสบี 2 ช่อง, มินิ ยูเอสบี, ตัวอ่าน SD card ซึ่งช่วยให้ง่ายต่อการโหลดไฟล์เอกสารจากภายนอกมาไว้ภายในตัวเครื่อง นอกจากนี้หน่วยความจำภายในมาให้ 4 กิกะไบต์, ช่องใส่ซิมการ์ด และรองรับการเชื่อมต่อ 3G, ไวไฟ และบลูทูธ

โฆษกอ้างว่า เอดจ์มีแบตเตอรี่ที่สามารถใช้งานได้นาน 16 ชั่วโมง ซึ่งระยะเวลาของแบตเตอรี่ก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานของคุณ เนื่องจากหน้าจอสีนั้นค่อนข้างกินแบตฯ แต่ถึงอย่างไรเอดจ์ก็มีแบตเตอรี่ที่ถอดเปลี่ยนได้ นั่นหมายความว่าคุณสามารถพกแบตฯ สำรองติดตัวไปได้ตลอด ซึ่งจุดนี้นับเป็นอีกจุดหนึ่งที่น่ากลัวในการโค่นล้มคินเดิลและไอแพด

อย่างไรก็ตาม ได้มีผู้เชี่ยวชาญออกมาให้ความคิดเห็นหลังจากทดลองใช้งาน"เอดจ์" ว่ายังมีข้อบกพร่องอยู่หลายจุด อาทิเช่น กล้องเว็บแคมที่ไม่มีความคมชัด, หน้าจอแบบสัมผัสไม่มีความแข็งแรง ซึ่งจะยุบตัวลงไปตามแรงกด รวมถึงคีย์บอร์ดที่ยังไม่มีความแม่นยำเท่าที่ควรและถึงแม้ว่าเอดจ์จะใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการเปิดที่น่าจะมีแอปพลิเคชันให้ใช้งานมากมาย แต่ในแอนดรอยด์มาร์เก็ต กลับไม่มีแอปพลิเคชันตัวไหนที่เขียนขึ้นมาเพื่อตอบสนองการใช้งานบนเอดจ์เลย

สุดท้ายเรื่องของน้ำหนัก ที่หนัก 1.4 กิโลกรัม ซึ่งมันดูหนักเกินไปสำหรับการใช้เป็นอีบุ๊ก และเอดจ์ก็ไม่มีทางที่จะมาแทนโน๊ตบุ๊กได้ เนื่องจากการใช้งานคีย์บอร์ดบนหน้าจอแบบสัมผัสยังทำได้ค่อนข้างยาก

อย่างไรก็ดี เราต้องชื่นชมผู้ผลิตในความพยายามที่จะอัดเทคโนโลยีหลายๆ อย่างลงไปในเอดจ์ เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ออกมา แต่ทว่าเอดจ์ยังมีอีกหลายจุดที่ต้องพัฒนาให้ดีขึ้น ก่อนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในตลาดเครื่องอ่านอีบุ๊ก

เครื่องอ่านอีบุ๊กแบบ 2 หน้าจอ "เอนทัวเรท เอดจ์" มีจำหน่ายบนเว็บไซด์ www.entourageedge.com ในราคา 499 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 16,000 บาท และมี 5 สีให้เลือกคือ น้ำเงิน, ดำ, แดง, ขาว และฟ้า

from http://manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9530000081702


10 มิถุนายน 2553

Evaluating a Business โดย คุณสุมาอี้

Evaluating a Business โดย คุณสุมาอี้

เวลาพูดว่า บริษัทหนึ่งมี "ปัจจัยพื้นฐาน" ดีหรือไม่ดีนั้น เราดูจากอะไร?

ก่อนอื่นต้องขอเน้นว่า คนที่คิดจะลงทุนโดยวิธีดูปัจจัยพื้นฐานนั้น จะต้องเป็นคนที่มีระยะหวังผลตอบแทนที่ยาวๆ (เป็นปีๆ) เท่านั้น เหตุเพราะ ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทมักเป็นคุณสมบัติที่ติดตัวบริษัทอยู่เป็นเวลานาน ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงง่าย ดังนั้น มันจึงแทบไม่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในระยะสั้นเลย (หรือแม้แต่ผลกำไรในระยะสั้นก็ตาม) ถ้าเราวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นตัวหนึ่งว่าดีแล้วเข้าซื้อจากนั้นราคาหุ้นก็ปรับตัวขึ้นได้เลย ส่วนใหญ่แล้วมาจากความบังเอิญแท้ๆ เพราะปัจจัยพื้นฐานที่ดีมักเป็นเรื่องที่เป็นมาก่อนหน้าที่เราจะพิจารณาแล้ว บริษัทไม่รู้หรอกว่า เราเข้ามาซื้อตอนไหน มันจึงไม่จำเป็นต้องขึ้น หลังจากที่เราซื้อเลย

ถ้าใครมีระยะหวังผลสั้น (เช่น <1ปี) ควรใช้วิธีการอย่างอื่น เช่น การเก็งข่าวบริษัท หรือการวิเคราะห์ทางเทคนิค จะได้ผลมากกว่า การลงทุนที่มีระยะหวังผลแบบยาวนั้น เราไม่ได้มองหาหุ้นที่ "ซื้อแล้วขึ้นเลย" แต่เรามองหาหุ้นที่ ถ้าสมมติว่า เราซื้อแล้ว"ซวย" มันดันเป็นขาลงพอดี มันจะต้องที่มีโอกาสสูงที่ ถ้าหากเราถือต่อไปอีก มันจะกลับมาสูงกว่าเดิมได้อีก หุ้นลักษณะนี้ต่างหากที่น่าสนใจลงทุนในระยะยาว เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้ว เราย่อมคิดได้โดยอัตโนมัติด้วยว่า หุ้นที่เหมาะกับการลงทุนระยะยาวต้องเป็นหุ้นของกิจการที่มีโอกาสเจ๊งต่ำๆ และในเวลาเดียวกัน ก็ต้องมีโอกาสที่กิจการจะเติบโตใหญ่ไปเรื่อยๆ ในระยะยาวๆ ด้วย เพราะกิจการลักษณะนี้ย่อมกลับมาทำกำไรสูงสุดได้อยู่เรื่อยๆ ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสที่ราคาหุ้นจะกลับมาสูงขึ้นอีกได้ใหม่อยู่เรื่อยๆ คุณสมบัติเช่นนี้ช่วยทำให้ผลตอบแทนของเราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาภาวะตลาดในระยะสั้นพวกมันจึงเป็นหุ้นที่ทำให้เราตอบคำถามตัวเองได้ว่าทำไมเราจะต้องยอมถือพวกมันไว้นานๆ แทนที่จะเอาเม็ดเงินไปทำอย่างอื่นด้วย และปัจจัยที่จะใช้บอกว่าหุ้นมีปัจจัยพื้นฐานดีหรือไม่ ก็ควรเป็นปัจจัยที่ช่วยบ่งชี้ถึงคุณสมบัติที่กล่าวมานี้นั่นเอง ผมลองนั่งนึกดูว่า ที่ผ่านมา เวลาผมตัดสินปัจจัยพื้นฐานของหุ้น ผมมักจะดูจาก 8 ประเด็นนี้เป็นปัจจัยหลัก 1.บริษัทขายสินค้าที่ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงบ่อยหรือไม่? แต่ละอุตสาหกรรมมีวงชีวิตของมันอยู่ อุตสาหกรรมเหล็กมีอายุนับหลายร้อยปี และนานครั้งกว่าที่จะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมนี้ เหล็กก็คือเหล็ก มนุษย์ชาติยังต้องบริโภคเหล็กหน้าตาแบบเดิมๆ ไปอีกนาน การเปลี่ยนแปลงมักเป็นแบบทีละนิดเล็ก บริษัทปรับตัวตามได้ง่าย ไม่ใช่แบบหน้ามือเป็นหลังมือ ล้างไพ่ใหม่หมด ในขณะที่ ธุรกิจบันเทิงต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพราะรสนิยมและสื่อสมัยนิยมเปลี่ยนไปตลอดเวลา ในแง่นี้ ธุรกิจเหล็กย่อมเหมาะกับการลงทุนระยะยาวมากกว่าธุรกิจบันเทิง เพราะธุรกิจของบริษัทมีโอกาสที่จะล้มหายตายจากไปได้ยากกว่า ส่วนธุรกิจบันเทิงนั้น ถ้าเราลงทุนในบริษัทที่เป็นเจ้าของรายการโทรทัศน์หรือเกมยอมฮิตในเวลานั้น ย่อมมีโอกาสน้อยที่บริษัทเดิมจะกลับมาประสบความสำเร็จซ้ำอีกครั้งกับรายการใหม่หรือเกมตัวใหม่ บริษัทที่ผลิตรายการฮิตซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างต่อเนื่องไม่ค่อยจะมี จึงมีเหตุผลน้อยที่เราจะถือมันไว้ในระยะยาวๆ เป็นต้น 2.ลักษณะธุรกิจของบริษัทเป็นแบบ Project-based หรือไม่? ธุรกิจ Project-based เช่น รับเหมาทำระบบ ประมูลงานเป็นจ๊อบๆ เป็นธุรกิจที่มีความแน่นอนของรายได้ค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าโปรเจ็คมีอายุงานสั้น การได้โปรเจ็คในแต่ละปี ไม่ได้การันตีว่า ปีหน้าจะได้เหมือนเดิม จึงหวังได้น้อยถ้าหากจะถือไว้ในระยะยาวเพื่อให้รายได้เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ต่างกับธุรกิจแบบน้ำซึมบ่อทราย เช่น ขายยาสีฟัน เมื่อใดที่ลูกค้าชอบยี่ห้อของบริษัทแล้ว มีโอกาสสูงที่ลูกค้าจะกลับมาซื้ออีกเป็นประจำ ทำให้รายได้ของบริษัทมีความมั่นคง อย่างไรก็ตาม ถ้าหากรายได้ของลูกค้าแต่ละรายคิดเป็นสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับรายได้รวม ธุรกิจ Project-based ก็ไม่ถือว่าน่ากลัว เพราะกฏของความมากช่วยทำให้รายได้รวมของบริษัทมีความแน่นอนได้ ตัวอย่างเช่น ธุรกิจพัฒนาโครงการบ้าน แต่ละโครงการอาจมีลักษณะเป็น Project แต่ถ้าหากแต่ละปีบริษัททำ 40-50 โครงการทุกปี รายได้ของบริษัทก็มีความแน่นอนในระดับหนึ่ง พึ่งระวังพวกธุรกิจ OEM ที่มีรายได้จากลูกค้ารายใหญ่ที่สุด 10 อันดับแรกคิดเป็นสัดส่วนเกินร้อยละ 50 ของรายได้รวม 3. สินค้าของบริษัทน่าจะมีความต้องการของตลาดสูงขึ้นในอนาคตเร็วกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมหรือไม่? ประเด็นนี้มักพิจารณาได้จากเทรนด์หรือไลฟ์สไตล์ของสังคมที่เปลี่ยนไป อาหารแช่แข็งน่าจะเติบโตได้ดีถ้าสังคมมีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยวและต้องใช้ชีวิตแบบเร่งรีบมากขึ้น ผู้คนในอนาคตน่าจะฟังวิทยุน้อยลง ในขณะที่ใช้อินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือกันมากขึ้น ซื้อหนังสือพิมพ์เป็นเล่มๆ น้อยลง ซื้อรถยนต์คันเล็กลง ใช้ไฟฟ้าในสัดส่วนที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับน้ำมัน ฯลฯ 4. บริษัทกำลังทำให้รายได้เติบโตได้ด้วยวิธีการใด และอะไรคือเพดานการเติบโตของบริษัท? การเพิ่มรายได้นั้นมีหลายวิธี เช่น เพิ่มปริมาณการบริโภคของลูกค้าต่อราย เพิ่มจำนวนราย เพิ่มรายการสินค้า เพิ่มเขตการค้า เพิ่มสายธุรกิจ ซื้อกิจการ ฯลฯ วิธีแรกๆ นั้นจะมีความเสี่ยงต่ำแต่สร้างการเติบโตได้จำกัด ในขณะที่วิธีหลังๆ จะเติบโตได้เป็นกอบเป็นกำมากกว่า แต่ความเสี่ยงก็สูงกว่าด้วย ลองพิจารณาดูว่า บริษัทกำลังเติบโตด้วยวิธีใด และยังมีวิธีอื่นที่บริษัทยังไม่ได้เริ่มใช้หรือไม่ ถ้ายังมีอีกเยอะ บริษัทก็ยังมี Upside ทางธุรกิจอีกมาก เหมาะกับการลงทุนกับบริษัทในระยะยาว ทุกธุรกิจจะมีบางสิ่งบางอย่างทำให้เกิด "เพดาน" การเติบโตของรายได้เสมอ ทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว การมองให้ออกว่าเพดานรายได้ของธุรกิจนั้นคืออะไรจะช่วยทำให้เราประเมินขนาดของ Upside ของธุรกิจนั้นได้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น เพดานของธุรกิจโรงแรมในระยะสั้นคือจำนวนห้องพักทั้งหมด ธุรกิจโรงแรมไม่สามารถโตไปได้อีกเมื่อไรก็ตามที่ห้องพักเต็มแล้ว อย่างมากก็คือการขึ้นค่าห้องพักซึ่งทำได้ค่อนข้างจำกัด ธุรกิจโรงแรมจึงเป็นธุรกิจที่มีเพดานการเติบโตในระยะสั้นที่จำกัดมาก ในระยะยาว ถ้าทำเลของโรงแรมดีขึ้นมาก โรงแรมอาจก่อสร้างตึกเพิ่มเติม ทำให้โตต่อไปได้อีก แต่ก็จะไปติดเพดานที่จำนวนห้องอีกเหมือนเดิมอีก ที่ดินโรงแรมมักจำกัด ขยายได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น ถ้าจะทำให้โรงแรมโตได้เรื่อยๆ ในระยะยาว บริษัทจะต้องมีนโยบายเปิดสาขาเท่านั้น Upside ของโรงแรมที่มีการเปิดสาขา กับไม่มี จึงไม่เท่ากัน ธุรกิจการผลิตส่วนมากมี กำลังการผลิต เป็นเพดานรายได้ในระยะสั้น ถ้าเราลงทุนในบริษัทที่ใช้กำลังการผลิตเต็มอยู่ Upside ในระยะสั้นก็แทบจะไม่มีเหลือแล้ว การขยายกำลังการผลิตจะต้องลงทุนเพิ่ม ทำให้ต้องนำประเด็นเรื่องการเพิ่มทุนมาพิจารณาร่วมด้วยเสมอ 5.ธุรกิจของบริษัทมีอะไรบ้างที่แตกต่างและเป็นข้อได้เปรียบ? การที่บริษัทจะได้กำไรมากกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันนั้น บริษัทจะต้องเป็นเจ้าของบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างและสิ่งนั้นสามารถใช้เป็นข้อได้เปรียบในธุรกิจนั้นๆ ได้ด้วย ถ้าเรานึกไม่ออกเลย ก็เป็นลางบอกเหตุว่า บริษัทนั้นมีคุณค่าต่ำ ยังไม่ต้องเปิดงบการเงินดูเลยก็ได้ ของแตกต่างที่ว่านี้จะเป็นสินทรัพย์ที่มีตัวตนหรือไม่มีตัวตนก็ได้ ลองนึกออกมาให้หมด ยิ่งมีมากเท่าไรยิ่งเป็นสัญญาณดี ตัวอย่างเช่น บริษัทเป็นเจ้าของเทคโนโลยีหรือ know-how ที่คู่แข่งไม่มี บริษัทมีตราสินค้าที่เหนือกว่า บริษัทมีฐานลูกค้ามากกว่าอย่างมีนัยสำคัญทำให้มีข้อได้เปรียบเรื่อง Scale การผลิต สำหรับบ้านเรา การที่บริษัทมีเส้นสายหรือคอนเนกชั่นที่ดี ก็เป็นข้อแตกต่างที่สำคัญมากอย่างหนึ่งด้วย พึ่งระวังพวกธุรกิจที่มีแค่เครื่องจักรเอามาตั้งแล้วเดินเครื่องเฉยๆโดยที่เป็นเครื่องจักรที่ใครมีเงินก็ซื้อมาตั้งได้ทั้งนั้น ธุรกิจอย่างนี้ยากมากที่จะทำกำไรได้จริง ลองเช็คดูข้อได้เปรียบแต่ละอย่างว่า ถ้าคู่แข่งจะเลียนแบบบ้าง มันจะยากแค่ไหน ถ้าทำได้ง่ายมาก แสดงว่าข้อได้เปรียบนั้นไม่ดีจริง แต่ถ้าต้องเข็นครกขึ้นภูเขา แสดงว่าข้อได้เปรียบนั้นแข็งแกร่ง ดูด้วยว่า Key Success Factor หรือ Key Value Driver ของธุรกิจนั้นคืออะไร แล้วข้อได้เปรียบที่บริษัทมีอยู่นั้นเกี่ยวข้องกับ Key เหล่านี้มากน้อยแค่ไหน 6.อุตสาหกรรมของบริษัทเป็นอุตสาหกรรมที่รายใหม่กระโดดเข้าไปได้ง่ายแค่ไหน พูดง่ายๆ ก็คือ มี Barrier to Entry ขนาดไหน ธุรกิจควบคุม ธุรกิจสัมปทาน ที่ขอใบอนุญาตใหม่ได้ยาก ย่อมดีกว่าธุรกิจเสรีทั่วไป ลองดูจำนวนบริษัทที่อยู่ในตลาดปัจจุบันว่ามีมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีมากเป็นกองทัพมดเลย ก็น่าเป็นห่วง ถ้ามีแค่ 2-3 เจ้า ทั้งปีทั้งชาติก็มีอยู่แค่นี้แสดงว่าต้องมีอะไรบางอย่างกันไม่ให้เจ้าใหม่เข้ามาได้ง่ายๆ แบบนี้ดี หรือลองสังเกตว่าคู่แข่งทุกรายกำไรหมด แสดงว่าอุตสาหกรรมนี้ดี เข้ามาได้ก็กำไรแล้ว แต่ถ้าบางรายกำไร บางรายขาดทุน แสดงว่าอุตสาหกรรมนี้ไม่ค่อยดี คนที่จะได้กำไรต้องมีข้อได้เปรียบคู่แข่งเท่านั้น ลองสังเกตด้วยว่า ลูกค้าของธุรกิจนั้นเป็นอย่างไร ถ้าลูกค้าเป็นรายเล็กๆ จำนวนมากๆ บริษัทย่อมมีอำนาจต่อรองกับลูกค้าสูง เป็นสัญญาณดีอีกเช่นกัน 7.ฐานะทางการเงินของบริษัทเป็นอย่างไร? อันนี้พิจารณาได้จากงบดุลเป็นหลัก ดูว่า ROA เฉลี่ยในรอบหลายๆ ปีสูงหรือต่ำ สัดส่วนหนี้สินต่อทุนสูงหรือไม่เมื่อเทียบกับคู่แข่งที่ทำธุรกิจเดียวกัน การมีหนี้ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะช่วยประหยัดภาษีได้ ต้องมีหนี้มากผิดปกติเท่านั้นที่เป็นสัญญาณอันตราย ที่จริงแล้ว เราอยากลงทุนกับบริษัทที่โตพอสมควรโดยไม่ต้องอาศัยหนี้มากๆ เพราะจะเติบโตได้อย่างยั่งยืนมากกว่าพวกที่โตได้เยอะๆ ในระยะสั้น แต่แบกหนี้สูงไว้ตลอดเวลา พร้อมจะประสบปัญหาสภาพคล่องถ้าเศรษฐกิจสะดุด นักธุรกิจที่ทำธุรกิจแบบรอบคอบนั้นจะเหลือ Lending Capacity เอาไว้ส่วนหนึ่งเสมอ เพื่อเวลาโอกาสในการลงทุนใหม่มาถึง บริษัทจะสามารถขยับตัวขอกู้เงินมาลงทุนเพิ่มได้ทันที บริษัทที่ขอกู้จนสุดขีดตลอดเวลา บ่งบอกถึงอุปนิสัยของผู้บริหาร และมีความเสี่ยงสูงที่จะประกาศเพิ่มทุนในอนาคตอันใกล้ 8.บุคลิกขององค์กรเป็นอย่างไร ทุกองค์กรจะมีบุคลิกประจำตัว ถ้าหากเราสัมผัสกับองค์กรนานพอ เราจะรู้ ถ้าเป็นองค์กรเล็ก บุคลิกจะขึ้นอยู่กับผู้บริหารค่อนข้างมาก ส่วนถ้าเป็นองค์กรใหญ่ บุคลิกจะขึ้นอยู่กับ Corporate Culture ลองพิจารณาดูว่าบริษัทมีบุคลิกแบบ entrepreneurial หรือ bureaucrat มากกว่ากัน บริษัทที่จะเติบโตได้ดีควรมีวัฒนธรรมเป็นแบบแรกมากกว่า บริษัทยังแสวงหาการเติบโตอยู่เรื่อยๆ หรือว่าอยู่ในโหมดประคองตัว จ่ายเงินเดือน จ่ายปันผล ไปเรื่อยๆ ก็พอ แต่ละปีบริษัทมีอะไรใหม่ออกมาให้เห็นบ้าง หรือว่าไม่มีเลย โปรเจ็คเพิ่มรายได้ของปีนี้คืออะไร บริษัทตั้งเป้าหมายไว้ว่าอะไร ที่สำคัญลอง track อดีตว่า บริษัทเคยตั้งเป้าหมายไว้แล้วสามารถทำได้ใกล้เคียงบ่อยแค่ไหน การตรวจสอบผลงานในอดีตเป็นวิธีที่ดีกว่าการใช้ความรู้สึกตัดสินผู้บริหาร หรือฟังข่าวลือต่างๆ ที่สำคัญ ขนาดของหุ้นไม่ได้บ่งบอกวัฒนธรรมหรือโอกาสในการเติบโต 8 ประเด็นนี้ แม้จะไม่ได้ลงลึกมากนัก ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว สำหรับการลงทุนแบบที่มีการกระจายความเสี่ยงร่วมด้วย ไม่จำเป็นที่จะต้องหาหุ้นที่ได้ A+ ในประเด็นเหล่านี้ทุกประเด็น เพราะเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราลงทุนในบริษัทที่ได้ B+ ในประเด็นเหล่านี้สัก 4-6 บริษัท กลับจะดีกว่า bet กับบริษัท A+ แค่เพียงแค่ 1-2 บริษัท เพราะยังไงเราก็ต้องเผื่อความผิดพลาดในการมองของตัวเราเองด้วยเสมอ จึงควรอาศัยภาพรวมของพอร์ตมากกว่าการพึ่งพาหุ้นเด็ดตัวใดตัวหนึ่งแค่ตัวเดียว ที่สำคัญ ไม่ใช่วิเคราะห์แล้วซื้อทันที แต่ควรคัดหุ้นที่เข้าตาเก็บไว้ใน Watch List ของเราไว้ แล้วรอซื้อเมื่อมันมีราคาที่ไม่แพงจนเกินไป ถ้าทำได้อย่างนี้ เราก็จะสามารถสร้างพอร์ตลงทุนระยะยาวที่มีคุณภาพให้กับตัวเองได้แล้วล่ะครับ from http://portal.settrade.com/blog/1001ii/2010/03/26/816

ซื้อหุ้นถูกตัว โดย คุณสุมาอี้


ซื้อหุ้นถูกตัว โดย คุณสุมาอี้

คุณคิดว่าในการลงทุนนั้น การซื้อหุ้นให้ได้ถูกตัว มีความสำคัญมากแค่ไหน?

เมื่อก่อน ตอนเริ่มต้นลงทุนใหม่ๆ ผมเชื่อว่า มันเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ตอนนั้นผมคิดว่า หุ้นก็คล้ายๆ กับหวย คือ ถ้าคุณซื้อหวยถูกเบอร์ ยังไงคุณก็ได้ ถ้าผิด ยังไงคุณก็เสีย ดิ้นไม่ได้ พอคิดแบบนี้ การลงทุนของเราจะมุ่งไปที่การหาหุ้นเด็ด แล้วทุ่มกับมัน สมัยนั้นผมเชื่อว่า วิธีเดียวที่จะได้ผลตอบแทนสูงๆ คือ จะต้องทุ่มสุดตัวกับหุ้นเด็ดแค่ไม่กี่ตัว พอหุ้นเหล่านั้นวิ่งได้ตามที่เราคาดไว้ ก็ขายออกมา เอาเงินทั้งหมดไปทุ่มสุดตัวกับหุ้นเด็ดตัวใหม่ แล้วทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ให้ได้หลายๆ รอบต่อปี

แต่เมื่อได้อยู่ในตลาดนานขึ้น ผมกลับเห็นว่าตลาดหุ้นนั้นมีแต่ความไม่แน่นอน ต่อให้เรามองได้เก่งแค่ไหน ก็ยังมีปัจจัยหลายอย่างที่คาดการณ์ล่วงหน้าไม่ได้แต่ส่งผลกระทบได้รุนแรง การที่จะต้องเลือกหุ้นให้ได้ถูกตัวเกือบทุกครั้งนั้นจึงกลับเป็นเป้าหมายที่ปฏิบัติจริงได้ยาก ดังนั้น วิธีลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงอย่างที่เคยคิดไว้นั้น กลับเป็นวิธีการที่มีหายนะซ่อนอยู่ การที่เราอยู่ในตลาดต่อไปเรื่อยๆ ก็เหมือนการเต้นรำกลางห่ากระสุน ต่อให้เก่งขนาดไหน สักวันหนึ่ง เราก็ต้องเคยซวยโดนกระสุนแน่ๆ ถ้าหากต้องทุ่มสุดตัวกับหุ้นเด็ดทุกตัวไปเรื่อยๆ ย่อมต้องมีวันที่เสียหายหนักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่บัฟเฟตเองก็ยังเลือกลงทุนในหุ้นอย่าง AIG มาแล้ว วิธีการที่ให้ผลตอบแทนสูง แต่ไร้ซึ่งความยั่งยืน ไม่ใช่วิธีที่ดีอย่างที่เราคิด

เรามักรู้สึกว่า มีบางคนที่สามารถเลือกหุ้นได้ถูกต้องเกือบตลอดเวลา แต่จริงๆ แล้ว อาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดก็ได้ บ่อยครั้งเป็นเพราะ เราศรัทธาในใครมากๆ เรามักเลือกจำแต่ความสำเร็จของคนนั้น เพราะสอดคล้องกับความเชื่อที่มีอยู่เดิมของเรา หรือบางครั้งก็เกิดจากการเห็นภาพไม่ครบทั้งหมด บางคนเขาเลือกพูดถึงแต่หุ้นที่เขาเลือกถูกเท่านั้น ทั้งที่จริงๆ แล้ว เขาก็เลือกหุ้นผิดมากไม่ต่างจากเรา แต่เวลาเขาเลือกหุ้นผิด เขาไม่ได้นำมาเล่าให้เราฟังด้วยเท่านั้น

เมื่อเราต้องอยู่กับสิ่งที่ไม่แน่นอนมากๆ อย่างเช่น ตลาดหุ้น แทนที่เราจะพยายามเดาให้ถูกให้ได้ตลอดเวลา เราน่าจะเปลี่ยนเป้าหมายใหม่เป็น ทำอย่างไรเราจะได้กำไรมากขึ้น เมื่อเราคิดถูก และเสียหายให้น้อย เมื่อเราคิดผิด วิธีนี้ทำให้เราต้องพึ่งพาการเลือกหุ้นให้ถูกตัวลดน้อยลง (ก็ยังต้องพึ่งอยู่ แต่ว่าลดลง) และเป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนกันได้

ปีเตอร์ ลินซ์ บอกว่า ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่นักลงทุนส่วนใหญ่ชอบเป็นกัน และทำให้ลงทุนไม่ประสบความสำเร็จคือ เรามักติดนิสัย Selling the Flowers, Watering the Weeds หรือ หุ้นขึ้นขายทิ้งหมด หุ้นลงชอบเก็บเอาไว้ นิสัยอันนี้สามารถถ่วงผลตอบแทนเราได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ

คนที่ติดนิสัย เห็นหุ้นในพอร์ตขึ้นนิดหน่อยก็ทนไม่ไหว ต้องรีบขายทิ้ง เช่น ขึ้นวันเดียว 5% ขายทิ้งตลอด คนแบบนี้จะต้องเลือกหุ้นถูกตัวมากถึง 20 ครั้ง กว่าจะได้กำไร 100% ในขณะที่ คนที่ไม่ได้ติดนิสัยอันนี้ แม้มีความสามารถในการเลือกหุ้นเท่าๆ กัน แต่เขาอาจทำกำไรรวมได้ถึง 100% ตั้งแต่หุ้น 2-3 ตัวแรกที่เลือกถูกไปแล้ว เพราะได้กำไรจากหุ้นแต่ละตัวอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากกว่า จะเห็นได้ว่า นักลงทุนสองคนก็สามารถมีผลตอบแทนสุดท้ายที่ต่างกันอย่างมากได้ โดยไม่เกี่ยวอะไรกับความสามารถในการเลือกหุ้นถูกตัวของทั้งคู่เลย แค่ไม่มีนิสัยการลงทุนที่เสียๆ อันนี้เท่านั้นเอง

บางคนมีนิสัยหุ้นตกลงมา 5% แล้วจะไม่ยอมขาย เพราะรู้สึกว่าการขายขาดทุนออกมาเป็นการ realized loss พฤติกรรมนี้อาจจะถูกหรือผิดก็ได้ ขึ้นอยู่กับสไตล์การลงทุนด้วย แต่ที่มักเป็นปัญหาคือ คนๆ เดียวกันนี้ พอเห็นหุ้นตัวนั้นร่วงต่อไปจนขาดทุน 80% คราวนี้ค่อยเกิดความรู้สึกอยากคัตลอสให้ได้ (อาการสิ้นหวัง) ส่วนใหญ่แล้ว พฤติกรรมเช่นนี้เป็นพฤติกรรมที่แย่ เพราะการปล่อยให้ขาดทุนถึง 80% แล้ว ค่อยคิดจะขาย ที่จริงแล้วมันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เมื่อเทียบกับการทนถือต่อ แปลกแต่ที่จริงที่คนเรามักกล้าในเวลาที่ควรจะกลัว แต่กลัวในเวลาที่ควรจะกล้าอยู่เสมอ ทำให้ผลตอบแทนเราแย่ โดยไม่เกี่ยวกับความสามารถในการเลือกหุ้นเลย

ลองเปลี่ยนปรัชญาการลงทุนใหม่ แทนที่จะหวังพึ่งแต่การเลือกหุ้นให้ถูกตัวตลอดเวลาซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ลองเปลี่ยนเป้าหมายให้ง่ายลง ด้วยการลดการพึ่งพาแต่การเลือกหุ้นให้ถูกตัวลง แล้วหันมาเพิ่มผลตอบแทนให้มากขึ้นด้วยการฝึกฝนพฤติกรรมการซื้อและขายหุ้นให้ดีขึ้นแทน บางทีคุณค้นพบวิธีที่ทำให้ผลตอบแทนคุณดีขึ้นแบบง่ายๆ อย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อนก็ได้ครับ

from http://portal.settrade.com/blog/1001ii/2010/05/20/855


06 มิถุนายน 2553

Tough Times For Newspapers: ช่วงเวลาที่ยากลำบากของหนังสือพิมพ์


Tough Times For Newspapers: ช่วงเวลาที่ยากลำบากของหนังสือพิมพ์

วงการหนังสือพิมพ์ในสหรัฐอเมริกา กำลังหาหนทาง ดิ้นรน เพื่อความอยู่รอด โดยเฉพาะช่วง 4 ปี หลังสุดนี้ (2006-2009) รายได้จากค่าโฆษณา ซึ่งเป็นรายได้หลักของอุตสาหกรรมโดยรวมลดลงมากมายถึง 44.24% จาก 49.275 พันล้านดอลลาร์ สู่ 27.564 พันล้านดอลลาร์(ในยอดนี้มีรายได้ทางออนไลน์อยู่ 2.027 พันล้านดอลลาร์) หากใครสนใจในรายละเอียดตัวเลขมากกว่านี้ เชิญอ่านได้ด้านล่างนี้...

ส่วนสาเหตุนั้นเพราะ..

1. พฤติกรรมของผู้เสพสื่อเปลี่ยน ไปใช้เวลาบนอินเตอร์เน็ตมากขึ้นเรื่อยๆ และเสพสื่อฟรี ที่มีอยู่อย่างมากมาย หลากหลาย ผู้คนจึงอ่านหนังสือพิมพ์ สื่อสิ่งพิมพ์น้่อยลง
2. เกิดเว็บไซต์อย่าง graiglist.org เปิดพื้นที่ให้คนทั่วไปสามารถโฆษณาอะไรก็ได้ฟรีๆ ทั่วโลก แต่ถ้าโฆษณาผ่านหสังสือพิมพ์ จะเสียเงิน
3. เว็บเทคโนโลยี ทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึง พื้นที่ต่างๆ ในเว็บไซต์ต่างๆ ในต่างรูปแบบ (platform) กันได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก เช่น โทรศัพท์สมาร์ทโฟน (เว็บโฟน) ทำรายการมัลติมีเดีย รับข่าวสารต่างๆ บนเน็ตได้ไปจนถึง อุปกรณ์พกพาอื่นๆ ด้วย โดยที่ไม่จำเป็นต้องเข้าไปยังแหล่งข่าวโดยตรง หรือเว็บไซต์นั้นๆ โดยตรง
4. เกิดผู้รวบรวมข่าวสาร (News aggregator) อย่าง Google news จะเป็นผู้รวบรวมหัวข้อข่าวสารต่างๆ จากเว็บไซต์แหล่งข่าวต่างๆ ทั่วโลก และส่งตรงถึงผู้รับโดยตรง โดยที่ผู้รับข่าวสาร ไม่จำเป็นต้องเข้าไปที่เว็บไซต์ที่สนใจนั้น เพื่อ update ข่าวอีกต่อไป และผู้รับข่าวสาร สามารถเลือกประเภทข่าวได้อย่างไม่่จำกัด และที่สำคัญฟรี


แผนภาพด้านบน เป็นการแสดงถึงทิดทางของรายได้จากค่าโฆษณาของหนังสือพิมพ์

แผนภาพด้านบนเป็นการสำรวจของ บริษัทวิจัย Harris Interactive บอกว่า 74% ของผู้เสพสื่อ ไม่ยินดีจ่าย จะไปหาอ่านข่าวจากแหล่งอื่นแทน มีเพียง 5 % เท่านั้น ที่ยินยอมจ่าย ทั้งนี้เพราะ ผู้ใช้อินเตอร์เน็ต รับรู้มาโดยตลอดเวลาว่า ข่าวสารบนอินเตอร์เน็ต มีไว้ให้อ่านฟรี และผู้เผยแพร่ข่าวสาร ผ่านอินเตอร์เน็ตก็เพื่อ ให้มีคนอื่นได้พบเห็น (Publishers put their content on the web because they want it to be found)


Rupert Murdoch เจ้าพ่อสื่อ ทั้งสื่อกระแสหลัก และสื่อใหม่ ครอบคลุม 4 ทวีป ทั้งอเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชีย และ ออสเตรเลีย หาทางออก โดยการเก็บเิงินค่าสมาชิกในการเข้าถึงเนื้อหา(pay walls) เช่น หนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal (WSJ), The New York Post, Times and Sunday Times ต้องจ่ายเงิน 1 ปอนด์ต่อการเข้าถึงเนื้อหา 1 ครั้ง จ่าย 2 ปอนด์ ต่อการเป็นสมาชิก 1สัปดาห์ เป็นต้น

ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ส่วนแบ่งทางการตลาดของสื่อกระแสหลักต่างๆ เป็นที่น่าสังเกตอย่างยิ่งที่ สื่อใหม่ สื่ออินเตอร์เน็ต เติบโตกินส่วนแบ่งด้านการตลาดถึง 200% กว่า ในชณะที่ สื่ออย่างหนังสือพิมพ์ ตกลงโดยตลอด



แผนภาพด้านบน เป็นการแสดงถึง ส่วนแบ่งทางการตลาดของสื่อกระแสหลักต่างๆ ที่คาดว่า ภายในปี 2014 สื่อใหม่อย่าง อินเตอร์เน็ต จะโดดเด่นมาก กินส่วนแบ่งทางการตลาด ประมาณ 19% หรือมีเม็ดเงินโฆษณาบนอินเตอร์เน็ต จะมากถึง 70 พันล้านดอลลาร์ และทั่วโลกประมาณ 170 พันล้านดอลลาร์
ดูช่างสดใส มีโอกาสอย่างมากมาย

มาดูด้านคนทำงานในวงการหนังสือพิมพ์บ้าง เห็นกราฟด้านล่างแล้วสยอง !!



จำนวนคนที่ทำงานวงการหนังสือพิมพ์ ก็ถูกปลดออกจำนวนมากมาย จนเหลือ คนทำงานหนังสือพิมพ์ต่ำกว่า สมัยปี 1960 ที่ประมาณ 300,000 คน ลดลงกว่า 150,000 คน จากช่วงปี 1988-1990 ช่วงที่รุ่งโรจน์สุดๆ ของวงการหนังสือพิมพ์ผ่านพ้นไปนานแล้ว มิต้องพูดถึง ราคาหุ้นซึ่ง....เน่าสนิท

อุตสาหกรรมสื่อสิ่งพิมพ์ของประเทศไทยก็เช่นกัน ผลกระทบจะช้าหน่อย แต่เริ่มส่งผลกระทบแล้ว จากยอดค่าโฆษณาหด รายได้หด

from http://smartthailand.blogspot.com/2010/03/taugh-times-for-newspapers.html


Can You Trust Free Antivirus Software?

Can You Trust Free Antivirus Software?

Lots of companies offer software that’s supposed to stop worms, viruses, and other malware for free. We tested nine such security programs to find the ones you can really depend on.
Erik Larkin, PC World
Aug 25, 2009 7:30 am

Free antivirus programs vary just as much as paid security programs do in the quality of their protection. And frugal computer users on the hunt for no-cost antivirus software--already faced with tons of options--will have even more to choose from when new free offerings from Microsoft and Panda join the programs currently available from Alwil (Avast), AVG, Avira, Comodo, and PC Tools.

To help you figure out which free antivirus app is right for you, we put packages from all of those companies through their paces. Our testing partner,  AV-Test.org of Germany, employed its vast "zoo" of collected malware to test detection rates and scan speed. We then poked and prodded the apps to see which ones made stopping malware an effortless task, and which ones made it feel more like drudgery. For a summary of our findings, see our free antivirus software ranked chart. For our in-depth evaluations, see the individual reviews, linked in this story and in the chart.


Something--But Not Everything--For Nothing

While free antivirus programs give you some value, they don't have everything that a paid security application can offer.

For one thing, you won't have anyone to call if things go haywire, or if you need disinfection help in the event something does sneak past your PC's defenses. Most free apps give support only on online forums, though Avast offers e-mail support (and Microsoft plans to when Security Essentials launches); Avast users can submit online support tickets, too. AVG gives paid phone support, but the $50-per-call fee costs more than most paid antivirus apps.

Do-it-yourselfers can often find good advice at helpful sites like Wilders Security Forums, but even there you shouldn't expect to talk to anyone for help with a free antivirus app. (Unless you can bribe a techie friend, that is.)

Generally, free apps have less-frequent malware-signature updates than paid products do, which can leave a window of opportunity for brand-new baddies to evade detection. Most of the free apps we tried update their signature databases only once daily. Microsoft Security Essentials, however, will also check suspicious samples that don't match a particular installed signature, by running the sample against Microsoft's latest online signatures. And as long as you have an Internet connection, Panda Cloud Antivirus checks everything against Panda's servers, so it will always use the newest signatures. (If you don't have an Internet connection, the Panda program falls back on local caches.)

Some free utilities have fewer scanning options than paid apps from the same company do. For example, Avira's paid antivirus program will scan http traffic to catch Web-borne malware before it hits your hard drive, but the company's free AntiVir Personal version won't. And AVG's paid app ties in to IM programs for additional security, while its AVG 8.5 Free doesn't.

Finally, some free programs give you stuff you don't want. The AVG app and Comodo Internet Security both default to installing unnecessary search or social networking browser toolbars (you can opt out during program installation), and many free apps display ads urging you to buy the paid versions. Avira's daily pop-up ads are the most intrusive, but Avast, AVG, and PC Tools Antivirus Free Edition all display ads in some form as well.

In spite of all that, in choosing a no-cost antivirus utility, you can get decent protection and save yourself at minimum $30 every year, if you're willing to go without a few nonessentials. For many people, that isn't a bad trade-off.


Which Free Antivirus Software Is Best for You?

When the results came in, Avira AntiVir Personal claimed the top spot in our rankings. It excelled in the essential malware-detection tests and also boasted the top scan speed. We weren't big fans of its interface, but function matters more than form here. Even the shiniest security tool wouldn't be worth a darn if it couldn't keep a PC safe. As such, our detection, disinfection, and speed tests account for the lion's share of each app's final score.

Despite Avira's number one finish, some of the other free programs still merit consideration. For example, if you dislike Avira's daily pop-up ad, you might opt for Avast Antivirus Home Edition's Web traffic scanning and less-intrusive ads--but then you'll have to deal with an even worse interface. Meanwhile, AVG 8.5 Free is a good deal easier to use, but its protection lags a bit behind the other two programs'.

And then there's Microsoft Security Essentials, which uses the same antivirus engine as the company's canceled OneCare paid suite. It isn't yet publicly available as of this writing, and won't be done until the end of the year. But since it promises to shake up the world of free antivirus, we ran tests on the current beta to give you an idea of how well the final version might work.

Rounding out your primary-care options are PC Tools Antivirus, Comodo Internet Security, and the new Panda Cloud Antivirus. Panda's use of online servers to analyze potential malware holds promise, and the app did better than any other in malware detection. Its unfinished-beta state and its unique approach, however, prevented us from giving it a full score and ranking. We did rank the PC Tools and Comodo apps, but both fell flat in detecting malware. PC Tools says that its program purposely leaves out antispyware protection and thus shouldn't be compared with other security apps; but when every other company has left distinctions such as "spyware" and "virus" behind in favor of keeping everything bad off your PC, the artificial separation of categories seems tired.

We also tried two free products that are designed to supplement existing security. PC Tools Threatfire proved a real winner with its excellent, proactive malware detection. It can capably spot a nasty intruder based solely on what the file tries to do on the computer, without the need for signatures. It can work in tandem with any of the free antivirus apps we tested. ClamWin Free Antivirus represents the open-source entry in the free-antivirus competition. It scans only when you tell it to, and it won't automatically run a safety check when you save or run a file. You could use it for a second-opinion scan as backup for your main antivirus tool--but its rock-bottom malware detection means you wouldn't get much extra protection from it.


Free Antivirus Software: Read Our Reviews

  1. Avira AntiVir Personal
  2. Alwil Avast Antivirus Home Edition
  3. AVG 8.5 Free
  4. Microsoft Security Essentials
  5. PC Tools Antivirus Free Edition
  6. Comodo Internet Security
from
http://www.pcworld.com/article/170587/can_you_trust_free_antivirus_software.html
http://www.pcworld.com/article/170587-2/can_you_trust_free_antivirus_software.html


บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (All Time)