29 พฤศจิกายน 2555

ให้อภัย ขอบคุณ ปลดล็อคความคิด สู่ชีวิตมั่งคั่ง


“ครอซ ครอสลี่ย์” (Croz Crossley) นักธุรกิจจากประเทศอังกฤษผู้ผ่านการล้มละลายมาแล้ว

อยากรวย อยากประสบความสำเร็จ อยากมีความสุข อยากหลุดพ้นจากทุกข์ ในศาสตร์แห่งความมั่งคั่งเชื่อว่าหนทางปลดล็อคชีวิตสู่ร่ำรวยคือ“ให้อภัย,"ขอบคุณ"

ในเวที "เศรษฐีสอนรวย Book On Stage" ที่จัดโดย "K SME ธนาคารกสิกรไทย" ร่วมกับ "เวิร์คพอยท์ พับลิชชิ่ง" ได้นำเหล่ามหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งและมีความสุข มาสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี

พวกเขา คือคนที่พลิกชีวิตด้วยหนังสือ “เศรษฐีสอนรวย” (The Science of Getting Rich : SOGR) ของ Wallance D. Wattles จนสามารถเปลี่ยนจากคนล้มละลาย จมอยู่กับทุกข์สาหัส มาประสบความสำเร็จอีกครั้งได้

“ครอซ ครอสลี่ย์” (Croz Crossley) คืออดีตนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจากประเทศอังกฤษ

เขาร่ำรวยขึ้นมาจากการทำธุรกิจรักษาความปลอดภัย ลูกค้าก็คือบรรดาศิลปินผู้มีชื่อเสียง ธุรกิจไปได้ดี เขากับภรรยา จึงได้วางแผนที่จะเกษียณตัวเอง โดยยกธุรกิจให้คนอื่นดูแลแทน แล้วออกเดินทางไปเที่ยวรอบโลก

เขาฝากธุรกิจให้คนหนุ่มคนหนึ่งดูแล คนซึ่งเคยทำงานเป็นแค่พนักงานเปิด-ปิดสำนักงาน แต่ด้วยความตั้งใจและมีไฟ จึงได้รับการโปรโมทเป็น Operations Manager เมื่อคิดถึงคนที่จะมาดูแลธุรกิจแทน ก็ไม่พ้นผู้ชายคนนี้

“เขาเหมาะสมที่สุด เพราะรู้จักพนักงานของเราทุกคน รู้จักระบบที่เราใช้ เขาเป็นเพื่อนเรา และเขาก็เป็นคนดี”

“ครอซ” สรุปเหตุผลในการเลือกตัวแทนมาขับเคลื่อนธุรกิจ ก่อนยกกิจการและฝากความหวัง ให้กับชายที่เขาเลือก ซึ่งดูจะไม่ผิดหวังเมื่อธุรกิจในปีแรกเป็นไปตามที่คิด เขามีเงินเข้ามาในบัญชีทุกเดือน และสามารถเอาเวลาไปทำในสิ่งที่รักได้ ขึ้นปีที่ 2 จึงได้จัดงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จ

ทว่า เพียง 10 วัน ให้หลัง ทุกอย่างก็ ดับสลาย

“10 วันหลังจากปาร์ตี้ ผมจำได้ดี ชีวิตพังทลาย ลูกค้ารายใหญ่เขียนจดหมายมาขอเปลี่ยนบริษัท ตามมาด้วยลูกค้ารายอื่นๆ ตอนนั้นผมแทบไม่เชื่อว่า ผู้ชายที่ผมไว้วางใจให้ดูแลธุรกิจ เขาจะไปตั้งบริษัทใหม่และแย่งลูกค้าของเราไปหมด”

ฝันของครอซล่มสลายชั่วข้ามคืน เขาในวัย 40 ปี กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว ไม่มีธุรกิจ ไม่มีบ้าน ไม่มีรถต้องกลับไปทำงานที่ไม่ชอบอย่าง ร้านอาหาร หรือแม้แต่งานขายเสื้อยืดกลางตลาดนัด

“มันทรมานมาก และเป็นช่วงที่ผมต้องถ่อมตน จริงๆ”

ครอซ บอกความรู้สึก ก่อนที่จะเจอจุดเปลี่ยนในชีวิต เมื่อได้อ่านหนังสือ “SOGR” ศาสตร์ทุกอย่างที่อยู่ในหนังสือ สอนให้เขาปรับเปลี่ยนความคิด และมองชีวิตใหม่ ตั้งสติกับชีวิต แล้วค่อยๆ ฟื้นตัวเองขึ้นมา จนสามารถตั้งโรงงานผลิตสินค้าของตัวเอง มีธุรกิจใหม่ มีเงิน เรียกว่ากลับไปอยู่ในจุดที่ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ ทว่าเขากลับ “ไม่มีความสุข”

“ลึกๆ แล้ว ผมไม่มีความสุขเลย เพราะทุกวัน มีแต่ความคิดอยากจะแก้แค้น ลากความคิดแบบนี้ไปกับผมด้วย พลังก็หมดไปเรื่อยๆ จนภรรยาบอกว่า ให้ผมปล่อยเขาไป ต้องให้อภัยเขา ผมบอกจะให้ทำอะไรก็ได้แต่ไม่มีทางให้อภัย จนภรรยาพูดแล้วพูดอีก สุดท้ายผมเลยโอเค ให้อภัยก็ได้ แต่ไม่ใช่แค่พูดนะ ผมเขียนจดหมายไปหาเขา สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น คือ ระหว่างที่ผมเขียนจดหมาย ความหนักถูกปลดปล่อยไปเรื่อยๆ จนหย่อนจดหมายใส่ตู้ อะไรที่หนักๆ หลุดจากตัวผมไปหมด ผมรู้สึกถึงความปิติอย่างแท้จริง”

พลังจากการ “ให้อภัย” ไม่เพียงนำความสุขกลับมาในชีวิต แต่ยังทำให้เขามีพลังไปขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบใหญ่ขึ้นด้วย
ล้มละลาย ครอบครัวแตกแยก เป็นมะเร็ง และเคยพยายามฆ่าตัวตาย

นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับ “ดร.วรัญญา สะอาดเอี่ยม ริเท็นนิส” อดีตหญิงเก่งที่เคยมีชีวิตสมบูรณ์แบบ จบ ดร.เป็นนักธุรกิจข้ามชาติ ได้ดูแลโครงการมูลค่าเป็นหมื่นล้าน ได้แต่งงานกับลูกชายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของประเทศในยุโรป พ่อของสามีเป็นถึงรัฐบุรุษ ช่วงชีวิตที่ทำให้เธอรู้สึก “ฟู” และผยองกับชีวิตอย่างเต็มที่

แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น หลังแต่งงานเพียงหนึ่งเดือน ธุรกิจ “ล่มสลาย” ทิ้งกองหนี้ไว้กว่า 100 ล้านบาท !

เธอต้องทำงาน 4-5 ที่ เพื่อใช้หนี้ ใช้หนี้แบบไม่มีสติ วิ่งตามเงินอย่างบ้าคลั่ง และคิดว่าเงินสำคัญที่สุด จนปีที่ 3 ครอบครัวก็ “แตกแยก” เธอต้องผ่านช่วงรันทดของชีวิต ขนาดที่ต้องไปอยู่ห้องเช่าเล็กๆ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์แม้แต่ชิ้นเดียว แม้แต่เตียงยังต้องขายทิ้ง หลายอย่างที่ประเดประดังเข้ามา

ทำให้สุดท้ายเธอตัดสินใจ..ฆ่าตัวตาย !

นับว่าโชคดีที่คุณหมอช่วยชีวิตไว้ได้ แต่เรื่องร้ายไม่ได้จบแค่นั้น เมื่อ 4 ปี ก่อน เธอตรวจพบว่าเป็นมะเร็งร้าย !

หลายคนอาจช็อคกับชีวิต แต่วรัญญา “ขอบคุณ” กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“ขอบคุณชีวิตที่ผ่านการล้มละลาย” เพราะทำให้ได้รู้ศักยภาพตัวเอง ทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้น

“ขอบคุณการหย่าร้าง” ที่ทำให้ได้สามีคนใหม่ แต่เป็นผู้ชายคนเดิมซึ่งนิสัยดีกว่าเดิมกลับคืนมา

“ขอบคุณการฆ่าตัวตาย” ที่ทำให้เข้าใจว่า การให้อภัย สำคัญ ไม่เพียงให้อภัยผู้อื่นแต่เราต้องให้อภัยตัวเองด้วย

“ขอบคุณที่เป็นมะเร็ง” ในตอนที่ชีวิตผ่านเรื่องร้ายๆ มาหมดแล้ว ทำให้มีสติ และตั้งรับได้กับข่าวร้าย

“ตอนอยู่โรงพยาบาลเพราะกินน้ำยาล้างห้องน้ำฆ่าตัวตาย พูดไม่ได้หลายอาทิตย์ เหมือนชีวิตต้องการให้เราหยุด หยุดคือสติ คือปัจจุบัน ไม่มีเรื่องล้มละลาย พอผ่านมาแล้วทำไมรู้สึกดีขึ้น แสดงว่าจริงๆ แล้ว ปัญหาไม่มีอยู่จริง แต่เป็นอารมณ์ เป็นความคิดของเราทั้งนั้น ได้เห็นดวงอาทิตย์ สาดแสงไปกระทบน้ำทะเล มันสวยมาก เหมือนแผ่นทองเลย วันนั้นต่อให้มีเงินในกระเป๋าไม่เท่าไร

แต่เป็นวันแรกที่ได้รู้จักกับคำว่า มั่งคั่งร่ำรวย”

หลายอย่างกลับเข้ามาให้คิดทบทวน โดยมีศาสตร์แห่งความมั่งคั่งชี้นำทางชีวิต ศาสตร์ที่สอนเรื่อง พลังความคิด และแนวทางตายตัว ความกตัญญูที่สามารถทำให้เราทำอะไรก็ได้ โดยเฉพาะกตัญญูต่อประสบการณ์ของตัวเอง บทเรียนที่ทำให้รู้ว่า ประสบการณ์เป็นสิ่งมีค่า แม้มีเงินเท่าไรก็หาซื้อไม่ได้ และนี่เองที่จะทำให้เราดึงพลังงานออกมาและเห็นโอกาสในทุกสิ่งอย่าง และทุกคนมีสิทธิมั่งคั่งร่ำรวยเฉกเช่นสิทธิที่จะหายใจ

“ตั้งแต่นั้น จึงเริ่มคิดธุรกิจใหม่ ถ้าเรามีความคิดสร้างสรรค์มันจะมีพลังมาก ไม่ใช่แค่คิดแข่งขัน ที่มีแต่แพ้กับชนะ เลยตัดสินใจทำบริษัทร่วมลงทุน ให้กับรายเล็กรายน้อย (Venture international) คิดใหญ่ทั้งที่ไม่มีเงิน แต่เป็นวิธีคิดที่บอกว่า ถ้าเราต้องการเงิน เราต้องให้เงินคนอื่นก่อน เหมือนกับถ้าต้องการความสุข ก็ให้ความสุขคนอื่น ถ้าต้องการความรัก ก็ให้ความรักกับผู้อื่น ซึ่งการให้ด้วยความจริงใจและซื่อสัตย์ จะมีพลังมาก แล้วคนจะเข้ามาช่วยเราเต็มไปหมด”

บริษัทที่หาเงินทุนให้กับผู้มีฝัน เธอเรียกว่า “อาชีพสานฝัน” ลูกค้าคนแรก คือวิศวกรที่พิการจากอุบัติเหตุ กับเงินก้อนแรกที่ 2.5 แสนเหรียญ ในวันนั้นเธอทำงานด้วยใจอยากช่วย เชื่อ และศรัทธา เลยเดินเข้าไปคุยกับนายทุนซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ ใช้เวลาไม่ถึง 40 นาที เธอก็ได้เงินก้อนแรกมาเดินหน้าธุรกิจ

“ทุกวันนี้ก็ยังทำดีลเล็กดีลน้อยของเราไป ไม่เคยที่จะหยุดทำแม้แต่นาทีเดียว แต่ก็ไม่เคยเหนื่อย เพราะไม่ได้วิ่งตามเงินอีกแล้ว แต่ตั้งค่าของใจให้ถูกที่ แทนที่จะตั้งค่าของใจไปแข่งขันเปรียบเทียบอยู่ตลอดเวลา จมอยู่กับทุกข์กับปัญหา ก็มาตั้งค่าให้ใจใหม่ด้วยการ..ขอบคุณ”

ขอบคุณกับทุกเรื่องร้ายที่เขามา และประสบการณ์สุดสาหัส ที่ทำให้เห็นโอกาสใหม่ในชีวิตอย่างวันนี้


from www.bangkokbiznews.com


18 พฤศจิกายน 2555

ข้อคิดสำหรับการออมเพื่อเกษียณ


การออมเพื่อการเกษียณอายุงานของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาเป็นลำดับ ตั้งแต่เดิมในปี 2444 ที่มีเฉพาะข้าราชการเท่านั้นที่จะมีเงินบำเหน็จบำนาญ


หลังเกษียณ สำหรับภาคเอกชนนั้น เริ่มเมื่อมีบริษัทต่างชาติมาตั้งในไทย และบริษัทเหล่านี้ได้มีสวัสดิการด้านสำรองเลี้ยงชีพให้กับพนักงาน โดยเป็นเงินที่บริษัทสมทบให้เมื่อยามเกษียณ


กองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งเป็นการออมเพื่อการเกษียณอายุงาน เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อมีพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในปี 2530 โดยเป็นภาคสมัครใจ ต้องมีทั้งนายจ้างและลูกจ้างสมัครใจจัดตั้งขึ้น โดยลูกจ้างจะนำส่งเงินสะสม และนายจ้างนำส่งเงินสมทบ โดยรัฐให้แรงจูงใจในด้านภาษี


ส่วนข้าราชการก็มีการพัฒนามาเป็น “กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ” ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2539 เป็นต้นมา


สำหรับผู้ต้องการออมเพิ่มเติมจากที่ออมในกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก็มีการให้ออมเพิ่มได้โดยผ่าน “กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ” หรือ RMF ตั้งแต่ปลายปี 2544 เป็นต้นมา หรือ 100 ปีหลังจากมีระบบเงินบำเหน็จบำนาญข้าราชการ


วันนี้ดิฉันขอเขียนถึงประเด็นต่างๆที่ชวนคิดพิจารณา สำหรับท่านที่ต้องการออมเพื่อมีเงินใช้หลังการเกษียณอายุงาน


ประเด็นแรกที่พบมากคือ ผู้ออมจำนวนมาก ออมเพียงจำนวนเท่าที่กรมสรรพากรให้สิทธิพิเศษทางภาษีไว้ หรือพูดง่ายๆก็คือ ตั้งแต่ 2% ถึง 15% ของรายได้ต่อปี คงเดาได้นะคะว่า เนื่องจากต้องการเพียงสิทธิประโยชน์ทางภาษี เมื่อถามว่า คาดว่าจะเพียงพอที่จะใช้หลังเกษียณหรือไม่ ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดจะตอบว่าไม่ทราบ


การที่ท่านไม่ทราบว่าอนาคตท่านจะมีเงินเพียงพอเพื่อจะใช้หลังการเกษียณหรือไม่ เท่ากับท่านเอาอนาคตไปแขวนไว้กับโชคชะตา และอาจจะกลายเป็นว่า ถ้าอายุสั้นจะถือเป็นการโชคดีไป เพราะมีเงินพอใช้แน่ๆ แต่หากเกิดอายุยืนขึ้นมาจะถือเป็นความโชคร้ายทีเดียว เพราะไม่มีเงินเลี้ยงตัวเอง ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้ถือเป็นเรื่องเศร้าค่ะ


การมีอายุยืน สามารถทำประโยชน์ให้กับโลกได้ถือเป็นเรื่องดี และจะดียิ่งขึ้นถ้าท่านมีเงินเพียงพอที่จะดูแลตัวเอง


ข้อแนะนำคือ ต้องประมาณการว่า หลังเกษียณ ท่านจะใช้เงินเดือนละเท่าไรจึงจะพอ คิดเป็นค่าเงินปัจจุบัน นี่แหละค่ะ จะได้ง่ายๆ และนำไปคำนวณว่า นับจากวันที่เกษียณท่านจะอยู่ไปอีกกี่ปี หากจะใช้เงินเดือนละเท่านั้น ต้องมีเงินเท่าไร ณ วันเกษียณ และคำนวณว่า เงินที่เก็บออมอยู่ทุกวันนี้ เมื่อถึงวันที่เกษียณจะเติบโตไปเป็นจำนวนเท่าใด และนำตัวเลขสองจำนวนนี้มาเปรียบเทียบกันว่าจะพอหรือไม่ (ตารางการคำนวณแบบง่ายๆ อยู่ในหนังสือ” Money Pro แผนการเงิน แผนชีวิต”)





ประเด็นที่สอง ผู้ออมเงินเพื่อการเกษียณเกินกว่าครึ่ง นำเงินออมไปลงทุนแบบอนุรักษนิยม โดยอาจจะฝากไว้ในธนาคาร ซื้อสลากออมสิน ลงทุนในพันธบัตร หรือหุ้นกู้ หรือเลือกลงทุนในกองทุนตลาดเงิน กองทุนพันธบัตร กองทุนตราสารหนี้ ซึ่งในปัจจุบันให้ผลตอบแทนประมาณ 2.5 ถึง 4% แทบจะไม่ชนะเงินเฟ้อเลย


นอกจากนี้ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ลงทุนยังมักจะเป็นกองทุนแบบอนุรักษนิยม คือลงทุนในตราสารคล้ายๆกับที่กล่าวมาข้างต้น แม้ว่าเกณฑ์ของกองทุนจะเปิดให้ผู้ลงทุนสามารถเลือกนโยบายการลงทุนได้เอง ซึ่งสามารถเลือกให้มีหลักทรัพย์อื่น เช่น หุ้น เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนได้


หากเข้าใจเรื่องปัจจัยที่มีผลต่อความสามารถในการรับความเสี่ยงจะทราบว่า ถ้ามีระยะเวลาการลงทุนยาว จะสามารถรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เงินที่ออมเพื่อการเกษียณอายุงานในอีก 10 20 หรือ 30 ปีข้างหน้า จึงเป็นเงินที่สามารถลงทุนแบบเสี่ยงปานกลางถึงเสี่ยงสูงได้


สัดส่วนของหุ้นทุนที่ควรจะลงทุนเพื่อการเกษียณ ควรจะมีขั้นต่ำ 10-15% โดยดิฉันและทีมงานได้เคยทดสอบข้อมูลย้อนหลังแล้วพบว่า ในสัดส่วนการลงทุนในพอร์ตที่มีการลงทุนในหุ้นไม่เกิน 15% ในระยะปานกลาง คือเกิน 3 ปีขึ้นไป ผลตอบแทนจะไม่ติดลบค่ะ


เพราะฉะนั้น ผู้ลงทุนไม่ควรกลัวความเสี่ยงจนเกินไป


เป็นที่น่ายินดีว่า ทางสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำลังเสนอร่างแก้ไขพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ในกรณีที่ผู้ลงทุนไม่ได้ระบุว่าจะลงทุนในนโยบายใด จากแต่เดิมให้ลงนโยบายเดิมก่อนที่จะเปิดให้เลือกนโยบายได้เอง หรือหากไม่มีนโยบายเดิม ให้ลงทุนในนโยบายที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด ซึ่งโดยทั่วไปก็คือนโยบายที่ลงทุนแต่ตราสารหนี้และพันธบัตร เสนอแก้ไขใหม่ให้ลงทุนในนโยบายที่กำหนดในข้อบังคับกองทุน และหากข้อบังคับไม่ได้กำหนดไว้ จึงไปลงทุนในนโยบายที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด ตามลำดับ


ดิฉันยืนยันค่ะว่า นโยบายการลงทุนที่เหมาะสมกับการออมเพื่อการเกษียณอายุมากที่สุด คือการลงทุนแบบผสม ซึ่งจะมีทั้งตราสารหนี้ พันธบัตร และหุ้น (หรืออาจจะมีทองคำ โภคภัณฑ์ หรืออสังหาริมทรัพย์ปนไปบ้างเล็กน้อยก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่ารับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใด)


ดังนั้นจึงอยากเรียนเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนทั้งหลายว่า เมื่อกฎหมายออกบังคับใช้ กรุณาเลือกนโยบายการลงทุนแบบผสมเป็นนโยบายที่กำหนดในข้อบังคับกองทุน หรือที่เรียกว่าเป็น Default Policy นะคะ เพื่อมิให้สมาชิกกองทุนต้องลำบากต้องมีชีวิตบั้นปลายอยู่ต่อโดยเงินหมดไปก่อน


หากสมาชิกในกองทุนส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ยสูง นโยบายที่กำหนดในข้อบังคับกองทุนก็ควรจะเป็นกองทุนผสม ที่กำหนดให้ลงทุนในหุ้นทุนเป็นสัดส่วนไม่สูงมาก คืออาจจะไม่เกิน 15%


แต่หากสมาชิกในกองทุนมีอายุเฉลี่ยน้อย นโยบายการลงทุนที่กำหนดในข้อบังคับ อาจกำหนดให้ลงทุนในหุ้นทุนเป็นสัดส่วนไม่เกิน 30% เป็นต้น


สำหรับผู้ออม ในกรณีมีนโยบายให้เลือกหลายนโยบาย ควรเลือกนโยบายการลงทุนที่เหมาะสมกับความสามารถในการรับความเสี่ยงของตัวเองค่ะ ไม่ต้องทำตามเพื่อนร่วมงาน ไม่ว่าจะเลือกนโยบายที่มีความเสี่ยงต่ำลง หรือที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เพื่อหวังผลตอบแทนสูงขึ้นก็ตาม


นอกจากนี้ ยังต้องมองภาพรวมของการออมเพื่อการเกษียณอายุงาน ซึ่งรวมถึงส่วนที่ออมเพิ่มเองไม่ว่าจะในรูปแบบกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือกองทุนรวมทั่วไป หรือลงทุนเองโดยตรง ว่าสอดคล้องกันหรือไม่ และปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมค่ะ


สองประเด็นแล้วนะคะ คือออมน้อยเกินไป และ ลงทุนแบบอนุรักษนิยมเกินไป ทำอย่างใดอย่างหนึ่งก็อาจเสี่ยงต่อการที่มีเงินไม่พอเลี้ยงตัวเองแล้ว แต่ถ้าทั้งออมน้อยและเลือกลงทุนแบบไม่ให้เสี่ยงเลย ก็จะยิ่งทำให้เงินเติบโตน้อย เสี่ยงต่อการมีไม่เพียงพอต่อการเกษียณอายุอย่างสุขสบายมากขึ้น


ประเด็นที่สาม คือ การรับเงินเงินงวดๆ ในลักษณะคล้ายเงินบำนาญ ในสมัยก่อนเราไม่สามารถทำได้เลย เมื่ออายุครบเกษียณ ก็ออกจากกองทุนไปพร้อมรับเงินก้อนทั้งหมด ซึ่งคนจำนวนมาก ไม่เข้าใจเรื่องการลงทุน ไม่สามารถลงทุนเองได้ ทำให้เสียโอกาสในการลงทุนไป


ดิฉันจำได้ว่าเคยนำเสนอที่จะจัดการกองทุนหลังเกษียณให้กับ กบข.ไปเมื่อประมาณสิบปีก่อน และเสนอจะจ่ายคืนให้กับสมาชิกเป็นงวดๆ ให้เหมือนกับเงินบำนาญ


มาบัดนี้ การคงเงินอยู่ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหลังเกษียณ และให้สามารถรับเงินเป็นงวดๆ กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว โดยจะมีการเสนอแก้ไขพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ให้ผู้ออมสามารถแสดงเจตนาขอรับเงินเป็นงวดๆ ได้ แต่กำหนดว่าได้เฉพาะผู้ออมที่ออกจากงานโดยมีอายุไม่น้อยกว่า 55 ปี ผู้ที่เกษียณก่อนอายุ 55 ปีก็จะไม่มีสิทธิ์นี้ ซึ่งดิฉันเสียดาย


การขอรับเงินเป็นงวดๆ ควรจะทำได้แม้จะเกษียณก่อนอายุ 55 ปีก็ตาม เงินของเขา เขาย่อมมีสิทธิ์ที่จะเลือกได้ว่าจะขอคืนในลักษณะไหน เข้าใจว่าการกำหนดอายุ 55 ปี อาจจะเป็นเพราะกลัวว่าผู้ออมจะออกจากงานตั้งแต่อายุน้อย แล้วขอรับเงินเร็ว เงินอาจจะหมดไปตอนอายุไม่มาก พอชราภาพจริงไม่มีเงิน ก็จะกลายเป็นภาระของรัฐไปอีก ถ้าห่วงเช่นนั้น ก็บังคับว่ากรณีขอรับเป็นงวด หากอายุไม่ถึง 55 ปี ให้จ่ายได้งวดละไม่เกิน 5% ของเงินทั้งหมด แต่หากอายุเกิน 55 ปี จะรับงวดละเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับผู้ออม และเสนอว่าหากไม่ระบุว่าจะรับงวดละเท่าใด ให้จ่ายงวดละ 5% จนกว่าผู้ออมจะแจ้งเปลี่ยนเป็นอื่น


จ่ายปีละ 5% โดยมีสมมุติฐานว่า สำหรับคนทั่วไป หากเกษียณอายุ 60 ปี จะได้งวดเงินรวม 20 ปี ซึ่งน่าจะเป็นอายุเฉลี่ยของคนทั่วไปค่ะ


ปัจจุบัน การรับเงินงวดสามารถทำได้กับการประกันชีวิตแบบ annuity ซึ่งก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายกว่าจะให้มีการขายกรมธรรม์ประเภทนี้ได้ คนโสด หรือคนที่ไม่มีทายาท หรือคาดว่าจะไม่มีผู้ดูแล ในยามชราภาพ และไม่แน่ใจว่าเงินที่ออมอยู่จะพอสำหรับเลี้ยงตัวเองไปจนจากไปหรือไม่ ควรจะศึกษาการทำประกันชีวิตแบบนี้ค่ะ ตอนนี้อาจจะยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่คาดว่าจะมีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับความต้องการและวิถีชีวิตของคนไทยมากขึ้น


สำหรับผู้มีความมั่งคั่งสูงอยู่แล้ว คงไม่มีปัญหา จะมีปัญหาก็จะแตกต่างไปคือเป็นเรื่องของการส่งผ่านความมั่งคั่งไปยังรุ่นต่อๆ ไป


ข้อคิดประการที่สี่ คือ ความสามารถในการโอนย้ายกองทุนเพื่อการเกษียณอายุจากกองหนึ่งไปยังอีกกองหนึ่ง จะถือเป็นสุดยอดแห่งนโยบายการส่งเสริมให้คนออมเพื่อการเกษียณอายุงานเลยทีเดียว เช่น หากข้าราชการลาออกจากราชการไปทำงานเอกชน ย่อมอยากจะนำเงินที่ออมไว้ในกองทุน กบข.ไปออมต่อในระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือในทางกลับกัน คนที่ทำงานภาคเอกชน หากต้องการย้ายเข้าไปในภาคราชการ ก็สามารถโอนย้ายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ไปออมต่อในกองทุนบำเหน็จบำนาญได้


นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่เกษียณอายุงานก่อน หรือต้องออกจากงานด้วยเหตุอื่นใด ยังสามารถโอนย้ายจากกองทุน กบข.หรือ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพหรือ RMFได้ ทำให้ไม่ต้องรับเงินที่ออมมาเป็นก้อนใหญ่เมื่อออกจากงาน ทั้งๆ ที่ยังอยากออมต่อ และยังถูกทำโทษให้เสียภาษีเงินได้จากเงินออมก้อนนั้นอีก


ณ ปัจจุบัน ระบบการออมเพื่อการเกษียณอายุงานในประเทศไทยยังแยกเป็นส่วนๆ และยังไม่สามารถโอนย้ายได้ค่ะ แต่มีแนวคิดที่จะทำ ซึ่งดิฉันเห็นว่าไม่มีอะไรยากเกินกว่าความพยายาม หากได้ทุ่มเททรัพยากรลงไปเพียงพอ และทุกฝ่ายช่วยกันโดยมีจุดมุ่งหมายว่า ต้องการให้คนที่เกษียณอายุงานแล้วมีความมั่นคงในชีวิตมากขึ้น เราต้องเอื้อให้สามารถโอนย้ายได้ในอนาคตอันใกล้นี้ค่ะ


มิเช่นนั้น หากเกิดวิกฤติขึ้นมาอีกในอนาคต ก็จะมีคนตกงานที่ได้เงินก้อนมาจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แต่ไม่สามารถออมต่อเพื่อเอาไว้ใช้ในบั้นปลายของชีวิตโดยไม่ถูกทำโทษ และ ไม่เอื้อให้มีการย้ายงานจากภาคเอกชนไปอยู่ภาครัฐ ตามที่รัฐต้องการเห็น


ข้อคิดประการที่ห้า คือ ทำอย่างไรจะให้คนเข้าไปอยู่ในระบบการออมเพื่อการเกษียณอายุงานให้มากที่สุด ตอนนี้ยังมีคนจำนวนมากที่ไม่มีการออมเพื่อการเกษียณอายุ เช่น ผู้ทำการค้าประเภทพ่อค้าแม่ค้ารายย่อย กลุ่มทำงานอิสระ ไม่สังกัดองค์กร เช่น สถาปนิก นักร้อง นักแสดง นักกีฬาอาชีพ ผู้ขับขี่รถรับจ้างสาธารณะ เช่น แท็กซี่ ตุ๊กตุ๊ก มอเตอร์ไซค์ เกษตรกร ฯลฯ ซึ่งรัฐเคยมีนโยบายให้แรงจูงใจในการออมในลักษณะกองทุนการออมแห่งชาติ เข้าใจว่าตอนนี้ยังทบทวนนโยบายอยู่


การดำเนินการในเรื่องการออมเพื่อการเกษียณอายุนี้ ประเทศส่วนใหญ่จะดำเนินการในรูปของ Defined Contribution คือ มีการออมและมีการให้เงินสมทบไม่ว่าจะจากนายจ้าง หรือจากรัฐ โดยเงินออมและเงินสมทบจะถูกนำไปลงทุนโดยผู้ออมต้องรับความเสี่ยงเอง การที่จะรับประกันว่าผู้ออมจะต้องได้ผลตอบแทนแน่นอนในอัตราเท่าใด ซึ่งเปรียบเสมือนการประกันจำนวนเงินที่จะได้ เหมือนระบบบำนาญในสมัยก่อนนั้น ซึ่งประเทศส่วนใหญ่กำลังทยอยเลิก เพราะเป็นภาระของรัฐมากเกินไป และผู้ออมไม่ตระหนักถึงความเสี่ยง และอาจใช้ชีวิตด้วยความประมาทด้วย


ในเรื่องการลงทุน ต้องให้เรียนรู้ด้วยตัวเองจึงจะเก่ง เมื่อเก่งแล้วก็สามารถดูแลตัวเองให้อยู่รอดได้ ต้องเชื่อในความสามารถในการปรับตัวของมนุษย์ค่ะ


หวังว่าบทความทั้งสองตอนนี้จะช่วยจุดประกายให้ท่านผู้อ่านปรับปรุงการออมเพื่อการเกษียณอายุงานของท่านและของคนรอบข้างให้ดีและเหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อความสุขสบายหลังเกษียณค่ะ


from
http://goo.gl/UHy4
http://goo.gl/Z9O6x


18 ตุลาคม 2555

9 กลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อความอยู่รอด



กลยุทธ์ สำคัญในยามที่เศรษฐกิจทั่วโลกอยู่ในช่วงชะลอตัว ถดถอย สิ่งที่สำคัญที่ทุกคนในองค์การคงต้องเตรียมตัว เตรียมใจว่า "เราต้องร่วมกันเสริมสร้างความแข็งแกร่งในทุกๆ ด้าน" หมั่นตรวจสอบผลการดำเนินงานของตนเองในแต่ละฝ่ายตลอดเวลา ขยันติดตามและตรวจสอบ ประเมินผลการดำเนินงาน ยอดขาย และต้องศึกษาให้เข้าใจถึงความรู้สึกความต้องการ และพฤติกรรมของลูกค้าตลอดจนผลกระทบที่มีต่อลูกค้าประจำของเรา และอย่าละเลยที่ต้องขยันคิด ขยันสร้างสรรค์ ขยันค้นหาแนวทางใหม่ๆ แต่ไม่ใช่เปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างใหม่หมดโดยไม่ได้พิจารณาอย่างรอบคอบและควรรักษาสิ่งดีๆ ที่เคยทำแล้วสำเร็จไว้ และพัฒนาสิ่งที่ดีๆ เหล่านั้นให้แข็งแกร่งมากขึ้น ต้องไม่เป็นกระต่ายตื่นตูม ตื่นตระหนกกับสถานการณ์จนขาดสติ


การปรับปรุงควรวางแผนมองแบบภาพรวมให้ทุกคนในองค์กรร่วมรับรู้ทุกสถานการณ์ที่มีผลกระทบ และร่วมคิดร่วมสร้างพลัง ค้นหาหนทางที่จะทำให้ทุกๆ คนในองค์อยู่รอดร่วมกัน การปรับการกระทำ ให้ริเริ่มกระทำอย่างมีการ "คิดก่อนทำ" แบบที่เรียกว่า "คิดดี ต้องทำได้" และ "คิดได้ ต้องทำดี" และ 9 กลยุทธ์ทางการตลาดดังต่อไปนี้ เชื่อมั่นว่าจะเป็นหนทางเพื่อให้กิจการฝ่าวิกฤตทำให้องค์กรอยู่รอดและยั่งยืนได้


1.กลยุทธ์ ราคา
ขอให้ใช้อย่างเข้าใจและใช้กลยุทธ์ราคานี้บนพื้นฐานของการศึกษามากกว่าการใช้ตามความรู้สึกที่ว่าใครๆ เขาก็ใช้กลยุทธ์ราคากัน แน่นอนกลยุทธ์ราคาช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในสินค้าโดยเฉพาะสินค้าประเภท commodity ที่ลูกค้าไม่ยึดติดในตราสินค้า ดังนั้น กลยุทธ์ราคามักจะเหมาะสมกับสินค้าประเภทที่ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่มีความภักดีในตราสินค้า ดังนั้นผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ราคาอย่างสร้างสรรค์เช่น ควรลดราคาสำหรับสมาชิก หรือการลดราคาในช่วงสิ้นเดือนที่ลูกค้าเพิ่งได้รับเงินเดือน และการลดราคาให้ผู้มีกำลังซื้อน้อยเช่นข้าราชการ หรือผู้ใช้แรงงานของบริษัทที่ทำสัญญากับกิจการ แม้ในภาวะวิกฤตเช่นนี้การจะใช้กลยุทธ์การลดราคาควรมีเป้าหมายด้วยและควรเจาะจงมากกว่ากระทำไปโดยไม่มีเป้าหมาย


2.กลยุทธ์ การสร้างคุณค่าที่แตกต่าง
กลยุทธ์นี้ควรสร้างความยอมรับให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยรวมด้วยเพื่อความอยู่รอดร่วมกัน ถ้าให้ดีควรเน้นขายสินค้า หรือให้บริการที่มากคุณค่า คุ้มค่า และจ่ายในราคาที่ประหยัดกว่าแต่หาซื้อที่ไหนไม่ได้ หรือซื้อได้แต่ถ้าซื้อที่เราให้ความคุ้มค่า และให้คุณค่ากับผู้ซื้อและสังคมส่วนร่วมเป็นอย่างมาก เช่นกลยุทธ์การขายสินค้าแบบนำสินค้าที่ใช้แล้วมาแลกซื้อสินค้าใหม่ในราคาที่ถูกกว่า หรือกลยุทธ์การเพิ่มเติมบริการเสริมในเรื่องการรับซื้อของเก่าที่ใช้แล้ว เพื่อนำไปแลกชื้อสินค้าใหม่ถึงบ้าน หรือแม้แต่การรับซื้อบรรจุภัณฑ์เก่าเพื่อแลกซื้อสินค้าใหม่ของเรา จะเห็นว่าถ้าแตกต่างแบบนี้ทุกคนได้ประโยชน์ทั้งนั้น สังคมส่วนรวมก็ได้ด้วย


3.กลยุทธ์ สร้างความผูกพันในตราสินค้า
กิจการควรใช้กลยุทธ์การสร้างความผูกผันในคุณภาพ ความคุ้มค่า และทำให้ลูกค้าเกิดความผูกพันในทุกสิ่งทุกอย่างของสินค้าและบริการซึ่งต้องทำให้มากขึ้นกว่าเดิมที่เน้นแค่ความผูกพันในความรู้สึกแต่เพียงอย่างเดียว เช่น กลยุทธ์การให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการเสนอแนะวิธีพัฒนาคุณภาพสินค้าในช่วงวิกฤตเพื่อสร้างความอยู่รอดให้สินค้า เพราะลูกค้าเคยมีประสบการณ์ในการใช้เป็นอย่างดี ซึ่งกลยุทธ์สร้างความผูกพันแบบนี้ต้องมีวิธีการแสดงความขอบคุณที่ลูกค้าร่วมแสดงความคิดเห็นติชมโดยอาจใช้ชื่อลูกค้าในรุ่นสินค้านั้นๆ หรือแสดงความขอบคุณในสื่อต่างๆ


4.กลยุทธ์ การวางแผนเลือกใช้สื่อ
ในอดีตเมื่อยอดขายไม่ดีทุกกิจการมักตัดงบประมาณการสื่อสารการตลาดก่อน แต่ในปัจจุบันกิจการต่างๆ ใช้กลยุทธ์การสื่อสารกันอย่างเต็มที่แต่ที่ต้องระมัดระวัง คือควรเลือกการวางแผนการใช้สื่อให้ดีและเจาะจงมีเป้าหมายชัดเจน นั่นคือ การเลือกใช้สื่อควรมุ่งเน้นการสื่อสารที่ส่งเสริมและสร้างความสัมพันธ์โดยตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เน้นการสร้างความไว้วางใจ เน้นการสร้างความเป็นกันเอง และยังเน้นความเป็นส่วนตัวกับลูกค้า โดยต้องมีการคิดวางแผนเลือกใช้สื่ออย่างสร้างสรรค์ แบบที่เรียกว่า innovative idea เช่น การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่แต่ต้องสื่อสารในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับลูกค้าจริงๆ การใช้สื่อ internet และการใช้สื่อควรเป็นสื่อที่เข้าถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของลูกค้าช่วยให้ลูกค้ารับรู้ด้วยความไม่ยุ่งยาก นอกจากนี้การสร้างเลือกสื่อควรคำนึงถึงการความสัมพันธ์แบบญาติพี่น้องกับลูกค้า หรือใช้กลยุทธ์การเลือกใช้สื่อที่ต้องมุ่งสร้าง social network มากกว่าการให้เพียงข้อมูลข่าวสารแก่ลูกค้าเท่านั้น

5.กลยุทธ์ การวิจัยทัศนคติและพฤติกรรมของลูกค้าที่มีต่อตราสินค้าของตน
หากกิจการใดยอมเสียเวลาทำการวิจัยย่อมรู้และเข้าใจลูกค้ามากขึ้น แต่การกระทำวิจัยควรทำให้ลูกค้ารับรู้ว่ากิจการมีความสนใจและตระหนักถึงทุกความคิดและความรู้สึกของลูกค้าอยู่เสมอ หมายความว่ายิงปืนนัดเดียวได้ความเข้าใจอันดีกับลูกค้าด้วย และที่สำคัญปัจจุบันนี้ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะสนใจเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ดังนั้นกิจการควรเริ่มสนใจและศึกษาว่าลูกค้าของเราเปลี่ยนไปตามกระแสสังคมโลกหรือไม่ และลูกค้าของเราเปลี่ยนไปเน้นเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีมากเราก็ควรเตรียมปรับกลยุทธ์การตลาดให้มุ่งเน้นเรื่อง green marketing มากยิ่งขึ้นในอนาคต


6.กลยุทธ์ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า (CRM)
ยังคงเป็นเรื่องสำคัญอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการสร้างสินค้าและบริการที่ตรงต่อความต้องการแต่ละรายบุคคล (customized products) มุ่งเน้นนำเสนอสินค้าบริการที่สร้างความสุข สร้างให้เกิดการชื่นชอบและชอบใช้อย่างสม่ำเสมอ และบอกให้คนอื่นใช้ ซึ่งเรียกว่าลูกค้าเกิดความภักดีในตราสินค้า (Brand loyalty) และเกิดความผูกพันอย่างลึกซึ้งในตราสินค้า กลยุทธ์ที่ควรใช้และใช้อย่างต่อเนื่องก็คือการบริหารการจัดเก็บและใช้ประโยชน์ข้อมูลการใช้จ่ายของลูกค้า นำเสนอสินค้าที่ลูกค้าชื่นชอบ แน่นอนกิจการต้องเน้นเรื่องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและต้องทำอย่างจริงใจ จริงจัง ต่อเนื่องและตลอดเวลา

7.กลยุทธ์ การวิจัยพฤติกรรมการซื้อ
ควรค้นหาข้อเท็จจริงจากลูกค้ามากขึ้น และควรวิจัยถึงเหตุผลในการซื้อมากกว่าการวิจัยทัศนคติ ความรู้สึก การรับรู้เท่านั้น เพราะในสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้การรับรู้ว่าลูกค้ามีความรู้สึกอย่างไรเพื่อมาทำกลยุทธ์การตลาดให้ลูกค้ารู้จักผลิตภัณฑ์เราอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ ต้องรู้ข้อเท็จจริงให้ได้มากที่สุดว่าอะไรกันแน่ที่จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ เช่น กลยุทธ์วิจัยจากการจัดเก็บข้อมูลการใช้จ่ายของลูกค้าประจำจากบัตรสมาชิก มากกว่าการทำวิจัยสำรวจความชื่นชอบในตราสินค้า

8.กลยุทธ์ สร้างความโดดเด่นในการบริการอย่างเฉพาะเจาะจง
เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นในเรื่องคุณค่า ความคุ้มค่าในการใช้จ่าย เช่น กลยุทธ์การติดต่อกับลูกค้าประจำ และให้ความสำคัญในการให้บริการเสริมที่ตามลูกค้าแนะนำ ทำให้ลูกค้ารับรู้ว่ากิจการให้ความสำคัญและยอมรับฟังลูกค้านำเสนอบริการตามที่ลูกค้าแนะนำแน่นอนลูกค้าก็จะไม่ไปใช้บริการของคู่แข่งขัน


9.กลยุทธ์ สร้างความสะดวกสบาย ง่ายๆ ไม่สลับซับซ้อนในการซื้อสินค้าหรือในการเข้ารับบริการ
กลยุทธ์ที่ 9 นี้เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญมาก ขณะที่ลูกค้าต้องใช้เหตุผลในการตัดสินใจซื้อมากขึ้น กิจการควรนำเสนอรูปแบบการบริการที่ช่วยให้การตัดสินใจของลูกค้ากระทำได้ง่ายขึ้น ไม่ลำบาก โดยมุ่งเน้นการสร้างสินค้าและบริการที่อำนวยความสะดวก เน้นความสบายให้ลูกค้ามากขึ้น เพื่อกระตุ้นความอยากใช้ อยากซื้อ


โดยรวมแล้วอาจจะมองว่า 9 กลยุทธ์การตลาดข้างต้นเป็นสิ่งที่รู้อยู่แล้ว แต่อาจมีหลายคนหลงลืมไปว่า นี่ก็คือกลยุทธ์ที่นักการตลาดทั่วโลกกำลังเร่งทำในช่วงภาวะวิกฤตเช่นนี้


แผนการเงินเพื่อวัยเกษียณ



เรื่องการวางแผนการเงินสำหรับวัยเกษียณนี้ มีผู้รู้สอนกันอยู่มากมาย แต่ละท่านต่างก็มีสูตรที่เป็นแบบฉบับเฉพาะของแต่ละท่านเอง


สำหรับผมก็มีสูตรของผมเหมือนกัน ประเด็นสำคัญของการวางแผนการเงินเพื่อวัยเกษียณ คือ คนเราเมื่อเข้าสู่วัยเกษียณแล้ว สุขภาพย่อมถดถอยลง การหารายได้ใหม่จึงเป็นเรื่องยากขึ้น เราจึงต้องหันมาพึ่งพา Passive Income หรือรายได้ที่มาจากดอกผลจากสินทรัพย์ที่เราได้เก็บออมไว้ตลอดชีวิตเป็นหลัก


ลองเริ่มต้นด้วยการนั่งคิดดูว่า เมื่อถึงวันที่ต้องเกษียณแล้ว คุณ (และคู่สมรส) อยากมีเงินใช้รวมกันเดือนละเท่าไร หมายความว่า ต้องมีเงินใช้อย่างต่ำที่สุดเท่าไรต่อเดือน ถึงจะอยู่ได้แบบมีความสุข ไม่กัดก้อนเกลือจนเกินไป


บางคนอาจใช้วิธีประมาณเงินเดือนในปีสุดท้ายก่อนเกษียณที่ตนน่าจะได้รับเป็นจุดเริ่มต้น (เช่น คนที่เป็นข้าราชการ) วิธีนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะเงินจำนวนนี้น่าจะต้องพอใช้ในวัยเกษียณแน่ๆ เพราะถ้าไม่พอ ตอนปีสุดท้ายที่ทำงานอยู่จะพอได้อย่างไร โดยอาจปรับตัวเลขนี้ลงตามสัดส่วน เพราะเมื่อไม่ต้องทำงานแล้ว ค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งจะลดลงด้วย


ถ้าเอาตามตำรา หลังเกษียณก็ควรมีเงินใช้จ่าย 50% ของเงินเดือนปีสุดท้ายก่อนเกษียณ แต่ส่วนตัวผมว่า อาจจะน้อยเกินไปนิด น่าจะสัก 70% ถึงจะได้อยู่แบบสบายๆ


สมมติว่า คุณและคู่สมรสต้องการมีเงินใช้เดือนละ 30,000 บาท หลังเกษียณ ก็ลองคิดว่าคุณจะต้องมีเงินออมเท่าไร ถึงจะสามารถสร้าง Passive Income ได้เท่ากับ 30,000 บาทต่อเดือน เพื่อที่จะหาตรงนี้ เราต้องตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับอัตราผลตอบแทนของเงินเก็บ


เมื่อเข้าสู่วัยเกษียณคนเราแบกรับความเสี่ยงได้น้อยลง ดังนั้น จึงควรเก็บเงินส่วนใหญ่ของเราไว้ในพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวน่าจะดีที่สุด พันธบัตรรัฐบาลระยะยาวน่าจะให้ผลตอบแทนได้ประมาณ 4% ต่อปี หากคำนวณกลับเข้าไปก็จะพบว่า คุณต้องมีเงินออมอย่างน้อย (30,000x12)/4% หรือเท่ากับ 9,000,000 บาท ถึงจะสร้าง Passive Income 30,000 บาทต่อเดือนได้


นั่นแปลว่า ตลอดวัยทำงาน คุณจะต้องออมเงินให้ได้ราว 9 ล้านบาท เมื่อถึงวันที่เกษียณ


ตัวเลขต่อไปที่เราจะต้องหา ก็คือ แล้วเราจะต้องออมเงินเดือนละเท่าไร ในช่วงที่เรายังทำงานอยู่ เพื่อจะบรรลุเป้าหมายนี้ได้


เวลาเก็บสะสมเงินออมในช่วงทำงาน เราไม่ได้เก็บไว้ในตุ่ม แต่เราฝากธนาคารหรือเอาไปลงทุนอย่างอื่น มันจึงมีผลตอบแทนเพิ่มมาด้วยระหว่างทาง ซึ่งช่วยทุ่นแรงให้เราได้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราเริ่มต้นออมตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะยิ่งออมนาน พลังแห่งการทบต้นก็จะยิ่งมากขึ้นเป็นทวีคูณ ถ้าดูจากผลตอบแทนของพวกกองทุนประกันสังคมหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญต่างๆ จะอยู่ที่ประมาณ 5% ต่อปี แต่กองทุนเหล่านี้จำเป็นต้องบริหารเงินแบบค่อนข้างอนุรักษนิยม ถ้าเป็นตัวเราเอง เราอาจออมเงินไว้ในหุ้นในสัดส่วนที่มากกว่ากองทุนเหล่านี้สักหน่อยเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาวก็ได้ ผลตอบแทนต่อปีที่ผมว่า ไม่ต่ำหรือสูงจนเกินไปสำหรับทุกคนน่าจะอยู่ที่ประมาณ 7.5% ต่อปี (สูงมากกว่านี้ก็ต้องเสี่ยงมากขึ้น ไม่ใช่จะดีเสมอไป)


เพื่อคิดผลของเงินเฟ้อในอนาคต เราต้องหักเงินเฟ้อออกจากอัตราผลตอบแทนด้วยเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่แท้จริง เงินเฟ้อเฉลี่ยระยะยาวน่าจะอยู่สัก 3.0% ต่อปี ทำให้ผลตอบแทนจริงๆ ของเงินออมของเราอยู่ที่ 4.5% ต่อปี


ในโปรแกรมไมโครซอฟท์ เอ็กซ์เซล มีฟังก์ชันหนึ่งที่ใช้คำนวณหาเงินที่ต้องออมเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ชื่อ ฟังก์ชัน PMT ซึ่งคุณจะต้องทราบ เป้าหมาย (FV), จำนวนปีที่ออม (NPER) และ ผลตอบแทนต่อปีที่ทำได้ (rate) สมมติว่า ตอนนี้คุณอายุ 30 ปี และจะเกษียณตัวเองตอนอายุ 55 ปี ก็เท่ากับว่าคุณมีเวลาออมเงินอีก 25 ปี


ลองแทนค่าต่างๆ ลงไปในฟังก์ชันโดยการพิมพ์ =PMT (4.5%,25,0,9000000) จะได้คำตอบเท่ากับ 201,951 (ตัวเลขจะติดลบ แต่ไม่ต้องสนใจ) ตัวเลขนี้คือเงินที่จะต้องออมให้ได้ต่อปี เมื่อนำไปหาร 12 จะได้ 16,829 บาทต่อเดือน


หมายความว่า คุณและคู่สมรสจะต้องช่วยกันออมเงินให้ได้เดือนละ 16,829 บาท จึงจะบรรลุเป้าหมายการออมเงินเพื่อวัยเกษียณนี้ได้


ถ้าหากตัวเลขตัวนี้สูงเกินไปในเวลานี้ ก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะตัวเลขนี้สมมติว่าคุณออมเงินเท่าเดิมทุกปีตั้งแต่ปีแรกจนถึงปีสุดท้ายก่อนเกษียณ แต่ในความเป็นจริง รายได้ของคุณจะค่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ ตลอดอายุการทำงานของคุณ ดังนั้น ในปีแรกๆ คุณอาจออมได้น้อยกว่านี้สักหน่อย แต่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ให้ได้ใกล้เคียงกับตัวเลขนี้ในช่วงวัยกลางคน และสูงกว่านี้ในช่วงใกล้จะเกษียณ คุณก็จะสามารถบรรลุเป้าหมายนี้แบบใกล้เคียงได้เหมือนกัน อย่างน้อยตอนนี้เราก็รู้แบบคร่าวๆ แล้วว่าเราต้องออมเงินในระดับไหนต่อเดือน


ลองปรับตัวเลขทั้งหมดใหม่ เพื่อให้ตรงกับกรณีของคุณดู คุณก็จะรู้ตัวเองว่าควรจะต้องออมเงินประมาณไหน ถึงจะบรรลุเป้าหมายของคุณ และอย่าลืมด้วยว่า คุณจะต้องหัดออมเงินบางส่วนของคุณไว้ในหุ้นด้วยเสมอ จึงจะทำให้ผลตอบแทนรวมของเงินออมของคุณอยู่ในระดับที่สูงกว่าตราสารหนี้ เช่น 7.5% ต่อปีได้


from http://goo.gl/UycIi

กลยุทธิ์การลงทุนแบบ VI



เรื่องการประเมินราคาที่เหมาะสมของหุ้นนั้นผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ยาก และราคาที่เหมาะสมของหุ้นนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้เรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป และสถานการณ์ต่างๆ เปลี่ยนไป ยกตัวอย่างเช่น หุ้นตัวหนึ่งมี eps 1 บาท และมี p/e ที่เหมาะสมคือ 15 เท่า ในปีนี้ราคาที่เหมาะสมคือ 15 บาท แต่หุ้นตัวนี้มีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 20% ราคาที่เหมาะสมในปีหน้าก็จะเพิ่มเป็น 1.2*15 คือ 18 บาท


นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้ราคาเหมาะสมอาจจะเปลี่ยนแปลงคือ สภาพแวดล้อมต่างๆ รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงในตัวบริษัทเองที่อาจจะทำให้การเพิ่มขึ้นของกำไร เพิ่มขึ้นหรือน้อยลง กว่าที่คาดไว้ ซึ่งการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของกำไรที่คาดหวัง จะมีส่วนทำให้ p/e ของหุ้นต่ำลงหรือสูงขึ้นด้วย ดังนั้นหาก eps growth ลด ก็ทำให้ eps ในปีต่อไปลดจากที่คาดไว้ และ p/e ที่เหมาะสมหรือ p/e ที่ตลาดจะให้กับหุ้นตัวนั้นๆ ลดลงด้วย เป็น 2 เด้ง ในทางกลับกันก็เช่นกัน ดังนั้นเราอาจจะเห็นว่าตลาด เปลี่ยนแปลงราคาที่เหมาะสมสำหรับหุ้นตัวนั้นได้เร็วและรุนแรงพอสมควรครับ เช่น หุ้น MINT เคยได้ p/e 10-15 เท่า เพราะตลาดคาดว่าหุ้นตัวนี้จะโตได้ปีละ 10-15% แต่เมื่อ mint สามารถเติบโตในปีก่อนได้เ 40% ก็กลายเป็นว่าตลาดก็ให้ p/e ของmint สูงถึง 20-25 เท่า ดังนั้น หากเรายึดติดกับว่า mint ไม่ควรมี p/e เกิน 15 เท่าก็กลายเป็นว่าอาจจะขายหุ้น mint ก่อนเวลาอันควรก็เป็นได้


หรือ หุ้น amata ในปี 44-45 เคยมี p/e เพียง 4-6 เท่า แต่ปัจจุบัน มี p/e 15-20 เท่า ดังนั้น ความคาดหวังของนักลงทุน ณ เวลาที่ต่างกัน สถานการณ์ต่างกัน ก็มีความแตกต่างกันมากครับ


แม้กระทั่งหุ้นกลุ่มอสังหาฯ หรือวัสดุก่อสร้าง เคยได้ p/e 10-20 เท่าในปี 46 แต่ปัจจุบัน p/e 6-8 เท่า หลายคนยังไม่อยากซื้อเลยครับ


ดังนั้น ผมคิดว่าการคำนวณราคาที่เหมาะสมของหุ้นแต่ละตัวนั้นค่อนข้างลำบาก สำหรับผมเองคงจะบอกได้ว่า หุ้นตัวหนึ่งๆ นั้นยังถูกพอสมควร และมี upside มาก ในขณะที่ downside หรือความเสี่ยงไม่มากนัก ทำให้น่าสนใจในการลงทุน หรือบอกว่าหุ้นตัวหนึ่งแพงกว่าที่ควรจะเป็น หรือมี downside พอสมควร หรือมีอนาคตที่ไม่น่าสนใจหรือมีความกังวลอะไรบางอย่าง ทำให้ไม่น่าสนใจนัก หรืออย่างมากก็บอกได้ว่าหุ้นตัวนั้นๆ ตามพื้นฐานแล้วราคาหุ้นไม่ควรต่ำกว่ากี่บาทต่อหุ้น แต่ผมเองไม่สามารถทำนายราคาที่เหมาะสมของหุ้นตัวนั้นได้อย่างถูกต้องครับ และไม่สามารถบอกได้ว่าหุ้นตัวนั้นจะขึ้นไปถึงเท่าไหร่ถึงจะน่าขายที่สุด หากเปรียบเทียบก็เหมือนกับว่า หากมีคน 10 คนวิ่งแข่งกัน ผมสามารถบอกได้ว่า 3 คนไหนน่าจะมีอันดับแรกๆ หรือ พอจะบอกได้ว่านักวิ่ง 3 คนที่ผมเลือกมานั้นควรจะทำเวลาได้ไม่เกินกี่วินาที แต่ผมไม่สามารถบอกได้ว่าทั้ง 3 คนหรือแต่ละคนจะใช้เวลาวิ่งกี่วินาทีครับ


ดังนั้น การที่การประเมินราคาที่เหมาะสมเป็นสิ่งที่ยาก ระยะหลังๆ ผมจึงเน้นการที่เลือกหุ้นที่ดี คือ อยู่ในธุรกิจที่มีการเติบโต บริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขัน และมีผู้บริหารที่ดี แล้วถือลงทุนไปเรื่อยๆ ครับ กล่าวคือ ผมคิดว่าเราควรจะทุ่มเทเวลาในการศึกษาปัจจัยด้านคุณภาพ หรือ qualitative เช่น การวิเคราะห์ทำความเข้าใจในธุรกิจ มากกว่าปัจจัยด้านตัวเลขหรือปริมาณครับ


การวิเคราะห์ความถูกแพงของหุ้นก็เป็นสิ่งสำคัญครับ ซึ่งหลักๆ คือการดู p/e การใช้ p/e นั้นต้องใช้กับหุ้นที่ไม่ใช่หุ้นวัฎจักรเท่านั้นนะครับ ถ้าเป็นหุ้นวัฎจักรก็ต้องใช้วิธีอื่นๆ ดู ซึ่งผมคิดว่านักลงทุนทั่วไปที่ยังไม่ได้ศึกษาลึกซึ้งยังไม่ควรเริ่มศึกษาจาก หุ้นวัฎจักรครับ


ผมเคยเขียนถึงหุ้นวัฎจักรไปบ้างแล้ว เผื่อหลายท่านยังไม่ได้อ่าน ผมขอฉายหนังซ้ำนะครับ


หุ้นวัฎจักรแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ครับ

1 หุ้น commodity cyclical
หุ้นประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์หรือ commodity ซึ่งสินค้าจะหน้าตาเหมือนกัน ทำให้ผู้ผลิตเกือบทุกรายจะต้องขายสินค้าหรือบริการที่ราคาเดียวกัน ได้แก่ เหล็ก ปิโตรฯ น้ำมัน ถ่านหิน เรือ แร่ธาตุ ฯลฯ หุ้นประเภทนี้จะมี cycle ขึ้นลงตาม demand supply ของอุตสาหกรรม ซึ่งมีปัจจัยด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเข้ามาเกี่ยวข้องในด้าน demand และมีปัจจัยด้านการเพิ่มหรือลดการผลิตของผู้ผลิตรายใหญ่ๆ ของโลกซึ่งเป็นตัวกำหนด supply ดังนั้นผู้ศึกษา cycle ของธุรกิจจะต้องวิเคราะห์ให้ถูกทั้งด้าน demand และ supply ถูกด้านเดียวไม่พอครับ

2 หุ้น economic cyclical 
หุ้นประเภทนี้แม้จะไม่ได้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ แต่สินค้าหรือบริการนั้นมีความผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจสูง เพราะอาจจะเป็นสินค้าที่ไม่ได้จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตนักหรือพอจะชะลอการ ซื้อได้ หรือ/และ สินค้าของผู้ผลิตเหล่านี้แม้ไม่ได้เป็น commodity ไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนักและลูกค้าพร้อมจะ switching จากยี่ห้อหนึ่งไปอีกยี่ห้อ ทำให้เมื่อภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจึงมีการตัดราคากัน หรือเป็นธุรกิจที่มีต้นทุนคงที่สูงมากทำให้การลดลงของรายได้ใกล้เคียงกับ กำไรที่จะลดลง หุ้นกลุ่มนี้ เช่น รถยนต์ อสังหาฯ วัสดุก่อสร้าง อิเลคทรอนิกส์ รวมไปถึงหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน คือ ธนาคาร เงินทุนและหลักทรัพย์


การวิเคราะห์หุ้น economic cyclical นั้น ต้องอาศัยความสามารถในการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคสูงครับ เพราะยอดขายของหุ้นกลุ่มดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับภาวะเศรษฐกิจและความ เชื่อมั่นของผู้บริโภคค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากสำหรับนักลงทุนอย่างเราที่ จะไปทำนายแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคตของประเทศ ที่ปัจจุบันมีตัวแปรในอนาคตที่คาดการณ์ยากจำนวนมาก เช่น การเมือง ราคาน้ำมัน เศรษฐกิจประเทศสำคัญๆ เช่น สหรัฐ จีน


หุ้น cyclical ทั้งสองประเภทนั้น ดู p/e เป็นหลักไม่ได้ครับ โดยเฉพาะหุ้น commodity cyclical หุ้นเหล่านี้ แม้ p/e ต่ำมาก ก็จะใช่ว่าถูกเสมอไป หรือช่วงที่ p/e สูงก็ไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไป เช่น หากธุรกิจกำลังอยู่ช่วง peak หุ้นประเภท cyclical มักจะมีกำไรที่สูงมากทำให้ p/e ต่ำ แต่เมื่อธุรกิจเข้าสู่ขาลงกำไรจะลดลงแรงมากหรือถึงขั้นขาดทุน


ดังนั้น สำหรับนักลงทุนที่เป็นมือใหม่ หรือเป็นนักลงทุนที่มีงานประจำค่อนข้างยุ่งและไม่มีเวลาศึกษามากนัก ผมจึงแนะนำให้ดูหุ้นกลุ่มที่เป็น non-cyclical เป็นหลัก ซึ่งจะปลอดภัยกว่าและวิเคราะห์ง่ายกว่าครับ


สำหรับหุ้น non-cyclical ผมให้ดู p/e ครับ แต่ต้องเป็น eps ที่ adjust กำไรที่ไม่ใช่การดำเนินงานออกนะครับ และเป็น fully diluted eps คือรวมผลของ warrant esop เข้ามาแล้ว และคำนึงถึงเรื่องอัตราภาษีในอนาคตด้วยสำหรับหุ้นที่ยังมีสิทธิพิเศษ ทางภาษีอยู่


หุ้นที่น่าสนใจในการลงทุนคือ หุ้นที่มี p/e ต่ำกว่าการเติบโตของกำไรเฉลี่ยต่อปี ในอีก 5-10 ข้างหน้าครับ คือ ควรจะวิเคราะห์ให้แตกฉานจนเห็นภาพของธุรกิจอย่างน้อยในอีก 5 ปีข้างหน้า ถ้าให้ดี 10-20 ปีก็จะดีมากครับ ดังนั้นหุ้นที่อาจจะเติบโตปีละ 30% แต่ทำได้แค่ปีเดียว ก็ไม่น่าสนใจในความคิดผมครับ เว้นเสียว่าจะโต 100% ในปีเดียวก็อาจจะน่าสนใจในการลงทุนอีกลักษณะคือ แบบ hit and run ครับ


นอกจากนี้ ต้องอย่างลืมพิจารณาเรื่อง คุณภาพของกำไร ด้วยนะครับ ตามที่ผมเคยเขียนกระทู้เรื่องนี้ไว้แล้ว คือ เราจะต้องให้ p/e สูงกว่าในหุ้นที่มีคุณภาพของกำไรสูง และให้ p/e ต่ำกว่าในหุ้นคุณภาพกำไรต่ำหรือไม่ลงทุนเลยในกรณีคุณภาพของกำไรต่ำมาก


ดังนั้นคำถาม ก็คือ จะทราบได้อย่างไรว่าหุ้นแต่ละตัวจะมีการเติบโตกี่ % ต่อปีในอีก 5-10 ปีข้างหน้า คงจะต้องดู 3 ประการครับ

1 market growth

2 market share growth

3 net profit margin


1 market growth 
คือจะต้องศึกษาว่าธุรกิจ อุตสาหกรรมดังกล่าวมีการเติบโตแค่ไหน ซึ่งการวิเคราะห์ตรงนี้ก็ค่อนข้างยากและเป็นศิลปะพอสมควร และเราจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในตัวอุตสาหกรรมอย่างมากครับ วิธีที่ง่ายที่จะเริ่มต้น ก็คือ การคิดว่า อนาคต หากผู้บริโภคมีรายได้ 100 บาทต่อปี ถ้าปัจจุบัน ผู้บริโภคจ่ายเงินในการซื้อสินค้าและบริการในธุรกิจนี้ 5 บาทต่อปี อนาคตเราคิดว่าคนจะจ่ายเงินในสัดส่วนของรายได้เพิ่มขึ้นหรือลดลง หรือคงที่ครับ หากสรุปได้ว่าคงที่ ก็เท่ากับว่า market จะโตได้พอๆ กับการเติบโตของรายได้ของผู้บริโภค คือ เท่าๆ กับ GDP ครับ ถ้าคิดว่าสัดส่วนการใช้จ่ายเงินของผู้บริโภคจะสูงขึ้น แสดงว่าธุรกิจดังกล่าวจะโตต่ำกว่า gdp ครับ

2 mkt share growth 
ให้ประเมินสถานภาพ mkt share ของบริษัท ว่ามี mkt share ประมาณกี่ % ถ้าหุ้นตัวนั้นๆ มี mkt share สูงมากอยู่แล้ว เช่น 70% หุ้นตัวนั้นคงจะลำบากในการเพิ่ม share สิ่งที่ดีที่สุดที่ทำได้คือการรักษา mkt share และโตตามตลาด ดังนั้น สิ่งที่เราจะต้องดูเพิ่มเติมก็คือ เราจะคิดว่าหุ้นตัวดังกล่าวจะรักษา mkt share ได้หรือไม่ครับ คงจะต้องไปศึกษา barrier to entry ของธุรกิจ ศึกษาคู่แข่งด้วยครับ สำหรับหุ้นที่ mkt share ต่ำ ก็มีข้อดีคือ มีโอกาสเพิ่ม mkt share ได้อีก แต่ข้อเสียคือ มีโอกาสล้มหายตายจาก เพราะการมี mkt share ต่ำแสดงถึงการเสียเปรียบหลายๆ อย่างกับผู้มี mkt share สูง และอาจจะแสดงถึงความสามารถในการบริหารที่ค่อนข้างต่ำ ดังนั้นการเลือกหุ้น mkt share ต่ำ แม้ว่าจะมี upside สูง แต่ก็มี downside สูงเช่นกัน ดังนั้นเราจะต้องวิเคราะห์ให้ได้ถึงสาเหตุของการมี mkt share ต่ำว่าอะไร เพราะอาจจะมีเหตุผลที่ดีก็ได้เช่น เป็นบริษัทใหม่ แต่ถ้าเป็นบริษัทที่ตั้งมาหลายสิบปีแล้วแต่ยังมี mkt share ต่ำอยู่ผมคิดว่าอาจจะยากเกินเยียวยาครับเว้นเสียว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในการ บริหารอย่างมีนัยสำคัญ

3 net margin 
ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องดูครับ เพราะบางครั้ง net margin ในบางปีของแต่ละบริษัทอาจจะต่ำกว่าปกติ ซึ่งอาจจะมีเหตุผลบางอย่าง หรืออาจจะสูงกว่าปกติในบางปี
สำหรับหุ้นที่ net margin ต่ำ ก็คงต้องระวังว่าหากต่ำกว่านี้อีกหน่อย ก็เท่ากับว่าขาดทุนทันที แม้จะมียอดขายเพิ่มก็ตาม แต่ก็มีข้อดีคือมี room ที่ margin ที่เพิ่มขึ้นหากมีการปรับปรุงหรือมียอดขายที่เพิ่มขึ้นซึ่งน่าจะนำพาให้ economy of scale มากขึ้น
สำหรับหุ้นที่ net margin สูง ก็มีข้อดีข้อเสีย ข้อดีคือ บริษัทนั้นๆ จะมีแนวโน้ม roa roe ที่สูง และบริษัทนั้นๆ จะทนกับการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง หรือปัจจัยด้านต้นทุนได้ดี ก็คือยังสามารถสร้างกำไรอยู่ได้ แต่ข้อเสียคือ การมี margin สูงมากๆ ประเภท too good to be true จะนำมาซึ่งการแข่งขันที่รุนแรงในอนาคตหาก barrier to entry ไม่สูงพอ และข้อเสียกับนักลงทุนคือหากเราให้ net margin ดังกล่าวในการทำนายในอนาคต อาจจะได้ผลที่คาดเคลื่อนได้ครับ


ดังนั้น เราจะต้องพิจารณา 3 ปัจจัยดังกล่าว ในการประเมินคร่าวๆ ว่าหุ้นตัวนั้นๆ จะมี growth มากน้อยเพียงใดในอนาคตครับ เราอาจจะแบ่งหุ้นได้เป็นประเภทต่างๆ ดังนี้ครับ

1 market growth สูง และ mkt share สูง
หากธุรกิจดังกล่าวมี barrier to entry สูงด้วย หุ้นนั้นๆ จะเป็น super stocks ครับ เพราะการที่หุ้นนั้นๆ มี mkt share สูงจะทำให้มีความได้เปรียบคู่แข่งมากในด้านทรัพยาการต่างๆ ที่จะมาใช้ในการสร้างยอดขายเพื่อรองรับการเติบโตต่างๆ เช่น ทรัพยากรเงินทุน บุคลากร แต่หาก barrier to entry ต่ำ ก็อาจจะทำให้ความน่าสนใจลดลง แต่ด้วยความที่เค้กก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก็อาจจะทำให้หุ้นตัวนั้นๆ พอจะมีความน่าสนใจอยู่บ้างครับ

2 market growth สูง mkt share ต่ำ
หุ้นประเภทนี้ให้ดูปัจจัยเดียวเป็นหลักครับ คือ ความสามารถของผู้บริหาร ถ้าเราคิดว่าผู้บริหารมีความสามารถสูงและจะสามารถเพิ่ม mkt share ได้ หุ้นประเภท 2 นี้จะมี upside มากกว่าประเภท 1 อีกครับเพราะจะโตจากทั้งตลาดรวมที่โตและ mkt share ที่เพิ่ม ยกตัวอย่าง เช่น หุ้น LH ตอนปี 43 มี mkt share เพียง 7% ของตลาด แต่หลังจากได้สร้างบ้านก่อนขายและมี concept บ้านสบาย ทำให้ mkt share เพิ่มเป็นประมาณ 25-30% ในปี 46 ในขณะที่ตลาดรวมก็เติบโตสูง ผลก็คือ Lh มีราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 10 เท่าครับ

3 mkt growth ต่ำ mkt share สูง
หุ้นประเภทนี้น่ากลัวครับ เพราะการเติบโตของตลาดรวมที่ต่ำ ทำให้ผู้เล่นรายใหม่จะต้องมาแย่งเค้กจากรายเดิม และบริษัทที่มี mkt share สูงจะต้องอยู่ในสภาวะที่ตั้งรับ คือ ต้องรักษา mkt share อย่างเดียว และโอกาสเติบโตก็มีค่อนข้างน้อย ยกตัวอย่างคือ หุ้น BEC ในปี 43-44 มี mkt share ในตลาดโฆษณา TV 40% แต่ธุรกิจโฆษณา TV เริ่มโตช้าลง ในขณะที่ bec ได้เสีย mkt share ให้กับช่อง 7 ITV และ ช่อง 9 ทำให้ราคาหุ้นของ BEC ลดลงจาก 25 บาทมาเหลือ 15 บาทในปัจจุบัน

4 mkt growth ต่ำ mkt share ต่ำ
หุ้นประเภทนี้มองยากครับ ถ้าเป็นบริษัทที่ผู้บริหารมีความสามารถและสามารถเพิ่ม mkt share ได้ก็จะทำให้กำไรเติบโตได้มาก แต่ต้องดูว่าเป็นการเพิ่ม mkt share ที่ยั่งยืนหรือไม่ด้วยเพราะการที่บริษัทขนาดเล็กได้ mkt share เพิ่มก็มักจะถูกรุกกลับจากผู้เล่นรายใหญ่ที่มีความได้เปรียบในด้านทรัพยากร โดยเฉพาะการเพิ่ม mkt share ด้วยการตัดราคาในขณะที่ต้นทุนยังลดไม่ได้คงไม่ใช่วิธีที่ดีแน่นอนครับ นอกจากนี้ยิ่งหากเป็นบริษัทที่ผู้บริหารไม่เก่งแล้ว บริษัทเหล่านี้ก็มีโอกาสล้มหายตายจากครับ เพราะการที่ mkt growth ต่ำทำให้ผู้เล่นรายใหญ่จะต้องมาแย่งส่วนแบ่งการตลาดกันเอง คนที่กระทบหนักสุดคือรายเล็กครับ เข้าข่าย ช้างชนกัน หญ้าแพรกก็แหลกราญครับ


สิ่งที่ผมอธิบายคงจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งนะครับ ก็มีรายละเอียดอีกมากมายซึ่งผมจะพยายามเขียนและถ่ายทอดออกมาในอนาคตนะครับ คงจะไม่ว่านะครับที่ผมคงจะไม่มีสูตรลับหรือหลักการอะไรตายตัวให้ เพราะผมก็ไม่มีจริงๆ ครับ และคิดว่าไม่น่าจะมีสูตรหรือหลักการอะไรที่เป็นสูตรสำเร็จนะครับ เพราะมิฉะนั้นเราคงจะเห็นคนจำนวนมากมายร่ำรวยจากการลงทุนในตลาดหุ้นไปแล้ว อาจารย์มหาวิทยาลัยที่จบปริญญาเอกและสอนด้านการลงทุนคงจะร่ำรวยจากตลาดหุ้น และออกมาลงทุนเองกันหมดแล้ว และก็คงเป็นคำตอบที่ว่าทำไมระยะหลังๆ ผมพยายามจะไม่ให้ราคาที่เหมาะสมของหุ้นแต่ละตัว ผมคิดว่าหุ้นเป็นศิลปะ 90% เป็นคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์อีก 10% ครับ ดังนั้นการศึกษาให้มากที่สุด เรียนรู้ให้มากที่สุด คงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนในหุ้นครับ แม่ทัพที่มีชื่อเสียงของโลกในอดีต ก็ต่างใช้กลยุทธ์และการจัดทัพในแต่ละสนามรบต่างๆ กันในการรบแต่ละครั้งขึ้นกับภูมิประเทศ อากาศ จำนวนทหารและยุทโธปกรณ์ของของตนและข้าศึก ฯลฯ ดังนั้นคงจะไม่มี short cut หรือหลักการตายตัวอะไรที่ได้ผล 100% ครับ


from http://goo.gl/PiYZW

5 วิธีเล่นหุ้นสำหรับมนุษย์เงินเดือน



ยุคที่ดอกเบี้ยเงินฝากน้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อ มนุษย์เงินเดือนที่พอจะมีเงินเหลือจากรายจ่ายประจำเดือนอยู่บ้าง (บางคนบอกว่าไม่เหลือ แถมไม่พอใช้ด้วย) ก็ต้องหาทางบริหารเงินให้งอกเงย ทางหนึ่งที่น่าสนใจและเป็นที่นิยมพอสมควรคือการเล่นหุ้น ผมลองรวบรวมวิธีการเล่นหุ้นที่ผมใช้อยู่ทุกวันนี้มาแบ่งปันกันในฐานะของมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งครับ



1. ไม่นั่งเฝ้าราคาทั้งวัน

การเป็นมนุษย์เงินเดือนนั้น บริษัทจ้างเรามาเพื่อทำงานครับ ถ้าคุณไม่ได้ทำงานเป็นมาร์ของโบรกที่ต้องคอยดูราคาขึ้นๆ ลงๆ คุณก็ไม่ควรนั่งจ้องหน้าจอหุ้นตลอดเวลา มีช่วงหนึ่งของชีวิตที่ผมเคยเล่นหุ้นโดยมีระบบการซื้อขายที่ตัดสินใจจากราคาหุ้นที่เปลี่ยนแปลงไป ช่วงนั้นผมต้องนั่งเฝ้าหน้าจอทั้งวันเลย ดีที่ตอนนั้นทำงานเป็นฟรีแลนซ์เลยปรับเวลาทำงานตัวเองเป็นหลังตลาดปิด แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองเสีย Productivity มาก เมื่อเทียบกับเงินเพียงเล็กน้อยที่ได้มาจากการเฝ้าหน้าจอ



2. ไม่เล่นรอบเพื่อหวังรวยเร็ว 

เชื่อว่า 99% ของคนที่ไม่เคยเล่นหุ้นมาก่อนและกำลังตัดสินใจจะเล่นโดยที่ยังไม่มีความรู้อะไรมากนัก ย่อมคิดว่าการเล่นหุ้นทำให้รวยเร็ว เริ่มจากเงินลงทุนจำนวนไม่มากของตัวเอง ซื้อหุ้นตอนราคาต่ำๆ ถือไว้สักพักราคาจะวิ่งขึ้น จากนั้นก็ขายเพื่อเอาทุนคืน เอากำไรที่ได้ไปซื้อหุ้นตัวใหม่ ทำแบบนี้ไม่กี่รอบ จากเงินลงทุนหลักหมื่นจะกลายเป็นหลักแสน หลักแสนจะกลายเป็นหลักล้าน ผมไม่ปฏิเสธว่ามีคนที่ทำแบบนี้แล้วพอร์ตโตขึ้นจริง แต่คำถามคือมีคนกี่เปอร์เซ็นต์ที่ทำได้แบบนี้? และเขาจะได้กำไรไปเรื่อยๆ หรือเปล่า? มันทำให้ผมคิดถึงคนที่เล่นหวย บางคนดวงดีทำบุญมาเยอะ ซื้อหวยแล้วถูกเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะถูกหวยบ่อยๆ เหมือนเขานะ



3. เล่นหุ้นให้เหมือนฝากประจำ 

สมัยที่ผมทำงานใหม่ๆ ได้เงินเดือน 20,000 บาท ผมจะแบ่งเงินครึ่งหนึ่งสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน อีกครึ่งเอาเข้าบัญชีเงินฝากประจำทุกเดือนเป็นเวลา 24 เดือน มันน่าอึดอัดเหมือนกันเวลาที่ผมอยากซื้อของราคาสูงๆ อย่างโน้ตบุ๊ก แต่มันก็ช่วยให้มีวินัยทางการเงิน และส่งผลให้สองปีต่อมา ผมมีเงินก้อน 240,000 บาท บวกดอกเบี้ยอีกก้อนเล็กๆ ตอนนี้ผมประยุกต์ใช้วิธีนี้กับการเล่นหุ้น คือแบ่งเงินส่วนหนึ่งไว้ทุกเดือนเพื่อโอนเข้าบัญชีหุ้น (ผมใช้บัญชีเงินสด) บางคนอาจใช้เงินก้อนนี้ซื้อหุ้นทุกเดือนเลยโดยไม่สนราคา แต่ผมใช้วิธีถือเงินสดไว้และรอเข้าซื้อในจังหวะที่หุ้นตกแรงๆ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา แต่ละปีจะมีช่วงเวลาที่หุ้นตกหนักประมาณ 2-3 ครั้ง



4. ซื้อหุ้นเหมือนซื้อกิจการ 

เป็นกฎของนักลงทุนแนวพื้นฐาน (Fundamental) และนักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor) เนื่องจากมนุษย์เงินเดือนไม่มีเวลานั่งเฝ้าราคา และไม่หวังรวยเร็วจากการเล่นรอบ เลยต้องซื้อหุ้นโดยวิเคราะห์พื้นฐานของธุรกิจนั้นๆ เสมือนว่าเราจะซื้อกิจการ ต้องเข้าใจว่ารายรับของบริษัทมาจากไหน มีรายจ่ายอะไรบ้าง ลูกค้าคือใคร สภาพตลาดเป็นยังไง อีก 5 ปี ตลาดจะใหญ่ขึ้นมั้ย คู่แข่งแข็งแกร่งแค่ไหน ผู้บริหารเป็นยังไง ฯลฯ ถ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างเข้ามาทำให้ราคาหุ้นตกหนัก ผมก็จะเข้าใจว่าเหตุการณ์นั้นส่งผลกระทบต่อพื้นฐานของธุรกิจในระยะยาวจริงหรือเปล่า ถ้ามีผลแค่ระยะสั้น ผมก็จะใช้เงินสดในข้อ 3 เพื่อซื้อหุ้นเพิ่ม แต่ถ้าดูแล้วน่าจะส่งผลกระทบในระยะยาว แบบนี้ก็ค่อยพิจารณาขายทิ้ง



5. ตั้งเป้าหมายว่าจะมีรายได้จากเงินปันผลไว้ใช้ตอนเกษียณ 

ลองประเมินดูว่าทุกวันนี้ถ้าเรากินอยู่อย่างประหยัด ต้องใช้เงินเท่าไหร่ ลองคูณเงินเฟ้อเพื่อดูว่าอีก 20-30 ปีที่เราเกษียณแล้ว เราต้องใช้เงินเท่าไหร่ ถ้าค่าใช้จ่ายของเราในอนาคตมาจากเงินปันผล แปลว่าตอนนั้นเราควรมีพอร์ตขนาดไหน พอร์ตของเราในปัจจุบันยังห่างจากเป้าหมายเท่าไหร่ ในแต่ละปีเราควรจะมีเป้าหมายในการเพิ่มขนาดพอร์ตปีละเท่าไหร่ ถ้าวางแผนให้ดีตั้งแต่ตอนที่ยังมีแรงทำงาน พอถึงตอนที่ทำงานไม่ไหวแล้ว เราจะได้ไม่ต้องลำบากลูกหลานครับ



Panic


นักลงทุนที่อยู่ในตลาดหุ้นมานานสิ่งหนึ่ง ที่เขาจะต้องพบคือ ตลาดหุ้นเกิด "Panic" ซึ่งถ้าแปลตรงตัว คือ ตลาดหุ้นเกิดอาการ "ตกใจกลัว"


หรือ "อกสั่นขวัญหาย" เป็นอาการที่ราคาหุ้นทั้งตลาด หรือหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรม หรือหุ้นตัวใดตัวหนึ่งตกลงมาอย่างหนักในระยะเวลาอันสั้น เช่น ภายในวันเดียวดัชนีตลาดหุ้นตกลงมาถึง 5% หรือถึง 10% และทำให้ตลาดหุ้นต้องพักการซื้อขายเพื่อให้คน "หายตกใจ" และมีเวลาพินิจพิจารณาว่าราคาหุ้นนั้นเหมาะสมกับมูลค่าที่แท้จริงหรือไม่ และนักลงทุนควรที่จะขายหรือจะซื้อ โดยอิงจากเหตุผลไม่ใช่อารมณ์ที่เกิดจากจิตวิทยาหมู่


Panic ของตลาดหุ้นทุกครั้งนั้น แม้ในระยะสั้นๆ สิ่งที่เหมือนกันคือ ดัชนีตลาดหุ้นตกลงมาอย่างแรงและรวดเร็ว แต่สาเหตุมักจะแตกต่างกันออกไป และที่สำคัญคือ การปรับตัวของดัชนีหลังจากนั้น อาจจะแตกต่างกันมาก


ลองมาดูธรรมชาติของ Panic แต่ละแบบว่าเป็นอย่างไร การเรียนรู้นี้จะช่วยทำให้เราสามารถเอาตัวรอด "หนีตาย" ได้ทัน หรือไม่ก็อาจจะทำกำไรได้งดงามอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะกรณีที่ราคาหุ้นปรับตัวกลับขึ้นไปอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น


Panic แบบแรกคือสิ่งที่เรียกว่า "Panic เก๊" นี่คือ Panic ที่เกิดจากสาเหตุ หรือเหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับพื้นฐานของการดำเนินงานของตลาด หรือผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน พูดอีกทางหนึ่งคือ ไม่ได้กระทบกับเศรษฐกิจ หรือกระทบน้อยมาก แต่อาจเกี่ยวกับเรื่องการเมืองการปกครอง ซึ่งอาจรวมถึงความวิตกเรื่องสงคราม หรือความรุนแรงทางสังคมที่ทำให้คน "ตกใจ" และอาจจะ "จินตนาการ" ไปไกล และเทขายหุ้นโดยไม่คิดถึงพื้นฐานที่แท้จริงของกิจการและตลาดหุ้นโดยรวม


จริงอยู่ นักลงทุนส่วนหนึ่ง อาจจะเป็นคนส่วนใหญ่ด้วยซ้ำที่อาจจะ "ไม่กลัว" แต่พวกเขาคิดว่า ถ้าคนอื่นกลัวและขายหุ้นอย่างหนัก หุ้นต้องลงแรง ดังนั้น พวกเขาจำเป็นต้องรีบขายหุ้นก่อนเหมือนกัน ผลคือ ตลาดก็ "ถล่ม" กลายเป็น Panic ที่ "เก๊" เมื่อหุ้นตกลงไปมากพอ คนที่มีเหตุผลและคนที่หายตกใจแล้วกลับมาซื้อหุ้นที่มีราคาถูก "คุ้มค่า" ส่งผลให้ราคาหุ้นวิ่งกลับอย่างรวดเร็ว บางทีสูงกว่าตอนก่อน Panic ด้วยซ้ำ


ตัวอย่างของ Panic เก๊ มีมากมาย บางทีมากกว่า Panic จริงด้วยซ้ำ เช่น ในอเมริกา เวลาประธานาธิบดีตาย หรืออาจป่วยรุนแรงเป็นตายเท่ากัน ราคาหุ้นจะดิ่งเป็น Panic แต่ทุกครั้งจะปรับตัวกลับรวดเร็ว เพราะเรื่องแบบนี้เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจน้อย ตัวอย่างเช่น ตอนที่ประธานาธิบดีเคนเนดี้ถูกลอบยิงเสียชีวิต ดัชนีหุ้นตกลงไปถึง 3% ในวันเดียว แต่พอวันรุ่งขึ้น ดัชนีกลับปรับขึ้น 4.5% หลังจากนั้นหุ้นวิ่งต่อ


ในเมืองไทย ก็มี Panic เก๊ อยู่เรื่อยๆ เช่นเมื่อปีก่อนที่เกิดเหตุเรื่องน้ำท่วม หรืออะไรบางอย่างผมจำไม่ได้ ดัชนีตลาดหุ้นตกลงไปเกือบ 10% โดยที่ดูไปแล้วบริษัทจดทะเบียนโดยเฉพาะที่มีขนาดใหญ่เกือบทั้งหมด แทบจะไม่ได้รับผลกระทบเลย เมื่อเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วัน หรือไม่กี่เดือน ดัชนีหุ้นวิ่งกลับขึ้นมา และสูงกว่าก่อนเกิด Panic มาก


Panic แบบที่สองเรียกว่า "Panic ฟองสบู่แตก" นี่คือกรณีที่หุ้นขึ้นสูงมากเป็นฟองสบู่ ด้วยเหตุที่เศรษฐกิจ หรือธุรกิจบางอย่าง เช่น อสังหาริมทรัพย์ หรือในอเมริกาช่วงปีทศวรรษ 1990 ของหุ้นไอที มีความเฟื่องฟูมากส่งผลให้คนเข้ามาเก็งกำไรกันอย่าง "บ้าคลั่ง" ราคาหุ้นขึ้นไปเกินพื้นฐานเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนาน Panic ฟองสบู่ จะเกิดขึ้นช่วงปลายของ "ยุค" ซึ่งอาจกินเวลาเป็นสิบปีเลยก็ได้


เมื่อฟองสบู่ "แตก" ซึ่งอาจเกิดจากเหตุการณ์บางอย่างที่รุนแรงเกี่ยวข้องกับหุ้นในกลุ่มนั้น ราคาจะตกลงแรงเป็น Panic วันแรกๆ หลังจากนั้น หุ้นในกลุ่มก็ตกลงเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ถ้าดูจากผลการดำเนินงาน หรือตัวอุตสาหกรรมยังเติบโตต่อไป เพียงแต่ไม่หวือหวาเหมือนอดีต ราคาหุ้นที่ลดลง ทำให้ค่า PE ของหุ้นลดลงจากที่เคยสูงลิ่ว พื้นฐานของกิจการ อาจจะไม่เปลี่ยน แต่ความคิดและความเชื่อรวมถึง "ความโลภ" ของคนนั้นเปลี่ยนไป


ตัวอย่างของฟองสบู่แตก ที่ทำให้ตลาดหุ้นเกิด Panic มีมากมาย ตั้งแต่สมัยฟองสบู่ "ดอกทิวลิป" ในดัตช์ หรือเนเธอร์แลนด์เมื่อ 370 ปีก่อน หรือฟองสบู่ "ทะเลใต้" ในอังกฤษเมื่อ 300 ปีที่แล้ว และเมื่อเร็วๆ นี้ ปี 2001 ฟองสบู่ "ดอทคอม" ในอเมริกา เมืองไทยน่าจะมีฟองสบู่ของอสังหาริมทรัพย์ช่วง 3-4 ปีก่อนปีวิกฤติ 2540 เป็นต้น


Panic แบบที่สามคือ "Panic ติดเชื้อ" นี่คือ Panic ที่เกิดขึ้น เพราะการลุกลามจากที่อื่น โดยเฉพาะจากประเทศ หรือตลาดขนาดใหญ่เช่นตลาดหุ้นสหรัฐ หรือตลาดหุ้นที่อยู่ในย่าน หรือประเทศที่มีความเกี่ยวข้องกันใกล้ชิด เช่น เป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย เป็นต้น


Panic ติดเชื้อ ถ้าไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจที่ "ติดเชื้อ" ไปด้วย นั่นคือ ประเทศที่เกิด Panic มีปัญหาทางเศรษฐกิจและปัญหา ลุกลามไปยังประเทศอื่น ทำให้ประเทศนั้นมีปัญหาไปด้วย


ในกรณีแบบนี้ Panic ติดเชื้อน่าจะ "หาย" เร็ว ตลาดหุ้นน่าจะกลับมาได้เร็ว เพราะปัญหาไม่ได้เกิดจากพื้นฐาน เกิดจากคนกลัว และเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตลาดหุ้นที่มักขึ้น หรือลงตามกัน เป็นผลสำคัญจากการไหลของเม็ดเงินที่เป็นโลกานุวัตร


ตัวอย่าง Panic ติดเชื้อที่เห็นชัดเจน คือกรณีตลาดหุ้นวิกฤติครั้งใหญ่ในสหรัฐปี 1929 กรณีแบล็คมันเดย์ในเดือนต.ค.ปี 1987 และปี 2008 กรณีซับไพร์ม ในเอเชียที่ติดเชื้อคือ ปี 2540 ที่ตลาดหุ้นไทยเกิดวิกฤติ และลามไปในตลาดหุ้นเกิดใหม่เกือบทุกประเทศในเอเชีย


สุดท้ายคือ "Panic ที่แท้จริง" นี่คือ Panic ที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์จริง ที่มีผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ และตลาดหุ้น ทำให้เกิดการถดถอย หรือตกต่ำทางเศรษฐกิจ ส่งผลต่อผลประกอบการ และฐานะของบริษัทจดทะเบียนรุนแรง บางครั้งทำให้เกิดการล้มละลายอย่างเป็นระบบ นี่เป็นสิ่งที่นักลงทุนทุก ต้องตระหนัก และเข้าใจว่ามูลค่าของกิจการจะต้องลดลงมาก


การตกลงแรงของหุ้นเป็นเรื่องที่มีเหตุผล และต้องใช้เวลายาวมากกว่าที่ดัชนีหุ้นจะปรับตัวกลับขึ้นมาอีก บ่อยครั้งเราไม่รู้ว่าหุ้นตกไปถึงไหน บ่อยครั้งใช้เวลาหลายปีกว่าที่หุ้นจะตกถึงพื้น และหุ้นอาจนิ่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน จนกว่าเศรษฐกิจจะมีทางออก ตัวอย่างคือ กรณีวิกฤติตลาดหุ้นครั้งใหญ่ๆ ของโลกทั้งหลายรวมถึงตลาดหุ้นยูโรโซนหลายๆ ประเทศในช่วงนี้


ผมแบ่งแบบของ Panic ออกเป็น 4 แบบ แต่ความเป็นจริงคือ หลายๆ ครั้งมีลักษณะผสมผสานคาบเกี่ยวกัน เช่น Panic ส่วนใหญ่มีลักษณะติดเชื้อด้วย


หรือ Panic หลายๆ แบบมีองค์ประกอบเรื่องเศรษฐกิจถดถอยอยู่ด้วย ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่า เราต้องบอกได้ชัดเจนว่า Panic เป็นแบบไหนตายตัว แต่อยู่ที่รู้ Panic ที่กำลังเกิดขึ้น ยาวนานแค่ไหน และควรจะทำอย่างไรกับการลงทุน หลักสำคัญคือ ต้องวิเคราะห์ให้ออกว่า ผลประกอบการและฐานะทางการเงินของกิจการ หรือตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร และนั่นจะทำให้รู้ว่า Panic เป็นภัยคุกคาม หรือเป็นโอกาส


from http://goo.gl/BvJ3f

เป้าหมายระยะยาว




มีเป้าหมายหลายอย่างในชีวิตของคนเรา ที่เป็นเป้าหมายของคนจำนวนมาก แต่มักต้องใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ถึงจะบรรลุเป้าหมายได้


ตัวอย่างเช่น การมีรูปร่างที่ดี การมีสุขภาพที่ดีตอนแก่ การออมเงินเพื่อให้อยู่ได้ด้วยดอกเบี้ยล้วนๆ การมีชีวิตคู่ที่อบอุ่น การมีเพื่อนซี้ การเลี้ยงลูกให้เป็นคนที่มีคุณภาพสูงๆ เป็นต้น เหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยเวลาในการสร้างนานๆ ทั้งนั้น


แต่ถ้าลองมองดูให้ดี จะว่าไปเป้าหมายเหล่านี้ล้วนมีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ พวกมันมักไม่ต้องการพรสวรรค์หรือความเป็นอัจฉริยภาพอะไรที่เหนือมนุษย์มากนัก แต่ต้องการความเพียรเป็นสำคัญ เช่น วิ่งเป็นประจำตอนที่ยังวิ่งไหวอยู่ ไม่กินเหล้าสูบบุหรี่ การหักเงินเดือนตัวเองเดือนละ 10% แล้วฝากไว้ในกองทุนรวม การโทรหาภรรยาทุกวัน หรือการใช้เวลากับลูกทุกวันอาทิตย์ คอย keep in touch กับเพื่อนเก่าๆ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกินความสามารถของทุกคน แต่กลับพบว่า เป้าหมายเหล่านี้เป็นเป้าหมายที่มีคนบรรลุไม่มากนัก


แต่มนุษย์ก็มีปัญหามากเรื่องการแลกความสุขในระยะสั้นๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายระยะยาว อาจเรียกได้ว่ามันเป็นจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของสมองมนุษย์เลยทีเดียว แรงจูงใจชั่ววูบมักเอาชนะความตั้งใจในระยะยาวของเราได้เสมอ บ่อยครั้งที่เรามักจะตั้งปณิธานที่จะทำอะไรสักอย่างเพื่อเป้าหมายระยะยาว แต่สุดท้ายแล้วเพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น


เรื่องที่แย่ก็คือ บางที่เราอยากบรรลุเป้าหมายเหล่านี้มากๆ แต่อดทนรอไม่ไหว เรามักจะวิ่งเข้าหา "ทางลัด" เพื่อให้ได้สิ่งเหล่านั้นมาในทันที ทางลัดมักดึงดูดใจเราเพราะคำว่า ง่ายๆ เร็วๆ มากกว่าที่จะช่วยทำให้เราบรรลุเป้าหมายระยะยาวได้จริงๆ บางคนมัวแต่เสียเวลาไปกับการค้นหา "ทางลัด" ทางแล้วทางเล่า แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีทางให้ได้ผลจริงๆ สักอย่าง จนทำให้ทางลัดการเป็นทางที่ใช้เวลานานยิ่งกว่าคนที่ใช้วิธีแบบเต่าที่ค่อยๆ สะสมทักษะไปวันละนิด เพราะไม่ได้หวังพึ่งพาทางลัด ทุกวันนี้ในกล่องเข้าอีเมลของทุกคนดูจะเต็มไปด้วยสแปมเมลที่บอกเราว่า มีวิธีได้เงินเดือนเป็นแสนโดยไม่ต้องทำงานหนัก หรือถ้าเดินเข้าไปในร้านหนังสือก็เจอแต่หนังสือที่มีคำว่า "รวย" และคำว่า "ง่าย" หรือ "เร็ว" เต็มแผงหนังสือไปหมด ดูเหมือนคนสมัยนี้จะมองหาแต่ทางลัดกันมากเสียจนคนที่เข้าใจจิตวิทยาข้อนี้สามารถหากินกับความหวังของคนได้อย่างมากมาย


ถ้าเราลองมองอะไรให้ลึกขึ้นสักหน่อยเราจะเห็นว่า ที่จริงแล้ววิธีไหนก็ตามที่ต้องใช้เวลารอคอยนานๆ หรือต้องใช้ความอดทนมากๆ นี่แหละคือหนทางที่เราควรจะวิ่งเข้าหามากที่สุด ไม่ใช่วิธีที่ง่ายๆ เพราะ ประการแรก อะไรที่ต้องใช้เวลานานๆ มักเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่มักไม่สนใจ ไม่น่าดึงดูด ไม่คิดแม้แต่จะเริ่มต้นลงมือ มันจึงเป็นสิ่งที่มีการแข่งขันน้อยกว่าอย่างวิธีอื่น ดังนั้นคนที่เลือกทางนี้ยิ่งอยู่กับมันได้นานเท่าไร ก็จะยิ่งมีคู่แข่งลดลงเท่านั้น เพราะจำนวนคนที่จะอดทนวิ่งตามเรามาได้นานๆ จะมีจำนวนน้อยลงไปเรื่อยๆ


ประการที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เป้าหมายระยะยาวส่วนใหญ่มักไม่ต้องการความสามารถพิเศษที่เหนือกว่าคนอื่นแต่มักอาศัยความเพียรมากกว่าคนอื่นเป็นหลัก ซึ่งแม้ว่าความเพียรก็เป็นเรื่องยากเหมือนกัน แต่สำหรับคนที่ไม่ได้มีความสามารถอะไรเป็นพิเศษ ความเพียรนี่แหละคือวิธีเดียวที่คนธรรมดาทั่วไปจะสามารถประสบความสำเร็จได้


เวลาที่เราเห็นนักธุรกิจระดับเซเลบบริตี้ที่ประสบความสำเร็จในทีวี เรามักรู้สึกว่างานของพวกเขาดูเหมือนจะได้เงินมาง่ายๆ ดูสบายๆ และมีไลฟ์สไตล์ที่ดูดีเสียเหลือเกิน แต่ภาพที่เราไม่ได้เห็นก็คือภาพก่อนที่เขาจะมาถึงจุดนั้นที่พวกเขาต้องอดทนและลำบากมากกว่าคนทั่วไปก่อน จึงทำให้พวกเขามายืนอยู่ในจุดที่ไม่มีใครสามารถตามมาแข่งขันกับพวกเขาได้ในวันนี้


ว่างๆ ลองสำรวจตัวเองดูครับว่า ทุกวันนี้เราเลือกทางเดินที่ถูกต้องอยู่รึเปล่า


from http://goo.gl/lVA2j

29 กันยายน 2555

ปรากฏการณ์ LINE

 -50 ล้านคน คือ ชาว LINE ทั่วโลกที่เกิดขึ้นในเวลา 399 วัน (มิ.ย. 2011-ก.ค. 2012)
       
       -20 ล้านคน อยู่ในญี่ปุ่น
       
       -1 ล้านคน คือ จำนวนเฉลี่ยผู้ใช้ LINE ที่เพิ่มขึ้นในแต่ละสัปดาห์ที่ผ่านมา
       
       -100 ล้านคน เป็นจำนวนชาว LINE ทั่วโลกที่คาดว่าจะมีในสิ้นปี 2555
       
       -1,000 ล้านข้อความ ที่ส่งกันในแต่ละวัน
       
       -80 ล้านบาท คือ รายได้ต่อเดือนของ Naver บริษัทผู้พัฒนา LINE จากการขาย “สติกเกอร์”
       
       นี่คือสถิติของ “LINE” แอปพลิเคชัน “แชต” ที่พัฒนาตัวเองจนกลายเป็น “โซเชียลเน็ตเวิร์ก” ที่มีอิทธิพลต่อไลฟ์สไตล์ของผู้คนทั่วโลก และแน่นอนเป็น “มีเดีย” ที่ทรงพลังสำหรับแบรนด์
       
       ปรากฏการณ์ LINE นี้ยังกำลังระบาดหนักในไทย เพราะตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ในทุกมิติ สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นสำหรับนักการตลาดแล้ว ทุกปรากฏการณ์คือหลักฐานสำคัญที่ทำให้เรารู้จักผู้บริโภคยุคนี้ได้มากขึ้น
       
       LINE มาตอกย้ำว่า “แชต” เป็นพฤติกรรมยอดฮิตตลอดกาลของคนไทยโดยเฉพาะวัยรุ่น ที่ค่ายมือถือพบว่า “แชต” เป็นพฤติกรรมในระดับ Top 3 นอกเหนือจากโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คและอีเมล และยิ่งมีอุปกรณ์ตอบโจทย์มากขึ้นอย่างสมาร์ทโฟน เครือข่ายและแพ็กเกจที่เสนอราคาพร้อมจ่ายได้ ก็ยิ่ง “แชต” กันทุกที่ทุกเวลา ส่งกันกระหน่ำมากขึ้น
       
       แต่ “แชต” แบบเดิมๆ ส่งเฉพาะข้อความ ตัวการ์ตูนเล็กน้อยอย่างที่ WhatsApp เคยมีอาจน่าเบื่อ นี่คือช่องว่างที่ทำให้ LINE สามารถเข้ามาแย่งชิงพื้นที่ด้วย 3 Key Success ที่ใช้ดังนี้
       
       1. Cross Platform ใช้มือถืออะไรก็ LINE ได้ทั้งนั้น
       
       “การตกต่ำลงของ BlackBerry เป็นตัวอย่างที่ทำให้เราเห็นเลยว่า การคิดอะไรแล้วคิดว่าจะเก็บเอาไว้เฉพาะในดีไวซ์ หรือใช้เฉพาะในแพลตฟอร์มตัวเอง เป็นสิ่งที่ผิด แต่ LINE เปิดตัวมาก็เห็นเลยว่าใช้ได้กับโทรศัพท์มือถือหลายประเภท เขาไม่ปิดกั้น” โอม-อดิลฟิตรี ประพฤติสุจริต กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ ออนไลน์ จำกัด อธิบาย
       
       เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ LINE เล็งเห็นมาตั้งแต่ต้น เพราะถ้าหากไล่เรียงประวัติการเปิดตัวของ LINE จะพบว่า LINE คิดเอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะเจาะตลาดแชตระดับโลกด้วยการเข้าถึงทุกระบบปฏิบัติการบนสมาร์ทโฟน เริ่มจาก iOS สัปดาห์ต่อมาเปิดตัวบน Android ตามด้วย Windows Phone BlackBerry และข้ามมายังอุปกรณ์อย่าง PC
       
       เป็นการเปิดทุกช่องทางให้ LINE เข้าถึงทุกกลุ่ม เพราะพฤติกรรมจริงของผู้ใช้งานก็คือ ทุกคนมีเพื่อนใช้โทรศัพท์มือถือหลากหลาย มีแอปฯ แชตหลายตัว หลายคนต้องเปลี่ยนแอปฯ แชตไปมา เพราะบางแอปฯ ไม่ได้อยู่บนทุกแพลตฟอร์มหรือทุกระบบปฏิบัติการ แต่เมื่อ LINE ใช้ได้หมด จึงตอบโจทย์แอปฯ เดียวเอาอยู่ ไม่ต้องสลับแอปฯ ไปมาให้ปวดหัว
       
       2. สติกเกอร์ เครื่องมือแทนใจคนขี้เกียจพิมพ์
       
       ช่องว่างที่ทำให้ LINE เข้ามาทดแทน WhatsApp หรือแอปฯ แชตอื่นๆ ได้ทั้งหมดคือหมัดเด็ดที่ถือเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่คือ “สติกเกอร์” ที่เป็นคาแร็กเตอร์น่ารัก ขณะที่ WhatsApp เน้นการส่งตัวหนังสือ มี Emotical ใช้แสดงอารมณ์ไม่มาก แต่ LINE มีคาแร็กเตอร์ที่สื่ออารมณ์ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้ถึงใจกว่า
       
       เอนก อนันต์วัฒนพงษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานบริหารกลุ่มลูกค้าพรีเพด บริษัทแอดวานซ์อินโฟรเซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ได้กล่าวถึงความแตกต่างของ LINE กับ WhatsApp ว่า “WhatsApp เป็นการสื่อสารด้วยข้อความ ตอบสนองด้านฟังก์ชัน ส่วน LINE มีอีโมชันด้วย มีสติกเกอร์กุ๊กกิ๊กซึ่งมาจากบุคลิกของบริษัทผู้พัฒนา”
       
       “WhatsApp พัฒนาโดยบริษัทจากอิสราเอลก็จะเน้นการใช้งาน ส่งข้อความเร็ว ระบบหลังบ้านดี ขณะที่ LINE เป็นของบริษัทเกาหลีที่พัฒนาในญี่ปุ่นก็เลยจับไลฟ์สไตล์ได้ มีความน่ารัก ใส่ผงชูรสเข้าไปมากกว่า และเราก็ใกล้ชิดกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นอยู่แล้ว”
       
       โอม-อดิลฟิตรี มองว่าสติกเกอร์เป็นมากกว่าแค่อีโมชัน “สำหรับผมสติกเกอร์มันเป็นมากกว่าอีโมชัน มันเป็นฟังก์ชันเลยล่ะ ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่ลูกน้อง LINE มาถามว่า มีคนนี้มาขอพบจะรับนัดไหม แล้วผมพิมพ์ตอบกลับไปว่า โอเค น้องเขาก็จะรู้เลยว่า เคสนี้เฉยๆ ไม่ต้องรีบก็ได้ แต่ถ้าผมส่งเป็นสติกเกอร์กลับไปเป็นตัวคาแร็กเตอร์ชูป้ายโอเค ลูกน้องก็จะรู้เลยว่าคนนี้เป็นคนที่ผมอยากเจอต้องรีบนัดให้ไวเลย ตรงนี้เป็นการบอกว่าสติกเกอร์เป็นตัวบอกระดับขั้นของคำว่าโอเค แล้วคนรับสารเขาก็จะเก็ตความรู้สึกของคนส่ง”
       
       3. คนไทยรักภาพมากกว่าคำ
       
       จากพฤติกรรมของคนไทยที่มักถ่ายทอดความรู้สึกหรือเหตุการณ์ต่างๆ รอบตัวด้วยภาพ เห็นได้จากการอัปโหลดภาพไปยังโซเชียลมีเดียทั้งหลาย คอนเทนต์ประเภทภาพมักได้รับความนิยมตลอดมาโดยตลอด การสื่อสารด้วยภาพแทนที่จะต้องมาพิมพ์จึงกลายเป็นทางออกของการสื่อสารที่แสดงความรู้สึกที่สอดคล้องกับฟังก์ชัน สติกเกอร์ของ LINE ซึ่งการสื่อสารด้วยภาพก็เคยฮิตมาก่อนแล้วตั้งแต่สมัย MSN แต่สิ่งที่ LINE ต่อยอดได้มากกว่าคือการเซตคาแร็กเตอร์ให้กับตัวการ์ตูน รวมทั้งร่วมมือกับแบรนด์ต่างๆ ทำให้ Content ภาพของ LINE มีเรื่องราวและอารมณ์ที่ผู้ใช้งานเอาไปใช้จริงได้ในชีวิตประจำวัน
       
       สามกุญแจสู่ความสำเร็จที่สร้างให้ LINE มีความต่าง กลายเป็นโปรดักต์ใหม่ที่สามารถสร้างเรื่องพูดคุยได้ยาวบนโลกโซเชียลมีเดียได้อย่างสวยงาม
       
       LINE คืออะไร
       
       LINE เป็นแอปพลิเคชันให้บริการ Messaging รวมกับ Voice Over IP ทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างกลุ่มแชต ส่งข้อความ ภาพ คลิปวิดีโอ หรือจะพูดคุยโทรศัพท์แบบเสียงก็ได้ โดยข้อมูลที่ถูกส่งขึ้นไปนั้นฟรีทั้งหมด ตอนนี้ LINE ใช้ได้ในระบบปฏิบัติการ iOS, Android, Windows Phone, PC และ BlackBerry
       
       ฟีเจอร์ของ LINE ประกอบด้วย การส่งข้อความ, การสนทนาด้วยเสียง, การเปลี่ยนพื้นหลังแบ็กกราวนด์หน้าห้องแชต, การสนทนาแบบกลุ่ม, Official LINE และการส่งสติ๊กเกอร์
       
       การเชื่อมต่อ LINE ของผู้ใช้เข้าหากัน มี 4 วิธี
       
       1. เพิ่มคอนแท็กต์จากรายชื่อในสมุดโทรศัพท์ ซึ่งตรงนี้เป็นข้อดีของ WhatsApp ที่ทำให้ผู้ใช้งานสะดวก
       
       2. การสแกน QR Code
       
       3. Shake it เอาโทรศัพท์มือถือ 2 เครื่องที่อยู่ใกล้กันมาเขย่าคล้ายการจับมือให้รู้จักกัน
       
       4. การเสิร์ชหาจาก ID คล้ายการใส่รหัสของ BlackBerry
       
       ต่อมา LINE ถูกพัฒนาไปไกลกว่าการเป็นแค่แอปพลิเคชัน เพราะ LINE ได้เพิ่มฟีเจอร์ Home และ Timeline เข้ามาจนกลายเป็น Social Media อย่างหนึ่ง โพสต์ข้อความบ่งบอกสเตตัส, รูปภาพ, คลิปวิดีโอ และพิกัด โดยมีจุดเด่นที่การแสดงอารมณ์ด้วยสติกเกอร์ซึ่งเป็นจุดแข็งของ LINE ซึ่งจุดนี้น่าจะเป็นไม้เด็ดที่ทำให้ LINE ถูกต่อยอดไปอีกมากและเบียด Social Media หลักอย่างเฟซบุ๊กเลยทีเดียว
       
       ระบบหลังบ้านอีกอย่างที่มีขึ้นมาแล้วบ่งบอกทิศทางอนาคตของนั่นคือ LINE Coin หรือ “เงิน” ในอาณาจักรทั้งหมดของ LINE ซึ่งก่อนหน้านี้การซื้อสติกเกอร์จะซื้อผ่านบัตรเครดิตที่ผูกกับแอปฯ โดยตรง แต่หลังจากอัพเดตล่าสุด Coin ได้เข้ามาแทนที่ กล่าวคือ ต่อไปนี้เมื่อซื้อบริการหรือสติกเกอร์ต้องแลกเป็น Coin ก่อน ถึงแม้ราคา 100 Coin จะเทียบเท่า 1.99 เหรียญเท่ากับราคาสติกเกอร์แบบเดิม แต่นี่เท่ากับเป็นการปูทางไปสู่บริการอื่นๆ ของ LINE ที่ Naver เจ้าของแอปฯ นี้ประกาศชัดเจนแล้วว่า จะให้บริการดูดวง, เกม และคูปองส่วนลดในอนาคต ซึ่งเท่ากับว่า LINE พัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นโซเชียล มีเดีย แพลตฟอร์มแบบมีทิศทางการหารายได้อยู่ในใจชัดเจนแล้ว
       
       กำเนิด LINE จากวิกฤตสึนามิญี่ปุ่น
       
       Naver คือ บริษัทผู้พัฒนาแอปพลิเคชั่น LINE เป็นบริษัทผลิตเกมสัญชาติเกาหลี มีสาขาที่ประเทศญี่ปุ่น ไอเดีย LINE มาจากเหตุการณ์วิกฤต จึงเป็นแอปฯ ที่แม้จะมีความน่ารักกุ๊กกิ๊ก แต่ต้นกำเนิดของ LINE ดราม่าไม่น้อย เพราะมาจากตอนที่ญี่ปุ่นเกิดสึนามิ ระบบการสื่อสารประเภท Voice ล่มจนติดต่อกันไม่ได้ ทีมงาน 100 ชีวิตจึงระดมกำลังสร้างช่องทางสื่อสารผ่าน Data ซึ่งตอนนั้นยังใช้ได้อยู่ เพื่อติดต่อและให้กำลังใจกัน ในที่สุด LINE ก็ถือกำเนิดขึ้นในเวลา 2 เดือน
       
       เมื่อแอปฯ LINE ถูกพัฒนาขึ้นจากส่วนที่ทำงานอยู่ในญี่ปุ่น จึงมีส่วนผสมของความน่ารักของญี่ปุ่นที่เป็นจุดขายการส่งออกด้านวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมาทั่วเอเชียอยู่แล้ว ทำให้การออกแบบคาแร็กเตอร์ของ LINE เข้าถึงคนไทยได้ไม่ยาก รวมทั้งประเทศอื่นๆ อย่างรัสเซีย เบลารุส ซึ่งนอกจากความน่ารักแล้วยังมาจากคาแร็กเตอร์ที่มีพื้นฐานจากการใช้ชีวิต สถานการณ์ และอารมณ์ความรู้สึกของผู้คน
       
       สำหรับการทำตลาดในประเทศไทย ผู้บริหารของ LINE ได้ว่าจ้างบรษัท Spark Communication ดูแลเรื่องการทำพีอาร์ แต่สำหรับดีลต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับคู่ค้าต่างๆ ผู้บริหารจะบินตรงมาเจรจา จากนั้นมีการประสานงานกันผ่านทางอีเมลอย่างต่อเนื่อง
       
       Time “LINE”
       -23 มิถุนายน 2011 เปิดตัวเป็นครั้งแรกในระ บบ iOS
       -28 มิถุนายน 2011 เข้าสู่มือถือ Android
       -เดือนตุลาคม 2011 เริ่มต้นใช้ Free Call ได้ 
       -17 ตุลาคม 2011 มีผู้ใช้งาน 3 ล้านดาวน์โหลด
       -8 พฤศจิกายน 2011 หลังจากใช้งานมาแค่ 5 เดือนก็มีผู้ใช้งานถึง 5 ล้านคน 
       -29 พฤศจิกายน 2011 ประกาศมีผู้ใช้งาน 7 ล้านคน
       -27 ธันวาคม 2011 ฉลองตัวเลข 10 ล้านคน
       -27 มกราคม 2012 พอเข้าสู่ปีใหม่ Line ก็มีผู้ใช้งาน 15 ล้านคน
       -2 มีนาคม 2012 ผู้ใช้งาน 20 ล้านคนทั่วโลก
       -7 มีนาคม 2012 ใช้งาน Line บน PC ก็ได้ 
       -10 มีนาคม 2012 ตามมาด้วยการใช้งานบน Windows Phone และ Mac
       -29 มีนาคม 2012 เปิดตัว Line Card
       -12 เมษายน 2012 เปิดตัว Line Camera แอปฯ แต่งภาพ 
       -18 เมษายน 2012 Line แอปฯ หลักมีผู้ใช้งาน 30 ล้านคน 
       -26 เมษายน 2012 เพิ่ม Sticker Shop ผู้เล่นซื้อสติ๊กเกอร์ได้แล้ว 15 แบบ 
       -9 พฤษภาคม 2012 คุยเป็นกลุ่มได้แล้วด้วยฟีเจอร์ Group Board
       -6 มิถุนายน 2012 มีผู้ใช้งาน 40 ล้านคน เมื่อแอปฯ มีอายุ 1 ปี 
       กลางเดือนมิถุนายน 2012 Official Line เปิดให้บริการ 
       -4 กรกฎาคม 2012 Line Brizzle เกม Puzzle ที่มาพร้อมกับคาแร็กเตอร์นกจอมกวน 
       -ต้นเดือนกรกฎาคม 2012 จับมือกับ Sarino ออกแบบสติกเกอร์ Kitty
       -26 กรกฎาคม 2012 ฉลองครั้งใหญ่ด้วยยอดดาวน์โหลด 50 ล้านครั้ง 
       -ปลายเดือนกรกฎาคม 2012 เปิดตัว Line Brush แอปฯ วาดรูป 
       -ต้นเดือนสิงหาคม 2012 LINE ประเทศญี่ปุ่นเปิดจำหน่ายสติกเกอร์ Snoopy และ Tweety
       -6 สิงหาคม 2012 เปิดฟีเจอร์ Home และ Timeline ในแอนดรอยด์ 
       -20 สิงหาคม 2012 LINE for Blackberry ในประเทศไทยเริ่มใช้งานได้ 
       -21 สิงหาคม 2012 Line 3.1.0 ระบบเงินในโลกของ LINE ที่เรียกว่า LINE Coin 

From Positioning magazine


22 กันยายน 2555

บทเรียนจากผู้สูงอายุ 30 Lessons for Living


1. ให้ เลือกอาชีพโดยดูจากความต้องการ ภายในมากกว่าผลตอบแทนด้านการ เงิน โดยบรรดาผู้สูงวัยกล่าวว่าความผิดพลาดสำคัญในการเลือกอาชีพของเขา คือ การเลือกอาชีพโดยดูจากผลตอบแทนมากกว่าสิ่งที่ชอบและคุณค่าของอาชีพ

2. ให้ ปฏิบัติต่อร่างกายเหมือนกับต้อง ใช้งานไปอีกร้อยปี โดยให้ลดและเลิกพฤติกรรมที่ทำ ร้ายร่างกายเราไม่ว่าจะเป็นการ สูบบุหรี่ กินอาหารที่ไม่ดี หรือไม่ออกกำลังกาย พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เราเสียชีวิตในฉับพลัน แต่ทำให้เราเกิดความทรมานเมื่อ สูงวัย

3. ตอบ ตกลงต่อโอกาสที่เข้ามา โดยเมื่อมีโอกาสหรือความท้าทาย เข้ามา ต้องอย่า ปฏิเสธครับ เพราะส่วนใหญ่มักจะมาเสียใจหรือเสียดายในภายหลัง

4. เลือก คู่ด้วยความระมัดระวัง อย่ารีบร้อนตัดสินใจ ใช้เวลาในการดูและทำความรู้จักคนที่เราจะอยู่ด้วย อย่ารีบด่วนตัดสินใจที่จะอยู่ ด้วยกันจนกว่าจะรู้จักอีกฝ่าย หนึ่งอย่างถ่องแท้

5. เที่ยวให้มากไว้ (ชอบมากครับ) เมื่อ มีโอกาสให้เดินทาง ครับ คนสูงวัยส่วนใหญ่จะมองย้อนกลับมายังโอกาสต่างๆ ที่ได้ท่องเที่ยวเดินทาง และมองว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ และมีคุณค่าของชีวิตเลยทีเดียว

6. ให้ พูดในสิ่งที่อยากจะพูด เนื่องจากเรามักจะเสียใจและ เสียดาย ว่าไม่ได้พูดในสิ่งที่เราอยากจะพูดกับหลายๆ คน เมื่อไม่มีโอกาส เราจะมีโอกาสแสดงความรู้สึกที่แท้จริงต่อผู้อื่นได้ ก็ต่อเมื่ออีกคนหนึ่งยังมีชีวิต อยู่เท่านั้นนะครับ

7. เวลา เป็นของมีค่า ชีวิตของเรานั้นแสนสั้น แต่ไม่ใช่ให้มานั่งเศร้า นะครับ แต่ให้ ทำในสิ่งที่สำคัญและมีค่าเดี๋ยว นี้ เนื่องจากยิ่งเราอายุมากขึ้น เราจะพบว่าเวลายิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วขึ้น

8. ความ สุขเป็นสิ่งที่เราเลือกเอง ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจาก เงื่อนไขต่างๆ คำแนะนำหนึ่ง ก็คือ จง รับผิดชอบต่อความสุขของตัวเรา เองตลอดชีวิตเรา

9. การ ใช้เวลามานั่งกังวลต่อสิ่ง ต่างๆ นั้นเป็นการเสียเวลา ดังนั้น ให้ หยุดกังวลครับ หรือไม่ก็พยายามลดความกังวลลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความกังวลในสิ่งที่ไม่เกิด ขึ้น

10. คิด เล็ก-อย่าคิดใหญ่ ค่อยๆ ซึมซับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นสิ่งที่ดีในชีวิตเรา และมีความสุขกับสิ่งเหล่านั้นครับ

from pantip.com



26 มิถุนายน 2555

How to solve boot loop issue on Kindle Fire TWRP 2.0?




Note – adb.exe is located in Kindle Fire Utility\tools folder or
C:\Program Files (x86)\Android\android-sdk\platform-tools.
  1. Plug in USB cable to Kindle Fire on TWRP Recovery mode.
  2. Bring up Command Prompt.
  3. Key in adb shell.
  4. Key in idme bootmode 4000.
  5. Finally, key in reboot.
  6. That’s it.
from http://goo.gl/pBddc


06 มิถุนายน 2555

รวยแหวกกรอบ กับเศรษฐี ผู้คิดต่าง

เอสเอ็มอีน้อยรายที่จะพะยี่ห้อความสำเร็จ ด้วยคำว่า "เศรษฐี" เบื้องหลังคือ กลยุทธ์ที่เคี่ยวกรำ ที่สำคัญต้องคิดต่าง เหมือน 3 กรณีศึกษา

เธอ คือ เจ้าของร้านวัสดุก่อสร้างภูธร เรียนน้อย ทุนน้อย แต่ความคิดใหญ่ เดินหน้า บู๊แหลก ไม่หวั่นกับอุปสรรคปัญหา จนร้านห้องแถวเล็กๆ ขยับสู่ธุรกิจค้าปลีก-ส่ง วัสดุก่อสร้าง มีมูลค่าเกือบหมื่นล้านบาท !

เขา คือนักสร้างความแตกต่าง ผู้เข้ามาปฏิวัติ “โรงรับจำนำ” ให้กลายเป็นสถาบันการเงิน ที่ได้เงินง่าย ไว้วางใจได้ ในบรรยากาศสุดทันสมัยไม่ต่างจากธนาคาร แม้นักธุรกิจใส่สูทก็มาใช้บริการได้ ขึ้นทำเนียบเศรษฐีไปพร้อมกับความต่าง !

เขาคือ คนหนุ่มไฟแรง ผู้พิชิตธุรกิจพันล้าน ในวัยไม่ถึง 30 ปี !

นี่คือวิถี Millionaire ที่เริ่มต้นจาก แค่ 3 คำสั้นๆ คือ "เก่ง-เฮง-กล้า"

วิธีคิดสุดเฉียบ กับเรื่องเล่าสู่เส้นทางเศรษฐี ของ 3 “ตัวแม่” แห่งแวดวงธุรกิจ อย่าง “ซ้อเป็ด - นาตยา ตั้งมิตรประชา” รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท อุบลวัสดุ จำกัด ธุรกิจค้าปลีก-ส่ง วัสดุก่อสร้าง อุบลวัสดุ และ Do Home  “สิทธิวิชญ์ ตั้งธนาเกียรติ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตั้งธนสิน จำกัด ธุรกิจโรงรับจำนำ Easy Money และ “แม่สาย ประภาสะวัต”ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็ม เอส แฟคตอรี่ จำกัด ธุรกิจระบบแก๊สติดรถยนต์ยี่ห้อ Versus ที่แทคทีมมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์รวย ในงานสัมมนาประจำปี SCB SME “เคล็ด (ไม่)...ลับ สู่ความสำเร็จ ปี 2” ตอน “คิดต่าง สร้างเศรษฐี” 

บทเรียนชีวิตและประสบการณ์ธุรกิจ ที่พร้อมชี้ทางสว่างให้ผู้ประกอบการบ้านเรา ได้เข้าใกล้คำว่า “เศรษฐี” เข้าไปทุกที

“ผมมองว่า โรงรับจำนำคือสถาบันการเงินที่เก่าแก่ เป็นที่พึ่งของคนที่ต้องการสภาพคล่อง”

“สิทธิวิชญ์ ตั้งธนาเกียรติ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตั้งธนสิน จำกัด เปิดมุมคิดต่างของเขา ก่อนเข้ามาปฏิวัติโรงรับจำนำ ให้กลายเป็นสถาบันการเงินลุคทันสมัย นาม “Easy Money”
โรงรับจำนำยุคนี้ ต้อง โปร่ง สะอาด ไม่อับทึบ ปลอดภัย เชื่อใจได้ คนใช้บริการก็ต้องได้รับความสะดวก สบาย ง่าย รวดเร็ว ไม่ขัดเขิน ฉีกภาพโรงรับจำนำที่ฝังใจคนไทยมาหลายทศวรรษ 
 “ในวันที่เริ่มธุรกิจ เราวิเคราะห์ตลาดโรงรับจำนำ ข้อดีคือ คนต้องการใช้ แต่อุปสรรค คือ ความไม่มั่นใจ กลัวถูกกดราคา สถานที่ไม่เอื้ออำนวย แล้วเราจะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร? โจทย์ของเรา คือ ไม่ได้แค่จะสร้างโรงรับจำนำ แต่เราต้องการสร้างสถาบันการเงินที่เชี่ยวชาญเรื่องการจำนำ”
 Easy Money  จึงเริ่มภารกิจของพวกเขา ด้วยการเปลี่ยนการรับรู้ของผู้คน ที่มีต่อคำว่า “โรงรับจำนำ” จากศูนย์รวมความอับอาย ใช้บริการแบบหลบๆ ซ่อน มาเป็นสถาบันการเงินที่ดูเป็นมิตร การตีราคาเป็นธรรม เชื่อใจได้ ได้เงินง่าย รวดเร็วทันใจ ตอบคำว่า “Easy” ตามชื่อของพวกเขา
 ทำธุรกิจต้องกล้าลงทุน เขาบอกว่าโรงรับจำนำ “จัดเต็ม” ขนาดนี้ ย่อมต้องลงทุนหนักกระเป๋า พวกเขาตัดสินใจซื้ออาคารสำนักงาน สูง 6 ชั้น ใครจะคิดว่าเป้าหมายคือเอามาทำ “โรงรับจำนำ” แต่เขาบอกว่า นี่เป็นการตอบโจทย์สถาบันการเงินที่ลูกค้าเชื่อใจได้ ไม่ต้องหวั่นเรื่องทรัพย์สินจะเสียหาย ระหว่างมาอยู่กับโรงรับจำนำ โดยสามารถสร้างระบบรักษาความปลอดภัยทรัพย์สินมาตรฐานเดียวกับแบงก์ขนาดใหญ่ มี “ห้องวีไอพี” ไว้รับรองลูกค้า มีพนักงานให้บริการที่เป็นมืออาชีพ
 “พนักงานจะได้รับการอบรมว่า ไม่ว่าลูกค้าที่เดินเข้ามาจะเป็นใคร มีอาชีพอะไร นำสิ่งใดเข้ามาจำนำ ไม่ว่าจะมีราคามากหรือน้อยแค่ไหน ทุกคนก็คือผู้มีเกียรติ เขาเพียงนำทรัพย์ของเขามาแปลงเป็นเงิน เหมือนเอาของมาฝากเราไว้ แล้วก็เอาเงินไปใช้สร้างสภาพคล่อง เมื่อถึงเวลาก็แค่มารับทรัพย์ของเขากลับคืนไปเท่านั้น”
 นั่นคือคำตอบว่าทำไมลูกค้าของพวกเขาถึงครอบคลุมตั้งแต่คนรากหญ้า ไปจนกลุ่มนักธุรกิจที่มีทรัพย์สินล้นเซฟและต้องการนำมาจำนำเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินสร้างสภาพคล่องให้กับพวกเขา
 ทุกอย่างดูเพอร์เฟกต์ วางหมากไว้แบบไม่มีจุดให้ตัดคะแนน แต่เพียงเปิด Easy Money วันแรก ก็เจอกับเรื่องหวาดเสียว เพราะสิ่งที่ต้อนรับการตัดริบบิ้นของพวกเขา ก็คือลูกค้าเพียง 6 ราย !
 แต่การทำธุรกิจไม่ได้อยู่เพียงแค่วันเปิดร้าน ผู้ประกอบการตัวจริงต้องมีน้ำอดน้ำทน เขาบอกว่า ของใหม่ต้องใช้เวลาให้คนได้มาทดลองใช้ หลังจากนั้นก็จะเกิดการบอกปากต่อปาก จนสร้างลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เข้ามาเยอะขึ้น โดยเฉพาะการสร้างความแตกต่าง ทำให้กลายเป็นธุรกิจเนื้อหอมในสายตาสื่อมวลชน จนนำธุรกิจของพวกเขาไปโปรโมทให้ฟรีๆ แบบไม่มีค่าใช้จ่าย
 ตามคาถาดึงดูดสื่อที่ “รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา” ผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์การตลาดและสื่อสารการตลาด สรุปไว้ให้ใช้ว่า “แปลก ใหม่ ใหญ่ ดัง”
 “นี่เป็นกรณีของ ความแตกต่าง แต่ก็ไม่ได้หนีไปจากหลักการที่มั่นคง ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้เกิดความพึงพอใจ มีการแก้ปัญหาให้กับลูกค้า และสร้างคุณค่าให้แก่ผู้บริโภค นี่เป็น Blue Ocean Strategy เขาเปลี่ยนการรับรู้ของคน ว่าไม่ใช่โรงรับจำนำแต่เป็นสถาบันการเงินที่เชี่ยวชาญเรื่องการจำนำ เป็นการทะยานออกจากทะเลแดง เข้าไปสู่ทะเลสีคราม แหวกว่ายเพียงตัวเดียวสบายๆ ไม่จำเป็นต้องไปต่อสู้กับใคร” ดร.เสรี สรุปไว้อย่างนั้น
 “ถ้าเราจะเติบโตต้องมีพื้นที่ใหญ่ ที่ครบที่ดี เมื่อความคิดใหญ่ พื้นที่ต้องรองรับ..เราต้องแตกต่าง แต่ต้องต่างในสินค้าที่เราชำนาญ”
 “ซ้อเป็ด-นาตยา ตั้งมิตรประชา” ซือเจ๊นักบู๊ ผู้ครองอาณาจักรวัสดุก่อสร้างเหยียบหมื่นล้าน รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท อุบลวัสดุ จำกัด ธุรกิจค้าปลีก-ส่ง วัสดุก่อสร้าง อุบลวัสดุ และ Do Home เปิดตำนานรบสุดมันของพวกเขา
 ซ้อเป็ดเป็นลูกสาวร้านโชห่วยในจังหวัดอุบลราชธานี ไม่ได้การศึกษาสูง เธอว่าทรัพย์ที่พ่อแม่ให้ติดตัวมาก็มีแค่ “ความขยัน อดทน รับผิดชอบ และซื่อสัตย์” เธอแต่งงานและเช่าบ้านไม้ขนาดสองห้องมาขายวัสดุก่อสร้าง ทำกันเล็กๆ สองสามีภรรยา
 เธอเชื่อในกลยุทธ์ป่าล้อมเมือง เน้นขายของถูกเป็นตัวดึงดูดลูกค้า จากนั้นก็ค่อยๆ หาซัพพลายเออร์ กระจายผลิตภัณฑ์ให้มากขึ้น  โดยได้ซัพพลายเออร์ช่วยเหลือในเรื่องการให้เครดิต ธุรกิจจึงค่อยๆ โตขึ้นมาได้
 “มาคิดว่าถ้าเราจะโตได้ ก็น่าจะปล่อยเครดิตให้กับลูกค้า เพราะการขายเงินสดหน้าร้านเราโตช้ามาก การที่เป็นร้านท้องถิ่นทำให้มองออกว่าลูกค้าคนไหนเชื่อถือได้ แต่ไม่ได้ปล่อยเครดิตเรี่ยราด เพราะเราจะเจ๊งเอา แต่โฟกัสไปที่ผู้รับเหมาซึ่งเป็นหน่วยราชการ เพราะโอกาสโกงมีน้อยมาก ราชการเป็นรัฐบาล มีประเทศไหนที่รัฐบาลโกงประชาชนมันเป็นไปไม่ได้ จึงเข้าหากลุ่มนี้”
 ซึ่งก็ดูจะได้ผล เมื่อธุรกิจของพวกเขาเติบโตเร็วมาก เรียกว่าก้าวกระโดดจากห้องแถวสองห้อง มาเป็นสี่ห้อง และเพิ่มมาเป็นกว่า 2 ไร่ ในเวลาเพียงไม่กี่ปี
 “จากนั้นก็มาปรึกษากับสามี บอกสามีว่าถ้าเราอยู่อย่างนี้เราไม่รอดแน่ ร้านเราเล็กอยู่ในเมือง ขึ้นของ ลงของ ลำบาก การบริหารจัดการก็เริ่มไม่ไหว เลยคิดออกไปนอกตัวเมืองประมาณ 8 กิโล ใจจริงก็เริ่มเครียดนะ เพราะออกมาไกล และต้องถมที่อีกเยอะมาก แต่เราต้องมั่นใจ มันไกลก็จริง แต่สิ่งที่เราจะทำได้คือ เพิ่มไลน์สินค้าได้มากขึ้นจากเดิมกว่า 2,000 ไอเท็ม ก็ถือว่าเยอะแล้วในสมัยนั้น แต่บอกสามีว่า จะเพิ่มเป็น 4 หมื่นไอเท็ม ...เชื่อแม่ทัพใหญ่สิ แม่ทัพจะพาไปเอง” เธอบอก
 การทำงานที่สามีเป็นหน่วยคิด ซ้อเป็นหน่วยบุก เรียกว่าลุยอย่างเดียวไม่กลัวใคร เธอสารภาพว่าจริงๆ หัวใจก็หดเหลือนิดเดียว เพราะเสียงห้ามจากคนรอบข้าง กับคำว่า โอกาสเจ๊งมีสูง ขนาดสถาบันการเงินยังโบกมือลาไม่อยากให้กู้
 “คิดว่า ถ้าเราจะใหญ่ ความคิดเราใหญ่ แต่พื้นที่ไม่ใหญ่ เราไม่มีทางใหญ่ได้ ความคิดใหญ่ พื้นที่ก็ต้องรองรับ”
 มีร้านใหม่ที่ห่างไกลจากตัวเมือง ซ้อเป็ดเลือกทุบหม้อข้าว หันหลังให้ร้านเก่าที่ติดตลาดไปแล้ว  เพื่อมาบุกกับร้านใหม่เต็มที่ 
 จากสถานที่ใหญ่ ร้านใหม่ ลุคทันสมัย สินค้าเยอะ เน้นของถูก ลูกค้าได้รับความสะดวกสบาย บนพื้นที่ 24 ไร่ เพียงปีเศษๆ ก็ซื้อที่เพิ่มอีก 39 ไร่ กลายเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด ของธุรกิจภูธรที่ใครก็มองข้ามไม่ได้ !
 “การทำธุรกิจ เราจะทำสองคนไม่ได้ ถ้าไม่มีทีมงานที่ดี เราเริ่มปลูกฝังเด็กของเราว่า การศึกษาไม่ได้เป็นตัวกำหนดที่ไม่ให้คนเราประสบความสำเร็จ การศึกษาเป็นแค่ส่วนประกอบเท่านั้น แต่การกระทำเป็นสิ่งที่ทำให้เราชนะเป้าหมาย”
 นักบู๊แห่งอุบลวัสดุพร่ำสอนทีมงานของพวกเธอ เพราะมองว่านี่คือหัวใจของความสำเร็จในธุรกิจ ณ วันนี้
 “ถ้าเราจะลุยไปข้างหน้า ต้องเตรียมคนของเราให้พร้อม เพราะคนเป็นตัวกำหนดว่าเราจะชนะ หรือแพ้ เราต้องมาดูว่าคนของเราเป็นอย่างไร ต้องให้เขา ซื่อสัตย์ ขยัน อดทน และรับผิดชอบ เมื่อเขาเพิ่มจำนวนขึ้น ก็ต้องใช้ระบบที่ดีเข้ามาดูแล” 
 ในวันที่วิกฤติต้มยำกุ้งเล่นงานธุรกิจในประเทศไทยให้บอบช้ำไปถ้วนหน้า ซ้อเป็ดบอกว่าพวกเธอก็เจอหนัก เพราะไปกู้เงินต่างชาติมา และธุรกิจวัสดุก่อสร้างก็ได้รับผลกระทบสาหัสสากรรจ์ ผู้รับเหมาล้มระเนระนาด ขณะที่ผู้บริโภคสักกี่คนที่จะควักเงินซื้อสินค้าประเภทนี้ในวันข้าวยากหมากแพง... แต่มีเหรอแค่นี้จะทำให้ซ้อท้อ
 “เราปิดการสื่อสารทุกอย่าง ไม่รับรู้ เดินหน้าดับเครื่องชนอย่างเดียว คิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะประคับประคองลูกน้องไปได้ เพราะลูกน้องคืออนาคต เราเลี้ยงเขามา 10-20 ปี แล้วจะไปไล่เขาออกมันไม่มีเหตุผล ลดอะไรก็ลดได้แต่ลดลูกน้องไม่ได้ เพราะอนาคตยังไปอีกไกล เราต้องใช้พวกเขา”
 เธอเริ่มฟื้นพลังใจของลูกน้อง ให้ร่วมกันฟันฝ่าวิกฤติปัญหา เพื่อหาทางเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้มากขึ้น ในยามวิกฤติ
 “ตอนนั้นร้านค้าในเมืองทุกร้านกลัวหมด ไม่กล้านำของเข้ามาขาย เขาบอกว่าวิกฤติจะไปขายใคร แต่เราไม่กลัว เพราะในวิกฤติก็มีโอกาส”
 และอุบลวัสดุ ก็ได้เห็นโอกาสนั้นจริงๆ เมื่อการบุกตลาดครั้งนี้ ทำให้พวกเขาได้ลูกค้าหน้าใหม่ๆ ทั้ง กลุ่มผู้ใช้  ลูกค้าช่วงและผู้รับเหมารายย่อย  กลับมาทดแทนความสูญเสีย
 “เราค่อยๆ ใช้หนี้ไป ตอนนั้นทุกคนบอกให้อุบลวัสดุ ล้ม เพราะไปไม่รอดแน่ ธุรกิจวัสดุก่อสร้างเจอหนักที่สุด แต่ทั้งซัพพลายเออร์และธนาคารต่างก็บอกว่าเราจะล้มไม่ได้ เรายังมีกำไร ยังสามารถจ่ายดอกเบี้ยได้ ถ้าเราล้มเราจะไม่มีอนาคตเลย เรามียอดขายในตอนนั้นกว่า 3,000 ล้านบาท และเราจ่ายหนี้ธนาคารมาโดยตลอด มองว่าถ้าเราคิดจะก้าวไปข้างหน้า เราพร้อมหรือยังเรื่องเครดิต เพราะเครดิตเราต้องสร้างด้วยตัวเอง และเครดิตเราต้องรักษาไว้ให้ได้”
 วิธีคิดแบบนี้ที่ทำให้อุบลวัสดุรอดพ้นวิกฤติ มาเป็นอาณาจักรวัสดุก่อสร้างแห่งแผ่นดินอีสาน ที่มีสาขาครอบคลุมใน 5 จังหวัด ได้แก่ ศรีสะเกษ อำนาจเจริญ ยโสธร มุกดาหาร และอุบลราชธานี และเร็วๆ นี้พวกเขาจะประกาศความใหญ่บึ้มด้วยการเปิดสาขาที่ขอนแก่น บนเนื้อที่ถึง 108 ไร่ เพื่อขยับรายได้ จาก 8,000 ล้านบาทในวันนี้ ไปสู่ 1 หมื่นล้านบาท และ 1.3 หมื่นล้านบาทในปีต่อๆ ไป
 รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา บอกว่า ซ้อเป็ดให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจแบบ Positive some Game คือทุกคนได้หมด ไม่ใช่ตัวเองได้ประโยชน์แต่เพียงฝ่ายเดียว ทั้งซัพพลายเออร์ ลูกค้า และลูกน้อง ทุกคนต้องมีส่วนได้
 กลายเป็นความสำเร็จของอุบลวัสดุในวันนี้
 ในยุคนี้จะมีสักกี่คนที่ไม่รู้จัก “แม่สาย ประภาสะวัต” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็ม เอส แฟคตอรี่ จำกัด เขาคือเจ้าของธุรกิจพันล้านในวัยไม่ถึง 30 ปี !
 “ระหว่างความฝันกับความจริง ต่างกันแค่ลงมือทำ” แม่สายเชื่อในสิ่งนั้น
 เขาไม่ได้เริ่มต้นธุรกิจจากความสมบูรณ์แบบ ไม่มีเงิน เรียนมาไม่ตรงสาย ประสบการณ์ก็ไม่มี แต่มาจากจุดเริ่มต้นแค่ “ผมอยากทำธุรกิจ”
 แม่สาย มาจับธุรกิจระบบแก๊สติดรถยนต์ เพียงเพราะคิดว่า ถ้าไปทำธุรกิจอื่นที่คนทำเยอะอยู่แล้ว ชื่อของพวกเขาก็ไม่รู้จะไปอยู่ในอันดับที่เท่าไร แต่ถ้าทำธุรกิจนี้ เวลานั้นก็อยู่ในลิสต์ไม่เกินเบอร์ 3
 เมื่อความต้องการของคนอยากติดแก๊สรถยนต์มากขึ้น พวกเขามองไกลไปกว่าการเปิดร้านติดแก๊ส แต่คือการสอนติดแก๊ส และขายอุปกรณ์ในการติดแก๊ส โดยมองคู่แข่ง เป็นพาร์ทเนอร์ แล้วสร้างโอกาสจากสิ่งเหล่านี้
 “ผมคิดว่า เราไม่มีลูกค้า แต่เราสามารถสร้างลูกค้าขึ้นมาได้ เขาซื้อของผม เพราะว่าผมสอนเขาทำธุรกิจได้ ผมอยากมีสาขาทั่วประเทศ โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก ก็คิดว่าเราน่าจะหา หุ้นส่วน เรามีโนว์ฮาว มีสินค้า เขามีสถานที่ มีคน  มีเงิน เราก็จับสิ่งนี้มารวมกัน โดยมุ่งไปยังอู่ที่ติดตั้งเครื่องยนต์  ประดับยนต์ เหล่านี้ เพื่อให้เขาสามารถทำธุรกิจแก๊ส เป็นธุรกิจเสริมได้ เราทำกำไรในอุปกรณ์ที่เราขาย ไม่จำเป็นต้องมีข้อตกลง มีสัญญาให้ต้องทะเลาะกัน”
 วิธีคิดแบบแม่สาย พวกเขาไม่ได้กลัวคู่แข่ง แต่มองว่าการมีคนมาทำแบบเดียวกันเพิ่มขึ้น แสดงว่ามีตลาดเกิดขึ้นแล้ว เมื่อตลาดเกิดก็ไม่จำเป็นต้องไปแข่งให้เหนื่อย แต่เปลี่ยนคู่แข่งเป็นหุ้นส่วน สร้างพาร์ทเนอร์ ด้วยความจริงใจ ความรู้และความร่วมมือ
 “เมื่อเป็นพาร์ทเนอร์ ผมต้องเป็นพาร์ทเนอร์ที่ดีที่สุด ผมไม่ชอบขายใคร เพราะเขาจำเป็นต้องซื้อของผม แต่เพราะผมคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา ผมเป็นพาร์ทเนอร์ที่จะสนับสนุนให้เขาโตได้มากที่สุด ผมว่าถ้าเราอยากอยู่รอดบนธุรกิจอย่าไปกลัวที่เขาจะไปซื้อกับคนอื่น หน้าที่ที่คุณต้องกลัว คือกลัวไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า”
 คนหนุ่มรุ่นใหม่ คิดไกล คิดต่าง อย่างแม่สาย บอกเราว่า..
 “คนทำธุรกิจบอกจะเติบโตปีละ 10-20%  แต่บริษัทผมเริ่มต้นตั้งเป้าโตปีละ 1,000% ปีหนึ่งยอดขายโตขึ้น 10 เท่า ผมวางไว้อย่างนี้ แม้ไม่ได้ก็ต้องโตขึ้น 5 เท่า คือ 500% สิ่งที่ผมทำ ผมไม่ได้มีความเชื่อหรือเปิดตำราเล่มไหน แต่มีแนวคิดที่เป็นเรา และคิดว่าทำแบบนี้น่าจะเป็นไปได้ ก็แค่ลุยไป”
 นี่คือวิธีคิดของเขา ที่แม้วันนี้ธุรกิจจะเหยียบพันล้านบาทแต่แผนเติบโตก็ยังไม่หยุดนิ่ง โดยเฉพาะการวางหมากธุรกิจเตรียมรับตลาดอาเซียนในอนาคต
 หลากหลายวิธีคิดของเซียนธุรกิจ ที่ใช้ไต่บันไดเศรษฐี ด้วยสิ่งที่ รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา บอกว่ามาจากคำเพียง 3 คำ คือ เก่ง เฮง กล้า ทั้งสามคน มีความเก่ง คือรู้ในสิ่งที่ทำ คิดเป็น คิดสร้างสรรค์  ส่วนความ เฮง คือได้จังหวะที่เหมาะสม เพราะถ้าเก่งแต่ไม่มีจังหวะก็ทำไม่ได้ ปิดท้ายกับความกล้า เพราะแม้จะเก่งและมีโอกาส แต่หากเป็นคนที่ขาดความกล้า ก็ไม่รวยเสียทีบวกกับกุญแจความสำเร็จที่เรียกว่า “ความแตกต่าง” คือหนทางสู่ชัยชนะของพวกเขา
 “เหมือนคำที่ว่า Differentiate or Die สร้างความแตกต่างไม่ได้ ก็ไปตายซะ!” ดร.เสรี บอกไว้เช่นนั้น
--------------------------------------------
สูตรลับเศรษฐีฉบับหางว่าว
๐ รวยได้ ต้อง เก่ง เฮง  กล้า
๐ เรียน รู้ รับ เริ่ม และ เร่งรัดตัวเอง
๐ สร้างความแตกต่าง สร้างจุดยืนธุรกิจ
๐ ต้องแก้ปัญหาให้คนได้ ให้ราคาที่รู้สึกคุ้ม ให้ความสะดวกแก่ลูกค้า
๐ ธุรกิจต้องวิ่งหา Blue Ocean
๐ ต้องสร้างแบรนด์ดีเอ็นเอ
๐ แปลก ใหม่ ใหญ่ ดัง สื่อจะสนใจ
๐ จะสร้างธุรกิจให้สำเร็จต้อง อดทน
๐ ทำธุรกิจเป็นธรรม ทุกคนต้องมีส่วนได้
๐ ต้องเห็นความสำคัญของทุนมนุษย์
๐ สร้างพาร์ทเนอร์ ด้วยความจริงใจ ร่วมมือ และใส่ใจ อาศัยความรู้เป็นที่ตั้ง
๐ จะโตได้ ต้องมีความเชื่อ และวัดความพอใจลูกค้าตลอดเวลา



from bangkokbiznews.com

บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (All Time)