30 มกราคม 2554

16 ยุทธศาสตร์ พิชิตการลงทุน : อย่าจับจังหวะตลาด

แนวคิดง่ายๆที่นักลงทุนหลายๆท่านต่างก็เข้าใจและพยายามทำให้ได้ในทุกครั้งที่ซื้อขายหุ้นคือ "ซื้อหุ้นตอนที่ยังถูกและขายตอนแพง" แต่พอเอาเข้าจริงทำกันไม่ค่อยได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคำพูดว่า "ติดดอย และขายหมู" แน่นอน

ดังนั้นผมขอบอกไว้ก่อนว่ายุทธศาสตร์ข้อนี้ "เป็นแนวคิดง่ายๆ แต่ยากในการปฏิบัติ" !!

คงมีไม่กี่ครั้งที่เราสามารถซื้อขายได้ถูกเวลา เราอาจซื้อได้ถูกในบางครั้งแต่นั้นไม่ใช่เพราะเราประเมินราคาได้อย่างถูกต้อง แต่เป็นเพราะเราโชคดี และตอนขายนี่ยากกว่าตอนซื้อมากนัก และมักจะขายแล้วราคายังขึ้นต่อ นำความเจ็บช้ำน้ำใจมาสู่เราได้ตลอดเวลา

จากการศึกษาแล้ว การจับจังหวะเข้าซื้อหรือขายนั้นหากทำได้จะสร้างผลตอบแทนได้อย่างมหาศาล และมากกว่าเทคนิคการลงทุนใดๆทั้งปวง แต่ในความเป็นจริงมันทำไม่ได้ ฉะนั้นที่หลายต่อหลายท่านมักถามผมว่า "ตอนนี้ตอนนั้น ตลาดจะเป็นอย่างไร? ซื้อได้ไหม?" ผมตอบเหมือนเดิมเหมือนเมื่อสิบปีที่แล้วครับ คือ "รู้ก็ดีซิ ไม่มาบอกฟรีๆหรอก ทำเป็นข้อมูลขายดีกว่า"

ไม่ได้กวนจริงๆ ที่ตอบอย่างนั้นก็เพราะไม่รู้ ถ้ารู้ผมคงรวยโดยไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ขายคำทำนายก็รวยแล้ว สรุปก็คือ การจับจังหวะตลาดนั้นทำได้ยากมาก และโอกาสถูกต้องนั้นก็น้อยมากๆเช่นกัน

แล้วถ้าเป็นอย่างนี้จะทำอย่างไร? กำปั้นทุบดินครับ ก็ไม่ได้ไปใส่ใจกับตลาด เพราะเราไม่ได้ซื้อหุ้นทั้งตลาด เราซื้อหุ้นรายบริษัทที่เราวิเคราะห์แล้วว่าดี และใช้วิธีรอราคาถูกๆ หรือเฉลี่ยซื้อไปเรื่อยๆ ขายก็เช่นกัน เกินราคาที่ประเมินไว้แล้วก็ทยอยขาย

ที่ทำอย่างนี้เพราะธรรมชาติของตลาดสินทรัพย์ทางการเงินทุกชนิดมีลักษณะตามแห่ครับ สังเกตให้ดี เมื่อราคาหุ้นขึ้นจะมีคนมาแย่งกันซื้อ แต่ถ้าราคาลงก็แย่งกันขาย และถ้าความมั่นใจของนักลงทุนในตลาดปรับสูงขึ้นพร้อมๆกันเมื่อไร สังเกตให้ดีครับ ไม่นานตลาดจะปรับลง และต่อให้หุ้นมีพื้นฐานดีอย่างไร ราคาหุ้นนั้นก็ลงตามตลาดด้วย เป็นอย่างนี้มาตลอด กฎข้อนี้ถือว่าตายตัว เพราะเป็นนิสัยถาวรของมนุษย์ทุกคน คือ "โลภ และ กลัว"

และขอให้สังเกตอีกครั้งว่า เมื่อตลาดหุ้นอยู่ในสภาพที่ไม่ดู เราจะเห็นว่ามีการซื้อขายน้อยมาก ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม นักลงทุนต่างก็นั่งทับเงินเอาไว้ก่อน

แน่นอนทุกคนมักจะพูดว่า "ฉันใช้วิธีซื้อถูกๆและขายตอนแพง" ด้วยกันทั้งนั้น แต่พอหุ้นลงต่างก็นั่งนิ่งๆรอให้ตลาดดูดีก่อนแล้วค่อยซื้อหุ้น ซึ่งนั้นก็คือตลาดเริ่มปรับตัวดีขึ้นแล้ว ราคาหุ้นตัวที่น่าสนใจก็ปรับขึ้นแล้วเช่นกัน และนักลงทุนหลายๆคนก็มักจะสนใจหุ้นที่ปรับตัวดีขึ้นกันทั้งนั้น ผลตอบแทนที่เรามักจะได้คือ ผลตอบแทนค่าเฉลี่ยเหมือนกันกับทุกๆคนที่ซื้อหุ้นตอนตลาดดีๆ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ “เราจะไม่ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาด หากเราคอยจับจังหวะตลาด” และถ้าหากเราคอยซื้อเมื่อตลาดดีแล้ว นั่นหมายถึงมีคนซื้อมาก่อนหน้าเรามากแล้ว ราคาคุณนั้นอาจจะกำลังแพงเกินไปแล้วก็ได้ กรณีนี้มีความเสี่ยงสูงที่หุ้นนั้นกำลังถูกขายทำกำไรในอีกไม่นานนี้

เบนจามิน เกรแฮม บิดาแห่งการวิเคราะห์หลักทรัพย์ ผู้แต่งตำราคลาสสิคเรื่อง นักลงทุนผู้ชาญฉลาด หรือ Intelligent Investor และ การวิเคราะห์หลักทรัพย์ หรือ Security Analysis ได้กล่าวไว้ว่า

“ให้ซื้อหุ้นเมื่อหลายๆคน...รวมถึงผู้เชี่ยวชาญต่างๆ...มีความคิดในแง่ร้ายต่อตลาด และขายเมื่อพวกเขาเหล่านั้นมีความคิดต่อตลาดในเชิงบวกมากๆ”

เบอร์นาร์ด บารัค อดีตที่ปรึกษาประธานาธิปดีสหรัฐฯที่ประสบความสำเร็จท่านหนึ่งในประวัติศาสตร์ กล่าวไว้ว่า “อย่าทำอะไรตามฝูงชนเป็นอันขาด”

พฤติกรรมทำอะไรตามๆกันนั้นเป็นธรรมชาติของสัตว์หลายๆชนิด รวมถึงมนุษย์ด้วย อาจเป็นการยากสำหรับพวกเราที่จะทำอะไรสวนกระแส หลายครั้งหลายหนอาจจะถูกมองว่า “เพี้ยน” ทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน เช่นการซื้อหุ้นตอนที่ชาวบ้านเขาขายหรือช่วงที่ตลาดตกต่ำย่ำแย่ และขายตอนที่ตลาดยังดูดี หรือตอนที่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องหุ้นยังคงแนะนำให้ซื้อหุ้น และยังคงเชื่อว่าหุ้นจะปรับตัวดีขึ้นเรื่อยๆก็ตาม สังเกตให้ดีครับ เมื่อทุกคน รวมถึงผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายต่างออกมาบอกว่า ตลาดจะขึ้นไปที่นั่นที่นี่ จากนั้นไม่นาน ตลาดจะปรับฐาน หรือไม่ก็ลงอย่างรุนแรง แต่ถ้าพวกเขายังมีความเห็นที่ระมัดระวังอยู่ หุ้นจะยังไม่ไปไหน

เห็นไหมครับ ว่าเป็นแนวคิดง่ายๆ “ซื้อตอนถูก ขายตอนแพง” แต่ปฏิบัติได้ยากจริงๆ !!!

from http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=46102&sid=8010de2f527b6482529d74cc15d87f8a


ต้องทำอย่างไรเมื่อมีกำไร จากการลงทุนในLTF

ถ้าคุณลงทุนในกองทุน LTF และ RMF แล้วขายมีกำไร ต้องกรอกภาษีอย่างไร คลิกเข้าไปอ่าน

Q.....ผมได้ลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ไว้ไม่เกิน 15% ของเงินได้ในปีภาษีนั้นเป็นจำนวนเงิน 200,000 บาทตั้งแต่เมื่อปี 2549 และได้ถือหน่วยลงทุนที่ซื้อไว้จนครบ 5 ปีปฏิทิน โดยขายคืนหน่วยลงทุนทั้งหมดในปี 2553 ได้เงินคืนมาเป็นจำนวนเงิน 320,764.89 บาท เท่ากับมีกำไรจากการลงทุน 120,764.89 บาท ซึ่งเป็นเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีตามกฎหมาย แต่หนังสือแสดงการขายคืนหน่วยลงทุนในกองทุนรวม LTF ที่ผมได้รับจากบริษัทจัดการกองทุนรวมได้มีข้อความบอกให้ผมต้องนำเงินกำไรที่ได้รับนี้ไปแสดงไว้ในแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีเพื่อยื่นเสียภาษี ผมไม่เข้าใจว่าจะต้องทำอย่างไรบ้างครับ และถ้าไม่ทำจะเป็นอะไรไหมครับ

A....คำถามนี้เป็นคำถามที่มีผู้ถามมาทุกครั้งเมื่อเข้าสู่ฤดูกาลที่จะต้องมีการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี โดยผมต้องขอเรียนผู้อ่านให้เข้าใจและหมดความกังวลก่อนนะครับว่า ผู้มีเงินได้ที่ขายคืนหน่วยลงทุนไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ซึ่งได้มีการลงทุนครบตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนดไว้แล้ว หากมีกำไรจากการลงทุนจะได้รับยกเว้นภาษีสำหรับเงินกำไรที่ได้รับนั้น แต่จุดมุ่งหมายของข้อความในหนังสือแสดงการขายคืนหน่วยลงทุนที่บอกกล่าวไว้นั้น
ก็เพียงต้องการให้ผู้ที่ขายคืนหน่วยลงทุนในกองทุนรวม LTF หรือกองทุนรวม RMF นำเงินกำไรที่ได้ไปกรอกรายการในแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด. 90 ประจำปี สำหรับกรณีผู้มีเงินได้กรณีทั่วไป
ซึ่ง ภ.ง.ด. 90 นั้นเป็นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้มีเงินได้ซึ่งมีเงินได้อื่นที่ไม่ใช่เงินได้จากการจ้างแรงงานตามมาตรา 40 (1) หรือไม่ได้มีเงินได้จากการจ้างแรงงานตามมาตรา 40 (1)
เพียงประเภทเดียว โดยกำไรจากการขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวม LTF หรือกองทุนรวม RMF นั้นถือว่าเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) โดยหากผู้ที่ขายคืนหน่วยลงทุนในกองทุนรวม LTF หรือ กองทุนรวม RMF มีการลงทุนครบตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนดแล้วก็จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับกำไรที่ได้รับมานั้น ซึ่ง ภ.ง.ด. 90 นั้นจะมีช่องสำหรับกรอกรายการเงินกำไรที่ได้รับยกเว้นไว้ให้

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนผมจึงขอนำแบบแสดงรายการข้อ 7 ข้อย่อยที่ 4. และ 5. ในรายการเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) ซึ่งอยู่ในหน้า 3 ของ ภ.ง.ด. 90 มาให้ดูว่ามีหน้าตาเป็นอย่างไร และผู้มีเงินได้จะต้องดำเนินการอย่างไร สำหรับกรณีของผู้ถามที่มีการลงทุน 200,000 บาท และขายคืนเมื่อครบระยะเวลา 5 ปีปฏิทินได้รับเงินคืน 320,764.89 บาท ซึ่งมีกำไร 120,764.89 บาท ในการกรอกรายการก็จะกรอกรายการในข้อย่อยที่ 5. ว่ามี “เงินค่าขายหน่วยลงทุนคืนให้กองทุนรวมหุ้นระยะยาว” จำนวน 320,764.89 “หัก ราคาทุน” 200,000.00 แล้วทำเครื่องหมายในช่อง “o ยกเว้น” ของ “เงินส่วนต่างกรณี ราคาขายมากกว่าราคาทุน” และกรอกจำนวนเงินกำไร 120,764.89 ไว้ในบรรทัดเดียวกันนั้น ก็เป็นอันเสร็จสิ้น โดย
ในส่วนของจำนวน "รวม" ถึง “ยกไปรวมใน ข้อ 10 1.” นั้น ก็ไม่ต้องนำกำไร 120,764.89 ไปรวมกับจำนวนอื่นๆ (ถ้ามี) ครับ

แต่หากเป็นกรณีที่ขายคืนโดยปฏิบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด ก็ให้ทำเครื่องหมายในช่อง “o ไม่ยกเว้น” ของ “เงินส่วนต่างกรณีราคาขายมากกว่าราคาทุน” และกรอกจำนวนเงินกำไรไว้ในบรรทัดเดียวกันนั้น แล้วให้นำกำไรนั้นไปรวมกับจำนวนอื่นๆ (ถ้ามี) แล้วกรอกจำนวนรวมในบรรทัด "รวม" ถึง “ยกไปรวมใน ข้อ 10 1.” ด้วย สำหรับกรณีเงินกำไรที่ได้จากกองทุน RMF ก็จะมีลักษณะในการกรอกรายการในแบบ ภ.ง.ด. 90 ข้อ 7 เช่นเดียวกัน โดยอยู่ในข้อย่อยที่ 4. ครับ

ประโยชน์ของการแจ้งกำไรจากการลงทุนในกองทุน LTF หรือ RMF ในรายการของแบบ ภ.ง.ด. 90 นั้น นอกจากจะมีไว้เพื่อการตรวจสอบของกรมสรรพากรแล้ว ผู้มีเงินได้ยังจะสามารถนำเงินกำไรจากการลงทุนในกองทุนรวม LTF หรือ RMF ที่แจ้งนั้นไปคำนวณรวมเป็นฐานเงินได้สำหรับซื้อกองทุนรวม LTF และ RMF ใหม่ในปีที่ขายคืนนั้นได้อีกด้วยครับ

กรณีที่มีกำไรและได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นั้นหากจะไม่ดำเนินการกรอกรายการตามที่กล่าวแล้วในข้างต้นจะมีผลอย่างไรนั้น คงจะตอบได้ว่าไม่มีผลกระทบให้มีการเปลี่ยนแปลงในด้านภาษีที่จะต้องจ่ายแต่อย่างใดครับ แต่ปัจจุบันเท่าที่ทราบกรมสรรพากรจะติดต่อเรียกให้ผู้มีเงินได้ไปดำเนินการแก้ไขการยื่นแบบให้ถูกต้อง ซึ่งจะทำให้ผู้มีเงินได้ต้องเสียเวลาไปดำเนินการเท่านั้น
ส่วนกรณีถ้ามีกำไรแต่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้แล้วไม่กรอกรายการให้ถูกต้อง นอกจากจะเสียเวลาแล้ว ผู้มีเงินก็อาจจะต้องเสียภาษีพร้อมเงินเพิ่มและเบี้ยปรับได้ ตามแต่กรณีหากคำนวณแล้วมีภาษีในจำนวนที่สูงกว่าเดิมที่เคยได้ยื่นแบบไว้ ทั้งนี้ ผู้มีเงินได้อาจจะสงสัยว่ากรมสรรพากรจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้มีเงินได้มีการขายคืนหน่วยลงทุนในกองทุนรวม LTF หรือกองทุนรวม RMF แล้วมีกำไรหรือขาดทุน ผมขอเรียนเพื่อทราบว่า กรมสรรพากรได้มีหนังสือขอให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมทุกแห่งนำส่งรายการของการซื้อขายกองทุนรวม LTF และกองทุนรวม RMF ไปยังกรมสรรพากรทุกปี
ดังนั้น หากกรมสรรพากรทำการตรวจสอบจากข้อมูลตามที่มีการส่งให้นั้น กรมสรรพากรจะทราบว่าผู้มีเงินได้รายใดมีการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ในส่วนของการขายคืนกองทุนรวม LTF และกองทุนรวม RMF ไว้อย่างไม่ถูกต้องได้ครับ

from http://bit.ly/fCLiSH


29 มกราคม 2554

นิทานเซน : ค่าของคน

ยังมีศิษย์เซนผู้หนึ่ง เฝ้าพร่ำถามอาจารย์เซนทุกวันว่า “สิ่งใดคือคุณค่าที่แท้จริงของคนเรา?”

วันหนึ่ง อาจารย์เซนเดินออกมาจากห้องพร้อมกับก้อนหินหนึ่งก้อน จากนั้นเอ่ยกับศิษย์เจ้าปัญหาว่า “เจ้าจงเอาก้อนหินก้อนนี้ไปเร่ขายยังท้องตลาด แต่ไม่จำเป็นต้องขายออกไปจริงๆ เพียงแค่ทำให้มีผู้มาเสนอราคาขอซื้อก็เพียงพอแล้ว ลองดูสิว่าตลาดจะให้ราคาของก้อนหินก้อนนี้เท่าไหร่”

ศิษย์เซนนำก้อนหินไปเร่ขายยังท้องตลาด มีคนเห็นว่าหินก้อนนี้ทั้งใหญ่และเรียบสวย จึงให้ราคา 2 ตำลึง อีกผู้หนึ่งเห็นว่าหินก้อนนี้น่าจะนำไปทำเป็นลูกกลิ้งหรือลูกตุ้มถ่วงน้ำหนักได้อย่างดี จึงให้ราคาถึง 10 ตำลึง หลังจากนั้น แม้ว่าจะมีผู้แวะเวียนเข้ามาชมดูก้อนหินมากมาย แต่ราคาที่สูงสุดที่ได้จากท้องตลาดคือ 10 ตำลึง

เมื่อศิษย์เซนนำก้อนหินกลับมายังวัด ก็ถ่ายทอดเรื่องราวที่ตนเร่ขายก้อนหินธรรมดาๆ จนได้ราคาถึง 10 ตำลึงให้อาจารย์ฟังด้วยความยินดียิ่ง

เมื่อฟังจบ อาจารย์เซนเพียงแต่กล่าวว่า “เจ้าจงนำหินก้อนนี้ไปเร่ขายอีกครั้ง ยังตลาดค้าทอง”

ศิษย์เซนจึงเดินทางไปยังตลาดค้าทอง จากนั้นนำก้อนหินออกมาเร่ขาย คราวนี้เพียงแค่เริ่มต้นก็มีผู้เสนอราคาก้อนหินถึง 1 พันตำลึง จากนั้นราคาก็ขึ้นมาเป็น 1 หมื่นตำลึง และสุดท้ายจบลงที่ราคา สิบหมื่นตำลึง

เมื่อศิษย์เซนเห็นผลลัพธ์เกินความคาดหมายถึงเพียงนั้น จึงรีบกลับมารายงานอาจารย์เซน ทว่าอาจารย์เซนเพียงกล่าวว่า “พรุ่งนี้เจ้าจงนำก้อนหินก้อนนี้ไปเร่ขายยังตลาดค้าเพชรพลอย ซึ่งเป็นตลาดระดับสูงที่สุดดู”

เมื่อศิษย์เซนนำก้อนหินไปเร่ขายตามคำสั่งของอาจารย์ พบว่าราคาของก้อนหินขึ้นพรวดพราดไปเรื่อยๆ จากสิบหมื่นตำลึง ยี่สิบหมื่นตำลึง สามสิบหมื่นตำลึง จนกระทั่งมีผู้เข้าใจว่าที่ศิษย์เซนยังไม่ยอมตกลงใจขายก้อนหินเป็นเพราะยังไม่ได้ราคาเหมาะสม จึงเสนอให้ตั้งราคาขึ้นมาเองตามใจชอบอย่างไม่อั้นได้เลยว่าจะขายที่ราคาเท่าไหร่ ศิษย์เซนได้แต่อธิบายต่อผู้คนที่สนใจซื้อก้อนหินว่าตนทำตามคำสั่งอาจารย์ มิอาจขายก้อนหินออกไปจริงๆ ได้ จากนั้นจึงเดินทางกลับวัด พร้อมทั้งบอกอาจารย์เซนว่า "ตอนนี้ราคาของก้อนหินพุ่งขึ้นไปถึงหลักสิบหมื่นตำลึงแล้ว”

เมื่ออาจารย์เซนฟังจบ จึงกล่าวว่า “นั่นก็ใช่แล้ว ที่ข้าไม่อาจสั่งสอนเจ้าได้ว่าชีวิตมีคุณค่าเพียงใด ก็เพราะนั่นจะเป็นการตีราคาชีวิตของเจ้าโดยผ่านมุมมองภายนอกไม่ต่างจากการตีราคาก้อนหิน ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วคุณค่าของมนุษย์ทุกคนล้วนต้องกระจ่างอยู่ภายในจิตใจของคนผู้นั้นเอง จงมีสายตาแหลมคมดั่งนักค้าเพชรพลอยเสียก่อน จึงจะสามารถเห็นซึ้งถึงคุณค่าที่แท้จริงของคนเรา”

ปัญญาเซน : มนุษย์ทุกคนล้วนมีคุณค่าอยู่ในตัวเอง จงตระหนักในคุณค่าแห่งตน ยอมรับตนเอง ฝึกฝนตนเอง ให้ช่องว่างกับตัวเองได้เติบโต ทุกคนล้วนสามารถกลายเป็นสิ่งมีค่าอันประเมินมิได้ ทุกขวากหนาม ทุกความเจ็บปวด ทุกความพ่ายแพ้ล้วนแล้วแต่มีความหมายอย่างยิ่งต่อชีวิตของคนเรา

ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4

from http://manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000010560


26 มกราคม 2554

คำคมการงานจากโธมัส อัลวา เอดิสัน




โธมัส แอลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison) 


“To invent, you need a good imagination and a pile of junk.” 
ในการประดิษฐ์คิดค้น  คุณจะต้องมีจินตนาการที่ดีกับกองขยะสักกองหนึ่ง

“All Bibles are man-made”
คัมภีร์ไบเบิลทั้งหมดเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น


“Genius is one percent inspiration and ninety-nine percent perspiration.”
อัจฉริยะ คือ  แรงบันดาลใจ 1 เปอร์เซ็นต์และหยาดเหงื่ออีก 99 เปอร์เซ็นต์


“I haven't failed, I've found 10,000 ways that don't work”
ผมไม่เคยล้มเหลว  ผมแค่พบ 10,000 วิธี ที่ใช้การไม่ได้เท่านั้น


“Good fortune is what happens when opportunity meets with planning.”
โชคดีเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อโอกาสมาพบกับการวางแผน


“The three great essentials to achieve anything worth while are, first, hard work; second, stick-to-itiveness; third, common sense.”
สามสิ่งที่สำคัญยิ่งในการทำสิ่งที่มีค่า ได้แก่ หนึ่ง ความขยันขันแข็ง  สอง การยึดมั่นในความคิดริเริ่ม  และสาม สามัญสำนึก


“I never failed once. It just happened to be a 2000-step process.”
ผมไม่เคยล้มเหลวสักครั้ง  มันก็แค่หนึ่งในกระบวนการ 2,000 ขั้นตอน


“I never did a day's work in my life. It was all fun.”
ผมไม่เคยทำงานแม้สักวันเดียวในชีวิต ทั้งหมดนั้น คือ ความสนุก


“Nearly every man who develops an idea works it up to the point where it looks impossible, and then he gets discouraged. That's not the place to become discouraged.”
เกือบทุกคนพัฒนาไอเดียไปสู่จุดที่น่าจะเป็นไปได้  แต่แล้วพวกเขาก็หมดกำลังใจ  ทั้ง ๆ ที่จุดนั้น  ไม่ใช่ที่ซึ่งจะกลายเป็นความสิ้นหวังแท้ ๆ



from http://www.job1hit.com/news/3233

อิเกีย! ดักปีทอง..อสังหา

"อิเกีย" เร่งเครื่องเปิดให้บริการในปลายปี เป็น "ไฮ ซีซัน" ของตลาดเฟอร์นิเจอร์ แต่ทว่ามาพร้อมกับกลิ่น "ฟองสบู่" อสังหาฯ

การย้ายฐานของบิ๊กคอร์ปอเรทระดับโลกมายังไทย เริ่มมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ไล่ตั้งแต่ปีที่ผ่านมากับการเข้ามาของ "อิเกีย" (IKEA) เมกะสโตร์เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านระดับโลก สัญชาติสวีดิส ในชื่อโครงการ "เมกา บางนา" (Mega Bangna) โดยยึดพื้นที่ 254 ไร่ ติดถนนบางนาตราด กม.9 เป็นฐานที่มั่น มีแผนจะเปิดให้บริการในปลายปีนี้ (3 พ.ย.54)

ล่าสุดกับการผุดโครงการ "ไทย-ไชน่า อินเตอร์เนชั่นแนล โปรดักส์ ซิตี้ " คอมเพล็กซ์ยักษ์ที่เตรียมเปิดเป็นศูนย์กระจายสินค้าและศูนย์แสดงสินค้าของกลุ่มทุนจีน (อาซือม่า กรุ๊ป) บนพื้นที่มากถึง 5 แสนตารางเมตรในเฟสแรก ไม่นับการขยายการลงทุนในพื้นที่มากถึง 2 ล้านตารางเมตร หรือ 200 ไร่ (รวม 3 เฟส) ใช้เงินลงทุนรวมกว่า 45,000 ล้านบาท โดยจะเปิดให้บริการเฟสแรกในปลายปี 2555

ความเหมือนกันของทั้ง 2 เมกะโปรเจค คือ เมื่อโครงการแล้วเสร็จต่างเป็น "คอมเพล็กซ์" ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ขณะที่ระยะห่างของโครงการแค่เหยียบคันเร่ง เพียง "1 กิโลเมตร"

ถนนบางนาตราด จึงกลายเป็นพื้นที่เนื้อหอม เพราะอยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ สะดวกในเรื่องโลจิสติกส์ และต่อไปถนนเส้นนี้จะทวีเพิ่มความคึกคักไม่น้อย ถ้า 2 โปรเจคยักษ์นี้ผุดขึ้น

ขณะที่โปรดักท์ที่จัดจำหน่ายต่างเน้นกลุ่มผู้บริโภคในระดับแมส (ราคาพอรับได้ สบายกระเป๋า) นอกจากความต้องการเข้ามาปักธงดักผู้บริโภคคนไทยแล้ว ยังต้องการแสวงหาโอกาสจากความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน และความตกลงการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ความตกลงแรกมีผลแล้ว ส่วนความตกลงที่ 2 กำลังจะมีผลในปี 2558 หรืออีกในไม่กี่ปีจากนี้ ตามขนาดประชากรที่เพิ่มขึ้น

ยังมีความเชื่อว่า อีกหลาย "บิ๊ก" โปรเจคระดับโลก กำลังแห่เข้ามาลงทุนในไทย ที่ค่อนข้างเปิดกว้างในการลงทุน

ทว่า ข้อกังวลตามมา คือ ผลกระทบต่อผู้ประกอบการในประเทศ ที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน หรือปรับตัวอย่างไรก็ยังรับมือยาก เพราะไม่สามารถต้านทานขนาดบิ๊กไซส์ของทุนเหล่านี้ที่จะเข้ามาเทกระจาดทุ่มตลาดโปรดักท์ในไทย และใช้ไทยเป็นฐานการกระจายสินค้าไปยังภูมิภาคอาเซียน ตามประโยชน์ของความตกลงเร่งลดภาษีระหว่างประเทศในอาเซียนด้วยกันเอง

โดยเฉพาะการ "บอกชัดๆ" ของผู้บริหารอิเกียว่า ที่ต้องการ "ฉวย" โอกาสที่ใครต่อใครบอกว่า ปีนี้จะเป็น "ปีทอง" ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ลุย "ขอ" ส่วนแบ่งการตลาดสินค้าเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านในไทย หลังจากแบรนด์ท้องถิ่น (Local Brand) เอ็นจอยท์ตลาดมานาน กันบ้าง

ลาร์ส สเวนส์สัน (Lars Svensson) รองผู้จัดการคลังสินค้า อิเกีย ไทยแลนด์ บอกว่า ในปี 2554 ซึ่งเป็นปีที่เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวต่อเนื่อง ทำให้เขาเห็นด้วยกับใครต่อใครที่ว่า "ปีทอง" ของวงการอสังหาริมทรัพย์กำลังจะกลับมา คนจะหันมาซื้อที่อยู่อาศัย บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดมิเนียมกันมากขึ้น ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นย่อมเป็นการกระตุ้นยอดขายสินค้าประเภทเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน ที่ผู้คนน่าจะเริ่มคำนึงสินค้าคุ้มค่ากับพื้นที่ใช้สอย (Value for Money) มากขึ้น ภายใต้แบรนด์ที่เข้มแข็งของ "อิเกีย" เขามั่นใจ

"ก่อนหน้านี้เราเปิดโชว์รูมในสิงคโปร์ และมาเลเซีย พบว่ามีลูกค้าจากไทยเข้าไปสั่งซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก จึงพอจะคาดเดาได้ว่าลูกค้าที่เป็นแฟนตัวจริงในแบรนด์อิเกียในไทยมีอยู่ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว"

การเปิดให้บริการของอิเกียในปลายปีนี้ จึงพอเหมาะพอเจาะกับแผนการซื้อของเข้าบ้านหลังการโอน ที่มักกระหน่ำซื้อกันในช่วงปลายปี !

ปรากฏการณ์เข้ามาของกลุ่มทุนยักษ์เทศ ไม่พ้นสายตาของนักวิชาการด้านอสังหาฯอย่าง "มานพ พงศทัต" อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยเขาเตือนว่า ผู้ประกอบการไทยจะต้องจับตาและเตรียมพร้อมต่อปรากฏการณ์ "รุกคืบ" ของยักษ์ข้ามชาติในหลายธุรกิจ ที่จะทำให้การแข่งขันในธุรกิจนั้นปรับตัวสูงขึ้น และไม่แน่ว่าธุรกิจไทยจะมีความสามารถในการแข่งขันมากพอหรือไม่

ทว่า หากพิจารณาเป็นรายสาขา เช่น เกษตร อุตสาหกรรม ยานยนต์และชิ้นส่วน และภาคบริการ ถือว่าผู้ประกอบการไทยยังสามารถแข่งขันได้ไทยยังแข่งขันได้ แต่หากมองใน "บางสาขา" อาจจะต้องจับตาเป็นรายตลาด

โดยเฉพาะในสินค้าเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน กับการเข้ามาของอิเกียที่มี "ทุนหนา" กว่า ซึ่งอาจจะเป็นบทสะท้อนว่าสินค้าเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านในตลาดแมส (สินค้า DIY - Do It Yourself) สำหรับคอนโดมิเนียม อาจจะต้องถูกแย่งตลาดในเซ็กเมนท์นี้ เพราะสินค้าของอิเกีย เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในคอนโดมิเนียมระดับกลางล่าง ซึ่งไม่อาจปฏิเสธว่าการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นจะส่งผลดีต่อผู้บริโภคที่มีระดับของรายได้ไม่มากนัก

"การตัดสินใจเข้ามาลงทุนของอิเกีย มองว่าอาจจะเกิดจากตลาดคอนโดที่เติบโตอย่างมากในช่วงต้นปี 2553 เป็นโอกาสทำให้เฟอร์นิเจอร์ขายดีขึ้น นอกจากนี้น่าจะเป็นเป้าหมายของบริษัทแม่ของอิเกียในต่างประเทศที่ต้องการที่จะขยายธุรกิจในต่างประเทศ โดยเฉพาะในอาเซียน ต่อจากสิงคโปร์และมาเลเซีย"

มานพ ยังบอกว่า การสร้างบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดที่กำลังคึกคักอยู่ในเวลานี้ว่า ขอให้ระวังและจับตาถึงโอกาสที่จะเกิด "ฟองสบู่" ในภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่อาจจะเกิดภาวะโอเวอร์ซัพพลายในปลายปี ประกอบกันราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ย และอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น สวนทางกับซัพพลายในตลาด

ในปัจจุบันก็เริ่มเห็นความผิดปกติของคอนโดที่เพิ่มมากขึ้น บางคอนโดจึงเริ่มออกแคมเปญจูงใจลูกค้าด้วยการทำโปรโมชั่น อยู่ก่อนฟรี 1 ปี หรือดอกเบี้ย 0% เข้าอยู่ได้ทันทีหลังจอง

"ปลายปีจะเห็นโอเวอร์ซัพพลายมากขึ้น โดยเฉพาะคอนโด เมื่อคอนโดสร้างเสร็จ ก็ต้องมีการสั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์ก็ขายดี แต่เก็บเงินได้ไหม ตอบว่า ยาก" เขาเตือน

มานพ ยังบอกด้วยว่า กระแสโลกาภิวัตน์ทำให้ไทยหลีกเลี่ยงกระแสเงินทุนไหลเข้าได้ยาก ทุนยักษ์ไม่เข้ามาวันนี้ก็ต้องเข้ามาในอีก 2-3 ปีข้างหน้าอยู่ดี สิ่งที่จะทำได้คือการ "เตรียมพร้อม" รับการแข่งขันที่จะเกิดขึ้น ซึ่งนอกจากจะมองเป็น "วิกฤติ" แล้ว จะต้องมองเป็น "โอกาส" ให้กับผู้ประกอบการบางรายที่จะต่อยอดกับการมาของทุนยักษ์เหล่านี้

ด้าน เลิศมงคล วราเวณุชย์ อุปนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เล่าถึง ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2554 ว่า จะเติบโตขึ้นสอดคล้องกันกับจีดีพีที่คาดว่าจะโตประมาณ 3.5-4.5% ตลาดที่น่าจะเติบโตเป็นพิเศษคือ กลุ่มอาคารชุดและคอนโด ถือว่ามีการขยายตัวอย่างสูงกว่ากลุ่มบ้านเดี่ยว เนื่องจากความต้องการคอนโดตามแนวรถไฟฟ้ามีมากขึ้น

"วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่วัยทำงาน เมื่อเริ่มมีเงินก็เริ่มมองหาคอนโด เพื่อซื้อเป็นเจ้าของก่อน จากนั้นจึงซื้อบ้านเมื่อมีครอบครัว ขณะเดียวกันบางทำเลจะมีคอนโดขึ้นมามากจนซัพพลายเกินดีมานด์ แต่ไม่หมายถึงภาพรวมของอสังหาริมทรัพย์" เขาย้ำ

เขายังบอกว่า ปัจจุบันมีนักลงทุนจากหลากอาชีพเข้ามาลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ไม่เฉพาะทุนไทยยังมีทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนโครงการใหญ่คือจีน และสวีเดน (อิเกีย) สะท้อนให้เห็นว่าไทยมีความน่าสนใจและเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในอุตสาหกรรมนี้

ขณะที่การปรับตัวของผู้ประกอบการเฟอร์นิเจอร์โลคอลแบรนด์ในไทยใน 2 แบรนด์หลักที่น่ากังวล ภายใต้แบรนด์ "อินเด็กซ์ และเอสบี" นั้น ก่อนหน้านี้พวกเขาให้ข่าวไปแล้วถึงแผนเตรียมพร้อมรับมือกับการแข่งขันที่จะเพิ่มขึ้น ล่าสุดกับความเคลื่อนไหวที่เป็นรูปธรรมของอินเด็กซ์ คือการใส่เงิน 2,500 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาเพิ่มอีก 2 แห่ง โดยเฉพาะสาขาถนนราชพฤกษ์ ที่จะเปิดให้บริการในไตรมาส 3 ของปีนี้ "ดัก" ลูกค้าก่อนการเปิดการให้บริการของอิเกียในปลายปี

ด้านความเคลื่อนไหวของแบรนด์เอส.บี จะเน้นไปที่การพัฒนาแบรนด์ให้เข้มแข็งรองรับการแข่งขันที่ดุเดือด พร้อมกับการดึงเทรนด์ของตกแต่งบ้านสไตล์โมเดิร์นจากต่างประเทศเข้ามาในไทยเพื่อทำตลาดค้าปลีกแบบซื้อมาขายไป และเกาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการบริการตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงบริการหลังการขาย โดยมีมัณฑนากรช่วยออกแบบตกแต่งภายใน และดีไซน์ในรูป 3 มิติ สร้างความแตกต่างจากแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ทั่วไป โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าพรีเมียม เอสบียังเน้นตั้งโชว์รูมใกล้บ้าน ต่างจากอิเกียที่สาขาจะตั้งอยู่บนไฮเวย์

ขณะที่แบรนด์น้องใหม่ อย่าง ชิค รีพับบลิค ภายใต้การนำของอดีตผู้บริหารจากอินเด็กซ์ที่แยกออกมาคลอดแบรนด์ใหม่ โดยเน้นตลาดโมเดิร์นเทรด กิจจา ปัทมาสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชิค รีพับบลิค บอกว่า การมาของอิเกีย ไม่ส่งผลต่อชิค รีพลับบลิค เพราะจับคนละเซ็กเมนท์กับอิเกีย โดยเแบรนด์ของเขาจะเป็นกลุ่มสินค้าเฟอร์นิเจอร์พรีเมียม ที่มีความคลาสสิกผสมกับวินเทจเล็กๆ มีกลิ่นอายของความทันสมัยและง่ายขึ้นในการผลิตเพราะลดรายละเอียดบางอย่างลง ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มบ้านเดี่ยวและคอนโดในกลุ่มคนมีกำลังซื้อ

"เราเชื่อว่าเรากับอิเกียคนละเซ็กเมนท์ จึงเชื่อว่าไม่น่าจะส่งผลกระทบ เพราะอิเกียเป็นเฟอร์นิเจอร์สไตล์โมเดิร์น ขณะที่ชิค เป็นเฟอร์นิเจอร์สไตล์คลาสสิกและวินเทจ"

ไพบูลย์ พินิตกาญจนพันธุ์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องเรือนไทย มองว่า ในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ตลาดในไทยถือเป็นตลาดปราบเซียน ซึ่งแม้เศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัว แต่ในพฤติกรรมของการบริโภคและการตกแต่งบ้านนั้น อิเกียยังต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจตลาดเมืองไทยอีกมาก

อย่างไรก็ตามเขายอมรับว่า อิเกียก็ยังมีความน่ากลัวในแง่ของความเป็นยักษ์ใหญ่และทุนหนา ที่ง่ายต่อการเปิดสาขา และใช้ทุนในการขับเคลื่อนกลยุทธ์ต่างๆ จึงยังมองไม่ชัดเจนว่า ผู้แข่งขันที่จะได้รับผลกระทบจากการมาของอิเกียมากน้อยเพียงใด

ทั้งนี้จากการหารือกันในสมาคมฯและแวดวงเฟอร์นิเจอร์ ประเมินกันว่าอิเกียอยู่ระหว่างเข้ามาศึกษา และหาซัพพลายเออร์ประมาณ 5-6 ราย ที่จะสามารถผลิตสินค้าได้ตรงกันกับความต้องการของผู้บริโภคในไทยที่มีพฤติกรรมแตกต่างกันออกไป

"คนไทยค่อนข้างมีพฤติกรรมการใช้เฟอร์นิเจอร์แตกต่างจากชาติอื่น คนไทยใช้ตู้เสื้อผ้าในแบบตู้ไม้ใหญ่ ขณะที่คนต่างประเทศ ที่อิเกียเข้าไปเปิดใช้ลิ้นชักเป็นชั้นๆ แทนตู้เสื้อผ้า

นอกจากนี้ยังไม่แน่ใจว่า พฤติกรรมการที่ให้ผู้บริโภคเข้ามาเลือกสินค้าและมาขนสินค้าไปเองนั้นจะตรงกับความต้องการผู้บริโภคคนไทยมากน้อยแค่ไหน ต่างจากผู้ประกอบการเฟอร์นิเจอร์ในไทยหลายรายให้บริการด้านการออกแบบพร้อมบริการติดตั้งประกอบให้กับลูกค้า แต่อิเกียกลับต้องขนเป็นกล่องกลับไปประกอบเองและขนเอง" ไพบูลย์ ระบุ

อย่างไรก็ตาม สมาคมฯได้หารือเรื่องการเตรียมความพร้อมในการปรับตัว ทั้งในเรื่องของการปรับปรุงรูปแบบ ดีไซน์ ราคา เนื่องจากที่ผ่านมาราคาวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น จึงต้องพยายามหาแหล่งวัตถุดิบใหม่พร้อมปรับปรุงรูปแบบ เพื่อไม่ให้ลูกค้าต่อรองราคามากนัก

๐ ขอเป็นหนึ่งใน...ตัวเลือก

พลันที่อิเกีย แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่มีสาขากระจายไปกว่า 308 สาขาใน 38 ประเทศทั่วโลก ขยับเข้ามาลงทุนในไทย พร้อมกับกลยุทธ์เฉพาะตัวที่เน้นสินค้าถูกและมีคุณภาพ ดีไซน์ที่เหมาะกับการใช้งาน โดนใจชีวิตคนเมืองส่วนใหญ่ที่อ่อนไหวต่อราคา ทำให้ผู้เล่นหน้าเดิมเริ่มหวั่นไหว

ขนาดของอิเกียในไทยยังติด 1 ใน 5 โชว์รูมที่ใหญ่ที่สุด เทียบเท่ากันกับอิเกียใน 5 ประเทศที่มียอดขายสูงสุด โดยมีเยอรมันสัดส่วนอันดับหนึ่ง 16% สหรัฐอเมริกา 11% ฝรั่งเศส 10% สหราชอาณาจักร 7% และอิตาลี 7% ของยอดขายทั่วโลก

ทว่า..ลาร์ส สเวนส์สัน รองผู้จัดการคลังสินค้า อิเกีย ไทยแลนด์ ถ่อมตัวว่า แบรนด์อิเกียจะขอเป็นหนึ่งในทางเลือกสำหรับลูกค้าเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้าน และหวังว่าการมาของอิเกียจะช่วยสร้างสีสันให้กับตลาดนี้ให้คึกคักมากขึ้น

ที่สำคัญจะช่วยพัฒนาความสนใจของผู้บริโภคคนไทย ให้มี "รสนิยม" ในการตกแต่งบ้านอย่าง "กว้างขวาง" มากขึ้น

เขายังเชื่อว่าไทยตามลักษณะภูมิศาสตร์ไทยจะเป็น "ศูนย์กลาง" ตลาดเฟอร์นิเจอร์ที่สำคัญและใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ขณะที่จีดีพีไทยก็เพิ่มขึ้นทุกปี

ขณะที่ความกังวลในเรื่องไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคไทยว่าจะไม่สอดคล้องกับโปรดักท์ของอิเกียนั้น เขาเชื่อว่า ไลฟ์สไตล์ของคนจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพเศรษฐกิจ โดยตลาดเฟอร์นิเจอร์ในเมืองใหญ่ของไทยเริ่มที่จะคล้ายคลึงกับวิถีชีวิตของคนในสหรัฐฯและยุโรป ที่มีพื้นที่จำกัด เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้จึงต้องเหมาะแก่การใช้สอยให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับชีวิตของคนเมือง ซึ่งถือเป็นคอนเซปต์ของแบรนด์อิเกีย

"การไปเปิดช็อปในหลายประเทศทั่วโลก ทำให้รู้ถึงความต้องการและรสนิยมของผู้บริโภคทั่วไปว่าต้องการอะไร คนทั่วไปมองหา และวางแผนที่จะจัดสรรเงินให้คุ้มค่ามากที่สุด นอกจากตกแต่งบ้านแล้วยังต้องเก็บเงินไว้เพื่อให้ลูกไปเรียนหนังสือ ซื้อคอมพิวเตอร์ หรือไปทำอย่างอื่น ไม่ต่างกันกับคนในนิวยอร์ก คนเมืองในไทยก็เช่นกัน"

ลาร์ส ยังบอกถึงวิธีการทำตลาดของอิเกียในไทยว่าไม่ต่างจากมาเลเซีย และสิงคโปร์ คือเน้นที่สินค้ามีคุณภาพ จำนวนมาก ในราคาที่ต่ำที่ผู้บริโภคซื้อได้ เช่นเดียวกับแนวคิดของประเทศในแถบตะวันตก ที่ต้องการสินค้าสไตล์ทันสมัย

"เราจะเน้นเข้าถึงกลุ่มคนจำนวนมาก (Mass Market) ถือเป็นจุดแข็งที่ทำให้เราสามารถบริหารจัดการด้านราคาอย่างมีประสิทธิภาพ เหมือนกับทุกประเทศที่เราไป และตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการสินค้าที่สะดวกในการใช้สอยบนพื้นที่จำกัด ให้คนมีความสุขในการใช้ชีวิตในบ้านมากขึ้น"

เขายังบอกว่า อิเกียยังต้องการให้ไทยเป็นแหล่งจัดหาสินค้า (Sourcing) กลุ่มสินค้างานหัตถกรรม (Hand made) และผลิตภัณฑ์จากไม้ จากศักยภาพการผลิตของไทยในหลายพื้นที่ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของไทย ก่อนจะกระจายสินค้าไปยังภูมิภาคอื่นๆ

from http://bit.ly/fa1xBZ


The examples of Database ER Diagram

http://www.databasedev.co.uk/data_models.html


21 มกราคม 2554

เอพี ออกหุ้นกู้ล็อตใหม่มูลค่า 850 ล้านบาท(เสนอขายช่วงวันที่ 24-26 มกราคม 2554)

เอพี เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ล็อตใหม่อายุ 3 ปี 6 เดือน มูลค่ารวม 850 ล้านบาทการันตีผลการดำเนินงานจากทริสเรทติ้งด้วยระดับ BBB+ โดยมอบให้ธนาคารกรุงเทพพันธมิตทางการเงินเป็นผู้จัดจัดจำหน่าย อัตราดอกเบี้ย 4.25% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน พร้อมเปิดให้จอง 24-26 ม.ค.นี้

นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (AP) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้แต่งตั้งให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย หุ้นกู้ชุดใหม่ของบริษัทมูลค่ารวม 850 ล้านบาท โดยเป็นหุ้นกู้อายุ 3 ปี 6 เดือน มูลค่าที่ตราไว้หน่วยละ 1,000บาท ให้ผลตอบแทนอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.25 ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือน ส่วนเงินต้นจะชำระครั้งเดียวทั้งจำนวนในวันครบกำหนดไถ่ถอน (Bullet Payment) โดยจะเสนอขายในช่วงวันที่ 24-26 มกราคมนี้ แก่ผู้ลงทุนรายย่อย และ/หรือ นักลงทุนสถาบัน กำหนดวงเงินจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณของ 100,000 บาท ซึ่งการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้เพื่อใช้ในการชำระคืนเงินกู้ ซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนา และเพื่อใช้ในการดำเนินงานของบริษัท รวมถึงเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยในระยะยาวอีกด้วย
ทั้งนี้ บริษัทได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากทริสเรทติ้ง ที่ระดับ “BBB+” แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นบวก โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทในตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย ตลอดจนตราสินค้าที่ได้รับการยอมรับในตลาดทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียมในเมือง รวมถึงความยืดหยุ่นในการบริหารงานซึ่งทำให้บริษัทสามารถปรับเปลี่ยนและพัฒนาโครงการให้เป็นไปตามแนวโน้มของอุตสาหกรรมได้อย่างทันเหตุการณ์ โดยในปี 2553 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการ 9 เดือนแรกเท่ากับ 9,661 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 9 เดือนแรกของปี 2552 กว่า 22% หรือเท่ากับ 7,879 ล้านบาท ซึ่งการเพิ่มขึ้นของรายได้มาจากสินค้าประเภทคอนโดมิเนียมที่ก่อสร้างเสร็จและทะยอยการรับรู้ต่อเนื่องเป็นสำคัญ

from http://bit.ly/gj6Cd7


นิทานธรรมะ สอนใจนักลงทุน

สุทิน กับ สินธุ เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียนวิศวะ จบมาแล้วก็ได้งานทำที่โรงงานเดียวกัน ชื่อที่คล้องจอง ลักษณะนิสัยที่คล้ายคลึง ทำให้เขาทั้งสองสนิทสนมกันมาก ทำงานร่วมกันมาหลายปี จนกระทั่งปลายปี ๒๕๔๙ เศรษฐกิจตกต่ำลง โรงงานที่เขาทั้งสองทำงานอยู่ปิดกิจการ งานที่เคยคิดว่ามั่นคง ตำแหน่งงานผู้บริหารระดับต้นอันทรงเกียรติกลายเป็นอดีต เขาทั้งสองจำต้องแยกย้ายไปคนละทิศละทาง

หลายปีผ่านไป เศรษฐกิจขึ้นแล้วลง ลงแล้วขึ้นไปตามวัฏจักรของมัน เขาทั้งสองไม่ค่อยได้เจอกันอีก

ขณะนี้สุทินทำงานเหมืองที่ประเทศลาว ในบริเวณป่าเขาที่แทบจะติดต่อโลกภายนอกไม่ได้ ทำงานติดต่อกันทุกวัน เป็นเวลาหกสัปดาห์ และ หยุดสองสัปดาห์ เพื่อใช้หนี้ที่เขาติดค้างญาติเป็นค่ารักษาพยาบาลพ่อก่อนที่พ่อของเขาจะเสียชีวิต

ส่วนสินธุนั้นหลังจากเขานำเงินที่เก็บได้ไปเล่นหุ้นจนเกือบหมดตัวแล้วก็ว่างงาน ต้องทำงานรับจ้างเล็กๆ น้อยๆ จนเศรษฐกิจเริ่มดีอีกครั้ง สินธุจึงได้งานใหม่ในตำแหน่งผู้จัดการโรงงานแห่งหนึ่ง

อยู่มาวันหนึ่ง หัวหน้าของสินธุต้องการให้สินธุทาบทามเพื่อนมาร่วมงานทางด้านซ่อมบำรุงเครื่องจักรกล ซึ่งแน่นอนว่าสินธุต้องคิดถึงเพื่อนรักของเขา สุทิน

ที่นี่เงินเดือนดีเสียด้วย และไม่ต้องไปลำบากตามป่าเขา เขาแน่ใจว่าสุทินเพื่อนเขาจะต้องชอบแน่นอน แต่จะติดต่อเพื่อนได้อย่างไร ตอนนี้สุทินคงขุดแร่ในเหมือง ในสถานที่อับสัญญาณโทรศัพท์

สินธุนึกถึงความหลัง ในขณะที่นั่งพักหลังกินข้าวเสร็จในเวลากลางวัน

เรื่องที่ผ่านมาในอดีตเหมือนความฝันอันสวยงามที่ผ่านแล้วผ่านเลย ก่อนโรงงานเก่าที่เคยทำงานร่วมกันปิดตัวลงนั้น สินธุและสุทินเคยมีเงินเก็บนับสิบล้านในวัยเพียงสามสิบต้นๆ จากความโชคดีในการลงทุนในตลาดหุ้นที่เอื้ออำนวยหนทางให้เหมือนโชคชะตาเข้าข้าง อย่างไม่น่าเชื่อ
...............

สินธุยังจำสาเหตุความร่ำรวยขึ้นมาในช่วงไม่กี่ปีของเขาและสุทิน เขาทั้งสองตัดสินใจซื้อหุ้นตัวหนึ่งหลังวิกฤติการทางการเงินในปี ๒๕๔๐ เขาทั้งสองได้ข่าวมาจากนักเล่นหุ้นชั้นเซียนคนหนึ่งที่เป็นญาติของสินธุ ญาติของเขาวิเคราะห์พื้นฐานหุ้นตัวนั้นอย่างละเอียด และพบว่าหุ้นตัวนั้นมีมูลค่าของโรงงานมากมายมหาศาล ขนาดที่ว่าแม้จะถูกศาลสั่งให้ล้มละลายต้องถูกบังคับขายสินทรัพย์จ่ายเจ้าหนี้ทุกรายก็ตาม ทรัพย์สินที่เหลืออยู่ก็มากพอที่จะเหลือมาถึงผู้ถือหุ้นสามัญ เป็นมูลค่ามากกว่าราคาซื้อขายหุ้นในตลาด ณ ขณะเวลานั้น และหากมองในทางดี มีความเป็นไปได้ที่เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว กำไรของบริษัทจะกลับมามหาศาล เพราะเป็นธุรกิจที่มีการลงทุนสูง หาคู่แข่งได้ยาก และราคาของหุ้นจะต้องขึ้นไปอย่างมากมาย เซียนคนนั้นยังสำทับว่า ราคาหุ้นในตอนนั้นถูกมาก เพราะไม่มีคนกล้าเข้าตลาดหุ้น หลังวิกฤตกาลในปี ๒๕๔๐

สุทินและสินธุใช้เงินที่เก็บไว้ไปซื้อหุ้นเป็นจำนวนคนละ ๑๕๐,๐๐๐ หุ้น ที่ราคาหุ้นละสองบาท เป็นเงินคนละสามแสนบาท โรงงานไม่เจ๊งและถูกบังคับขายทรัพย์สินใช้หนี้อย่างที่คาดเดาไว้ในกรณีเลวร้ายที่สุด แต่กลับฟื้นตัวจนราคาหุ้นพุ่งไม่หยุด จากราคาต่ำกว่าสิบบาทไปถึง ๘๐ บาท สุทินและสินธุขายไปในราคาเกือบจะสูงสุดที่ ๗๘ บาท เงินลงทุนของเขาทั้งสอง โตไปถึง ๓๙ เท่า หรือจากสามแสน กลายไปเป็น ๑๑ ล้าน ๗ แสนบาท

เซียนหุ้นคนนั้นหัวใจวายตายด้วยความดีใจสุดขีด เพราะมั่นใจมากลงเงินไปเป็น สิบ ล้านบาท ดีใจที่จะได้เป็นเศรษฐีระดับร้อยล้าน ทิ้งมรดกให้เมียและลูกใช้อย่างสบายๆ


นั่นเป็นอีกครั้งที่แสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนของชีวิต
................

หลังจากที่แยกย้ายไปคนละทิศละทาง สุทินเพื่อนของเขาต้องหมดเนื้อหมดตัว แถมยังมีหนี้สินที่หยิบยืมญาติมาอีกมหาศาลเพื่อรักษาพ่อของเขา ซึ่งต้องทำการผ่าตัดสมองหลายครั้ง แต่สุดท้ายพ่อเขาก็ตายจากไป ถ้าไม่มีรายจ่ายมหาศาลขนาดนั้น สุทินคงไม่ต้องไปทำงานที่ลาวให้เหนื่อยยากเช่นนี้

สินธุพบหน้าสุทินครั้งสุดท้ายในงานศพพ่อของสุทิน และทราบถึงความจำเป็นที่สุทินจะต้องไปทำงานในเหมืองที่ลาวเพื่อใช้หนี้ที่หยิบยืมญาติจำนวนหนึ่ง และหนีไปไกลๆ เพื่อให้ลืมคนรักของสุทินที่เพิ่งเลิกรากันไป

ชีวิตช่างหาความแน่นอนอะไรไม่ได้ สุทินและสินธุเคยมีเงินเก็บนับ 10 ล้าน ในวัยเพียง 30 ต้นๆ สุทินเคยหัวเราะเยาะคนที่หมดตัวเพราะวิกฤตกาลการเงิน

แล้วฉากๆหนึ่งก็แวบเข้ามาในห้วงคำนึงของสินธุ วันนั้นเขา สุทิน และเพื่อนอีกหลายคนไปฉลอง

?เฮ้ย มิงดูกูนี่ ชีวิตกูช่างเพียบพร้อม full options เงินก็มีเหลือใช้ แฟนกูก็เป็นดาราดังสวยอย่างกับนางฟ้า งานกูก็มั่นคง? สุทิน พูดกับสินธุ ในขณะที่เสพสุราอาหารในสถานบริการสุดหรูกลางกรุง

ไม่นานความพร้อมพรั่งในทรัพย์สิน เกียรติยศ ของสุทินก็กลายเป็นอดีต

ส่วนสินธุนั้นเล่า ก็ติดใจในรสชาติของความรวยที่ได้มาจากตลาดหุ้นอย่างง่ายดาย หลังตกงานก็ออกไปเล่นหุ้นเต็มตัว เล่นหุ้นจนเจ๊งหมดตัว เพราะเขาไม่มองการซื้อหุ้นเป็นการลงทุน แต่มองเป็นแหล่งที่จะหาเงินได้เงินเป็นเท่าๆอย่างง่ายดาย

ความไม่คุ้นเคยกับสนามประลองความโลภอันเชี่ยวกราก แสดงให้เห็นว่าการเอาเงินจากคนอื่นไม่ง่ายอย่างที่คิด เคยเก่งกาจก็แต่เป็นนักลงทุนประเภทขอ ขอหุ้นเขาเล่นไปวันๆ พอเล่นหุ้นจนหมดตัวก็เลิกฝันกลับมาทำงานหาเงินอย่างเก่า
.........................................

สินธุทำงานจนค่ำ ความหดหู่ในช่วงไม่มีงานทำมาระยะหนึ่ง ทำให้เขาตั้งใจทำงานจนมืดค่ำเป็นประจำ คิดถึงความหลังเพลินๆ แล้วก็ไปเช็คอีเมล์งานที่ต้องทำประจำ เอะใจอย่างไรไม่ทราบ ไปเช็คอีเมล์ส่วนตัว แล้วจึงพบจดหมายลาบวชของสุทินเพื่อนรักของเขา

?คงบวชไม่นานมั้ง ดีๆ พอสึกออกมาจะได้มาทำงานร่วมกันอีก? สินธุคิดในใจ
จดหมายฉบับนั้นเขียนถึงทุกคน ในรายชื่ออีเมล์อันยาวเหยียด

สินธุเปิดอ่านอีเมล์ของสุทินเรื่องที่เขาจะลาบวช ใจความว่า

ถึงทุกคน

ผมส่งอีเมล์ฉบับนี้เพื่อส่งข่าวจากร้านอินเทอร์เน็ตในฝั่งไทย

ผมตัดสินใจที่จะลาออกจากงานเรียบร้อยแล้ว หลังจากทำงานล้างหนี้ค่ารักษาพ่อจนหมด คิดว่าจะบวชไปเรื่อยๆเพื่อศึกษาธรรมะ หลังจากเห็นความทุกข์มากมายในชีวิตสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา เคยมีเงินเป็นสิบล้าน ก็กลายเป็นคนหมดตัว แถมมีหนี้อีกเป็นล้าน หมดบ้าน หมดรถ รักษาพ่อ แล้วพ่อก็จากผมไป เคยมีคนรักเป็นดาราดัง วาดฝันถึงอนาคตที่สวยงาม แล้วเธอก็จากไปยามที่ผมไม่เหลืออะไรในชีวิตนอกจากหนี้ ทิ้งแต่ความเศร้าให้ผมในวันที่ผมทุกข์ที่สุด

ทุกวันนี้ ผมทราบแล้วว่า ที่ผมทุกข์เพราะยึดมั่นถือมั่น ดื้อรั้นไม่ยอมศึกษาธรรมะอันประเสริฐขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะนำไปสู่ความดับทุกข์โดยสิ้นเชิง

อยู่ในเหมืองกลางป่า แม้จะไร้แสงสีของเมืองใหญ่ แต่ที่นี่ก็ทำให้ผมมีความสุขสงบอย่างประหลาด ผมเริ่มปฏิบัติธรรม โดยใช้เวลาพักสองสัปดาห์ในแต่ละรอบงาน ท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ และพบว่าโลกนี้ไม่เคยให้อะไรเราจริงจังเลย นอกจากโอกาสที่จะได้มาใช้ชีวิต ก่อนที่จะต้องคืนทุกอย่างให้แก่โลก ไม่เว้นแม้แต่ร่างกายของเรา

ผู้คนในบ้านเมืองไกลแห่งนี้ ยังมีชีวิตเรียบง่าย ยึดถือคำสอนในศาสนาพุทธ ไม่แก่งแย่งแข่งขันมากมายเหมือนในเมืองที่ผมจากมา เงินค่าเที่ยวกลางคืนของผมในคืนเดียว ในยามที่ผมประมาทในชีวิต อาจนำมาใช้ที่นี่ได้เป็นเดือนๆอย่างสบายๆ

ผมได้มีโอกาสพิจารณาความทุกข์ความสุข ที่ผ่านเข้ามาในตลอดชีวิตสามสิบกว่าปีนี้ และพบว่ามันเป็นการเวียนวนอยู่ในอ่าง รู้สึกเสียดายที่หลงทางหาสิ่งที่คิดว่า จะทำให้ตัวเองเป็นสุขอยู่ตั้งค่อนชีวิต

ถ้าเทียบว่า โลกเรานี้มีอายุมาเพียง ๑ ปี มนุษย์เราก็เพิ่งจะมีวิวัฒนาการมาแค่ ๕ นาทีเท่านั้น

ชีวิตในวัฏสงสารมีการเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด อย่างไม่สิ้นสุด

สำหรับชีวิตอันแสนสั้นของผม ตอนนี้ผมทำงานจนล้างหนี้ที่ติดค้างญาติหมดแล้ว ผมคิดว่าจะบวชเพื่อศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง จะบวชนานเท่าไรยังไม่รู้ ก็คงบอกแค่ว่าจะบวชไปเรื่อยๆ

ลาก่อนทุกคน

ถ้าชาตินี้เราไม่เจอกันอีก เราก็ยังอาจได้พบกันอีกในวัฏสงสารอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้
....................

สินธุอ่านอีเมล์จบ พลันคิดถึงความทุกข์ของเขาในช่วงที่ตกงาน ที่เคยทุกข์เครียดจนนอนไม่หลับอยู่หลายคืน แล้วหดหู่ใจอย่างประหลาด ตอนนั้นไม่มีงานอยากได้งาน ตอนนี้มีงานมีเงิน ก็อยากรวย พอรวยแล้วก็อยากรวยขึ้นไปอีก จนพลาดพลั้งหมดตัว อยากมีงานทำ ชีวิตมีแต่ความอยากๆๆ และอยาก ใช้ชีวิตไล่หาความอยากไปเรื่อยๆ ก่อนอ่านอีเมล์ฉบับนี้ เขาคิดว่าการได้งานเป็นการพ้นทุกข์แล้ว แต่แท้ที่จริงแล้ว ยังมีความทุกข์อีกมากมายที่รอเขาอยู่ข้างหน้า เห็นทีเขาคงจะต้องศึกษาธรรมะบ้างเสียแล้ว เพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่คนนับถือศาสนาพุทธในทะเบียนบ้านเท่านั้น

สินธุอยากเริ่มศึกษาความจริงถึงสิ่งที่ทำให้สุทินเปลี่ยนไป เขาเชื่อว่าสุทินพื่อนเขาไม่เชื่ออะไรไร้สาระแน่นอน และหวังว่าตนเองจะได้เข้าใจในสิ่งที่สุทินเข้าใจบ้าง

แม่ของสินธุเดินทางไปปฏิบัติธรรมที่วัดประจำ อาทิตย์นี้น่าจะเป็นโอกาสดีที่สินธุจะขออาสาพาแม่ไปวัด และได้สัมผัสกับรสธรรมะด้วยตนเองบ้าง

from http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I10135029/I10135029.html


18 มกราคม 2554

8 วิธีอ่านหนังสือสอบได้อย่างเซียน

เมื่อ ลองย้อนเวลากลับไปในสมัยที่เรียนอยู่ ช่วงเวลาที่น่าเบื่อที่สุดคือ ช่วงเวลาแห่งการท่องตำราสอบ ไม่ว่าจะเรียนอยู่ในระดับไหนก็หลีกเลี่ยงการท่องตำราสอบกันไม่ได้ทั้งนั้น เคยเป็นไหมที่รู้สึกว่า อยากให้มีเวลาเยอะกว่านี้ เพื่อจะได้อ่านหนังสือสอบให้ทัน วันนี้เราจึงรวบรวมเทคนิคการอ่านให้ได้ประสิทธิภาพ ที่คิดว่าพอจะแก้ปัญหาเกี่ยวกับการอ่านมานำเสนอ ดังนี้

1. หัดให้ตัวเองมีวินัยให้ได้ คือ ถ้าเราวางแผนว่าจะอ่านหนังสือให้ได้เท่านี้สำหรับวันนี้ เราก็ต้องทำให้ได้ วิธีฝึกเริ่มแรกให้กำหนดง่ายๆ ก่อนว่า วันนี้เราจะอ่านตำราแค่ 1 บท หรือ 10 หน้า เป็นต้น เอาแค่นี้ให้ได้ ถ้าอ่านจบเร็วก็ไปทำอย่างอื่น พอวันต่อๆ ไปก็ค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นตามสมควร แล้วก็ต้องอ่านให้ได้ตามเป้าหมาย เมื่อเราอ่านได้ตามเป้าแล้วในแต่ละครั้งก็อย่าลืมให้รางวัลตัวเองด้วยทุก ครั้ง โดยรางวัลก็อาจจะเป็นอะไรง่ายๆ เช่น ได้ดูละครหนึ่งเรื่องตอนกลางคืน เป็นต้น

2. วางแผนการอ่านหนังสือ เมื่อเรามีวินัยและเคารพการวางแผนของตัวเองแล้ว ต่อไปก็ต้อง วางแผนการอ่านหนังสือ การวางแผนที่ดีนั้นสำคัญมาก เพราะทำให้เราเดินไปถูกทิศทาง การวางแผนไม่ถือเป็นการเสียเวลา แต่เป็นการประหยัดเวลาในระยะยาว เพราะไม่ต้องไปเสียเวลาเดินผิดทาง

3. อย่าตะบี้ตะบันอ่านเกินควร อย่าคิดว่าตัวเองเป็น superman คือ สามารถอ่านหนังสือได้เยอะเกินกำลังภายในเวลาอันสั้น อย่าวางตารางการอ่านให้แน่นเกินไป เพราะนอกจากจะทำไม่ได้ตามแผนอยู่แล้ว ยังทำให้ตัวเองเครียดเพราะแผนนั้นโดยไม่จำเป็นด้วย แรกๆ อาจจะกะความสามารถตัวเองยากหน่อย หรือการอ่านตำราภาษาอังกฤษกับภาษาไทยก็ใช้ระยะเวลาการอ่านไม่เท่ากัน ก็ใช้เก็บสถิติจากการอ่านในรอบแรกๆ เช่น การอ่านภาษาอังกฤษ 1 หน้า เราใช้เวลา 10 นาที เราก็จะประมาณถูกว่าต้องใช้เวลาเท่าไรจึงจะอ่านจบบทหรือจบวิชา เป็นต้น

4. หาที่อ่านที่สงบเงียบและนั่งสบาย ส่วนบรรยากาศก็แล้วแต่คนชอบ บางคนชอบอ่านที่บ้าน ในห้องสมุด ในสวนมีต้นไม้เขียวๆ หรือในร้านกาแฟ หรือบางทีเราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ควรไม่อยู่ใกล้ทีวี หรือสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เราเสียสมาธิ เพราะทำให้เราเสียเวลาในการอ่าน และทำให้จำได้ไม่ดีด้วย แต่ก็ทราบมาว่าบางคนจะชอบให้มีเสียงเพลงหรือเสียงอื่นๆ เวลาอ่านหนังสือด้วย อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบ

5. อย่าให้สิ่งใดมารบกวนการอ่าน เวลาอ่านหนังสือ เราควรกำหนดว่า เวลานี้เราจะตั้งใจ และไม่ปล่อยให้อะไรมาขัดโดยไม่จำเป็น เช่น อาจจะปิดเสียงโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น คนอื่นก็จะไม่มารบกวนโดยไม่จำเป็น การได้ทำงานหรืออ่านหนังสือเป็นช่วงเวลาติดต่อกันอย่างนี้มีประสิทธิภาพกว่า การอ่านที่ถูกหยุดด้วยสิ่งต่างๆ

6. พักผ่อนสมองบ้าง เมื่ออ่านหนังสือไปนานๆ เราก็จะเริ่มล้า ทั้งสมองที่ต้องคิด ทั้งร่างกายที่ไม่ได้ขยับ ทั้งสายตาที่ต้องจ้องอยู่นาน เราก็ควรกำหนดเวลาพัก อันนี้ก็แล้วแต่คนชอบ อาจจะพักอ่านหนังสือทุกๆ ชั่วโมงหรือ 2 ชั่วโมง โดยออกไปเดินยืดเส้นยืดสาย ดื่มน้ำ ทานขนม หรือไปมองต้นไม้เขียวๆ เวลาพักก็ต้องกำหนดด้วยว่า 5 นาที หรือ 15 นาที เป็นต้น

7. ชอบขีดเส้นหรือเน้นข้อความที่สำคัญในหนังสือโดยไม่หวงหนังสือ ว่าจะดูเลอะเทอะเลย เพราะชอบเวลากลับมาอ่านทวน เราก็จะรู้ว่าจุดไหนเป็นข้อมูลสำคัญ เรายังสามารถใช้ทบทวนก่อนสอบได้ด้วย สำหรับคนที่ชอบหนังสือใหม่ๆ เกลี้ยงๆ ก็อาจจะต้องหาสมุดกับปากกามาจดสิ่งที่สำคัญจากหนังสือนั้นๆ เพื่อการอ่านทบทวนได้

8. พยายามจัดเวลาอ่านหนังสือในช่วงเวลาที่เราตื่นตัวที่สุด อันนี้แตกต่างกันไป บางคนจะจำได้ดีถ้าอ่านตอนเช้า บางคนเป็นตอนเย็น ก็ต้องสังเกตตัวเองดู ถ้าทราบแล้วอาจจะกำหนดเป็นเวลาประจำทุกวัน เช่น ทุกวันเวลา 2 ทุ่ม - 5 ทุ่ม เราต้องอ่านตำราทบทวนที่เรียนมา เป็นต้น

อย่าลืมทบทวนตำราเรียนทุกวันนะคะ แล้วเอาเทคนิคทั้ง 8 ไปใช้ดู เผื่อประสิทธิภาพในการอ่านจะทำให้เกรดภาคเรียนต่อไปดีขึ้นทันตาก็ได้

from http://variety.teenee.com/foodforbrain/32510.html


16 มกราคม 2554

อุทาหรณ์เตือนใจ กับความล้มเหลวทางการเงิน

"หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่มีอาชีพศิลปิน นักกีฬา หรืออาชีพอิสระอื่นๆ คุณต้องไม่ใช้จ่ายแบบไม่ลืมหูลืมตา อย่าตกเป็นเหยื่อของแฟชั่นแบบไม่มีขีดจำกัด เพราะสินค้าแฟชั่นมีราคาแพงมาก จงให้คนเขารักและนับถือในตัวตนของเราไม่ใช่ของแบรนด์เนม นอกจากนี้ อย่าซื้ออสังหาริมทรัพย์โดยต้องเป็นหนี้มหาศาลเพราะรายได้ในอนาคตของคุณมันไม่แน่นอนเหมือนมนุษย์เงินเดือน"

มีหลายคนมากมายที่ต้องการบริหารเงินออมของตัวเองให้เพิ่มพูนมากขึ้น เพื่อหวังไว้ใช้เป็นเงินตอนที่เกษียณอายุแล้ว จะได้ไม่ลำบากในบั้นปลายชีวิต แต่หารู้ไม่ว่าการออมเงินหรือการลงทุนของเรามันมีหลากหลายรูปแบบทั้งเสี่ยงมากและเสี่ยงน้อยแตกต่างกันออกไป ซึ่งเมื่อเราเลือกที่จะลงทุนแล้วก็ต้องศึกษารูปแบบของการลงทุนให้ดีด้วยว่ามีความเหมาะสมกับตัวเราเองอย่างไร และต้องไม่ชะล่าใจในสิ่งที่เราได้ลงทุนไป เพราะจะเห็นได้ว่าในบางรายระดับมหาเศรษฐีเองยังก้าวพลาดล้มเหลวมาแล้วนักต่อนัก...

คอลัมน์ “เจาะพอร์ตคนดัง” ฉบับนี้ “พี่ตู่ - วรวรรณ ธาราภูมิ” นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคม บลจ.) และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. บัวหลวง จำกัด จะเผยถึง Celebrity ชื่อดังในต่างแดนถึงความล้มเลวที่พวกเค้าไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้นมาก่อน ไว้เตือนเป็นอุทาหรณ์สอนใจใครที่จะคิดทำการใหญ่ก็ต้องรอบครอบซักนิดหนึ่งเพื่อความปลอดภัยในอนาคต...

“พี่ตู่” เริ่มบอกว่า มันไม่สำคัญหรอกว่าเรามีรายได้แค่ไหน เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าคือ เราเหลือเก็บเท่าไหร่ และบริหารมันได้ดีเพียงใดมากกว่า” ซึ่งเราลองมาดูตัวอย่างความล้มเหลวทางการเงินของคนร่ำรวย คนมีชื่อเสียง หรือที่เรียกว่าเป็น Celebrity กัน โดยเรามาเริ่มกันที่ Zsa Zsa Gabor ดาราค้างฟ้าในวัย 92 ปี เป็นหนึ่งในคนสุจริตอันมั่งคั่งแต่ตกเป็นเหยื่อของการลงทุนในกองทุนแบบแชร์ลูกโซ่ที่ได้รับความเชื่อถือสนิทใจจากสาธารณชนของ Bernard Madoff จนเสียเงินไป 7 ล้านเหรียญให้กับ Madoff จอมต้มตุ๋น และยังต้องจ่ายภาษีย้อนหลังอีกกว่า 3.5 ล้านบาท แต่เธอคงไม่เหงาเท่าไหร่ เพราะมีเพื่อนดารารุ่นหลังที่ตกเป็นเหยื่อเช่นกัน คือ Kevin Bacon กับภรรยา Kyra Sedgwick ที่ระบุว่าพวกเขาสูญเสียทรัพย์สินทุกชิ้นให้กับ Madoff จนเหลือแต่บ้านหลังที่เขาอยู่อาศัยในปัจจุบันเพียงหลังเดียวเท่านั้น

“ดูไปแล้วก็คล้ายๆกับแชร์ลูกโซ่ที่เคยเกิดขึ้นในบ้านเรา คนหลงเชื่อเพราะได้ผลตอบแทนสูงมากโดยไม่รู้เลยว่ากองทุนแบบนี้มันอยู่ได้ก็ด้วยมีคนใหม่ๆ เข้ามาจ่ายเป็นปันผลให้ หากไม่มีเงินเข้า กองทุนแบบแชร์ลูกโซ่ที่ผิดกฏหมายอย่างนี้ก็ถึงกาลล่มสลาย”

"พี่ตู่" บอกต่อว่า เราต้องไม่ไปหลงเชื่อและนำเงินทั้งหมดไปให้ใครบริหารโดยไม่เข้าใจเลยว่าผลตอบแทนสูงๆ ที่ได้รับนั้นมาจากอะไร ต้องถามให้มากๆ ว่าลงทุนในอะไร และตรวจสอบให้ดีก่อนจะลงทุน ที่สำคัญคือให้กระจายการลงทุนไปในกองทุนหลากหลายรูปแบบ และต้องแบ่งเงินจำนวนหนึ่งไว้ในเงินฝากกับกองทุนมันนี่มาร์เก็ตบ้าง เผื่อว่าเวลาหุ้นตกมากๆ คุณจะได้ยังมีเงินใช้


ด้านDonald Trumpมหาเศรษฐีวัย 64 ปีแห่งวงการอสังหาริมทรัพย์ คาสิโน สื่อ และเป็นผู้ผลิตรายการดัง NBC reality show ชื่อ The Apprentice นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าของธุรกิจ Miss Universe, Miss USA, and Miss Teen USA pageants อีกด้วย

ทั้งนี้ เขาประสบความสำเร็จในธุรกิจที่ขยายไม่หยุดยั้ง แต่ก็ล้มเหลวถึงขั้นล้มละลายถึง 3 ครั้ง เนื่องจากลงทุนมากเกินไป แต่ก็มีคนหลายคนอยากเข้าไปทำงานกับเขาเพื่อเรียนรู้ความสำเร็จ ที่จริงแล้วคนเหล่านั้นควรไปเรียนรู้ด้วยการอ่านเอกสารที่ยื่นขอล้มละลายของเขามากกว่า

“เราอยากให้ธุรกิจเติบโตก็จริงอยู่ แต่เราต้องระมัดระวังว่าอย่าโตรวดเร็วไป เพราะการเติบโตต้องใช้เงินและเป็นหนี้ มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าเราเป็นเจ้าของธุรกิจมูลค่าล้านล้านบาท หากธุรกิจของเราต้องมีหนี้จำนวนสูงที่สุดในโลกอย่าง Donald Trump”

ขณะที่Billy Joelนักร้อง นักแต่งเพลง นักดนตรีแนวร็อกชาวอเมริกันวัย 61 ปี มีเพลงดังเพลงแรกคือ "Piano Man" ในปี 1973 เป็นศิลปินที่มียอดขายมากที่สุดเป็นอันดับ 6 ในสหรัฐอเมริกา มีเพลงติดท็อปเท็นในยุคทศวรรษ 1970, 1980 และ 1990 ได้รับ 6 รางวัลแกรมมี่ และมียอดขายมากกว่า 150 ล้านชุดทั่วโลก

“เขาเป็นศิลปินเพลงอัจฉริยะ แต่กลับเป็นอีกคนที่ล้มเหลวทางการเงินเพราะมอบความไว้วางใจในการบริหารเงินให้กับ Frank Weber อดีตน้องเขยและผู้จัดการส่วนตัวของเขา ทำให้เขาขาดทุนหลายพันล้านบาทจากการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูงที่ไม่ได้จัดการอย่างสุจริต จนเขาต้องล้มละลายไปในที่สุดและต้องฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย 3,600 ล้านบาทจาก Frank Weber”

ปัญหาของ Billy Joel จึงเป็นการไว้ใจคนอื่นที่ใกล้ชิดให้ดูแลเงินของตนเองโดยไม่ได้เข้าไปติดตาม ตรวจสอบ และเขาก็เรียนรู้แล้วว่าไม่มีใครรักเงินของเรามากไปกว่าตัวเราเอง

“พี่ตู่” บอกเพิ่มเติมอีกว่าความล้มเหลวทางการเงินของ Celebrity ทั้งหลายมักมีรายได้สูงมากกว่าคนประกอบอาชีพทั่วไปหลายเท่า แต่มักจะมีปัญหาทางการเงินกันทั้งนั้น เพราะเมื่อมีเงินมากมายมหาศาลมันหมายความว่ามีหลายทางที่จะใช้จ่ายจนถึงขั้นเป็นหนี้และล้ม ละลายในที่สุดหากลืมตัวและมีอาการสามล้อถูกหวย

หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่มีอาชีพศิลปิน นักกีฬา หรืออาชีพอิสระอื่นๆ คุณต้องไม่ใช้จ่ายแบบไม่ลืมหูลืมตา อย่าตกเป็นเหยื่อของแฟชั่นแบบไม่มีขีดจำกัด เพราะสินค้าแฟชั่นมีราคาแพงมาก จงให้คนเขารักและนับถือในตัวตนของเราไม่ใช่ของแบรนด์เนม นอกจากนี้ อย่าซื้ออสังหาริมทรัพย์โดยต้องเป็นหนี้มหาศาลเพราะรายได้ในอนาคตของคุณมันไม่แน่นอนเหมือนมนุษย์เงินเดือน

ตัวอย่างนักกีฬา ศิลปิน และดารา ที่ใช้เงินเป็น บริหารเงินได้ดี และไม่ประมาทต่ออนาคต ในบ้านเราก็มีไม่น้อย และผู้ที่สูญเสียโชคลาภไปหมดสิ้นกับการพนัน และโดนโกงก็มีมาก ขอให้ผู้มีอาชีพอิสระจำเอาไว้เพื่อเตือนตนเอง โดยเฉพาะอาชีพนักแสดง นักร้องบ้านเราที่มีอายุงานสั้นกว่าประเทศตะวันตก เวลาในการมีโชคจึงสั้น หากใช้เงินหมด และเป็นหนี้ ชีวิตจะลำบากยิ่ง

ที่สำคัญคือ อย่าเชื่อใครเรื่องการบริหารเงินและเรื่องลงทุนจนหมดใจ คุณต้องเรียนรู้เองให้เข้าใจด้วย และต้องตรวจสอบการลงทุนนั้นให้ดีว่าไม่ใช่การลงทุนต้มตุ๋นแบบแชร์ลูกโซ่

สุดท้ายนี้ "พี่ตู่"ฝากบอกว่า แม้เศรษฐกิจในปีนี้คาดว่าจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้น 3 - 5% ในการขับเคลื่อนโครงสร้างเศรษฐกิจกำลังเปลี่ยนจากภาคส่งออกไปเป็นภาคการลงทุน เข้าสู่วงจรการเติบโตของเศรษฐกิจใหม่ก็ตามแต่เราก็ต้องไม่ลืมที่จะระมัดระวังและรอบครอบต่อการลงทุน

from http://manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9540000004894


เหนือจินตนาการ! เผยโฉมเครื่องบินยุคอนาคตของ “นาซา” ในปี 2025

รูปแบบเครื่องบินโดยสารยุคใหม่ของ "โบอิ้ง"
       เอเจนซี - คงไม่แปลกอะไรหากอากาศยานรูปทรงประหลาดเหล่านี้จะปรากฏในภาพยนตร์แนววิทยา ศาสตร์ แต่เชื่อหรือไม่ว่าหนึ่งในนี้อาจจะกลายเป็นเครื่องบินโดยสารยุคใหม่ใน อีกสิบกว่าปีข้างหน้า?
     
       องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ (นาซา) เผยภาพต้นแบบเครื่องบินในอนาคต 3 ชนิด ซึ่งบินได้อย่างเงียบเชียบและใช้พลังงานคุ้มค่า โดยอาจนำมาใช้ได้จริงภายในปี 2025
     
       สิ้นปีที่ผ่านมา 3 ผู้ผลิตอากาศยานชั้นนำอย่าง ล็อคฮีด มาร์ติน, นอร์ธร็อป กรัมแมน และ โบอิ้ง ได้เซ็นสัญญากับ นาซา เพื่อทำการวิจัย, พัฒนา และทดสอบเครื่องบินของตนในปี 2011 ซึ่งหมายความว่า แนวคิดจากทั้ง 3 บริษัทล้วนมีโอกาสนำไปผลิตเครื่องบินจริงได้ทั้งสิ้น
นอร์ธร็อป กรัมแมน นำเสนอเครื่องบินแฝดซึ่งมีรูปร่างไม่ต่างจากปัจจุบันมากนัก
      
รูปแบบเครื่องบินโดยสารยุคใหม่ที่ ล็อคฮีด มาร์ติน เสนอ
       การคิดค้นดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ นาซา มีแผนจะสร้าง “สุดยอดอากาศยาน” ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า, บินได้เร็วกว่า, เงียบกว่า และเผาผลาญเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเครื่องบินในปัจจุบัน
     
       เกณฑ์ของนาซากำหนดให้เครื่องบินทุกแบบต้องสามารถบินได้เร็วถึง 85 เปอร์เซ็นต์ของความเร็วเสียงต่อเนื่องเป็นระยะทางราว 7,000 ไมล์ และต้องสามารถบรรทุกสินค้าหรือผู้โดยสารได้ระหว่าง 50,000-100,000 ปอนด์ ซึ่งหลังจากนี้บริษัททั้ง 3 จะใช้เวลาตลอดปี 2011 เพื่อพัฒนาและทดสอบเครื่องบินต้นแบบ ก่อนที่นาซาจะทำการคัดเลือก
     
       โฆษกของ ฟาสต์ คอมพะนี เว็บไซต์ด้านเทคโนโลยีและการประดิษฐ์ ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ เดอะ ฮัฟฟิงตัน โพสต์ ว่า “เนื่องจากการออกแบบเครื่องบินแต่ละรุ่นต้องใช้เวลานาน และอย่าลืมว่านวัตกรรมใหม่อย่าง โบอิ้ง 787 ดรีมไลเนอร์ ก็ยังเจอปัญหาทางเทคนิคหลายอย่าง ผมคิดว่า ทั้ง 3 บริษัทคงจะเริ่มออกแบบเครื่องบินยุคใหม่กันอย่างจริงจังแล้ว”
     
      
ชมภาพอากาศยานสุดไฮเทค

"โซลาร์ แฟลปเปอร์" เครื่องบินรูปทรงประหลาดที่นาซาออกแบบ เคลื่อนที่ด้วยการกระพือปีกและใช้พลังงานแสงอาทิตย์
      
รูปแบบยานอวกาศที่ ลุยกี โคลานี ออกแบบเพื่อสายการบิน เจแปน แอร์ไลน์ส
      
"พัฟฟิน" เครื่องบินส่วนบุคคลที่นาซาออกแบบ โดยจะสามารถบินได้เร็วกว่า 150 ไมล์ต่อชั่วโมง
      
อากาศยานรูปทรงจานบินซึ่งออกแบบโดยโครงการ "คลีนอีรา" ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งเนเธอร์แลนด์
      
"ไอคอน เอ5" สามารถร่อนลงจอดทั้งบนพื้นดินและพื้นน้ำ และเมื่อหุบปีกกว้าง 32 ฟุต ก็สามารถนำเข้าไปเก็บในโรงรถได้อย่างสบายๆ
from http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9540000005986


15 มกราคม 2554

ตัน ภาสกรนที ซีอีโอ แห่งปี 2553

การโหวตซีอีโอแห่งปี 2553 เป็นกิจกรรมประจำที่หนังสือพิมพ์ "ฐานเศรษฐกิจ" ดำเนินการขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้อ่าน"ฐานเศรษฐกิจ-ฐานออนไลน์" ได้มีส่วนร่วมในการเฟ้นหาสุดยอดซีอีโอ ที่มีผลงานโดดเด่นโดนใจประจำปี 2553

โดยเริ่มเปิดการโหวตทางwww.thanonline.com ขึ้นตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน ถึงเที่ยงคืนตรงวันที่ 23 ธันวาคม หรือปิดโหวตในเวลา 00.00 น. ของวันที่ 24 ธันวาคม 2553 ผลปรากฏว่า จากผู้เข้าร่วมโหวตจำนวนทั้งสิ้น 17,183 โหวต ผู้ที่ได้รับเสียงโหวตมากที่สุด จากจำนวนผู้บริหารทั้งหมด 15 คน ด้วยคะแนน 5,558 โหวต แซงหน้าอันดับสองที่คะแนนเบียดบี้พลิกไปมาในช่วงโค้งสุดท้าย จนต้องลุ้นระทึก ด้วยคะแนน 4,996 โหวต
ส่วนผลคะแนนที่ส่งผ่านทางโทรสารในช่วงของการโหวตเดียวกัน มีทั้งสิ้น 54 คะแนน กระจายไปยังซีอีโอ 6 ท่าน โดยโหวตเลือก"ตัน"ด้วย 1 คะแนน รวมทั้งหมดแล้วไม่เปลี่ยนผลการโหวตที่เกิดขึ้น
และผู้ที่คว้าตำแหน่งโหวตซีอีโอแห่งปี 2553 ไปครอง ได้แก่ "ตัน ภาสกรนที"
"ตัน ภาสกรนที" อดีตกรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ จำกัด (มหาชน) ผู้นำตลาดชาเขียวพร้อมดื่มเมืองไทย และปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธาน บริษัท ไม่ตัน จำกัด บริษัทน้องใหม่ล่าสุดในวงการอาหารและเครื่องดื่ม ที่ในวันนี้มีผู้ถือหุ้นเป็นคนรุ่นใหม่ เพิ่งพบปะหน้าตารู้จักกันเพียงไม่กี่เดือน ให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท ไม่ตัน จำกัด ถือเป็นแนวทางในการคัดเลือกพนักงานและผู้ถือหุ้นที่แปลกที่สุดก็ว่าได้ โดยทั้ง 10 คน (รวมคุณตันด้วย) จะเริ่มเดินหน้า เพื่อรุกตลาดในต้นปี 2554 เป็นต้นไป
alt ความเคลื่อนไหวและผลงานของ"ตัน" ที่ออกสู่สายตาผู้บริโภคในปี 2553 และสร้างให้"ตัน"โดดเด่น เป็นที่กล่าวขานมากที่สุด คือการประกาศลาออกจากตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการของโออิชิ ซึ่งเป็นบริษัทที่เขาให้กำเนิด และสร้างชื่อให้"ตัน"เป็นที่รู้จัก จนกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ทุกคนกล่าวถึงว่า "ตัน คือโออิชิ โออิชิคือตัน" และเป็นที่มาของชื่อ "ตัน โออิชิ" ในที่สุด
"ผมเคยเป็นลูกจ้าง เป็นลูกน้องคนอื่นมาก่อน ทำให้รู้ว่าลูกน้องต้องการอะไร เคยเป็นคนขายของ คนซื้อของ เป็นคนให้เช่า และเป็นผู้เช่า เป็นผู้ผลิตและผู้บริโภคมาก่อน ทำให้ผมเข้าใจทุกคน"
ส่วนนี้เป็นข้อได้เปรียบของตัน แต่บางคนที่เกิดมาแล้วเป็นหัวหน้าเลย หรือเกิดมาก็รวยเลย เขาก็ได้เปรียบอย่างหนึ่ง "เมื่อเราอยู่ตรงกลาง ทำให้เข้าใจว่าทุกองค์ประกอบในธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน พนักงาน และลูกค้า"
หากพนักงานได้รับการดูแลดี เขาก็จะดูแลลูกค้าดี เมื่อลูกค้าพอใจก็มาใช้บริการเรา สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนง่าย แต่เวลาทำให้ดีทำยาก เพราะทุกอย่างต้องบาลานซ์ให้ดี
แนวคิดใหม่ ๆ ในการบริหาร "ตัน"บอกว่าได้มาจากธรรมชาติทุกอย่างเกิดจากปัญหา ว่าทำไมลูกค้าหายไป ทำไมลูกค้าไม่กินร้านเรา ทำไมช่วงแรกบูม ลูกค้ามาทานเพราะอาหารอร่อยอย่างเดียว หรืออร่อยและบริการดีด้วย หรืออร่อย บริการดี มีส่วนช่วยสังคม
นอกเหนือจากการเป็นนักบริหารระดับแนวหน้าของเมืองไทยแล้ว "ตัน" ยังเป็นนักกิจกรรมเพื่อสังคมอันดับต้น ๆ การช่วยเหลือสังคม หรือซีเอสอาร์ (Corporate social responsibility : CSR) เป็นสิ่งที่ดี ทุกวันนี้ หลายบริษัท หลายคน ก็เน้นมาทำซีเอสอาร์ คืนสู่สังคม ทำเรื่องธรรมชาติมากขึ้นกว่าเดิมเยอะ เด็กรุ่นใหม่เองก็ให้ความสนใจเรื่องเหล่านี้มากขึ้น หลายคนอาจมองว่า การทำซีเอสอาร์ เป็นการทำเพื่อโปรโมตบริษัท ทำเพื่อหวังกำไร
"ใครทำดีแล้วได้ดี ถ้าเจ้าของหรือนักธุรกิจทั่วโลก ทำแล้วได้มากขึ้น ผมก็ยินดี ดีกว่าคนที่ทำแล้วได้คนเดียว ไม่คิดถึงลูกน้อง ไม่คิดถึงลูกค้า ไม่คิดถึงสังคมเลย แต่ถ้าเขาทำแล้วเขาขายได้มากขึ้น กำไรมากขึ้น แต่เขาก็ทำเพื่อสังคมมากขึ้นตามไปด้วย หากเขาจะขายได้มากขึ้น รวยขึ้น ผมก็ยินดีที่จะอุดหนุน"
"ตัน"บอกว่า นักธุรกิจในอนาคตต้องมี 2 ส่วน คือ ต้องทำกำไรให้บริษัท เพื่อความมั่นคงของตนเอง ขณะเดียวกันก็ต้องทำเพื่อสังคมด้วย การทำธุรกิจต้องทำกำไรให้ตนเอง ให้สังคม ลูกค้า และลูกน้อง ไม่ใช่แต่แข่งขันอย่างเดียว เพราะทุกส่วนสำคัญไปหมด ทุกวันนี้การแข่งขันมีเยอะ ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคเองก็มีการศึกษามากขึ้น เขาไม่ทำงานบริษัท เขาก็ทำธุรกิจส่วนตัว ซึ่งทำได้ง่ายขึ้น ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ต้องมีร้าน มีบริษัท มีโรงงาน แต่สมัยนี้มีคอมพิวเตอร์ตัวเดียวก็ทำงานมีรายได้ ไม่ต้องมีพนักงานขาย ไม่ต้องมีออฟฟิศ
เรื่องของโซเชียล เน็ตเวิร์ก เป็นเรื่องใหม่สำหรับ "ตัน" แต่"ตัน"ก็ไม่ชักช้าที่จะเรียนรู้ และต้องรู้จริง และในวันนี้"ตัน"จึงมี face book ของตนเอง และยังมีสมาชิกมากกว่า 102,000 คน ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือน ซึ่งที่นี่ทำให้"ตัน" รู้สึกเหมือนมีญาติเพิ่มขึ้นอีกแสนคน เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็จะถูกนำมาถ่ายทอด บอกเล่าต่อ ๆ กัน ทำให้ทุกวัน "ตัน" จะต้องแวะเวียนเข้าไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือสื่อสารยังแฟนคลับ ของเขาด้วยความนิยมในโซเชียล เน็ตเวิร์ก ทำให้"ตัน" ปิ๊งไอเดีย นำมาเป็นอีเวนต์สร้างสีสัน ในการเริ่มต้นดำเนินกิจการ บริษัท ไม่ตัน จำกัด ด้วยการวางเงื่อนไข เฟ้นหาคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้น หรือ The 9 Challengers ที่นำเสนอตัวตนผ่านคลิป ที่มีความยาวเพียงไม่กี่นาที แต่ก็มีผู้สมัครส่งคลิปเข้าร่วมกว่า 1,600 คลิป
ด้วยคลิปที่ถูกส่งเข้า มีทั้งคลิปของคนไทยในเมืองไทย และคนไทยในต่างประเทศ ที่สมัครมาจากอเมริกา ออสเตรเลีย กว่า 10 คน บางรายบินมาสมัคร บินมาสัมภาษณ์ ตั้งแต่วันที่ยังไม่เปิดบริษัท แต่คนก็แห่มาสมัคร หากไม่กำหนดเงื่อนไขทั้งเรื่องของอายุ การศึกษา หรือแม้กระทั่งการพรีเซนต์ผ่านคลิป อาจมีผู้สมัครเข้ามามากกว่าหมื่นคนก็เป็นได้
"บริษัทที่ยังไม่มียอดขาย ไม่มีรายได้ ไม่มีสินค้า แต่กลับมีคนมาสมัครเป็นพัน ๆ คน ถามว่าทำไมคนจึงสนใจ สิ่งเหล่านี้เกิดจากสิ่งที่ผมสร้างมา และน่าเสียดายหากผมทิ้งไป เมื่อประกาศลาออกจากการบริหารงานที่โออิชิ"
คนที่ส่งคลิปเข้ามาเก่ง ๆ ก็เยอะ บางคนก็งง ว่าทำไมเขาเก่งกว่าแต่ไม่ได้รับคัดเลือก เพราะเราเลือกคนเก่งอย่างเดียวไม่ได้ คนเก่งมีโอกาสมากมาย ผมพูดว่าต้องให้โอกาส คำว่าโอกาสไม่ใช่ให้คนเก่ง มีประสบการณ์เยอะ ทุกคนต้องเริ่มต้นจากไม่มีประสบการณ์ ผมก็ให้โอกาสคนที่ไม่เคยทำงานเลย คนที่ไม่มีประสบการณ์เลย ทั้ง 9 คนที่มาถือหุ้นในบริษัท ไม่ตันฯ จึงมีทั้งคนเก่งมาก เก่งน้อย เก่งคนละอย่าง
"ผมต้องการพนักงานเริ่มต้น 9 คน ก้าวเข้ามาในฐานะผู้ถือหุ้น โดยผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับหุ้นคนละ 3 แสนบาท หรือ 3 แสนหุ้น และสามารถเพิ่มหุ้นได้ด้วยการลงทุนจะด้วยเงินสดหรือการผ่อนชำระก็ได้"
ซึ่งในอนาคตผู้ถือหุ้นบริษัท ไม่ตัน จำกัด จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยคน พันคน หรือท้ายที่สุดทุก ๆ คนจะเข้ามาถือหุ้นก็ได้ ทำให้คนรุ่นใหม่สามารถเป็นเจ้าของกิจการได้ โดยไม่ต้องลงทุนเองทั้งหมด แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่า ช่วงแรกผมทำบริษัทได้ดีแค่ไหน เพื่อทำให้ทุกคนอยากเข้ามาร่วมงานด้วย
ตัน ภาสกรนที"คำว่าให้ ให้อะไรก็ได้ ให้โอกาส ให้งาน ให้คำแนะนำ เมื่อเขาเติบโต ร่ำรวย ประสบความสำเร็จ เขาก็ส่งมอบโอกาสแบบนี้ไปกับคนอื่น"
ความแตกต่างของ"ตัน" กับบริษัท ไม่ตัน จำกัด นอกเหนือจากการคัดเลือกผู้ถือหุ้น ด้วยกลวิธีที่ไม่เหมือนใคร พันธกิจที่"ตัน"กำหนดขึ้นคือ ผู้ถือหุ้นทั้งหมดจะถือหุ้นโดยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 50 ส่วนอีกร้อยละ 50 เป็นหุ้นในส่วนของ"ตัน" โดยกำไรที่เกิดขึ้นจากหุ้นในส่วนของ"ตัน" ร้อยละ 50 จะถูกนำไปมอบให้กับ"มูลนิธิตันปัน" ในปีแรก และเพิ่มขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงร้อยละ 90 ในปีที่ 9 ซึ่งเป็นปีที่"ตัน" ขอเกษียณการทำงาน และส่งไม้ต่อให้กับผู้บริหารรุ่นใหม่ ที่เข้ามาถือหุ้นในบริษัท
"กำไรที่ผมได้จะมอบให้กับมูลนิธิ ดังนั้นยิ่งผมทำมาก กำไรมาก มูลนิธิก็จะได้มาก"
เพราะสังคมต้องมีทั้งผู้รับและผู้ให้ ถ้าเราเคยเป็นแต่ผู้รับ พอ "มี" ก็หยุด เลิกราไม่ทำ แล้วใครล่ะจะเป็นผู้รับคนต่อไป แนวคิดนี้จุดประกายให้ เมื่อ"ตัน"เลิกบริหารโออิชิ ก็เลือกที่จะเปิดบริษัท ไม่ตัน จำกัดในเวลาต่อมา
ในวันนี้ "ตัน" กลายเป็นนักบริหารที่เป็นไอดอลของคนรุ่นใหม่ ซึ่ง "ตัน" เองบอกว่า เขาก็มีไอดอลในหัวใจเหมือนกัน ซึ่งไอดอลของเขาสอนให้เขาเรียนรู้ในหลากเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็น"คุณวันชัย จิราธิวัฒน์" ไอดอลด้านความประหยัด "ดร.เทียม โชควัฒนา" (ผู้ก่อตั้งสหพัฒนพิบูล) ไอดอลเรื่องของการต่อสู้ "คุณธนินท์ เจียรวนนท์" ไอดอลด้านการมองภาพกว้าง และคนดังระดับโลกอย่าง"บิล เกตส์ เฉินหลง" ฯลฯ ที่เป็นไอดอลด้านซีเอสอาร์
"ตัน"บอกว่า คนรุ่นใหม่ เป็นผู้ที่มีการศึกษาดี มีพื้นฐานดี และต้องการเป็นเจ้าของกิจการ กุญแจดอกสำคัญของความสำเร็จ คือ ต้องรู้จักยอมรับความเปลี่ยนแปลง ทุกวันนี้โลกเปลี่ยนแปลงเร็ว ธุรกิจก็ต้องเปลี่ยนแปลงเร็ว เมื่อการแข่งขันมากขึ้น ลูกค้ามีการศึกษามากขึ้น มีโอกาสเลือกมากขึ้น รับข่าวสารมากขึ้น โอกาสธุรกิจของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
"เราต้องอยู่ได้ภายใต้เงื่อนไขทุกสถานการณ์ เดี๋ยวนี้มีวิกฤติทุกไตรมาส การเมือง ธรรมชาติ เศรษฐกิจ หากเกิดส่งผลกระทบถึงกันหมด คุณต้องทำธุรกิจภายใต้เงื่อนไขที่ว่า อะไรเกิดขึ้นคุณก็ต้องอยู่ได้ หากการทำธุรกิจต้องอยู่ตรงนี้ ได้ลูกค้ากลุ่มนี้ ถ้าไม่ได้ก็ตาย.. ซึ่งก็เตรียมตัวเลย ตายแน่นอน... การทำธุรกิจจึงต้องรู้จักบริหารความเสี่ยง และอยู่ได้ทุกสถานการณ์"
เคล็ด (ไม่) ลับ จากสูตรเด็ดการบริหารของ "ตัน ภาสกรนที" ซีอีโอแห่งปี 2553 ที่พร้อมถ่ายทอดให้กับผู้บริหารทุกรุ่นทั้งใหม่และเก่าในปีกระต่ายสดใสนี้....

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,596
30 ธันวาคม พ.ศ. 2553 - 1 มกราคม พ.ศ. 2554

from http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=51288


บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (All Time)