23 กุมภาพันธ์ 2555

เหตุที่ "บัฟเฟตต์" ชอบหุ้นมากกว่าทองคำและพันธบัตร

วอร์เรน บัฟเฟตต์ เขียน / แปลโดย ชัชวนันท์ สันธิเดช


ผู้คนมักกล่าวว่า การลงทุน คือการกระบวนการในการเอาเงินออกมาบริหาร โดยหวังว่าจะได้รับเงินมากขึ้นในอนาคต


แต่ที่เบิร์คไชร์ แฮธาเวย์ เราใช้หลักที่เข้มงวดกว่านั้นมาก เราให้คำจำกัดความของ การลงทุน ว่าเป็นการส่งต่ออำนาจซื้อไปสู่ผู้อื่น ด้วยความคาดหวังอย่างมีเหตุผลว่าจะเกิดเป็นอำนาจซื้อที่มากขึ้นในอนาคต หลังจากหักภาษีในอัตราที่น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ หากจะให้ชี้ชัดยิ่งขึ้น ต้องบอกว่า การลงทุนคือการผัดผ่อนการบริโภค ณ วันนี้ เพื่อให้มีความสามารถที่จะบริโภคได้มากขึ้นในวันข้างหน้า


ด้วยนิยามของเรา จึงก่อให้เกิดผลที่ตามมาอันสำคัญยิ่งประการหนึ่ง กล่าวคือ ความเสี่ยงจากการลงทุน มิอาจวัดได้โดยค่าเบต้า (อันเป็นค่าที่คนในวอลล์สตรีทชอบใช้กัน) หากแต่วัดได้โดยหลักความน่าจะเป็น แต่ต้องเป็น ความน่าจะเป็นอย่างมีเหตุผล ที่ผู้ที่เป็นเจ้าของเงินจะสูญเสียอำนาจซื้อหลังจากถือสินทรัพย์นั้นไประยะหนึ่ง


ทั้งนี้ ราคาของสินทรัพย์อาจผันผวนขึ้นลงอย่างรุนแรงได้โดยไม่มีความเสี่ยงอันใด หากว่ามันยังคงเพิ่มอำนาจซื้อให้กับผู้ถือสินทรัพย์นั้นอย่างมั่นคงและแน่นอน หลังจากถือมันไว้ระยะหนึ่ง ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า แม้สินทรัพย์ที่ราคาไม่ผันผวนเลย ก็อาจเต็มไปด้วยความเสี่ยงได้


ความน่าจะเป็นในการลงทุนนั้นมีอยู่มากมายและหลากหลาย อย่างไรก็ตาม ความน่าจะเป็นดังกล่าวสามารถแบ่งออกได้เป็นสามประเภทหลักๆ ซึ่งเราจำเป็นที่จะต้องเข้าใจคุณลักษณะของความน่าจะเป็นแต่ละประเภท เรามาดูกันเถอะครับ


การลงทุนต่างๆ ที่อิงกับค่าเงิน เช่น กองทุนตลาดเงิน (Money Market Fund) พันธบัตร การจดจำนอง เงินฝากธนาคาร และอื่นๆ มักถูกเข้าใจว่ามี “ความปลอดภัย” แต่ที่จริงแล้ว พวกมันคือสินทรัพย์ที่อันตรายที่สุด ค่าเบต้าของมันอาจจะเป็นศูนย์ แต่ความเสี่ยงนั้นมากมายเหลือเกิน


ในศตวรรษที่ผ่านมา เครื่องมือเหล่านี้ได้ทำลายอำนาจซื้อของนักลงทุนในหลายต่อหลายประเทศ แม้ว่าคนที่ถือมันอยู่จะได้รับผลตอบแทนเป็นระยะๆ ทั้งในรูปของดอกเบี้ยและเงินต้น แต่ผลลัพธ์อันอัปลักษณ์จะยังคงอยู่ตลอดไป รัฐบาลเป็นผู้กำหนดมูลค่าของเงินตรา แต่ระบบที่เป็นอยู่จะบีบบังคับให้รัฐบาลต้องไหลตามน้ำ โดยใช้นโยบายที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อ และมีหลายครั้งหลายหนที่นโยบายเหล่านั้นหลุดออกไปอยู่เหนือความควบคุม


แม้แต่ในสหรัฐอเมริกา ประเทศที่ผู้คนคาดหวังว่าค่าเงินน่าจะมีความแข็งแกร่ง เงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ก็ยังลดค่าลงถึง 86% ตั้งแต่ปี 1965 ซึ่งเป็นเวลาที่ผมเข้ามาบริหารเบิร์คไชร์ ณ วันนี้ เราต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 7 ดอลล่าร์ เพื่อซื้อสิ่งที่เราเคยซื้อได้ด้วยเงิน 1 ดอลล่าร์ ในเวลานั้น ด้วยเหตุนี้ กองทุนหรือสถาบันการเงินใดๆ ที่ไม่มีภาระต้องจ่ายภาษี จึงต้องทำดอกเบี้ยให้ได้ถึง 4.3% ต่อปี จากการลงทุนในตั๋วเงินคลังของสหรัฐอเมริกาตลอดระยะเวลาดังกล่าว จึงจะสามารถรักษาอำนาจซื้อของตัวเองไว้ได้ ผู้จัดการของกองทุนหรือสถาบันการเงินเหล่านั้นคงกำลังหลอกตัวเองแน่ๆ ถ้าพวกเขาจะเรียกดอกเบี้ยที่ได้รับว่า “รายได้”


สำหรับนักลงทุนที่ต้องจ่ายภาษีอย่างคุณและผม ภาพที่เห็นกลับเลวร้ายยิ่งขึ้น ตลอดระยะเวลา 47 ปีที่ผ่านมา ตั๋วเงินคลังของสหรัฐอเมริกาให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.7% ต่อปี ฟังดูแล้วเหมือนจะน่าพอใจ แต่ถ้านักลงทุนแต่ละคนจ่ายภาษีในอัตรา 25% ต่อปี ผลตอบแทน 5.7% นี้ จะทำให้พวกเขาไม่ได้อะไรเลยในแง่ของรายได้ที่แท้จริง ภาษีเงินได้ที่พวกเขาต้องจ่าย จะกินผลตอบแทนที่ว่าไปถึง 1.4% ในขณะที่ “ภาษีเงินเฟ้อ” ซึ่งมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น จะกัดกินผลตอบแทนอีก 4.3% ที่เหลือจนหมดสิ้น ที่น่าสังเกตก็คือ ภาษีเงินเฟ้อ มีค่ามากกว่าภาษีเงินได้ธรรมดาที่นักลงทุนคิดว่าเป็นภาระหลักของพวกเขาถึงเกือบ 3 เท่า


ในธนบัตรอาจมีคำว่า “เราเชื่อมั่นในพระเจ้า” (In God We Trust) อยู่ก็จริง แต่มือที่ทำให้เครื่องพิมพ์เงินของประเทศเราพิมพ์ธนบัตรออกมานั้น เป็นมือของคนเดินดินธรรมดาๆ นี่เอง


แน่นอนว่าอัตราดอกเบี้ยสูงๆ จะช่วยชดเชยความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่เกิดจากการลงทุนซึ่งอิงกับค่าเงินได้ และอัตราดอกเบี้ยในทศวรรษที่ 80 ก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน ไม่สามารถที่จะครอบคลุมความเสี่ยงจากการสูญเสียอำนาจซื้อดังกล่าวได้เลยแม้แต่น้อย ที่จริงแล้ว พันธบัตรควรมีฉลากคำเตือนให้ระวังอันตรายแปะอยู่ด้วยซ้ำ


ภายใต้สภาวการณ์ทุกวันนี้ ผมจึงไม่ชอบการลงทุนใดๆ ที่อิงกับค่าเงิน อย่างไรก็ตาม เบิร์คไชร์ ฮาแธเวย์ ก็ยังมีการลงทุนเหล่านั้นอยู่พอสมควรในรูปแบบของการลงทุนระยะสั้นต่างๆ สำหรับ เบิร์คไชร์ สภาพคล่องจำนวนมหาศาลถือเป็นหัวใจสำคัญ และเป็นสิ่งที่เรา ไม่มีทาง จะละเลย


เราจำเป็นต้องมองข้ามอัตราผลตอบแทนที่ไม่เพียงพอนั้น เพื่อคงไว้ซึ่งสภาพคล่องมหาศาล เราจึงถือตั๋วเงินคลัง ซึ่งเป็นการลงทุนประเภทเดียวที่พอจะไว้วางใจได้ในเรื่องของสภาพคล่อง ภายใต้สภาวะทางเศรษฐกิจที่แสนจะสับสนอลหม่านดังเช่นในปัจจุบัน บนหน้าตักของเราในเวลานี้มีอยู่ราวๆ 2 หมื่นล้านดอลล่าร์ และอย่างน้อยที่สุดต้องมี 1 หมื่นล้านดอลล่าร์สำรองไว้เสมอ


นอกเหนือจากความจำเป็นในเรื่องของสภาพคล่องและกฎระเบียบต่างๆ แล้ว เราจะซื้อหลักทรัพย์ที่อิงกับค่าเงินก็ต่อเมื่อมีโอกาสที่มันจะให้ผลตอบแทนในระดับที่สูงผิดปกติเท่านั้น เช่น เมื่อมีการตั้งราคาสินเชื่อผิดๆ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวในช่วงเวลาของวิกฤตการเงิน จนเกิดเป็นพันธบัตรขยะ (Junk Bonds) มากมาย หรือเมื่ออัตราดอกเบี้ยนั้นสูง จนเราสามารถที่จะทำกำไรจากพันธบัตรชั้นดีได้ในเวลาที่อัตราดอกเบี้ยนั้นลดลง


แม้ว่าในอดีต เราจะเคยศึกษาถึงโอกาสที่ทั้งสองเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น และอาจทำการศึกษาซ้ำอีกในอนาคต แต่ตอนนี้ เราแทบไม่เห็นว่าความคาดหวังดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้เลย


ณ วันนี้ ความเห็นของ เชลบี้ คัลลอม คนในวอลล์สตรีทที่เคยพูดเอาไว้เมื่อนานมาแล้วดูเหมือนจะเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน


“พันธบัตรที่เชื่อกันว่าให้ผลตอบแทนโดยไม่มีความเสี่ยง กำลังถูกตั้งราคาราวกับมันเป็นสิ่งที่ให้ความเสี่ยงโดยไม่มีผลตอบแทน”


การลงทุนอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องของสินทรัพย์ที่ไม่มีวันจะทำให้เกิดผลิตผลอะไรขึ้นมาได้เลย แต่ผู้คนกลับชอบที่จะซื้อหา เนื่องจากผู้ซื้อมีความหวังว่าใครสักคน ซึ่งย่อมรู้เช่นเดียวกันว่าสินทรัพย์ชนิดนี้จะไม่มีวันทำให้เกิดประโยชน์โพดผลใดๆ จักยอมจ่ายในราคาที่สูงกว่าเพื่อซื้อมัน อาทิเช่น ดอกทิวลิป ซึ่งได้กลายเป็นสินค้ายอดนิยมของผู้คนในศตวรรษที่ 17


การลงทุนจำพวกนี้ ต้องมีกลุ่มของผู้ซื้อที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โดยผู้ซื้อถูกล่อให้แห่กันเข้ามาด้วยความเชื่อที่ว่ากลุ่มของคนที่เป็นแบบพวกเขาจะขยายตัวต่อไปอีก ผู้ถือสินทรัพย์ชนิดนี้มิได้มีแรงบันดาลใจว่าตัวสินทรัพย์ที่พวกเขาถือจะสร้างผลผลิตใดๆ ทั้งยังรู้ดีกว่าสินทรัพย์นั้นจะยังคงไร้ชีวิตตลอดไป พวกเขาเพียงหวังว่าคนอื่นๆ จะปรารถนามันมากยิ่งขึ้นในอนาคต


ในบรรดาสินทรัพย์จำพวกนี้ อันดับหนึ่งคือ “ทองคำ” ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของนักลงทุนที่กลัวสินทรัพย์อื่นๆ แทบจะทุกชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินกระดาษ (อันที่จริง สินทรัพย์หลายชนิดก็มีเหตุผลควรที่สมควรจะกลัวอยู่)


อย่างไรก็ตาม ทองคำมีจุดอ่อนอยู่สองประการ คือ ตัวมันเองเอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้ ทั้งยังไม่ทำให้เกิดผลิตผลอะไรขึ้นมาได้เลย จริงอยู่ที่ทองคำมีประโยชน์ในแง่ของอุตสาหกรรมและใช้เป็นเครื่องประดับได้ แต่อุปสงค์ในแง่ดังกล่าวมีอยู่จำกัด และไม่สามารถทำให้ทองเพิ่มปริมาณขึ้นได้ ถ้าคุณมีทองคำหนึ่งออนซ์ ทองคำนั้นย่อมมีปริมาณหนึ่งออนซ์เท่าเดิมตราบจนชั่วกัลปาวสาน


สิ่งสำคัญที่ดึงดูดแฟนพันธุ์แท้ทองคำคือความเชื่อที่ว่า ผู้คนจะเกิดความกลัวในสินทรัพย์อื่นมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ความเชื่อดังกล่าวก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง ยิ่งไปกว่านั้น ราคาที่สูงขึ้นของทองคำก็ยิ่งทำให้คนมีความกระตือรือร้นอยากจะซื้อมัน จนดึงดูดให้ผู้ลงทุนเชื่อว่าการเพิ่มขึ้นของราคาทองเป็นไปตามข้อสรุปทางการลงทุนที่สมเหตุสมผลแล้ว


นักลงทุนที่ชอบแห่ตามกันไม่ว่าจะเป็นการลงทุนประเภทไหน มักจะสร้างความจริงของตัวเองขึ้นมาเสมอ อย่างน้อยก็ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง


ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ทั้งหุ้นอินเทอร์เน็ตและบ้านได้แสดงให้เห็นถึงภาวะความเฟ้อเกินไป อันเป็นผลมาจากการผสมผสานกันระหว่างข้อสรุปที่มีเหตุผลกับราคาที่เกินกว่าเหตุ


ในภาวะฟองสบู่ มหาชนที่เคยลังเลสงสัย มักยอมศิโรราบต่อ “ข้อพิสูจน์” ที่ตลาด “จัดให้” และกลุ่มของผู้ซื้อก็จะขยายตัวออกไปอย่างใหญ่หลวง จนเพียงพอที่จะทำให้พฤติกรรมแห่ตามกันนั้นหมุนเวียนต่อไปเรื่อยๆ แต่แล้วฟองสบู่ที่โตเกินก็จะแตกโพละออก และเมื่อนั้น ภาษิตโบราณก็จักได้รับการตอกย้ำอีกครั้งหนึ่ง …


“สิ่งที่คนฉลาดทำในตอนเริ่มต้น คนโง่จะทำมันในท้ายที่สุด”


ณ วันนี้ คลังทองคำของโลกมีอยู่ประมาณ 170,000 เมตริกตัน หากเอาทองทั้งหมดมาหลอมรวมกัน เราจะได้ลูกบาศก์ทองคำที่มีความกว้างยาวลึกด้านละ 68 ฟุต (เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ขนาดของมันวางลงบนสนามเบสบอลได้พอดิบพอดี) ณ ราคา 1,750 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ ในเวลาที่ผมเขียนบทความนี้ ราคาของทองคำทั้งหมดในโลกจะมีมูลค่ารวมกันเท่ากับ 9.6 ล้านล้านดอลล่าร์ โดยเราจะเรียกสิ่งนี้ว่า “ก้อน A”


เอาล่ะ ทีนี้มาสร้าง “ก้อน B” กันบ้าง ก้อน B ที่ว่านี้มีราคาเท่ากับก้อน A แต่เราสามารถใช้มันซื้อไร่นาทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา (จำนวน 400 ล้านเอเคอร์ ทำรายได้รวมกัน 2 แสนล้านเหรียญต่อปี) บวกกับบริษัท Exxon Mobil จำนวน 16 บริษัท (Exxon Mobil คือบริษัทที่ทำกำไรได้มากที่สุดในโลก โดยสมมุติว่าเรามีบริษัทนี้อยู่ 16 แห่ง แต่ละแห่งทำกำไรได้ปีละ 4 หมื่นล้านเหรียญ) หลังจากซื้อของดังกล่าวแล้ว เราจะยังเหลือเงินติดตัวไว้ใช้ราวๆ หนึ่งล้านล้านดอลล่าร์ (สมมุติว่าเราไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองใช้เงินเกินตัว)


คุณพอจะใช้จินตนาการได้ไหมว่า จะมีนักลงทุนคนไหนในโลกที่มีเงิน 9.6 ล้านล้านดอลล่าร์ แล้วจะเลือกซื้อก้อน A แทนที่จะซื้อก้อน B ?!!


นอกจากมูลค่าของทองจะถูกประเมินอย่างไม่สมเหตุสมผลแล้ว ราคาปัจจุบันยังทำให้ตัวมันถูกผลิตขึ้นปีละคิดเป็นมูลค่า 160,000 ล้านดอลล่าร์ ซึ่งผู้ซื้อ ไม่ว่าจะซื้อเพื่อเป็นเครื่องประดับหรือซื้อไปใช้ในทางอุตสาหกรรม รวมทั้งคนที่กำลังกลัวและนักเก็งกำไร จะค่อยๆ รับเอาอุปทานส่วนเพิ่มนี้ไว้เรื่อยๆ ก่อนที่ราคา ณ ปัจจุบันจะกลายเป็นราคาสมดุลในที่สุด


ในเวลาหนึ่งศตวรรษนับจากนี้ ที่ดิน 400 ล้านเอเคอร์จะผลิตข้าวโพด ธัญพืช ค้อตต้อน และพืชผลอื่นๆ ได้อีกเป็นจำนวนมาก และจะผลิตผลผลิตที่มีคุณค่าเหล่านั้นต่อไป ไม่ว่าค่าเงินจะเป็นอย่างไรก็ตาม ในขณะที่ Exxon Mobil จะทำเงินปันผลให้กับเจ้าของอีกนับล้านล้านเหรียญ และจะเป็นเจ้าของสินทรัพย์มูลค่าหลายล้านล้านเหรียญเช่นกัน (อย่าลืมว่าคุณมี Exxon อยู่ 16 บริษัท) ในขณะที่ทองคำ 170,000 ตัน จะไม่เพิ่มปริมาณขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว และไม่สามารถสร้างผลิตผลอะไรใดๆ ได้ทั้งสิ้น


คุณอาจลูบคลำก้อนทองคำนี้ด้วยความรัก แต่มันจะไม่มีปฏิกริยาตอบสนองใดๆ แน่นอน


ต้องยอมรับว่า เมื่อคนในยุคหนึ่งร้อยปีนับจากนี้รู้สึกกลัว พวกเขาก็จะยังกระโดดเข้าหาทองคำอยู่นั่นเอง อย่างไรก็ตาม ผมมั่นใจว่า ก้อน A ที่มีมูลค่า 9.6 ล้านล้านเหรียญ จะทวีมูลค่าต่อไปในอนาคตในอัตราที่ด้อยกว่าก้อน B อย่างมากเป็นแน่แท้

from http://clubvi.com/2012/02/22/whystocksbeatgold3/


19 กุมภาพันธ์ 2555

เส้นทางนักเล่นหุ้น วัยรุ่นเงินล้าน

สาวน้อยเล่นหุ้น ยุ้ย-พรพิมล รัตนประไพ นักเก็งกำไรมืออาชีพซึ่งมียอดตัวเลขรายได้จากการเล่นหุ้นถึง 7 หลักต่อเดือน และมีดีกรีเป็นถึงระดับอาจารย์ในวัยเพียงแค่ 26 ปีเท่านั้น เงินล้านจึงหาได้ไม่ยากนักสำหรับเธอที่ทุ่มเทตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา จนถึงวันนี้เธอรู้แล้วว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนจากประสบการณ์ที่ได้ในตลาดหุ้น



เส้นทางนักเล่นหุ้นเริ่มต้นตั้งแต่เธออายุ 23 ปี หลังจากเรียนจบคณะวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร และได้ทำงานอยู่ที่สถาบันการเงินแห่งหนึ่ง เธอเป็นพนักงานแบงก์ได้ประมาณ 8 เดือน จึงลาออกมาเทรดหุ้น และตอนนี้ก็ยังเทรดหุ้นเรื่อยมา โดยไม่ได้ทำงานประจำอีกเลย...



คิดแบบคนรวย

“คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น” คำกล่าวนี้ฝังอยู่ในหัวของนักเล่นหุ้น และเป็นแรงผลักดันให้นักลงทุนมืออาชีพสร้างเส้นทางรวยด้วยวิธีคิดนี้ เช่นเดียวกับสาวนักเล่นหุ้นที่ค้นหาความฝันบนถนนสายนี้เช่นกัน



“ตั้งแต่เด็กเรามีความฝันอยากจะเป็นเจ้าของธุรกิจอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่ก็มานั่งคิดว่านักธุรกิจอะไรหนอที่ไม่ต้องเจอกับคนเยอะๆ เพราะไม่ชอบเจอคนเยอะ ชอบเรียนรู้และอยู่ในโลกของตัวเอง จึงนั่งคิดมาตลอดว่าจะมีธุรกิจอะไร จนคิดได้ว่ามีการลงทุนวิธีหนึ่ง คือการเล่นหุ้น”
“การเล่นหุ้น คือการทำธุรกิจแบบหนึ่งโดยที่ไม่ต้องใช้คนเยอะ เราควบคุมตัวเราคนเดียวได้ ปกติถ้าเราทำธุรกิจทั่วไป จะต้องมีลูกน้อง เจ้านาย มีพนักงานในบริษัทซึ่งต้องดูแลคนมากมาย แต่คนเทรดหุ้นหรือคนที่ลงทุนในตลาดหุ้นฉลาดกว่านั้น เราแค่ดูบริษัทไหนมีการบริหารงานดี น่าสนใจ เราก็ไปลงทุน อันนี้เขาเรียกว่านักธุรกิจที่ไม่ต้องใช้คนเยอะ เป็นการมองภาพรวมของแต่ละบริษัทแล้วลงทุนโดยไม่มีภาระทางจิตใจผูกพัน”



แม้ว่าเธอจะเข้ามาเป็นพนักงานแบงก์ไทยพาณิชย์ ทำให้ได้ใกล้ชิดกับเรื่องเงิน แต่เธอไม่ได้มีหน้าที่หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับหลักทรัพย์ที่จะนำไปลงทุนเลย ถึงอย่างไรแล้วการเข้ามาทำงานแบงก์ก็เป็นลู่ทางให้เธอเป็นนักเทรดหุ้นมืออาชีพอย่างเช่นทุกวันนี้
“ถ้าวันนี้เราอยากสร้างความมั่งคั่งอะไรก็ตาม มันคงหนีไม่พ้นเรื่องเงิน แล้วเราอยากเข้าไปคลุกคลีเกี่ยวกับวงการทางการเงินเพื่อหาช่องทางที่จะไปต่อว่าอะไรที่จะไปต่อยอดในสิ่งที่เราต้องการได้ โอเค...เรารู้อยู่แล้วว่าอยากทำธุรกิจ รู้อยู่แล้วว่าอยากเล่นหุ้น แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร เมื่ออยากเริ่มต้นจึงต้องเข้าไปคลุกคลีในสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อจะซับข้อมูล”



รายได้ 7 หลักต่อเดือน

ตลอดระยะเวลา 3 ปีกว่า เธอทุ่มเทกับการลงทุนในตลาดหุ้นมาตลอด เมื่อถามว่าโดยส่วนตัวคิดว่าตอนนี้ประสบความสำเร็จในการเล่นหุ้นถึงระดับไหนแล้ว เธอตอบกลับมาด้วยคำคมว่า “ความสำเร็จมันขึ้นอยู่กับความสุขของแต่ละคน ถ้าเทียบของยุ้ย คงเป็นระดับปานกลางมั้งค่ะ ถ้ารายได้จากการเทรด 7 หลักต่อเดือน ก็ถือว่าระดับปานกลาง (โอ้โฮ!) แต่ถ้าระดับสูงจะเป็น 8 หลักต่อเดือน แต่ของยุ้ยยังเป็น 7 หลักอยู่ เดี๋ยวรอก่อน เร็วๆ นี้ (หัวเราะ)”



ไม่ผิดถ้านักเก็งกำไร เดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง ย่อมสร้างรายได้อย่างมหาศาล ถึงขนาดคิดกำไรเป็นวินาทีเลยทีเดียวในขณะที่ได้กำไรมากที่สุด แต่สาวน้อยนักเก็งกำไรของเราก็สร้างรายได้ไม่เบาแม้ว่าจะไม่ใช่รายวินาทีแบบขั้นเทพ แต่ก็รายนาทีเชียวล่ะ ใครหารายได้เร็วเท่านี้บ้างยกมือขึ้น
“ยุ้ยเคยทำกำไรได้มากที่สุดเป็นหลักแสนรายนาที ตอนแรกที่ทำได้ รู้สึก...เฮ้ย! เราทำได้ด้วยว่ะ เพราะตอนแรกทุกคนบอกว่า คนที่ทำได้ต้องขั้นเทพ แต่ถ้าคุณจับแพตเทิร์นของหุ้นเป็น ของตลาดเป็นก็จะมีโอกาสทำกำไรได้เหมือนกัน”



ปัจจุบันนอกจากเธอจะเป็นนักเทรดหุ้นมืออาชีพแล้วยังเป็นอาจารย์ช่วยสอนหลักสูตรพ่อมดการเงินที่ บริษัท ดิสติงชั่น จำกัด อีกด้วย



หลักสูตรพ่อมดการเงิน

ยุ้ยเป็นหนึ่งในสองคนที่เริ่มก่อตั้งสถาบันหลักสูตรพ่อมดการเงิน เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่สนใจหารายได้จากการเล่นหุ้นเหมือนกันกับเธอ และอีกหนึ่งผู้ก่อตั้งซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักคือ อาจารย์ธนาธร ชูชาติพงษ์



“ตอนแรกเรามาเทรดหุ้นกันเองจนอยู่ดีมีสุข แล้วมีเพื่อนๆ บอกว่าทำไมพวกแกอยู่แต่ในบ้านกัน แล้วชีวิตดูมีความสุขอย่างนี้ ใช้ชีวิตแบบสบายมาก ไม่ต้องวิตกกังวลเหมือนคนอื่นเขาก็เลยถามว่าเราทำอะไร อ่อ... เราเทรดหุ้นนะ จึงจุดประกายขึ้นมาว่ามันไม่มีโรงเรียนไหนสอนเล่นหุ้นเลย”



“คนที่สนใจอยากเล่นหุ้นมีเยอะนะ แต่ว่าวันนี้ไม่มีใครอยากลองผิดแล้ว อยากลองถูกแล้วลุยเลย คนที่เข้ามาเรียน 80% เป็นคนที่ไม่มีความรู้เรื่องหุ้น แล้วถ้าไปเทรดหุ้นโดยไม่มีความรู้จะเกิดอะไรขึ้น จึงอยากให้คนรู้เรื่องการลงทุนแบบพ่อมด แบบมืออาชีพ ทำยังไงถึงทำกำไรได้ง่ายที่สุด เร็วที่สุด ปลอดภัยที่สุด และมีความเสี่ยงต่ำที่สุด” สิ่งเหล่านี้เธอเชื่อว่าในมหาวิทยาลัย หรือระบบการศึกษาที่ไหนก็ไม่มีสอน
นักเรียนทุกคนต้องผ่านระบบการเรียน การติวและการสอบ ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน ผลลัพธ์ที่ได้คือสามารถหาเงินได้ตลอดทั้งชีวิต สำหรับหน้าที่ของอาจารย์ คือทำอย่างไรให้นักเรียนทำกำไรได้ ส่วนหน้าที่ของนักเรียน คือทำอย่างไรให้ได้เป้าหมายตามที่ตัวเองต้องการ



“นักเรียนที่นี่เป็นแม่ค้าขายเนื้ออยู่ที่ตลาดก็มี รปภ.จบ ป.4ยังมีเลย ส่วนคนที่มีการศึกษาหน่อยมีตั้งแต่ ป.ตรีจนถึงด็อกเตอร์ นักเรียนที่มาเรียนอายุน้อยสุด 12 ปีนะ อายุมากสุดประมาณ 65 ปีได้ ทุกคนสามารถทำได้หมด อย่างเด็ก ม.1 ที่อายุน้อยสุด ตอนนี้ก็สามารถหาเงินเองได้แล้ว”



สิ่งสำคัญที่นักเล่นหุ้นต้องมี

“เงินไม่ใช่ปัจจัยหลักในตลาดหุ้น ความรู้ต่างหากที่ต้องมี” ถ้าวันนี้ตั้งใจจะลงทุน ควรสำรวจตัวเองก่อนว่าคุณมีความรู้เกี่ยวกับหุ้นมากพอหรือยัง เราต้องหาความรู้ก่อนเมื่อไม่มีความรู้ จึงไม่สมควรที่จะลงทุน
อาจารย์ยุ้ยพูดถึงหนังสือเล่มโปรดที่เธอชอบเป็นพิเศษ ชื่อว่า “เงินสี่ด้าน” ของ โรเบิร์ต คิโยซากิ เขาบอกว่า “สิ่งที่คนชอบมากที่สุด คือการเป็นนักลงทุน ใช้เงินทำงานแทน แต่ทุกคนจะถูกหลอกเสมอว่าคุณต้องเป็นพนักงานประจำก่อน แล้วค่อยเป็นเจ้าของธุรกิจ ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่ ทุกอย่างมัน



เริ่มต้นได้ที่การลงทุน โดยการใช้เงินไปต่อเงิน ทุกคนอาจคิดว่าต้องรอมีเงินมากๆ ไม่ว่าคุณจะมีเงินหลักพัน หลักแสน หลักล้านไม่ได้สำคัญ สำคัญที่คุณมีความรู้รึเปล่า”
เริ่มลงทุนหลักพันคุณทำได้ “ต่อให้คุณมีเงินเป็นร้อย เป็นพันล้าน ถ้าคุณไม่มีความรู้ มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอหรอก สิ่งสำคัญที่สุด ถ้าคุณไม่มีความรู้ก็อย่าเอาเงินไปเททิ้ง”



เมื่อมีความรู้แล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก่อนที่จะเป็นนักลงทุนได้คือ การปล่อยวางความกลัว และสร้างความกล้าหาญให้แก่ตัวเอง หลายคนอาจคิดว่าตลาดหุ้นเป็นตลาดที่มีความเสี่ยงสูง ฉะนั้นเราต้องศึกษาว่าตัวเองกลัวอะไร กลัวเพราะไม่รู้ใช่ไหม เมื่อไม่รู้ต้องทำให้รู้แล้วเราก็จะไม่กลัวมัน เราต้องเดินหน้าและสร้างความกล้าหาญที่จะฝึกทำสิ่งใหม่ๆ เพื่อเอาชนะและก้าวข้ามความกลัวไปให้ได้



 ขั้นตอนทำกำไรแบบมืออาชีพ

เมื่อขจัดความกลัว และสร้างพลังให้แก่ตัวเองได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือคุณต้องวิเคราะห์การลงทุนในตลาดว่าตลาดไหนสร้างผลประโยชน์ให้เราได้มากที่สุด “ถ้าเราไม่รู้ว่าเมื่อลงทุนแล้วจะคุ้มค่ากับสิ่งที่ลงทุนไปไหม มันย่อมไม่ดี”



สิ่งที่เราต้องวิเคราะห์เพื่อเริ่มการลงทุน คือ 1.ตลาด ตลาดหลักทรัพย์มีทั่วโลกเลย แล้วตลาดไหนดี 2.การทำกำไร ต้องใช้กลยุทธ์ในการทำกำไรแบบไหน เราจะป้องกันความเสี่ยงในการทำกำไรได้อย่างไร และ 3.จากนั้นเราจะมีการวางแผนจัดการทางด้านการเงินอย่างไรให้ทำกำไรได้ดีที่สุด ซึ่งทุกอย่างล้วนมีขั้นตอนทั้งหมด



“ส่วนใหญ่คนที่มาเรียน เขาอยากรู้ว่าการเริ่มนับ 1 ต้องทำยังไงถ้านับ 1 ได้ 2 3 4 5...มันก็ไม่ได้เป็นปัญหา ถ้ายังไม่มีความรู้พื้นฐาน จึงต้องสอนตั้งแต่เริ่มต้น หุ้นคืออะไร ตลาดหุ้นมีอะไรบ้าง แล้วเราจะมาดูว่านักเรียนแต่ละคนเหมาะกับการเป็นนักเก็งกำไรมืออาชีพ หรือเหมาะที่จะเป็นนักลงทุนมืออาชีพ”



“นักเก็งกำไรมืออาชีพ คือคนที่แสวงหาโอกาส เมื่อมีโอกาสมีอีเวนต์ต่างๆ เข้ามา ปกติเราจะลงทุนโดยใช้ปัจจัยพื้นฐาน และการดูกราฟ สองสิ่งนี้บ้านเราใช้มานานแล้ว อย่าง จอร์จ โซรอส นักเก็งกำไรระดับโลก เขาจะมองหาโอกาส อีเวนต์หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการทำกำไร เช่น ที่ผ่านมาเกิดหุ้นร่วงหนักๆ แสดงว่าสภาวะเศรษฐกิจเป็นอย่างไร ทองขึ้นเพราะอะไร ทุกอย่างเขาเรียกว่าเหตุการณ์ทั้งหมด ถ้าเราจับเหตุการณ์พวกนี้ได้ เราสามารถใช้เงินแค่นิดเดียว สร้างเงินได้อย่างมหาศาล นี่แหละเรียกว่านักเก็งกำไร”
เมื่อมีโอกาสสามารถทำเงินได้มากมายมหาศาล ถ้าจับจังหวะตลาดได้ด้วยความรู้อย่างมืออาชีพจริง และถ้าวันนี้สามารถสร้างเงินได้มากที่สุด แต่ถ้าบริหารความเสี่ยงไม่เป็นก็ไม่มีประโยชน์ ฉะนั้นการทำกำไรจึงเป็นความท้าทายของนักเล่นหุ้นมืออาชีพ



ตลาดหุ้น ตปท. กำไรสูง ความเสี่ยงต่ำ

“ง่ายที่สุด ปลอดภัยที่สุด และสร้างผลตอบแทนได้มากที่สุด” เป็นประเด็นหลักให้เธอตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งมีข้อดีหลายปัจจัยที่นักลงทุนหลายคนมองข้าม



“ถ้าการลงทุนในตลาดทั่วๆ ไป เขาจะมีการกำหนดจุดทำกำไรต่างๆ ไว้ เช่น ทำกำไรสูงสุดต่อวันได้ 30% นะ แต่ในอเมริกาเขาไม่จำกัดเพดานกำไร สามารถทำกำไรได้สูงสุดเท่าที่ศักยภาพที่คุณมี และมีข้อดีอีกอย่างหนึ่งคือ ตลาดหุ้นในต่างประเทศมี Stop loss คือการตัดขาดทุนแบบอัตโนมัติโดยที่เราไม่ต้องนั่งเฝ้า เช่น คุณลงทุนไป 100 บาทแล้วบอกว่าสามารถรับความเสี่ยงได้ 10 บาท คุณซื้อหุ้นที่ 100 ตั้ง Stop loss ที่ 90 เลย ถ้าหุ้นตกมาถึง 90 ปุ๊บ ระบบจะออโตรันตัดขาดทุนอัตโนมัติทันที ทำให้เราสามารถจำกัดการขาดทุนได้”



“ไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง เราต้องมีกลยุทธ์ในการทำกำไร ปีนี้เป็นปีทองมันจะมีโอกาสเหตุการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ในรอบ5 ปี ขณะที่ทุกคนกำลังวิตกจริตกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่เรามีโอกาสทำกำไรได้มาก เพราะเมื่อหุ้นร่วงหนักทุกคนกำลังกลัว แล้วคุณจะพลิกวิกฤตนี้ให้เป็นโอกาสได้ยังไง เราต้องเป็นคน 5% ไม่ใช่คน 95% คน 95% จะมองเห็นแต่วิกฤตเยอะแยะไปหมด แต่คน 5% เท่านั้นในตลาดหุ้นที่สามารถทำกำไรได้ คือต้องมองหาโอกาสในวิกฤตนี้ให้เจอ แล้วคุณจะเป็นผู้สร้างความมั่งคั่งคนใหม่”



ข้อจำกัดของคนเล่นหุ้นคือ ความโลภ คนเราเล่นหุ้นก็ต้องอยากรวย เมื่ออยากรวยจึงต้องรู้ว่าทำกำไรอย่างไรให้ฉลาดที่สุด คือได้ผลตอบแทนสูงที่สุด ความเสี่ยงต่ำที่สุด นั่นแหละคือคีย์ของตลาดหุ้น ดังนั้นจึงต้องบริหารความเสี่ยงเพื่อให้ขาดทุนน้อยที่สุด



หุ้นไอทีทำเงิน

ที่ผ่านมามีช่วงหนึ่งที่คนแห่ซื้อทองอย่างหนัก นักลงทุนหวังเก็งกำไรจากทองคำ แต่จริงๆ แล้ว หุ้นที่คนนิยมเล่น ไม่จำเป็นต้องทำเงินเสมอไป เธอจึงแนะนำหุ้นที่น่าสนใจในตลาดอเมริกาหลาย Sectorและที่น่าจับตามองคือกลุ่มไอที เทคโนโลยี เนื่องจากโลกปัจจุบันอยู่ในยุคข้อมูลข่าวสารนั่นเอง



“พอมี iPadออกมา แสดงว่าหุ้นของมันอาจมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง เราก็มีโอกาสทำกำไรได้แล้ว แต่หุ้นไอทีไม่ได้มีเพียงตัวเดียว ถ้าคิดในปีหนึ่งเขาผลิตสินค้าใหม่ 1ตัวต่อบริษัท มันจึงทำกำไรได้เยอะมากและง่ายที่สุดด้วย”



หุ้นกลุ่มไหนได้ผลตอบแทนสูง นักเล่นหุ้นก็แย่งกันลงทุน เมื่อหุ้นร่วงจึงไม่ต่างอะไรกับ “แมลงเม่าบินเข้ากองไฟ” ซึ่งยุ้ยให้ข้อคิดตรงนี้ว่า “เราต้องใช้จิตวิทยาในการลงทุน ลงทุนในสิ่งที่ต่างจากคนอื่นทำ มองและคิดหลายชั้นในหตุการณ์ที่เจอว่าเราจะทำกำไรจากเหตุการณ์นั้นได้อย่างไร จะลงทุนกลุ่มไหนก็ต้องอินเทรนด์ตามเหตุการณ์ปัจจุบันด้วย ตลาดเปลี่ยน โลกเปลี่ยน เราต้องเปลี่ยนให้ทันโลก”



“มีคนเคยบอกว่าตลาดหุ้นไม่เคยเปลี่ยน แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือนักลงทุน กับราคาทุนที่เปลี่ยนแปลงไป และตลาดหุ้นจะอยู่กับเราเสมอ เพราฉะนั้นคนที่ลงทุนในตลาดหุ้น สามารถหาเงินได้ตลอดทั้งชีวิต เพราะตลาดหุ้นมีทุกวัน และมีไปตลอดด้วย ตลาดหุ้นไม่มีเอาต์มีแต่อินเทรนด์ตลอด (หัวเราะ)”

from http://is.gd/8FWm3q


11 กุมภาพันธ์ 2555

ขายหนังสือมือ 2 ราคาถูก ขายยกชุด (ชุดการลงทุน)


ราคาขาย 150 บาท
นัดรับสินค้าและชำระเงินได้ที่ สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ทุกสถานี
สนใจติดต่อ 0897897655

ประกอบไปด้วย 3 เล่มคือ

 1. กลยุทธิ์สู้หุ้น
รวมสารพัดกลยุทธ์ การเล่นหุ้น ถ่ายทอดจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียน ที่จะช่วยเป็นคู่มือให้กับนักลงทุน ทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ สามารถนำไปผสมผสานกับการวิเคราะห์ตามหลักทฤษฎี ช่วยลดความเสี่ยงในการเล่นหุ้นได้เป็นอย่างดี

สภาพ: 99%
ราคาปก: 180 บาท


2. ฟิวเจอร์ส สัญญาล่วงหน้า

หนังสือเรื่อง "ฟิวเจอร์ส ... สัญญาใจล่วงหน้า" เล่มนี้เป็นนวนิยายเชิงวิชาการว่าด้วย "ฟิวเจอร์ส" หรือตราสารอนุพันธ์ทางการเงิน ซึ่งเป็นนวัตกรรมทางการเงินที่กำลังอยู่ในความสนใจของตลาดการเงินและนับวัน จะมีบทบาทสำคัญเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ โดยสอดแทรกความรู้ ความเข้าใจผ่านตัวละครที่ได้ทั้งสาระและความสนุกเพลิดเพลินชวนติดตาม นับเป็นก้าวแรกสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับการลงทุนในตลาดอนุพันธ์ ได้เข้าใจความหมาย ลักษณะ ประเภทและวิธีการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าได้ดียิ่งขึ้น

สภาพ: 99%
ราคาปก: 120 บาท




3. กลยุทธิ์เด็ดเคล็ดการลงทุนใน set 50 index future
รวมบทความที่น่า สนใจเกี่ยวกับ SET50 Index Future เป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่นักลงทุนทั่วไปที่สนใจการลงทุนใน SET50 Index Future เริ่มตั้งแต่ทำความรู้พื้นฐานสำหรับผู้เริ่มต้นอยากจะทราบข้อมูลทั่วไป เกี่ยวกับ SET50 Index Future ว่ามันคืออะไร จะซื้อขายได้อย่างไร ตามมาด้วยความรู้เชิงปฏิบัติสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนทำกำไรกันจริงๆ ว่าจะมีเทคนิคและกลยุทธ์ต่างๆ ในการลงทุนใน SET50 Index Future ให้ได้กำไรได้อย่างไรบ้าง สุดท้ายจะเป็นความรู้ในเชิงทฤษฎีและเนื้อหาขั้นสูงสำหรับผู้ที่ต้องการรู้ ลึก รู้จริง และมีความรู้พื้นฐานดีในระดับหนึ่งแล้ว นอกจากนี้ยังมีบทความพิเศษเกี่ยวกับ Single Stock Futures ต่อท้ายให้ได้ศึกษาไปพร้อมๆ กันอีกด้วย


สภาพ:80%
 ราคาปก: 200 บาท

ขายหนังสือมือ 2 ราคาถูก ขายยกชุด (ชุดธุรกิจเครือข่าย)

ราคาขาย 100 บาท
นัดรับสินค้าและชำระเงินได้ที่ สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ทุกสถานี
สนใจติดต่อ 0897897655

ประกอบไปด้วย 2 เล่มคือ
1.ตกกระไดพลอยโจนกับธุรกิจเครือข่าย MLM. 

 หนังสือเล่มนี้จะ พาคุณไปรู้จักธุรกิจเครือข่ายอย่างละเอียด ถ่ายทอดจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียนทั้งด้านที่เป็นบวกและเป็นลบ ให้ทั้งความหมาย แนวทางปฏิบัติ เคล็ดลับ และเทคนิคในการประกอบธุรกิจมากมาย ถ่ายทอดอย่างเป็นลำดับขั้นตอน พร้อมภาพประกอบ เข้าใจง่าย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักธุรกิจเครือข่าย MLM ทุกท่าน

สภาพ: 99%
ราคาปก: 179 บาท


2.ธุรกิจเครือข่าย รวยได้ถ้าทำเป็น
เผยแนวทางการสร้าง ความสำเร็จในธุรกิจเครือข่ายแบบไทยๆ บนโลกของความเป็นจริง พร้อมลูกล่อลูกชนในการพัฒนาสายงานที่มีนิสัยแบบไทยๆ ถ่ายทอดจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียนและจากคำบอกเล่าของนักธุรกิจขายตรง รวมถึงการตอบคำถามและให้คำปรึกษากับคนที่ทำงานในภาคสนาม

เนื้อหาในเล่มจะทำให้คุณทราบถึงเรื่องราวที่จำเป็นต้องรู้ในการทำธุรกิจขาย ตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำธุรกิจกับคนไทยๆ โดยเริ่มจากคนที่ไม่เคยอยู่ในวงการมาก่อน จนถึงขึ้นจะเอาดีและยึดเป็นอาชีพหลัก เพื่อให้ผู้ที่สนใจในธุรกิจนี้รู้วิธีในการทำงานและ แนวทางในการที่จะทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จ!



สภาพ: 99%
ราคาปก: 160 บาท 

บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (All Time)