30 พฤษภาคม 2554

'บิ๊กโคล่า' นายแน่มาก !

"บิ๊กโคล่า" แม้จะทำตลาดในไทยเพียง 5 ปี แต่มีอัตราเติบโตของกำไรสุทธิสูงสุด จังหวะเพลี่ยงพล้ำของเสริมสุข-เป๊ปซี่ เป็นโอกาสของ'ตาอยู่'บิ๊กโคล่า

เริ่มจากปีแรกที่ อาเจ กรุ๊ป (AJE GROUP) เจ้าของแบรนด์น้ำดำ บิ๊กโคล่า (Big Cola) เข้ามาเบียดตลาดในไทย ตอนนั้นมีมาร์เก็ตแชร์แค่ 10-15% เท่านั้น 5 ปีผ่านมา มาร์เก็ตแชร์ของบิ๊กโคล่าขยับขึ้นมามากถึง 22% กินพื้นที่แชมป์ตลอดกาลอย่างโค้กและเป๊ปซี่ ขณะที่อัตราเติบโตกำไรสุทธิในไทยยังสูงที่สุดเมื่อเทียบกับ 20 ประเทศทั่วโลกที่บิ๊กโคล่า เข้าไปเปิดตลาด จนกลายเป็นโมเดลที่หลายประเทศนำไปปรับใช้


นายคือใคร ? นายแน่มาก !

อาเจ กรุ๊ป คือ 1 ใน 20 ของบริษัทชั้นนำในโลกธุรกิจเครื่องดื่ม สัญชาติเปรู เป็นบริษัทชั้นนำในละตินอเมริกาที่สามารถครองตลาดน้ำดำในเขตอเมริกากลาง เช่น เปรู เอลซัลกวาดอร์ บราซิล โคลัมเบีย เวเนซุเอลา เม็กซิโก ส่วนกลุ่มประเทศเอเชีย พื้นที่ลงทุนใหม่ของอาเจ กรุ๊ป ได้แก่ ไทย เวียดนาม อินเดีย อินโดนีเซีย โดยมี "ไทย" เป็นฐานบัญชาการ นอกจากนี้อาเจ กรุ๊ปยังมีแผนจะเข้าไปลงทุนในจีน และฟิลิปปินส์ในเร็วๆ นี้


ชนินทร์ เทียนเจริญ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท อาเจ ไทย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายแบรนด์น้ำดำบิ๊กโคล่าในไทย ให้ข้อมูลกับกรุงเทพธุรกิจ BizWeek ว่า บิ๊กโคล่า อยู่ในตลาดน้ำดำมานานกว่า 20 ปีโดยครองตลาดในฝั่งละติน อเมริกา แต่เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา อาเจ กรุ๊ป ได้ขยายการลงทุนมาในเอเชีย โดยเริ่มจากการทำตลาดในไทยเป็นที่แรก เนื่องจากเห็นว่าเป็นตลาดที่มีอัตราการบริโภคน้ำอัดลมสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในเอเชีย


...ตลาดบิ๊กโคล่าในไทยโตเร็วมาก สวนทางตลาดรวม เขาบอก

"ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตลาดน้ำอัดลมในไทยโตไม่ถึง 5% ต่อปี หากประเมินเฉพาะตลาดน้ำดำ จะเห็นว่าแทบไม่เติบโต แต่เราโตปีละ 20-30% ใน 2 ปีแรก ปีที่ 3 เราโต 50% ปีที่ผ่านมาเราโต 30% ปีนี้เราตั้งเป้าจะโต 20% จะทำให้มาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ"


เมื่อเทียบกับตลาดทั่วโลกที่บิ๊ก โคล่า เข้าไปลงทุนใน 20 ประเทศแล้ว ชนินทร์บอกว่า ไทยถือประเทศที่บิ๊กโคล่ามีอัตราเติบโตของ"กำไรสุทธิ"สูงที่สุด และผู้นำในแนวทางการทำตลาด ที่หลายประเทศยึดเอา "ไทยโมเดล" ไปใช้

"อย่างที่บอกในไทยมีกำไรสุทธิมากที่สุดในโลก กลายเป็นต้นแบบการทำตลาดให้กับอาเจ กรุ๊ป ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการทำตลาด จากเดิมที่จะทำตลาดแบบ Conservative ตอนนี้พอเห็นรูปแบบการทำตลาดในไทยได้ผลแรงและเร็ว ก็นำเอาวิธีการทำตลาดแบบเมืองไทยไปใช้"

ชนินทร์มองว่า รายได้รวมในปีนี้ของอาเจ ไทยอาจจะถึง 8,000 ล้านบาท เติบโต 20% ทว่าเป้าหมายในใจที่คิดไว้นั่นสูงถึง 10,000 ล้านบาท หรือ 1 ใน 3 ของมูลค่าตลาดรวมธุรกิจน้ำดำที่ 30,000 ล้านบาท

ยิ่งในปีนี้ค่ายน้ำดำรายใหญ่อย่างเป๊ปซี่ ปิดตำนานทำธุรกิจในไทย 59 ปีกับเสริมสุข ชนินทร์บอกว่าน่าจะส่งผลดีต่อผู้เล่นในตลาดรายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นโค้ก หรือ บิ๊ก โคล่า ที่จะใช้โอกาสอันดีเช่นนี้ สอดแทรกตลาดในบางช่องทาง โดยเฉพาะในช่วง 1 ปีทองของการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของทั้งเป๊ปซี่ และเสริมสุข ส่งผลให้ "คู่ค้าเก่า" ของทั้งคู่อาจจะปรับเปลี่ยนสัญญาเอ็กซ์คลูซีฟ โดยเฉพาะสัญญาที่ใกล้จะครบกำหนด

ตรงนี้ที่อาจจะเปิดช่องทางให้บิ๊กโคล่า เข้าไปเจรจาเพื่อขอทำตลาดแทนได้ง่ายขึ้น เช่น ในโรงภาพยนตร์ หรือในพื้นที่อื่นๆ ที่เคยเป็นพื้นที่ของเสริมสุข "ชนินทร์" เล่า


"ไม่ใช่มีแค่เราเพียงค่ายเดียว ผมก็เข้าใจว่าโค้กก็เริ่มเข้าไปเจรจาแล้วเหมือนกัน ในเมื่อมีการปรับโครงสร้างระหว่างเป๊ปซี่กับเสริมสุข ทำให้เกิดช่องว่างของสัญญาที่กำลังจะหมดลง ตอนนี้มีลูกค้าเก่าของเสริมสุขหลายรายที่ติดต่อมาหาเรา เขาก็ถามๆ เรามาบ้างว่าสนใจไหม"


นี่อาจจะเป็นเหตุผลสำคัญที่จะดันรายได้ บิ๊กโคล่า ให้ถึงหมื่นล้านในปีนี้


อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาบิ๊กโคล่า มีช่องทางการจำหน่ายเอ็กซ์คลูซีฟในหลายพื้นที่ เช่น การจำหน่ายชาพร้อมดื่มบรรจุขวด "อาเจ คลูที" ในเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ อีจีวี และเมเจอร์ฮอลลีวู้ด ทุกสาขา ซึ่งเป็นสัญญาจัดจำหน่ายในช่องทางพิเศษ และเร็วๆ นี้ น่าจะมีบิ๊กโคล่าเข้าไปจำหน่ายบางพื้นที่ในโรงภาพยนตร์ ขณะที่ในสนามฟุตซอล สนามกอล์ฟ ก็มีบิ๊ก โคล่ากระจายเข้าไปจำหน่ายมากขึ้น

โดยในปี 2554 ชนินทร์บอกว่าจะเป็นปีที่บิ๊กโคล่า เติมเต็มช่องทางการตลาดให้มากขึ้น

เขายังออกตัวว่า คนที่ได้ประโยชน์จริงๆ กรณีความขัดแย้งระหว่างเสริมสุข เป๊ปซี่ น่าจะเป็นค่ายโคคา โคล่า มากกว่าบิ๊กโคล่า เพราะในขณะนี้ โค้กครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นที่ 2 เขายังวิเคราะห์ว่า มีโอกาสที่จะเห็นโค้กมีมาร์เก็ตแชร์ขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในปีนี้ สำหรับเขาแล้ว บิ๊กโคล่าแข่งกับตัวเองมากกว่า เพราะบริษัทยังมีช่องว่างทางการตลาดอีกมากที่จะต้องเติมเต็มให้ครอบคลุมก่อน

จากสถานการณ์ธุรกิจน้ำดำในเมืองไทย ทำให้เขาวิเคราะห์ว่าในปี 2555 ตลาดน้ำดำในไทยจะมีผู้เล่นเพิ่มขึ้นอีก 1 ราย "เป็น 4 ราย" แต่จะเป็นเสริมสุขมาผลิตน้ำดำเองหรือไม่ เขาไม่ฟันธง จากปรากฏการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นทำให้บิ๊กโคล่า ต้องเตรียมความพร้อมรับมือเช่นกัน

"ผมกำลังมองว่าเสริมสุขจะทำแบรนด์อะไรออกมา หรืออย่างเป๊ปซี่อาจจะตั้งหน่วยกระจายสินค้าเอง หรือ จ้างบริษัทกระจายสินค้าที่มีอยู่ในเมืองไทยหลายๆ บริษัทกระจายสินค้าให้"

เขายังบอกว่าด้วยว่า ตั้งแต่มีข่าวแตกหักทางธุรกิจระหว่างเสริมสุขกับเป๊ปซี่ ยังไม่ได้รับการติดต่อจากทางเสริมสุขแต่อย่างใด พร้อมปฏิเสธว่า บริษัทแม่ (อาเจ กรุ๊ป) "ไม่มีนโยบาย" ที่จะให้บริษัทลูกในต่างประเทศร่วมเป็นพันธมิตรกับใครแน่นอน เนื่องจากโมเดลธุรกิจของอาเจกรุ๊ป เน้นลงทุนเอง 100%

สำหรับ "บิซิเนส โมเดล" ที่ทำให้ บิ๊กโคล่า ประสบความสำเร็จในไทยแบบถล่มทลายนั้น ชนินทร์บอกว่า เกิดจากการทำตลาดแบบโลคอล แต่มีวิธีคิดเป็นโกลบอล (Think global but make localize) โดยใช้กลยุทธ์ด้านราคาเป็นตัวชูโรง โดยเขามองว่า การที่บิ๊กโคล่า เป็นทั้งผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเอง ทำให้ต้นทุนแข่งได้ ซึ่งถือเป็นเทรนด์ของการทำธุรกิจน้ำดำ จะเห็นได้จากเป๊ปซี่ในหลายประเทศที่ผลิตและทำตลาดเอง ยกเว้นในไทย

นอกจากนี้ หากย้อนกลับไปในช่วงแรกของการทำตลาดบิ๊กโคล่าในไทย จะพบว่า บิ๊กโคล่า เลือกที่จะทำตลาดในต่างจังหวัดก่อน จะเรียกว่าเป็นกลยุทธ์ป่าล้อมเมืองก็ไม่ผิดนัก ชนินทร์บอก โดยกลยุทธ์ดังกล่าวทำไปพร้อมกับการเล่น "สงครามราคา" ด้วยการขายตัดราคาคู่แข่งเริ่มต้นที่ขวดละ 10 บาท ขณะที่คู่แข่งขายที่ราคาขวดละ 17 บาท เป็นผลทำให้สุดท้ายคู่แข่งต้องหันมาเล่นราคากับบิ๊กโคล่า ทำให้ปัจจุบันราคาขายในตลาดห่างกันแค่ขวดละ 2 บาท ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่ได้ผลมากในตลาดต่างจังหวัด เพราะตลาดน้ำดำ เป็นเครื่องดื่มที่ทดแทนกันได้

เขายังบอกว่า ปัจจุบันบิ๊กโคล่า ครอบคลุม Traditional Trade (ร้านค้าปลีกดั้งเดิม โชห่วย) ในไทยสัดส่วน 80% จากจำนวนร้านค้าทั้งหมดราว 5 แสนร้านค้า ขณะที่ครอบคลุม Modern Trade รวม 80-90%

นอกจากกลยุทธ์ด้านราคาแล้ว สิ่งที่บิ๊กโคล่า นำมาใช้เป็นจุดขายคือ การเป็นเครื่องดื่มน้ำดำที่ไม่มีกาเฟอีน โดยหวังจะจับกลุ่มลูกค้าที่มีอายุน้อยกว่าคู่แข่ง ได้แก่ กลุ่มเด็กนักเรียนประถม และมัธยม ขณะเดียวกันยังอัดแคมเปญ Extreme Life Style Marketing เข้ามาช่วยทำการตลาด โดยเขาบอกว่า ไม่ได้ "ก๊อบปี้" มาจากค่ายกระทิงแดง แม้จะเคยทำงานอยู่ที่นั่นมา 6 ปี เนื่องจากกระทิงแดงเป็น Extreme sport Marketing เป็นการแข่งกีฬาที่ผาดโผน

แต่สำหรับบิ๊กโคล่าเน้นไปที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่มีไลฟ์สไตล์ที่ผาดโผน เช่น วัยรุ่นที่ชอบเล่นเจ็ทสกี เรือบังคับ ขี่จักรยาน รวมกลุ่มเป็นแก๊ง เป็นกลุ่มคนที่มาทำกิจกรรมร่วมกัน

นอกจากนี้บิ๊กโคล่า ยัง มองไปถึงการแตกไลน์สินค้าไปสู่ตลาดเครื่องดื่มอื่นๆ รองรับการเติบโตของบริษัท เริ่มที่อาเจ คูลที และกำลังจะมีสินค้าในแบรนด์อื่นๆ ออกมาตามอีกในตลาดเมืองไทย

"ในละตินอเมริกาเรามีสินค้าทั้งหมดมากกว่า 20 SKU (หมวดสินค้า) โดยมีน้ำดำเป็นเรือธงของเราอยู่แล้ว น้ำผลไม้ "ซีฟฟรุต" ก็เป็นหนึ่งในตลาดละตินอเมริกา เรายังมีแบรนด์เครื่องดื่มเกลือแร่ที่แข็งแรงในละตินอเมริกา ชนะคู่แข่งอย่างเกเตอเรด ยังมีน้ำเปล่า น้ำแร่ โซดา เบียร์ รวมไปถึงเครื่องดื่มชูกำลัง"

ขณะที่เป้าหมายที่ท้าทายของอาเจ กรุ๊ป ในตลาดโลก ชนินทร์บอกว่า ผู้บริหารเอเจ กรุ๊ป ยังฝันใหญ่ที่จะเป็น "ผู้นำ" ตลาดเครื่องดื่มระดับโลก ให้ได้ภายในปี 2563

“จริงๆ แล้วมันก็เป็นวิชั่นของผู้บริหารที่ต้องการจะแย่งมาร์เก็ตแชร์คู่แข่ง โดยวางวิชั่นไว้ภายใน 10 ปีนับจากปี 2553 อาเจ กรุ๊ปจะเป็นผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มในระดับโลก ซึ่งตอนนี้ในละตินอเมริกาเราถือว่าเป็นบริษัทที่ค่อนข้างใหญ่ในระดับต้นๆ ในหมวดเครื่องดื่มที่เรามีจำหน่ายทุกประเทศในละตินอเมริกา แม้ว่าในเอเชียอาเจ กรุ๊ป จะเพิ่งทำตลาดไป 4 ประเทศ แต่ถ้าในเมืองไทยเราสามารถแข่งกับเจ้าตลาดอย่างโค้กและเป๊ปซี่ได้”

--------------------------------------
Brand Relevance ทางลัดสู่ "อินเตอร์แบรนด์"

มีคนเข้าใจว่าบิ๊กโคล่าเป็นแบรนด์โลคอล ทั้งๆที่อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากฝั่งละตินอเมริกา แม้อาเจ ไทยจะเลือกทำตลาดแบบโลคอล แต่ก็อยากให้ผู้บริโภคเข้าใจถูกต้องว่าเป็นแบรนด์อินเตอร์

การสลัดภาพแบรนด์โลคอลจึงเกิดขึ้นเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา พร้อมๆ กับการเข้ามาทำงานที่บิ๊กโคล่าของชนินทร์ ด้วยการเดินกลยุทธ์ Brand Relevance หรือการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับความรู้สึกในใจผู้บริโภคให้อยู่หมัด ด้วยการดึงแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งไปผูกกับอีกแบรนด์หนึ่ง เพื่อเสริมภาพลักษณ์ซึ่งกันและกัน กรณีของบิ๊กโคล่า คือการดึง Inter Brand มาผูกกับบิ๊กโคล่า โดยเฉพาะในเกมบอล


ที่บิ๊กโคล่าตัดสินใจเลือกใช้ทีมสิงโตคำราม ทีมชาติอังกฤษ มาเชื่อมโยงกับแบรนด์บิ๊กโคล่า เมื่อครั้งการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 เมื่อปีที่ผ่านมา ด้วยการเซ็นสัญญาภายใต้โครงการ "Big Cola Be England" และ "Big Cola Be Champion" ในการให้ความสนับสนุนทีมชาติอังกฤษ ทำให้ภาพลักษณ์แบรนด์ทันสมัยและดูอินเตอร์ขึ้นทันตา และที่มากไปกว่านั้นกระแสฟุตบอลโลกเมื่อปีที่ผ่านมาทำให้บิ๊กโคล่าดูเป็นแบรนด์ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นทันที

"เราต้องรีบสร้างภาพลักษณ์ความเป็น Inter Brand ขึ้นมาเพื่อยกระดับภาพลักษณ์สินค้า ประกอบกับในช่วงนั้นคู่แข่งพยายามที่จะลงมาเล่นกลยุทธ์ราคากับเรา คือว่าพยายามจะตั้งราคาชนกับเรา อาจจะตั้งราคาสูงกว่านิดหน่อยทำให้เกิดช่องว่างระหว่างราคาน้อยมาก เราก็ต้องทำให้แบรนด์มีภาพลักษณ์ทัดเทียมคู่แข่ง"

from http://is.gd/TSc2wH


25 พฤษภาคม 2554

TICON ออกหุ้นกู้ 650 ลบ.อายุ 5 ปี กำหนดดอก​เบี้ย 4.23%ต่อปี

บมจ.​ไทคอน อินดัส​เทรัยล คอน​เน็คชั่น (TICON) ​ได้ออกหุ้นกู้ วง​เงิน​ไม่​เกิน 650 ล้านบาท อายุ 5 ปี ​หรือครบกำหนด​ไถ่ถอน​ในปี 2559 อัตราดอก​เบี้ยคงที่ 4.23%ต่อปี ชำระทุก 6 ​เดือน ​เสนอขาย​ให้กับ​ผู้ลงทุนสถาบัน​หรือ ​ผู้ลงทุนราย​ใหญ่​เมื่อ 18-20 พ.ค.ที่ผ่านมา ​ซึ่งธนาคาร ซี​ไอ​เอ็มบี ​ไทย ​เป็น​ผู้จัด​การจำหน่ายหุ้นกู้

หุ้นกู้ดังกล่าว​ได้รับ​การจัดอันดับ​ความน่า​เขื่อถือ ระดับ A ​แนว​โน้ม​เครดิต stable ​โดยบริษัท ทริส ​เรทติ้ง จำกัด ​เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2554
​การระดมทุนจากหุ้นกู้ดังกล่าว บริษัทจะนำ​ไปขยาย​การลงทุน ​และ นำ​ไปชำระคืน​เงินกู้

from http://is.gd/9ZOURv


PRIN ออกหุ้นกู้ 400 ลบ. อายุ 2 ปี กำหนดดบ.6.10%ต่อปี ขาย 28-30 พ.ค.

บมจ.ปริญสิริ (PRIN) ออกหุ้นกู้วง​เงิน​ไม่​เกิน 400 ล้านบาท อายุ 2 ปี ​หรือครบกำหน​ไถ่ถอน​ในปี 2556 กำหนดอัตราดอก​เบี้ย 6.10%ต่อปี จ่ายดอก​เบี้ยทุก 6 ​เดือนตลอดอายุหุ้นกู้

ตาม​ไฟลิ่งที่​เสนอต่อสำนักงานคณะกรรม​การกำกับหลักทรัพย์​และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ระบุว่าบริษัทจะ​เสนอขายหุ้นกู้​ให้ผุ้ลงทุนสถาบันร​และนักลงทุนราย​ใหญ่ ​ในวันที่ 28-30 พฤษภาคม 2554 ผ่าน บล.​เอ​เซียพลัส ​ซึ่ง​เป็น​ผู้จัด​การจัดจำหน่ายหุ้นกู้

หุ้นกู้ดังกล่าว​ได้รับ​การจัดอันดับ​ความน่า​เชื่อถือของบริษัท BBB- ​แนว​โน้มอับดับ​เครดิต stable ​โดยบริษัท ทริส​เรทติ้ง จำกัด ​เมื่อวันที่ 16 ​เมษายน 2553

บริษัทมีวัตถุประสงค์ที่จะนำ​เงินที่​ได้จากจาก​การ​เสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้​เพื่อ​ใช้​ใน​การลงทุน ​ใน​โครง​การต่างๆของบริษัท ​หรือ​ใช้​เป็น​เงินทุนหมุน​เวียน

from http://www.ryt9.com/s/iq05/1155492


16 พฤษภาคม 2554

เฉลยข้อสอบสัมภาษณ์งาน 3

List บทความที่เกี่ยวข้อง
  • เฉลยข้อสอบสัมภาษณ์งาน (1) Link
  • เฉลยข้อสอบสัมภาษณ์งาน (2) Link
  • เฉลยข้อสอบสัมภาษณ์งาน (3) Link



เราเคยคุยกันเรื่องแนวทางการเตรียมตัวเตรียมใจให้คำตอบยามไปสมัครงาน ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่ หรือท่านที่เห็นว่าได้เวลาต้องขยับขยาย ย้ายงาน

ย้ายหน้าที่ โดยมีผู้อ่านหลายท่าน ได้สอบถามเพิ่มเติมถึงบางประเด็นอย่างเจาะจง ว่าจะหาที่ลงอย่างไร ขอให้ขยายความ

สัปดาห์นี้จึงขออนุญาตเล่าเพิ่มเติมถึงหัวข้อหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่านโดยรวมค่ะ

“คุณอยากเป็นอะไรใน 5 ปีข้างหน้า”

อูลาล่า! เตรียมหาคำตอบไว้ได้เลยค่ะ

ก่อนอื่นใด ไม่ว่าใครจะมาถามเราเรื่องนี้หรือไม่ เราก็ควรตอบตัวเองได้ ไม่ต้องรอให้ใครมาไล่เรียงเหมือนถูกขึ้นเขียง ได้แต่ตอบเสียงอ่อยๆ เพราะไม่ค่อยเคยใช้เวลา “ค้นหาตัวเอง”

ใช่เลยค่ะ หัวใจคือ ต้องค้นหาตัวเองให้พบ จะได้ไม่เป็นมนุษย์สายพันธุ์ผักตบ ที่ลอยฟ่องล่องไป ไหลเอื่อยเรื่อยๆ ตามกระแสน้ำ ค่ำไหนนอนนั่น ทิ้งฝันไว้ที่ฝั่ง ฟากที่เหมือนแสนห่างไกล เพราะจำไม่ได้ว่าเคยคิดอยากเป็นอะไร

ลองหาเวลาตั้งหลัก พักจากความวุ่นวาย ตอบตัวเองให้ได้ว่า

เราให้ความสำคัญเรื่องอะไร เป้าหมายชีวิตคืออะไร

เป้าหมายเรื่องงานที่จะสอดประสานกับเป้าหมายชีวิต และสิ่งที่เราให้ความสำคัญคืออะไร

ต้องทำอะไรเพื่อให้ได้เป้าหมายนั้น

สำหรับมือใหม่ในการทำงาน หากตอบไม่ได้ทันที ไม่ต้องกังวลค่ะ เพราะคนทำงานรุ่นเก๋าจำนวนไม่น้อย ก็มิได้ค่อยเคยไล่เรียง หรือเลียบเคียงถามตนเองเช่นเดียวกัน

แม้เราได้ถามตนเองอย่างตั้งอกตั้งใจ คำตอบก็ไม่ได้มาง่ายๆ ตลอดจนหากได้คำตอบแล้ว เมื่อกาลเวลาพ้นผ่าน คำตอบอาจเปลี่ยนไปตามสภาวะแห่งความเป็นจริง เพราะชีวิตไม่เคยนิ่ง

เอาเป็นว่า เมื่อได้แนวทางแล้ว จะวางหมากอย่างไรดี เมื่อต้องตอบคำถามนี้ตอนที่ถูกสัมภาษณ์

ประเด็นแรก คือ การตอบแบบหลอก กลอกกลิ้งไปมา เป็นวิธีที่อาจทำให้ได้ความสำเร็จระยะสั้น แต่ในระยะยาว ที่เราหลอกใครๆ ไว้ ไม่น่าจะปิดมิด ทั้งหลอกใครอาจหลอกไหว แต่หลอกตัวเองได้ไม่น่าสนุก

แต่ ตอบอย่างไร้ศิลปะ กะว่าฉันแน่ ฉันเป็นของฉันเช่นนี้ ถามจริงตอบตรง พี่รับได้ก็ดี รับไม่ได้ ก็...ปัญหาของพี่ ก็ถือเป็นวิธีหนึ่งในการรับมือกับคำถาม เหมาะกับกรณีที่ไม่ง้องาน จึงไม่ต้องทำการบ้าน ไม่ต้องเตรียม ไม่ต้องไตร่ตรองให้เปลืองสมอง เพราะที่บ้านเลี้ยงผมได้จนแก่ครับ

ดังนั้น ศิลปะของความ "พอดี" เป็นศิลปะที่คนทำงานต้องเรียนรู้ เพราะต้องใช้ศิลปะนี้อีกมากมายนักในชีวิต

ความพอดีในการตอบคำถามนี้ มีข้อแนะนำคือ



1. เข้าใจว่าผู้สัมภาษณ์ต้องการได้ข้อมูลใดจากการถามคำถามนี้

ผู้ถาม คงอยากได้ข้อมูลหลายชั้น ที่กลั่นได้จากคำถามเดียว

- คนนี้เห็นเราเป็นทางผ่านหรือไม่ จะต้องเหนื่อยกายเหนื่อยใจหาคนใหม่ในอนาคตอันใกล้หรือไม่ ฟังได้จากฝันอีก 5 ปี เช่น ตอบว่า พี่ขา หนูอยากมีกิจการเป็นของตนเองภายใน 5 ปี ผู้สัมภาษณ์คงฟันธงง่ายว่า ขอให้ไปที่ชอบๆ ขอบคุณครับ

- ผู้สัมภาษณ์อยากรู้ว่าสิ่งที่ผู้สมัครฝันใฝ่ ไปได้เหมาะไหมกับงานนี้

อาทิ งานนี้เป็นงานวางแผน งานวิเคราะห์ แต่น้องหนู "อยากทำงานกับคนหมู่มาก ได้พบปะผู้คน ได้ดูแลลูกค้า" ท่านคงแนะนำว่าหางานที่เหมาะกับแนวหนู ดูจะไปได้ไกลกว่า

- ผู้สัมภาษณ์อยากเข้าใจพฤติกรรมของผู้ถูกสัมภาษณ์ว่าวางแผนเป็นไหม มองไกลหรือไม่ มุ่งมั่นขนาดไหน

การตอบอย่างหนักแน่น หรือเลื่อนลอย ฝอยฟุ้ง ล้วนสะท้อนตัวตนคนพูด

ดังนั้น หากทำการบ้านและช่างสังเกตผู้ถาม เราน่าจะสามารถวางขอบเขตการตอบได้พอเหมาะ โดยทั้งเจาะใจผู้สัมภาษณ์ และไม่ต้องใช้ศาสตร์ของการด้นสด หรือโป้ปดหมดทุกข์

ทำการบ้าน เช่น หากเป็นตำแหน่งการขาย หรือ ขยายธุรกิจ ผู้ครองตำแหน่งคงต้องกล้าก้าว กล้ารุก กล้าบุกไปข้างหน้า กล้าฟันธง

ยิ่งทำความเข้าใจบทบาทของผู้สัมภาษณ์ ยิ่งอ่านสถานการณ์ได้ขาด เช่น ท่านเป็นผู้รับผิดชอบเป้าหมายการขยายธุรกิจ ทั้งมีลีลาที่ดูรวดเร็ว มุ่งมั่น ตรงประเด็น เมื่อตอบ กรุณาอย่าพิรี้พิไร ไม่ต้องเลียบค่าย อ้อมคู

"ผมหวังว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า จะเป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญในการขยายธุรกิจของบริษัท โดยใช้ประสบการณ์ด้านการขายเป็นพื้นฐานของการเข้าใจลูกค้า ตลาด และคู่แข่ง ทั้งในปัจจุบันและอนาคตอย่างรู้จริง"

หากผู้ถามเป็นฝ่ายบุคคล ดูลีลาอารี ไม่รุกไล่ ใส่ใจความรู้สึก ผู้ตอบอาจเสริมประเด็นเรื่องคน ปนไปอย่างกลมกลืน อาทิ

"ผมหวังว่าในอีก 5 ปี จะช่วยนำพาทีมพัฒนาธุรกิจไปสู่ความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ต้องทำงานร่วมกับฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างระบบที่จะรองรับการเติบโต จะได้สามารถขยายงานอย่างมีรากฐานที่มั่นคง และยืนยงในอนาคต"



2. เน้นการเรียนรู้และพัฒนา

ในโลกปัจจุบันของการทำงาน ทุกคนอยู่เฉยกับที่ไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องความรู้ ความชำนาญ ตลอดจนวิชาการที่ไม่เคยอยู่นิ่ง วิ่งหนีเราตลอด

ดังนั้น พลาดยาก หากตอบคำถามนี้ โดยเน้นประเด็นการพัฒนา อย่างไม่จำเป็นต้องฟันธงขาด แบบเทกระจาดว่า

“ผมมองตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายไว้ในอีก 5 ปีข้างหน้า” (โดยลืมนึกไปว่าผู้สัมภาษณ์อยู่ในตำแหน่งนี้ และยังไม่มีทีท่าว่าจะได้เลื่อนไปที่ใดในอนาคตอันใกล้)

โดยอาจตอบแบบแสดงความจริงใจว่า “ผมอาจไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดใน 5 ปี แต่ที่ตั้งใจอยากทำเต็มที่ คือเพิ่มทักษะและความเชี่ยวชาญในการขาย ตลอดจนการบริหารทีมขาย เพื่อในอนาคตจะได้มีโอกาสเป็นหัวหน้างานที่มีประสบการณ์ช่ำชอง ทั้งด้านเนื้องานและการบริหารคน” เป็นต้น

ย้ำอีกครั้งว่า ทั้งหมดที่เราคุยกัน มิได้เน้นการปดหรือปิดบัง แต่ฉลาดเลือกประเด็น ฉลาดพูด และฉลาดอารมณ์ เพื่อเข้าถึงผู้ฟัง ให้ได้ทั้งใจ และได้ทั้งงาน

เพราะการแข่งขันวันนี้ เก่งงานและรู้ตัวของตนคนเดียว น่าจะเหี่ยวแห้งหัวโต

ต้องเสริมความอ่อนนอก แต่แกร่งใน ทั้งเก่งคน เก่งโน้มน้าวจิตใจ...ไปไหนๆ วงไม่แตกค่ะ



ที่มา http://is.gd/VsYJCd


15 พฤษภาคม 2554

กสิกรไทย ขายหุ้นกู้เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ 3 ปี ดอกเบี้ย 3 ปี 3.77% และ 5 ปี 3.98%

นายกฤษฎา ล่ำซำ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย และนายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ ร่วมลงนามในสัญญาแต่งตั้งผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ 2,500 ล้านบาท ดอกเบี้ย 3 ปี 3.77% และ 5 ปี 3.98% เปิดจองซื้อ 23-30 พฤษภาคม 2554 ที่ธนาคารกสิกรไทย

from http://is.gd/cgRWZv


14 พฤษภาคม 2554

Dollar Cost Averaging

เจอบทความเรื่อง Dollar Cost Averaging จาก tmbam.com(reference) เลยอยากนำมาแชร์ครับ

ใครๆ ก็คงอยากซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำสุดและขายออกไปตอนที่ราคาสูงสุด แต่จะมีซักกี่คนที่จะบอกได้ว่าตอนไหนคือจังหวะที่จะต้องซื้อหรือขายได้อย่างแม่นยำจริงๆ แต่ในความเป็นจริงอาจกลายเป็นว่าซื้อตอนที่แพงและขายออกไปในตอนที่ถูกแทนก็ได้MoneyWise ฉบับนี้ขอแนะนำวิธีการลงทุนที่เห็นว่ามีประโยชน์ต่อผู้ลงทุนทั่วไป และสามารถนำมาใช้ปฏิบัติได้ง่ายๆ เรียกว่า "Dollar Cost Averaging" หรือการลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน แม้ว่าจะยังไม่มีวิธีที่สามารถบอกว่าจุดที่ราคาต่ำสุดคือเมื่อใด แต่อย่างน้อยก็จะช่วยลดความเสี่ยงที่คุณจะนำเงินลงทุนทั้งหมดไปซื้อหุ้นที่ราคาสูงสุดได้

หลักการง่ายๆ ของการลงทุนแบบ Dollar Cost Averaging ก็คือ คุณกำหนดวงเงินที่จะลงทุนเป็นงวด งวดละเท่าๆ กัน เช่น ลงทุนเป็นรายเดือนหรือรายไตรมาสโดยไม่สนใจว่าราคาหุ้นจะขึ้นหรือลง จากการที่คุณลงทุนโดยซื้อหุ้นเป็นจำนวนเงินที่เท่าๆกันทุกครั้งนี้ ทำให้คุณซื้อหุ้น(หรือหน่วยลงทุน)ได้ในจำนวนที่มากขึ้นในช่วงที่ราคาต่ำและจำนวนที่น้อยกว่าในขณะที่หุ้นมีราคาสูง ข้อดีของการกระจายลงทุนแบบนี้ก็คือ ถ้าตลาดมีความผันผวนมาก หรือเป็นตลาดขาลง คุณมีโอกาสที่จะขาดทุนน้อยกว่าการลงทุนด้วยเงินทั้งหมดที่มีไปในคราวเดียว

ตัวอย่างของการลงทุนตามวิธี Dollar Cost Averaging หากคุณตั้งใจจะลงทุนซื้อหน่วยลงทุน 2,000 บาท ทุกๆเดือน เป็นเวลา 1 ปี เปรียบเทียบกับการซื้อหน่วยลงทุน 24,000 บาทในคราวเดียวที่ราคา 10 บาท


เดือน
เงินลงทุน
ราคาซื้อต่อหน่วย
จำนวนหน่วยลงทุน
มกราคม
2,000
10
200.00
กุมภาพันธ์
2,000
11
181.82
มีนาคม
2,000
12
166.67
เมษายน
2,000
14
142.86
พฤษภาคม
2,000
11
181.82
มิถุนายน
2,000
10
200.00
กรกฎาคม
2,000
9
222.22
สิงหาคม
2,000
9
222.22
กันยายน
2,000
8
250.00
ตุลาคม
2,000
6
333.33
พฤศจิกายน
2,000
8
250.00
ธันวาคม
2,000
10
200.00
รวม/เฉลี่ย
24,000
9.41
2,550.94


ด้วยเงินลงทุนทั้งหมด 24,000 บาท เท่ากัน ด้วยวิธีลงทุนในคราวเดียว จะได้หน่วยลงทุนจำนวน 2,400 หน่วย แต่ถ้าลงทุนด้วยวิธี Dollar Cost Averaging จะซื้อหุ้นได้จำนวน 2,550.94 หุ้น ซึ่งมีต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยเพียง 9.41 บาท

จะเห็นว่าการลงทุนแบบ Dollar Cost Averaging นี้ แม้จะไม่ได้ทำให้คุณลงทุนที่จุดต่ำสุดที่ 6 บาท/หน่วยทั้งหมด แต่ก็สามารถป้องกันไม่ให้คุณนำเงินลงทุนทั้งหมดที่มีไปซื้อที่ราคา 14 บาท/หน่วยไว้ด้วย ประเด็นสำคัญของการลงทุนแบบ Dollar Cost Averaging นี้คือหากคุณลงทุนด้วยเงินจำนวนเท่าๆกันแล้ว เมื่อหุ้นลงจะทำให้คุณซื้อหุ้นได้จำนวนมากขึ้น และเมื่อหุ้นขึ้นจะทำให้คุณซื้อหุ้นได้น้อยลง พอเฉลี่ยกันแล้วทำให้ต้นทุนการลงทุนของคุณไม่สูงจนเกินไป

ข้อดีของการลงทุนแบบ Dollar Cost Averaging นอกจากจะช่วยกระจายความเสี่ยงของการลงทุนไปในช่วงเวลาต่างๆ แล้ว ยังเป็นการสร้างวินัยในการลงทุน ช่วยให้ไม่หวั่นไหวไปกับความผันผวนของตลาด (ซึ่งก็ผันผวนเป็นปกติอยู่แล้ว) เช่น ซื้อเพิ่มมากๆ ในช่วงที่ราคาขึ้นสูง หรือขายออกในช่วงที่ราคาตกต่ำ

อย่างไรก็ตามการลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุนนี้ไม่ได้รับประกันว่าคุณจะกำไรเสมอไป หรือ ไม่มีทางขาดทุน แต่คุณก็มั่นใจได้ว่าคุณไม่ได้มีต้นทุนที่ราคาสูงสุด และไม่ได้ถูกล่อลวงให้ขายในราคาต่ำสุด แต่หากคุณลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุนนี้คุณจะเข้าไปซื้อหุ้นเรื่อยๆแม้ว่าราคาหุ้นจะลดลงก็ตาม คุณก็ยังมีโอกาสที่ดีกว่าในการที่จะทำกำไรเมื่อตลาดกลับเป็นขาขึ้น

อีกตัวอย่างหนึ่ง คัดลอกมาจาก moneychannel.co.th(link) ซึ่งลงทุนแบบ dollar cost averaging ทุกเดือน เดือนละ 1,000 บาท


มูลค่าเงินลงทุนจากการทยอยลงทุนทุกเดือน เดือนละ 1,000 บาท
จำนวนปีที่ออม
ผลตอบแทนที่คาดหวัง
2%
6%
10%
5
63,123
69,824
77,172
10
132,816
163,264
201,458
20
294,718
455,646
723,987
30
492,075
979,256
2,079,293


จากตารางข้างต้นจะเห็นได้ถึงมหัศจรรย์แห่งดอกเบี้ยทบต้น โดยถ้ายิ่งเริ่มต้นออมได้เร็วเท่าไหร่ก็จะยิ่งทวีค่าเงินออมได้เร็วขึ้นเท่านั้น แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของการออมอย่างมีวินัย

- ในอัตราผลตอบแทนเท่ากันที่ 2% ผู้ที่เริ่มต้นออมก่อนจะได้เงินถึง 132,816 บาท เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี แต่ถ้าเริ่มต้นช้าสัดส่วนของเงินออมที่จะทวีค่าเพิ่มขึ้นก็จะน้อยลงด้วยเช่นกัน

- การออมเงินเพียงเดือนละ 1,000 บาท จะสามารถกลายเป็นเกือบ 1 ล้านบาทได้ภายในเวลา 30 ปี ที่ผลตอบแทนเฉลี่ย 6%

- ผลตอบแทนที่สูงก็จะต้องมีความเสี่ยงที่สูงตามมาด้วย แต่ถ้าไม่อยากเสี่ยงและหวังผลตอบแทนเพียงแค่ 2% ก็อาจไม่ครอบคลุมกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นได้

Dollar Cost Averaging in the real world
ตัวอย่างการทำ dollar cost averaging กับกองทุนรวม scbdv แต่จำนวนเงินอาจจะไม่เท่ากันทุกเดือน (เน้นเฉพาะหลักการการทะยอยซื้อเรื่อยๆ ด้วยจำนวนเงินน้อยๆ)

ข้อมูลจนถึงวันที่ 12 พ.ค. 2554




บวกด้วยเงินปันผล



หุ้นกลุ่มเหล็ก "เก็งกำไรก็น่าสนใจ ซื้อรอปันผลก็ได้"

เมื่อเศรษฐกิจโดยรวมเริ่มฟื้นตัว ผลิตภัณฑ์เหล็กถูกคาดหมายว่าจะมีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น จะทำให้ราคาเหล็กปรับสูงขึ้น นั่นหมายความว่าผลการดำเนินงานของผู้ประกอบการจะออกมาสวยงาม ผลลัพธ์จะสะท้อนออกมาผ่านราคาของหุ้นกลุ่มเหล็ก

ปีนี้มีการประเมินกันว่าความต้องการเหล็กทั้งโลกจะเพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว เช่นเดียวกับความต้องการใช้เหล็กในประเทศไทย โดยสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย ประเมินอัตราการเติบโตของการบริโภคเหล็กในประเทศปีนี้ว่าจะเติบโตขึ้น 9-14% หรือมีการบริโภคเหล็กราวๆ 15.5 ล้านตัน

อุตสาหกรรมที่ผลักดันให้ความต้องการเหล็กดูดีในปีนี้ ได้แก่ ก่อสร้าง โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ๆ เช่น รถไฟฟ้าสายสีม่วงและสีน้ำเงิน และอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่ยังคงมีการเติบโตสูง

"ทั้ง 2 อุตสาหกรรมมีการใช้เหล็กในปริมาณสูง ดังนั้นหากมีการขยายตัวจะทำให้อุตสาหกรรมเหล็กขยายตัวตามไปด้วย" ประสิทธิ์ รัตนกิจกมล CFA, CISA รองผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าว

สำหรับราคาเหล็ก หากอ้างอิงจาดตลาดโลก ได้ปรับตัวขึ้นมาพอสมควร โดยราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนปรับขึ้นประมาณ 22% จากต้นปีที่ผ่านมา ส่วนราคาเหล็กเส้นขยับขึ้นมาแล้ว 12% เหตุผลที่ราคาเหล็กขยับขึ้นประสิทธิ์ อธิบายว่ามาจากต้นทุนการผลิตสินค้าสูงขึ้น (Cost push)

"สุดท้ายเมื่อต้นทุนการผลิตขยับขึ้น จะถูกผลักดันให้ราคาเหล็กต้องปรับขึ้นตาม"
โดยราคาเหล็กในประเทศไทยได้ปรับขึ้นมาแล้วเพื่อสะท้อนราคาในตลาดโลก "ปริมาณการบริโภคเหล็กของไทยถือว่าน้อยมากหากเทียบกับปริมาณกการบริโภคทั้งโลก อีกทั้งบ้านเราเป็นประเทศนำเข้าวัตถุดิบเพื่อผลิตเป็นเหล็ก ดังนั้นถ้าราคาเหล็กในตลาดโลกขยับขึ้นหรือลง ราคาเหล็กในบ้านเราก็ต้องขยับตามไปด้วย" ประสิทธิ์ กล่าว

หากพูดถึงผลิตภัณฑ์เหล็ก แบ่งออกได้ 2 ประเภท ได้แก่ เหล็กทรงแบนหรือเหล็กแผ่น และเหล็กทรงยาวหรือเหล็กเส้น โดยในปีนี้ประสิทธิ์ประเมินว่าเหล็กแผ่นจะมีอนาคตสดใสมากกว่าเหล็กเส้น เพราะว่าความต้องการใช้มีความหลากหลายกว่า เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ต้องใช้เหล็กแผ่นในปริมาณสูง

นอกจากนี้ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา SSI และ GSTEEL ยื่นเรื่องกับทางการเพื่อขอให้ใช้มาตรการภาษีต่อต้านการทุ่มตลาด (Anti-dumping) สินค้าเหล็กแผ่นเพื่อสกัดกั้นการนำเข้าเหล็กจากจีนและมาเลเซีย โดยก่อนหน้าได้มีการใช้มาตรการภาษีแบบนี้กับเหล็กแผ่นที่นำเข้ามาจาก 14 ประเทศแล้ว

"อัตราภาษีนี้อยู่ที่ระดับ 30.91 - 42.51% ซึ่งเป็นกำแพงที่ปิดกั้นการนำเข้าเหล็กของผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กของไทย จะทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ๆ อย่าง SSI และ GSTEEL ได้ประโยชน์" ประสิทธิ์ เล่า

หากเป็นเช่นนี้ จะส่งผลให้ราคาขายเหล็กแผ่นปรับตัวขึ้น (ปัจจุบันอยู่แถวๆ 24 บาทต่อกิโลกรัม) เพราะหากดูราคานำเข้าวัตถุดิบ (Slab) ที่จะนำเข้ามารีดแผ่นเหล็กรีดร้อนอยู่ที่ระดับ 750 เหรียญสหรัฐต่อตัน หรือเกือบ 23 บาทต่อกิโลกรัม

"ถ้ารวมต้นทุนค่าขนส่ง ภาษี ดอกเบี้ย ราคาเหล็กก็ควรจะขยับขึ้นไปอยู่แถวๆ 26 - 27 บาทต่อกิโลกรัม" ประสิทธิ์ ประเมิน

สำหรับเหล็กเส้น ประสิทธิ์มองว่า ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจะน้อยกว่าเหล็กแผ่น เนื่องจากความต้องการเหล็กเส้นขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมก่อสร้างเป็นหลัก ถึงแม้จะมีสัญญาณการก่อสร้างหลายๆ โครงการในประเทศ แต่การใช้เหล็กเส้นจะค่อยเป็นค่อยไป

นั่นหมายความว่าราคาเหล็กเส้นก็จะปรับขึ้นช้าๆ "ดังนั้นในแง่ทั้งความต้องการและราคาขายของเหล็กแผ่นจะดูดีกว่าเหล็กเส้น" ประสิทธิ์ บอก


มองหุ้นกลุ่มเหล็ก

สำหรับผู้ผลิตเหล็กแผ่นที่น่าสนใจ เช่น SSI และ GSTEEL จะได้รับประโยชน์จากภาวะเชิงบวกแบบนี้ เช่นเดียวกับ CSP และ TMT ซึ่งเป็นผู้ซื้อเหล็กแล้วนำไปผลิตต่ออีกทอดหนึ่งก็จะได้รับผลพลอยได้เช่นเดียวกัน ขณะที่ผู้ผลิตเหล็กเส้นที่ได้รับประยชน์ต้องดูเป็นรายบริษัท

ยกตัวอย่างเช่น TSTH เป็นผู้ผลิตเหล็กเส้นรายใหญ่สุดในไทย ซึ่งความจริงแล้วน่าจะได้ประโยชน์ในภาวะที่ดีแบบนี้ เพียงแต่ว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีการลงทุนเตาถลุงเหล็กขนาดเล็ก ซึ่งช่วงศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนนั้นประเมินว่าต้นทุนวัตถุดิบคือ สินแร่เหล็ก และ Coke จะไม่สูงเหมือนทุกวันนี้

"ในช่วง TSTH ลงทุนประเมินว่าจะได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ โดยเฉพาะการลดต้นทุนและเพิ่มคุณภาพสินค้า แต่เมื่อโครงการนี้เริ่มดำเนินการกลับทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นตามราคาวัตถุดิบที่ถีบตัวขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตเหล็กเส้นจากโรงงานแห่งนี้สูงมาก" ประสิทธิ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ประสิทธิ์มองว่าในระยะยาวแล้ว TSTH จะได้รับประโยชน์อย่างมากจากโรงงานแห่งนี้ "ในช่วงสั้นๆ พวกเขาต้องแบกรับต้นทุนไปก่อน" เขาชี้ "ผมอยากให้จับตามอง TSTH ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ ถ้างานก่อสร้างขยายตัวทำให้ความต้องการเหล็กเส้นเพิ่มสูงขึ้นจะทำให้ราคาเหล็กเส้นปรับขึ้น โรงงานถลุงเหล็กแห่งนี้จะกลับมาทำกำไรได้"
ส่วนผู้ประกอบการเหล็กเส้นอีกแห่ง ก็คือ BSBM ซึ่งมีกระบวนการผลิตซื้อเหล็กแท่งแล้วนำมารีดเป็นเหล็กเส้น จะได้รับประโยชน์สูงสุดหรือทำกำไรได้ดีจากภาวะความต้องการเหล็กกำลังขยับขึ้น ก็ต่อเมื่อบริษัทสามารถซื้อวัตถุดิบได้ในต้นทุนต่ำแค่ไหน ซึ่งจากข้อมูลพบว่าพวกเขาสามารถซื้อวัตถุดิบได้ในราคาค่อนข้างต่ำ

"ผมเชื่อว่าในช่วงครึ่งแรกปีนี้ มาร์จิ้นในการขายของ BSBM จะอยู่ในระดับที่สูงมาก" ประสิทธิ์ บอก

สำหรับ SSI หลังจากไปซื้อโรงงานผลิตวัตถุดิบที่อังกฤษ ประสิทธิ์มองว่าเป็นดีลที่ดี เพราะในอดีตที่ผ่านมาพวกเขามีผลการดำเนินงานค่อนข้างผันผวน เนื่องจากต้องนำเข้า วัตถุดิบ คือ Slab หลายเกรดเข้ามาเพื่อผลิตเหล็กในแต่ละประเภท ทำให้ต้องสต็อกวัตถุดิบค่อนข้างเยอะ แต่ที่ผ่านมาราคาเหล็กค่อนข้างผันผวน ซึ่งตามหลักทางบัญชีบริษัทจะต้องตั้งสำรองเวลาเกิดผลขาดทุนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการขาย หากนำวัตถุดิบนั้นมาผลิตเป็นสินค้า ทำให้งบการเงินผันผวน

ประกอบกับ SSI มีวัตถุดิบในการนำเข้ามาผลิตเหล็กทำได้ไม่เต็มที่ ถือเป็นข้อจำกัดพอสมควร ถึงแม้ว่าจะมีความสามารถในการรีดเหล็กปีละ 4 ล้านตัน แต่จากข้อจำกัดด้านวัตถุดิบทำให้การใช้กำลังการผลิตที่ทำได้ไม่เต็มที่นัก "เมื่อพวกเขามีโรงงานผลิตวัตถุดิบที่อังกฤษ ทำให้ปลดล็อกข้อจำกัดเรื่องการจัดหาวัตถุดิบได้ แต่ในระยะสั้นๆ นี้พวกเขาจะต้องแบกรับต้นทุนและค่าใช้จ่ายจากการซื้อโรงงานที่อังกฤษ คงต้องดูกันในระยะยาว"


กลยุทธ์ลงทุนหุ้นกลุ่มเหล็ก

หากนักลงทุนที่สนใจลงทุนหุ้นกลุ่มเหล็ก ประสิทธิ์แนะนำให้จับตาดูเรื่องผลการดำเนินงานเพราะโดยภาพรวมแล้วเชื่อว่าผลดำเนิงานของผู้ผลิตเหล็กจะออกมาน่าประทับใจ โดยเฉพาะตัวเลขในช่วงครึ่งแรกปีนี้ "ราคาเหล็กอยู่ในช่วงขาขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะมีต้นทุนวัตถุดิบเมื่อปลายปีที่แล้ว ทำให้มาร์จิ้นออกมาค่อนข้างสูง"

เขามองว่าบริษัทที่ซื้อวัตถุดิบเข้ามาในราคาต่ำและมีสต็อกวัตถุดิบในระดับสูง ได้แก่ SSI, BSBM และ CSP "หุ้นเหล่านี้ นักลงทุนสามารถลงทุนด้วยการเก็งกำไรผลประกอบการครึ่งแรกปีนี้ได้" ประสิทธิ์ บอก "หุ้นเหล่านี้สามารถเก็งกำไรได้ในช่วงครึ่งแรกของปี ส่วนครึ่งหลังของปีจะต้องดูว่าพวกเขาจะมีโอกาสซื้อวัตถุดิบได้ในราคาถูกบ่อยๆ หรือไม่"
ขณะที่นักลงทุนต้องการลงทุนหุ้นที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ และสามารถลงทุนไปแล้วถือในระยะยาวๆ ได้ ให้มองหุ้น TMT, MCS และ CSP "กลยุทธ์ลงทุนหุ้นจ่ายปันผลแบบนี้ คือ ถ้าเห็นราคาหุ้นอ่อนตัวลงค่อยเข้าไปซื้อ" ประสิทธิ์ แนะนำ

สำหรับหุ้นเหล็กขนาดใหญ่ TSTH ประสิทธิ์มองว่าในระยะสั้นอาจจะได้รับผลกระทบจากโครงการลงทุนโรงเตาถลุงเหล็กขนาดเล็ก ที่จะเป็นปัจจัยกดดันผลการดำเนินงาน แต่หากทุกอย่างเข้าที่เข้าทางจะกลายเป็นบริษัทที่มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจระยะยาว
เช่นเดียวกับ SSI หากมองการดำเนินธุรกิจในระยะยาวจะมีศักยภาพมาก และจะเป็นบริษัทที่มีการเติบโตด้านผลการดำเนินงานที่น่าประทับใจ แต่ในระยะสั้นๆ นี้อาจจะต้องแบกรับต้นทุนจากการซื้อโรงงานผลิตวัตถุดิบที่อังกฤษ "แต่มองว่าทุกอย่างได้ถูกสะท้อนเข้าไปในราคาหุ้นหมดแล้ว เพราะราคาหุ้นได้ปรับลดลงมาอย่างมาก"

ดังนั้น หากมองเป็นโอกาส ถ้านักลงทุนต้องการเน้นลงทุนหุ้นกลุ่มเหล็กและต้องการ Capital gain หวังว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ก็ต้องจับตามอง SSI และ TSTH "ผมมองว่าหุ้นสองตัวนี้เป็นหุ้น Turn around แต่ก็เป็นหุ้นประเภท High Risk, High Return" ประสิทธิ์ บอก

อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มเหล็กจะมีความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง บางจังหวะสภาพคล่องอาจจะสูงแต่บางจังหวะอาจจะหายไปดื้อๆ โดยเฉพาะหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดกลางและเล็ก เช่น TMT, CSP, MCS หรือ BSBM ส่วนหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ เช่น SSI และ TSTH จะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องสภาพคล่องนัก

ส่วนความเสี่ยงที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด ประสิทธิ์แนะนำให้ดูความเคลื่อนไหวราคาเหล็ก เพราะมีผลกระทบทั้งด้านผลการดำเนินงานของบริษัท และต่อจิตวิทยาของนักลงทุน "ถ้าราคาเหล็กเป็นขาขึ้น งบการเงินจะออกมาดี จิตวิทยาของนักลงทุนจะดีตามไปด้วย แต่ถ้าเมื่อไรที่ราคาเหล็กเป็นขาลงทุกอย่างจะดูไม่ดีไปหมด ดังนั้นหากจะลงทุนหุ้นกลุ่มเหล็กต้องเพิ่มความระมัดระวัง และหากข้อมูลการลงทุนยังคลุมเครือควรสอบถามมาร์เก็ตติ้งและนักวิเคราะห์"

เนื่องจากหุ้นกลุ่มเหล็กจะมีผลการดำเนินงานค่อนข้างผันผวนไปตามราคาเหล็ก ดังนั้นในการประเมินราคาหุ้นนั้นถ้าบริษัทไหนมีผลกำไรที่ดีต่อเนื่องจะใช้วิธี P/E Ratio (โดยปกติแล้วหุ้นกลุ่มเหล็กจะมี P/E Ratio ประมาณ 8-10 เท่า)

ส่วนบริษัทที่มีผลการดำเนินงานขาดทุน จะใช้วิธีการประเมินหุ้นแบบ P/BV Ratio "ดังนั้นหุ้นที่มีศักยภาพดี มี Outlook เชื่อว่า Price to Book ประมาณ 1 เท่าก็สามารถลงทุนได้ ยิ่งหุ้นที่มีราคาต่ำกว่า Book value ก็ถือว่ามีความปลอดภัยสูงขึ้น" ประสิทธิ์ อธิบาย



from http://is.gd/sWA7XN


10 หุ้นปันผลยอดเยี่ยมตลาดหลักทรัพย์ mai

ปีที่ผ่านมา หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กกลายเป็นที่นิยมของนักลงทุนอย่างเห็นได้ชัด กระแสนี้ไม่เพียงเกิดกับบบริษัทจดทะเบียนในตลาด SET เท่านั้น แต่พบว่าหุ้นจากตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ หลายแห่งก็เป็นที่สนใจของนักลงทุนเช่นกัน นั่นเพราะผลประกอบการที่เติบโตได้ดีในภาวะเศรษฐกิจผันผวน ระดับราคาที่น่าเข้าลงทุน และการจ่ายปันผลที่มีอย่างต่อเนื่อง หลายคนจึงติดใจเสน่ห์ของหุ้นเล็กเหล่านี้จนต้องหามาติดพอร์ตลงทุนไว้เสมอ

จากข้อมูลในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2553 พบว่าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) กว่า 5.22 หมื่นล้านบาท มีจำนวนบริษัทจดทะเบียน 65 ราย โดยนับจากต้นปีพบว่า mai Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 25%

ขณะที่ Performance ของบริษัทจดทะเบียนในงวด 9 เดือนแรกพบว่า 63 บริษัทที่ส่งงบการเงินสามารถทำกำไรสุทธิรวม 1,980 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% และมียอดขายรวม 39,886 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า

ในจำนวนนี้ M&W ได้คัดเลือก 10 บริษัทจากตลาดหลักทรัพย์ mai โดยพิจารณากลุ่มที่มีอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) สูงสุดในช่วงปี 2553 ซึ่งพบว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอัตราเงินปันผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในช่วงดังกล่าวซึ่งอยู่ที่ประมาณ 3.35% สะท้อนถึงศักยภาพในการดำเนินธุรกิจและเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดในการประเมินมูลค่าหุ้นว่ามีผลตอบแทนกลับคืนสู่ผู้ถือหุ้นอย่างโดดเด่น


   หุ้นตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอที่มีอัตราเงินปันผลตอบแทนสูงสุด 10 อันดับแรก
หุ้น
อัตราเงินปันผลตอบแทน (%)
กำไรสุทธิ (ล้านบาท)
ROE (%)
P/BV (เท่า)
P/E (เท่า)
2551
2552
9 เดือน/2553
SALEE
11.89
41
97
71.40
14.77
1.80
11.85
TRT
8.96
204
221
117.22
27.79
1.62
6.64
UBIS
8.30
57
70
60.40
28.07
3.77
12.94
JUBILE
7.95
52
60
72.78
30.20
3.14
11.65
2S
7.86
113
92
70.54
13.37
1.11
8.46
DM
7.35
39
38
35.61
22.13
1.56
7.41
QLT
7.02
57
70
34.44
23.98
2.43
10.56
GFM
6.94
342
248
187.03
24.82
1.88
7.99
ILINK
6.72
102
115
22.35
9.14
1.17
12.84
BOL
6.68
75
70
44.21
33.48
5.11
15.51
ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 
หมายเหตุ :   * ข้อมูล ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2553


SALEE ปันผลสูงสุด 11.89%

เริ่มกันที่ บมจ.สาลี่อุตสาหกรรม (SALEE) เป็นบริษัทที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลตอบแทนสูงสุดถึง 11.89% โดยการจ่ายปันผลในระดับสูงเช่นนี้เป็นผลจากแนวโน้มการทำกำไรที่ดีขึ้นของบริษัท

โดยในปีที่ผ่านมา SALEE มีการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทสูงขึ้น ตั้งแต่การตัดสินใจขาย “เอสซี วาโด” บริษัทย่อยที่ทำธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีความผันผวนซึ่งส่งผลต่อผลประกอบการโดยรวมของ SALEE

นอกจากนี้ บริษัทยังประกาศร่วมทุนกับ Pago Holding AG (PAGO) ผู้ผลิตฉลากผลิตภัณฑ์และเครื่องติดฉลากจากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ โดย PAGO เข้าถือหุ้นในบริษัทลูกและเปลี่ยนชื่อเป็น “พาโก้ สาลี่ พริ้นท์ติ้ง” ส่งผลให้ SALEE มีโอกาสขยายธุรกิจการผลิตฉลากสินค้าไปสู่ตลาดที่กว้างขึ้น มีการนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้ รวมถึงเพิ่มโอกาสในการรับงานจากลูกค้ากลุ่มบริษัทข้ามชาติ

สำหรับโครงสร้างธุรกิจใหม่นี้ นักวิเคราะห์พากันคาดว่าจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของ SALEE จะมีเสถียรภาพและทรงตัวในระดับสูงมากขึ้น รวมถึงมีโอกาสสูงที่กำไรจะปรับตัวสูงจากอดีตอย่างต่อเนื่อง


TRT หุ้นสู้วิกฤติ

ผลกำไรงวด 9 เดือนแรกของ บมจ.ถิรไทย (TRT) อยู่ที่ 117.22 ล้านบาท จากรายได้รวม 1,132 ล้านบาทซึ่งสะท้อนถึงการฟื้นตัวของธุรกิจตามปริมาณการส่งมอบงานที่ดีขึ้นหลังจากต้องเผชิญกับวิกฤติการเมืองในประเทศ ส่งผลให้ลูกค้าส่วนใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชนชะลอการส่งมอบงานออกไป อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีการจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างโดดเด่นในปีที่ผ่านมา โดยมีอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อผู้ถือหุ้นสูงเป็นอันดับ 2 คือ 8.81%

TRT ทำธุรกิจด้านการผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาถือเป็นหุ้นตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง จุดเด่นของธุรกิจนี้อยู่ที่ปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าของคนในประเทศซึ่งส่งผลต่อดีมานด์การใช้หม้อแปลงไฟฟ้าด้วย สำหรับปีนี้ปัจจัยหนุนของ TRT คือปริมาณงานในมือที่คาดว่าจะอยู่ที่ราว 1.4 พันล้านบาท รวมถึงการขยายงานไปยังต่างประเทศซึ่งจะส่งผลดีต่อรายได้ของบริษัทในระยะยาว


UBIS รายได้ยังเติบโต

บมจ.ยูบิส (เอเชีย) (UBIS) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางเคมีคุณภาพสูงชนิดพิเศษ โดยมีธุรกิจหลักคือแล็คเกอร์เคลือบกระป๋อง และยางยาแนวฝากระป๋องซึ่งนำไปใช้ในอุตสาหกรรมผลิตกระป๋องโลหะสำหรับบรรจุอาหารและเครื่องดื่ม ปีที่ผ่านมาบริษัทได้รับผลกระทบจากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น และภาวะการส่งออกอาหารทะเลกระป๋องที่ลดลงส่งผลให้กำไรในไตรมาส 3 ปรับตัวลดลง

แต่ในงวด 9 เดือน พบว่ารายได้รวมยังคงเติบโต 12% อยู่ที่ 466.54 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 60.4 ล้านบาท โดยบริษัทรั้งตำแหน่งบริษัทที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงเป็นอันดับ 3 ของตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ที่ 8.30%


JUBILE กำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์

JUBILE หรือ บมจ.ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ ทำผลงานได้ดีเป็นประวัติการณ์ในปีที่ผ่านมา ปัจจุบันบริษัทขยายสาขาเป็น 77 แห่งขณะที่ยอดขายในสาขาเดิมยังเติบโตในระดับสูงส่งผลให้บริษัทสามารถรักษาการเป็นผู้นำตลาดขายเครื่องประดับผ่านเคาน์เตอร์เป็นอันดับหนึ่งไว้ได้

โดยปีนี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มีมุมมองที่ดีต่อหุ้น JUBILE โดยคาดว่าจะได้แรงหนุนจากการแข็งค่าของเงินบาทที่ส่งผลให้มีต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบที่ลดลง รวมถึงการขยายตัวของการบริโภคในประเทศที่จะมีผลต่อการเติบโตของรายได้และกำไร ซึ่งปีนี้บริษัทยังมีแผนขยายสาขาเป็น 90 แห่ง รวมถึงการออกสินค้าใหม่สำหรับลูกค้าหลายกลุ่มซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มยอดขายในปีนี้ให้เติบโตได้ดีอีกทางหนึ่ง




2S ผลประกอบการตก แต่อัตราปันผลสูง

บมจ.2 เอส เมทัล (2S) (ชื่อเดิม : บมจ.เซาท์เทิร์นสตีล) เป็นอีกหนึ่งหุ้นกลุ่มเหล็กที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากยอดขายที่ลดลงในช่วงที่ผ่านมาส่งผลให้บริษัทมีกำไรงวด 9 เดือนปี 2553 เท่ากับ 70.54 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 87.26 ล้านบาท
โดยพบว่าบริษัทได้รับผลกระทบหนักในช่วงไตรมาส 3 จากปริมาณการขายที่ลดลงซึ่งมีสาเหตุมาจากแนวโน้มราคาผลิตภัณฑ์เหล็กที่ปรับตัวลดลงและทำให้มียอดการสั่งซื้อสินค้าชะลอตัว บวกกับภาวะค่าเงินบาทแข็งค่าส่งผลให้ลูกค้าต่างประเทศชะลอคำสั่งซื้อสินค้าออกไป อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงมีอัตราการจ่ายเงินปันผลในระดับสูงเป็นอันดับ 5 ที่ 7.86 %



DM รายได้และกำไรสม่ำเสมอ

บมจ.ธนมิตร แฟคตอริ่ง (DM) ประกอบธุรกิจแฟคตอริ่งหรือธุรกิจบริหารลูกหนี้การค้าโดยมีลูกค้าหลักคือผู้ประกอบการกลุ่มโมเดิร์นเทรด ปีที่ผ่านมาบริษัทได้รับแรงหนุนจากสภาพเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวส่งผลให้มูลค่าการรับซื้อเอกสารเพิ่มขึ้นและมีกำไรสุทธิเติบโตในระดับสูงคือ 35.61 ล้านบาทใกล้เคียงกับกำไรสุทธิของปีก่อนหน้า

ทั้งนี้ DM ถือเป็นหุ้นที่มีผลประกอบการค่อนข้างสม่ำเสมอเนื่องจากมีรายได้จากกลุ่มลูกค้าที่มีความสัมพันธ์กันมายาวนานอย่างกลุ่ม CPN ประกอบกับความสามารถในการบริหารความเสี่ยงส่งผลให้ระดับหนี้เสียค่อนข้างต่ำ ส่งผลให้ DM มีการจ่ายเงินปันผลต่อผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่องโดยคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 7.35 %



QLT คาดกำไรฟื้นตัวในปี 2554

บมจ.ควอลลีเทค มีอัตราการจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ 7.02 % เป็นอันดับ 7 ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ โดยปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจด้านงานบริการตรวจสอบวิศวกรรมให้แก่บริษัทในธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมี นักวิเคราะห์คาดว่า ผลประกอบการในปี 2553 ที่เริ่มเห็นเทรนด์การฟื้นตัวสะท้อนโอกาสในการโตต่อเนื่องในปีนี้

โดยคาดว่าธุรกิจบริการทดสอบและตรวจสอบทางวิศวกรรมจะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมในปีนี้ โดยเฉพาะหลังจากที่ปัญหาในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดคลี่คลายลงไป ทั้งนี้ผู้บริหารให้ภาพรวมว่าในปีนี้ บริษัทมีงานในมือที่จะรับรู้ได้ราว 200 ล้านบาท นอกจากนี้ QLT ยังได้เข้าประมูลโครงการท่อส่งก๊าซที่ 4 ของ ปตท. มูลค่า 140 ล้านบาท ซึ่งหากบริษัทได้รับการคัดเลือกก็จะรับรู้เป็นรายได้ในปี 2554 – 2555




GFM ลงทุนเพิ่มรับโอกาส

บมจ. โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ (GFM) ผู้ประกอบการธุรกิจส่งออกเครื่องประดับอัญมณี มีกำไรสุทธิงวด 9 เดือนปีที่แล้ว เท่ากับ 187 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.2% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าจากปริมาณยอดขายที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่ปีนี้ แม้บริษัทยังมีความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และทิศทางราคาวัตถุดิบทองและเงินในตลาดโลกซึ่งปรับตัวสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดในปีที่ผ่านมาจนส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงก็ตาม

แต่หากพิจารณาจากการลงทุนขยายกำลังการผลิตในโรงงานแห่งใหม่เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาสะท้อนว่าบริษัทมีโอกาสรับออเดอร์ที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้บริษัทยังมีแผนออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่และบุกตลาดแถบยุโรปและอเมริกาเหนืออย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ GFM เป็นอีกบริษัทที่น่าจะเติบโตได้ดีต่อเนื่องในปีนี้



ILINK ลุ้นฟื้นตัวจากงานประมูลปี 2554

แม้ว่าผลประกอบการของ บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น (ILINK) งวด 9 เดือนปีที่แล้ว จะออกมาต่ำอย่างน่าตกใจ โดยบริษัทมีกำไรเพียง 22.35 ล้านบาท แต่มุมมองของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างให้เครดิตว่า ILINK จะสามารถพลิกกลับมาเติบโตโดดเด่นอีกครั้ง เริ่มจากไตรมาส 4 ปีที่แล้วที่จะทยอยรับรู้รายได้จากธุรกิจ Engineering เพิ่มขึ้น
ขณะที่ปีนี้ บริษัทมีแผนเข้าประมูลงานในหลายโครงการ มูลค่ารวมราว 1.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งแม้จะมีความเสี่ยงด้านแนวโน้มการได้รับงานประมูลและความล่าช้าของการประมูล แต่ผู้บริหารก็ตั้งเป้ารายได้รวมปีนี้ไว้ที่ 1,435 ล้านบาท จาก 3 กลุ่มงานหลักคือ Distribution, Engineering และ Telecom



BOL ลงทุนเพิ่มรับการเติบโต

อันดับ 10 หุ้นปันผลเด่นตกเป็นของ บมจ.บิซิเนส ออนไลน์ (BOL) ซึ่งมีอัตราการจ่ายปันผลที่ระดับ 6.68 % แม้ว่าปีที่ผ่านมาจะเป็นปีที่งานด้านการบริหารข้อมูลข่าวสารได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำส่งผลให้ 9 เดือนแรกปีที่แล้ว บริษัทมีกำไรเพียง 44.2 ล้านบาท

แต่ผู้บริหารคาดว่าโดยภาพรวม BOL จะเติบโต 10% จากปีก่อนหน้า ทั้งนี้บริษัทยังมีการลงทุนเพิ่มเติมด้วยการตั้งบริษัทย่อยซึ่งมีทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาซอฟท์แวร์สำหรับงานวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มโอกาสและลดความเสี่ยงทางด้านธุรกิจ รวมถึงการวิจัยเพื่อนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ ใช้ร่วมกับกับฐานข้อมูลเพื่อพัฒนาซอฟท์แวร์เพื่อสนองความต้องการของตลาดในอนาคต

from http://is.gd/ixmbvk


บัวหลวงออกเงินฝาก15เดือนดอกเบี้ย3.0% ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม 2554 ถึง 20 มิถุนายน 2554

ธนาคารกรุงเทพออกผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำ 15 เดือน ดอกเบี้ย 3.00% ต่อปี เริ่ม 18 พ.ค.-20 มิ.ย.54

นายสุวรรณ แทนสถิตย์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) เปิดเผยว่า ธนาคารได้มอบข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าเงินฝาก ด้วยผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำ ระยะเวลาการฝาก 15 เดือน อัตราดอกเบี้ย 3.00% ต่อปี โดยธนาคารจะจ่ายดอกเบี้ยเมื่อครบระยะเวลาการฝาก กำหนดจำนวนเงินฝากแต่ละยอดไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม 2554 ถึง 20 มิถุนายน 2554

เงินฝากประจำ 15 เดือน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับลูกค้าที่สนใจในผลิตภัณฑ์ทางด้านการออม ซึ่งนอกจากเงินฝากประจำประเภทดังกล่าวแล้ว ธนาคารยังมีเงินฝากสินมัธยะทรัพย์ทวี (ฝากในจำนวนเท่ากันทุกเดือน ระยะเวลาการฝาก 24 เดือนขึ้นไป ซึ่งผู้ฝากได้รับการยกเว้นภาษีดอกเบี้ยเมื่อฝากครบตามเงื่อนไข) กองทุนรวม พันธบัตร บริการประกันชีวิตสะสมทรัพย์ ทั้งนี้ สามารถติดต่อขอเปิดบัญชีหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ทุกสาขาทั่วประเทศของธนาคารกรุงเทพ บริการธนาคารทางโทรศัพท์ บัวหลวงโฟน โทร.1333 หรือ www.bangkokbank.com

from http://is.gd/NF79hK


01 พฤษภาคม 2554

โคคาโคล่า .. ได้รับความนิยมในมากกว่า 200 ประเทศทั่วโลก

โลโก้ของ บริษัทโคคาโคล่า


รถรางโฆษณาโค้กในเยอรมนี
พิพิธภัณฑ์โค้กที่ลาสเวกัส


โค้ก (Coke) หรือ โคคาโคล่า (Coca Cola) คือเครื่องหมายการค้าของบริษัทโคคาโคล่า สำนักงานใหญ่อยู่ที่ แอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ในสหรัฐอเมริกา โค้กเป็นน้ำอัดลมชนิดน้ำโคล่า ที่ได้รับความนิยมในมากกว่า 200 ประเทศทั่วโลก

โดยมีคู่แข่งทางการค้าที่สำคัญคือ เป๊ปซี่ โค้กถูกคิดค้นโดยนายจอห์น เพมเบอร์ตัน (John Pemberton) ทหารในกองทัพสหรัฐอเมริกา ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงแม้ว่าโค้กจะถูกอ้างถึงในกรณีที่เป็นเครื่องดื่ม ที่ทำให้เสียสุขภาพ

เช่น ทำให้ฟันผุ ทำให้ปวดท้อง หรือเป็นโรคอ้วน แต่โค้กยังคงได้รับความนิยมทั่วโลกในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20

ในประเทศไทย โค้ก ผลิตและจัดจำหน่ายโดย บริษัทไทยน้ำทิพย์ และบริษัทหาดทิพย์ เฉพาะในเขตภาคใต้



โค้กรสชาติต่างๆโค้ก

ไดเอทโค้ก
ไดเอทโค้ก คาเฟอีนฟรี
ไดเอทเชอร์รี่โค้ก (1986)
ไดเอท วานิลลาโค้ก (2002)
ไดเอทโค้ก พลัส (2007)
เชอรี่โค้ก - โค้กแต่งกลิ่นเชอร์รี่ (เคยนำมาขายที่ประเทศไทย ปัจจุบันยกเลิกการผลิต)
วานิลลาโค้ก - โค้กแต่งกลิ่นวานิลลา ( เคยนำมาขายที่ประเทศไทยโดยออกเป็นรสชาติพิเศษเฉพาะกิจ ปัจจุบันยกเลิกการผลิต)
โค้ก ไลม์ - โค้กแต่งกลิ่นมะนาว
โค้ก C2 - โค้กที่ลดปริมาณน้ำตาลครึ่งหนึ่ง
โค้ก ซีโร่ - โค้กที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล พื้นของฉลากจะใช้สีดำแทนสีแดง
โค้ก แบล็ก - โค้กผสมกาแฟ
โค้ก ส้ม - โค้กแต่งกลิ้นส้ม (2007)



ส่วนผสมของโค้ก

ส่วนผสมของโค้กถือเป็นความลับของบริษัทเช่นเดียวกับสูตรผสมของ เป๊ปซี่ เคเอฟซี และ แม็คโดนัลด์ ส่วนผสมของโค้กนั้น มีพนักงานในบริษัทโคคาโคล่าเพียงไม่กี่คนที่รู้ และได้มีส่วนร่วมในขั้นตอนการผสม

โดยทางบริษัทใช้ชื่อส่วนผสมว่า "7X" โดยไม่ได้มีการกล่าวถึงว่า X หมายถึงอะไร และพนักงานบริษัทจะทำการผสมสูตรต่างๆ ตามหมายเลขของส่วนผสมแทนที่ ชื่อของส่วนผสมเพื่อป้องกันสูตรรั่วไหล

ในวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 พนักงานบริษัทโค้ก 2 คนและเพื่อนอีก 2 คน ถูกจับกุมข้อหาพยายามขโมยสูตรส่วนผสมโค้กและขายให้แก่เป๊ปซี่ในราคา 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ



เรื่องเล่าและข่าวลือเกี่ยวกับโค้ก

โค้กมีเรื่องเล่าและข่าวลือมากมายกล่าวถึงผลเสียเนื่องจากโค้ก ซึ่งข่าวลือยังมีปรากฏแม้แต่ในเว็บไซต์สภากาชาดไทย เรื่องราวต่างๆ ส่วนมากจะเน้นในแนวขำขันและการนำโค้กไปใช้ในรูปแบบต่างๆ เช่น ปริมาณกรดในโค้กมีมากเพียงพอที่จะทำลายอวัยวะภายในร่างกาย

ในความเป็นจริงค่าความเป็นกรดด่าง หรือ pH ของโค้กมีค่า 2.5 ซึ่งใกล้เคียงกับมะนาว หรือ เลมอน มีค่า pH 2.4 หรือ ส้ม มีค่า pH 3.5 หรือแม้แต่ข่าวลือว่าตำรวจสหรัฐอเมริกาใช้โค้กในการล้างเลือดบนถนนกรณีเกิดเหตุรถชน

หรือแม้แต่โค้กสามารถละลายฟันในช่องปากในตอนกลางคืน หรือโค้กใช้ในการป้องกันการตั้งครรภ์โดยใช้โค้กที่มีฤทธิ์เป็นกรดเทฆ่าอสุจิ ซึ่งข่าวลือต่างๆ เป็นเพียงเรื่องที่สร้างขึ้นเพื่อความสนุกสนาน (ถึงแม้ว่ารายการมิธบัสเตอร์ส ได้มีการทดสอบในการใช้โค้กช่วยในการล้างเลือดที่เปื้อนเสื้อผ้า)

ข่าวลือยังมีกล่าวว่าโค้กใช้ในการขจัดคราบเกลือ บริเวณขั้วแบตเตอรีรถยนต์ให้สะอาดได้ ซึ่งโดยปกติแล้วคราบเกลือสามารถกำจัดได้โดยใช้น้ำอุ่นธรรมดาเช่นเดียวกัน

โค้กยังคงมีใช้ในการกำจัดสนิม โดย กรดฟอสโฟริกในโค้กเปลี่ยนออกไซด์ของเหล็ก ให้เป็นฟอสเฟตซึ่งใช้ในการกำจัดสนิมเหล็กได้



ที่มา http://is.gd/7J6As7


บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (All Time)